หน้า ๑๓ เล่ม 293
สิบห้านาทีกับพ่อท่าน
- ทีม สมอ.-
ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ '๔๙
ครั้งที่ ๓๐ รุ่นกอบกู้มนุษยชาติ
วิกฤติรุนแรงทั่วโลก ก็ยังดำเนินไปอยู่ตามเหตุปัจจัยจริงๆของมัน แต่ละคน คงยาก ที่จะรอดพ้น จากผลกระทบของมัน ตามทฤษฎีที่ว่าด้วย "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึง ดวงดาว"
กฎแห่งกรรม ยังคงย้ำยืนยันทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และที่สำคัญสุด ของพุทธคือ เหตุแห่งทุกข์ ต้องถูกกำจัดออกไป อย่างสัมบูรณ์ พุทธศาสนา จึงเน้น การพยายาม ทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว ทั้งปวง ยังจิตใจให้ผ่องใส จนสัมบูรณ์ เพราะมีแต่ วิถีทางนี้ ที่จะช่วย ชาวพุทธ ให้สามารถอยู่ในโลก อย่างเป็นจริง ปลอดภัย ทั้งปวง ซึ่งดับเหตุ แห่งทุกข์ อย่างถูกถ้วนตัวตน ที่แท้ของมัน จนสิ้นสนิท สังคมจึงจะสงบสุข อย่างยั่งยืน และจะแผ่ผลดี ไปสู่สังคมโลก ได้กว้างขวาง
เรามิอาจเปลี่ยนแปลงบางสิ่ง ที่เกินความสามารถ ของเรา แต่เราทำได้ ในการเปลี่ยนแปลง ตนเอง และไม่ดูดาย ที่จะพยายาม ช่วยสนับสนุน การเปลี่ยนแปลง ที่ควรเปลี่ยน ไปสู่ทิศทาง ที่ดีขึ้น ด้วยใจที่จริง ไม่มีอะไร ซ่อนแฝง
งานปลุกเสกพระแท้ๆ ของพุทธ งานประจำปี ของชาวอโศก ก็เป็นอีก ความพยายาม ที่จะฝึกฝน ตัวเองให้...
ทำในสิ่งที่ผู้อื่น ทำได้ยาก
อดทนในสิ่งที่ผู้อื่น อดทนได้ยาก
เสียสละในสิ่งที่ผู้อื่น เสียสละได้ยาก
เพื่อก้าวขึ้นสู่ การเป็นมนุษย์พัฒนา อย่างแท้จริง.
# ปีนี้งานปลุกเสกฯล่าช้ากว่าทุกปี เพราะเหตุใด ?
- ล่าช้าก็เพราะเหตุปัจจัยของบ้านเมือง เหตุปัจจัยของสังคมมนุษย์ เพราะเรา ไม่ได้เห็นว่า เราเป็น คนนอกสังคม เรายังรับรู้สังคม ยังอยู่ในสังคม เรายังเอา ภาระสังคม เพราะฉะนั้น เมื่อถึงเวลาวาระ ที่ควรจะร่วม กิจกรรมสังคม เราก็ต้องทำ จึงได้เข้าไปผนึก กับกิจกรรมสังคม เมื่อกิจกรรมของเรา กับของสังคม มันซ้ำซ้อน เวลากัน เราจึงจำเป็น ต้องงดกิจ ส่วนของเรา งานปลุกเสก ก็เลยต้องระงับ ตามวันเวลา ที่เรากำหนด เอาไว้เดิม เพราะวันเวลา มันซ้ำซ้อนกัน เสร็จกิจกรรม ทางสังคม ต้องมาหา วันจัดกันใหม่ กำหนดวัน งานปลุกเสกฯ ขึ้นใหม่ ตามที่เรา ได้ทำกันไปแล้ว มันก็เป็นธรรมดา ของความไม่เที่ยง เหตุปัจจัยอะไร ต่างๆ มันไม่เที่ยง เป็นธรรมดา
# เราเสียผลอะไรหรือไม่ ?
- เราไม่ถือว่าเสียผล ถือว่าเราได้ ทั้งได้รับรู้ ได้ฝึกปรือธรรมะ ที่เป็นจริง ได้เกิดการพิสูจน์ว่า งานปลุกเสกฯ ของเราเป็นเช่นนี้ ถ้าไม่มี เหตุปัจจัย อะไรเข้ามา เป็นตัว ร่วมสังเคราะห์ เราก็คงได้ผล อย่างเดิม แต่พอเกิดเหตุการณ์นี้ ผ่านเข้ามา เหตุการณ์นี้ มันมีผลกระทบ ต่อชาวอโศก แน่นอน คนของเรา บางผู้ บางคนนั้น ไม่ชอบใจ พฤติกรรมนี้ ของเราเลย บอกไม่เอาแล้วอโศก ปลุกเสกฯ ย่อมไม่มา ก็เป็นอันว่า ชาวอโศกส่วนนั้น หายไป จะว่าเสีย ก็คงจะเป็น ส่วนนี้ มีบางส่วน อาจจะไม่ใช่ อย่างนี้ทีเดียว ก็อาจจะไม่มา งานปลุกเสกฯ ครั้งนี้ เพราะติดงาน งานเยอะ งานบ้านงานช่อง หรืองานภารกิจ ที่รับผิดชอบ ทั้งของหมู่ ทั้งของตัวเอง ต้องไปชุมนุม ประท้วง ครั้งนี้เสียยาวนาน ตั้งเป็นเดือน ก็เลยต้องขาด งานปลุกเสกฯ ครั้งนี้ เพราะต้อง เร่ง สะสางงาน ที่คั่งค้างก็มี ฉะนั้น มวลที่จะมา งานปลุกเสกฯ ปีนี้ลดลงไป แต่มวลที่ได้จาก งานชุมนุมประท้วง ที่เราได้เผยแพร่ ออกไป ไปประกาศ สัจธรรม ก็มีคนรอบนอกๆ เขารับรู้เข้าใจ สุดท้าย รู้เรื่อง งานปลุกเสกฯ ที่มีพวกเรา ชวนเชิญกันมา ก็เพิ่มมวล ส่วนนี้เข้ามา แม้แต่ในงาน ปลุกเสกฯ อย่างที่ขึ้นเวที แสดงตัว ปรากฏให้พวกเรา ได้เห็นไปแล้ว มันก็เป็นไปได้ หลายๆแง่ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์นี้ มันจึงบอกให้เรารู้ อะไรต่ออะไร ที่เกิดขึ้น หลายๆอย่าง ทั้งในเนื้อหา ของความเป็น ธรรมะ ทั้งในเนื้อหาของ ความเป็น ปริมาณ ทั้งใน ความเปลี่ยนแปลง อะไรต่างๆนานา ที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น ดีในส่วนนั้น ไม่ดีในส่วนนี้ ลดส่วนนั้น เพิ่มส่วนนี้ อะไรต่างๆ สรุปว่า ไม่เสียผล
# บรรยากาศในงานปลุกเสกฯ เป็นอย่างไร ?
- บรรยากาศทั่วๆไป คราวนี้ก็เข้มข้นขึ้น นั่นเป็นคำตอบรวมๆ เป็นงานที่เรา ได้อะไร เข้มข้นขึ้น ก็คือ เราได้ชี้ชัด หรือว่า มีตัวแสดง มีสิ่งที่เราแสดง ความเป็น เนื้อธรรมะ เป็นรูปธรรมด้วย แม้เป็นนามธรรม ก็มีองค์ประกอบ ของสิ่งที่ ทำให้เข้าใจ นามธรรมนั้น ชัดๆขึ้น คุณรู้สึก อย่างนั้นไหม มันมีองค์ประกอบ ของทั้ง รูปธรรม และนามธรรม ที่ผ่านกาละมา ทำให้เรา พูดถึงธรรมะ ชัดกว่าเก่า แจ่มแจ้งกว่าเก่า เห็นจริงเห็นจัง กว่าเก่า นี่คือ ความเข้มข้น หรือ ความเกิดเนื้อ เกิดสารสัจจะ ของธรรมะ ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนปริมาณ สังเกตได้ว่า ปริมาณของผู้ที่ไปงานปลุกเสกฯ คราวนี้น้อยลง กว่าที่ควร นิดหน่อย แต่ การน้อยลงนี้ มันเป็นไปได้ เพราะเหตุว่า มีผู้ไม่รู้อิโหน่ อิเหน่เลย ว่าเราไป ประชุมกันอยู่ ที่งานชุมนุม ประท้วง จนต้องงด งานปลุกเสกฯ อาจจะไปเก้อ ที่ศีรษะอโศก ตามกำหนดเดิม ก็ได้ แม้แต่เรา มานัดแนะกัน จัดงานปลุกเสกฯ กันขึ้นมาใหม่ ทีหลัง คนที่ไม่รู้เรื่อง ในการเปลี่ยนแปลงนี้ ก็มีไม่ใช่น้อย หลายร้อย หลายพันคนอยู่
อาตมาว่าคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี่แหละ จะตกหล่นไป มีไม่น้อย เป็นต้น แล้วจะบอกว่า คราวนี้ ที่คนน้อยลง เพราะเหตุว่า เนื้อหาสารสัจจะ ของธรรมะ มันไม่เคี่ยวข้น ขึ้นนั้น ไม่ใช่แน่ แค่มีคนน้อยลง เพราะเหตุว่า ไม่รู้นี่ อย่างหนึ่ง และอีกอย่าง ก็คนที่เห็นว่า เราออกไป ร่วมชุมนุม ประท้วงนี่ เป็นเรื่องที่ เขารับไม่ได้ แต่จะไปสรุปผลว่า เป็นเพราะ เหตุหลังนี้ ทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม มันเป็นการเกิด เหตุการณ์ ที่พัฒนาการขึ้น อาตมา มองว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องของ การเสื่อมเสีย แต่เห็นว่า มันเป็นการ วิวัฒนาการ เพิ่มขึ้น
# พ่อท่านเทศน์เน้นสอนเรื่องอะไรเป็นหลัก ?
- สอนทั้งด้านการเมือง ด้านของสังคม ที่มันสัมพันธ์อยู่กับ สังคมศาสตร์ เพราะฉะนั้น เมื่อมันเกี่ยวพัน ถึงสังคมศาสตร์ ก็เกี่ยวไปถึง เศรษฐกิจ เกี่ยวถึง พฤติกรรมมนุษย์ ก็สอนถึงเรื่อง ความเกี่ยวพัน ความเชื่อมโยง ที่จะเกิดปฏิกิริยา แก่กันและกัน เกื้อกูลกัน หรือไป ขัดเกลากัน หรือเป็นสิ่งที่ เสริมกันบ้าง ทำลายกันบ้าง ก็พยายามชี้แนะ อธิบาย ประกอบไป ในหลักธรรม ของพระพุทธเจ้า เท่าที่เราตั้งหลัก ตั้งเรื่องไว้แล้วว่า จะเทศน์เรื่อง ลักษณะของ อรหันต์ ๑๒ ข้อ ซึ่งเอา พระสูตรต่างๆ มาประกอบ โดยอาตมา พยายามขยาย ให้เข้ากับเหตุปัจจัย ปัจจุบัน สิ่งที่เราไปมี ประสบการณ์ ก็เอาเรื่องราว ที่ผ่านมา เป็นองค์ประกอบ เพื่ออธิบาย หรือ เอามาเป็นตัวอย่าง ทั้งในเนื้อหา ของธรรมะ และพฤติกรรมต่างๆ ทำให้พวกเรา ได้เข้าใจ สิ่งที่เข้าใจยากๆ ทั้งที่บางที เป็นภาษาเก่า ธรรมะบทเก่า แต่มันเข้าใจ ได้ดีขึ้น ลึกขึ้น ชัดขึ้น มีอะไร ที่แจ่มแจ้งขึ้น อย่างนี้เป็นต้น
# จากเหตุการณ์ที่เราออกไปทำงานร่วมกับสังคม ทำให้เห็นภาพ ลูกๆของพ่อท่าน มีทั้งสายเจโต ศรัทธา ที่พร้อมเดินตามพ่อท่าน เชื่อฟัง อย่างไม่มี ข้อแย้งใดๆ และ สายปัญญา ที่กว่าจะเห็นด้วย คล้อยตาม ทำตาม ก็คิดวิเคราะห์ หาข้อมูลต่างๆ และบางที ก็ไม่เห็นด้วย ไม่ทำตาม ในยุคของ ปัญญาสมโภช เราควรมีวิธี คิดอย่างไร ให้เกิด ความสมดุล และเข้าถึง การมีปัญญา อย่างแท้จริง ?
- ที่จริงแล้วจะไปบอกว่า สายศรัทธานั้น พ่อท่านว่าอะไร ก็ทำตามลูกเดียว ที่จริง เขาก็มีปัญญาด้วย เพราะฉะนั้น หลายคนจะบอกว่า ไปด้วยพลัง "เจโต" ไม่รู้เรื่อง อะไรหรอก พ่อท่านพาไป เขาก็ไป ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว เขามีปัญญาของเขา ที่เข้าใจ ยิ่งขึ้น ว่าเออ....นี่อะไร แล้วเขาก็ได้ เข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ปัญญา ส่วนสายปัญญา นั้นต่างหาก ที่ไม่น่าโง่ เขาบอกว่า สายปัญญา ความจริงโง่ต่างหาก ไม่เข้าใจ ในสารสัจจะ ก็เลยไม่เอาแล้วก็มี หรือที่เป็นปัญญาแท้ ก็ได้เข้าใจ สว่างแจ้งเลย โอ้โฮ.... ชัดเจน ยิ่งรู้อะไร เพิ่มเติม รู้ลึกขึ้น บรรลุธรรมก็มี แทบจะตรัสรู้ เลยก็ได้ มีได้ทั้ง ๒ ส่วน เพราะฉะนั้น ทั้งสายเจโต และสายปัญญา ถ้าจะถามว่า คราวนี้ได้อะไร ก็ได้ปัญญา อาตมา ถึงบอกว่า คราวนี้ที่เราไปนี้ เป็นการฉลอง "ปัญญาสมโภช" ทีเดียว ไม่ได้หมายความว่า มันทำให้ปัญญา เสื่อมไป เพราะว่า อาตมา ไม่ได้บังคับ ให้อิสระ เสรีภาพ เต็มที่ ใครไปก็ไป ใครไม่ไปก็ไม่ไป ใครจะไปพิสูจน์ ใครจะไปเรียนรู้ ใครจะไป ฝึกฝนก็ไป หรือใครจะเต็มใจ ไปช่วยทำงานก็ไป ไปแล้ว ได้อะไร อาตมาว่า ได้ปัญญา กันทุกคน ไม่ว่าสายเจโต หรือสายปัญญา ทั้ง ๒ สาย จะเพิ่มพูนปัญญา ได้ประสบการณ์ ในงานครั้งนี้ มากทีเดียว เป็นปัญญา ที่เราได้รู้แจ้ง ทั้งสารสัจจะ ของธรรมะ ได้รู้ทั้งหลักเกณฑ์ ของสังคม ได้รู้ทั้งพฤติกรรมต่างๆ อันพึงมี พึงเป็น ของสังคม ที่หลากหลาย มหาศาล
# ในส่วนตัวดิฉัน ๒๐ กว่าปี ที่อยู่กับพ่อท่าน มันราบรื่น ไม่เคยมีความเห็น ขัดแย้งอะไร แม้ในเรื่องนี้ (Protest) ก็เชื่อมั่น ในภูมิปัญญา กับพ่อท่าน แต่ไม่เห็นด้วย กับวิธีการ ที่พวกเรา ต้องออกไป protest อยู่ริมถนน นานเป็นเดือน ต้องทนกับ ความลำบาก นานัปการ แต่เมื่อตรวจจิต เข้าไปลึกๆ พบว่า ดิฉันยังขาด ความอดทน ขาดเจโต อยู่มาก เดินตามพ่อไม่ไหว ก็ได้แต่เสียใจ และคิดว่า จะพัฒนาในจุดอื่น ที่เรายังหละหลวมอยู่ เพื่อว่าอนาคต พ่ออาจพาทำ ในเรื่องที่ ยากกว่านี้อีก ก็ได้
- อันนี้ก็ต้องรู้ความจริงในตัวเรา ว่ามีบารมีเท่านี้ มีความสามารถ เท่านี้ มีเรี่ยวแรง มีความอดทน ได้เท่านี้ เกินนี้ไป เราทนไม่ไหวแล้ว สู้ไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องรู้ สถานะของเรา อันนี้ก็เกิดการ ประมาณตน ทำให้เรารู้ว่า ตัวเราก็เท่านี้ เราก็ประมาณ ตนได้ เรายอมรับว่า อันนี้เราไม่ไหวจริงๆ แม้จะเห็นดีด้วย เราก็อยาก ทำดี อย่างนี้ได้ด้วย แต่เราทำ ไม่ไหวจริงๆ มันได้เท่านี้ อินทรีย์พละเรา ได้เท่านี้ ความสามารถเรา มีเท่านี้ ความอดทนของเรา มีเท่านี้
นั่นก็เป็นความจริง ที่เรารู้ความจริง ถ้าเราไม่มีอัตตามานะ ไม่มีความติดยึด ในตัวเอง มันก็ยอมรับว่า เราไม่สูงกว่านี้ ไม่เก่งกว่านี้ เราไม่สามารถ มากกว่านี้ มันก็ใช่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บางคน เมื่อบอกว่า เราทำไม่ได้ เราก็เลยไป พาลกระแชง (หาเรื่อง ให้วุ่นวาย) ไปว่า มันไม่ถูกหรอก มันไม่ดีหรอก ฉันไม่เอาด้วย อะไรต่างๆ นานา ก็เป็นได้ ก็ต้องคิดดู หรือจริงๆ ที่เราไม่ไปทำด้วยนั้น จริงๆ มันอาจผิดก็ได้ และเรา ไม่เห็นด้วย เลยไม่ทำ ก็เป็นได้ แต่เท่าที่ดู ตามภูมิปัญญา ของอาตมา คราวนี้ ที่เราไปทำ ก็มีเล็กๆ น้อยๆ ที่เราบกพร่องบ้าง แต่ไม่มีอะไร ผิดพลาดหรอก ที่ทำๆกัน ก็ดูดี ก็มีวิวัฒน์ พัฒนาขึ้นไป ในทุกคน ที่ไปทำงาน กับสังคม ก็ได้ปฏิบัติธรรมด้วย ตรงๆเลย แม้แต่การพัฒนา ทางธรรมะ หลายผู้หลายคน ก็มาพูดแล้ว ว่าได้เพิ่มความรู้ ความอดทน ได้ลด ความติดยึด อะไรๆกันออกไป คนละไม่น้อยทีเดียว
# ตอนฟังพวกเราสรุปงานกัน ก็รู้สึกได้ว่า ถ้าเราไป เราก็จะได้อะไรดีๆ อย่างนั้น ก็ได้แต่เสียดาย ดิฉันบอกตัวเองว่า ประวัติศาสตร์ของอโศก หน้านี้ไม่มีเรา
- นั่นก็เป็นความรู้สึกที่น้อยใจของตัวเอง ทำไมต้องน้อยใจ เพราะเรา ตรวจตัวเองแล้ว มีอัตตัญญุตา ว่า เออ.... ตัวเราก็เท่านี้ จริงหนอ เราทำไม่ได้ ก็ต้องพากเพียรขึ้น ถ้าน้อยใจ กำลังใจ ก็จะเสีย จะน้อยใจ ทำไมล่ะ เราก็รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ให้มันชัดเจน คนน้อยใจ บางที ก็ทำประชดประชัน ขึ้นไปอีกได้ หรือท้อแท้ ซึ่งไม่เกิดผลดีอะไร
# ช่วงนี้พ่อท่านดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไร ?
- ใช้หลัก ๗ อ. หนึ่ง ก็เรื่อง"อิทธิบาท"ซึ่งเป็นเรื่องหลัก นำเรื่องอื่น สอง เรื่อง"อารมณ์" ที่สำคัญมาก แต่อาตมาก็ไม่เป็นปัญหา ในเรื่องนี้ เรื่อง"อาหาร" ที่เรารับประทาน ก็มีผู้ช่วยจัดหา ให้ดีอยู่แล้ว อาตมาฉันมื้อเดียว ฉันแล้ว ก็ไม่ได้ฉันปลีก ฉันย่อย อะไรอีกเลย แม้น้ำปานะใดๆ จึงไม่มีปัญหา ส่วนเรื่อง "อากาศ" เราก็พยายาม อย่าไปรับเอาอากาศ ที่ไม่ดีใส่ตน "ออกกำลังกาย" ด้วยการเดิน วันละ ๑ ช.ม. ทำโยคะ ๑ ช.ม. รับวิตามิน จากแสงแดด ที่พอเหมาะ ยามเช้า และ "เอาพิษออก" เราก็ออกกำลังกาย ให้เหงื่อออกบ้าง ทำดีท็อกซ์บ้าง มีพวกเรา ถามอาตมาว่า ตอนออกกำลังกาย ตั้ง ๒ ช.ม. ไม่เมื่อย ไม่เพลียหรือ ก็ไม่นะ ไม่เหนื่อย ไม่เพลียอะไร เขาก็พยายามบังคับ ให้นอนตอนบ่าย หรือตอนกลางวัน อาตมาก็ว่า มันไม่ถึงขนาดนั้น แต่มีเหมือนกัน บางครั้ง บางคราว ที่มีอาการ น่าจะนอนแล้วนะ ก็นอน ไม่ได้ฝืนอะไร เพราะอายุ ก็ตั้ง ๗๐ กว่าเข้าไปแล้ว แต่ตอนนี้ ไม่มีปัญหา อาตมาคิดว่า ร่างกายยังดีอยู่นะ ยังฟิต ยังแข็งแรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดื้อด้าน ทำแอ็ค อย่างนั้นอย่างนี้ เพียงแต่ทำ ให้มันพอดี เพราะฉะนั้น ในเรื่อง "เอนกาย" ก็คือ เราก็นอนกลางคืน หรือ ต้องพักผ่อนให้พอ ถ้าไม่สมดุล พักไม่พอดีกับเพียร ก็เสียสุขภาพแน่นอน เรื่องพักเรื่อง นอนนี่แหละ เป็นตัวกิเลส ที่กินลึก สำคัญนัก พระพุทธเจ้า ตรัสถึงขนาดว่า "ผู้ที่บรรลุ ในการไม่พัก กับการไม่เพียร นั่นคือ ผู้มีนิพพาน" ถ้าไม่เป็นนักปฏิบัติธรรม ที่ล้างกิเลสได้จริง การติดหลับนอน จึงเป็นกิเลสที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักเต็ม เหมือนคนติด กามเมถุน ทีเดียว
*** พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"ความรักอื่น ยิ่งกว่ารักตัวเองไม่มี"
การดูแลเอาใจใส่สุขภาพ อย่างจริงจัง
ด้วยทฤษฎี ๗ อ.
จึงเป็นบทพิสูจน์ความรัก
เพราะในความรักนั้น เราต้องเสียสละ
อดทน ฝืนใจ และพากเพียร อย่างสม่ำเสมอ
รู้คุณค่าว่า
ร่างกายคือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ที่เราควรรักษาไว้
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์
ในการประกอบกรรม ดีงามทั้งปวง.