หน้าแรก >[09] การสื่อสาร > การเผยแพร่ธรรมะ >สารอโศก. สารอโศก ฉบับที่ ๒๙๓ มีนาคม ๒๕๔๙ หน้า ๑ *** การเมือง เป็นเรื่องของการจัดการ
หน้า ๓ กู้ชาติเพื่อ...มวลมนุษยชาติ แม้การจัดงานปลุกเสกฯครั้งที่ผ่านมา จะกำหนดวันจัดกันแบบกะทันหัน หลังจากที่ต้องเลื่อนกันไปตามสถานการณ์บ้านเมือง แต่ความพร้อมเพรียง ของญาติธรรม ก็ยังสามารถเกาะติดกับ สถานการณ์กันได้ อย่างทันควัน แม้พวกเราจะเพิ่งพักจากงาน ไปร่วมกู้ชาติ ได้เพียงไม่กี่วัน ก็ตาม และที่ต้องรีบ ออกไปกู้ชาติกัน ก็เพราะมีคนที่โลภโมโทสัน ตั้งหน้าตั้งตา กอบโกยโกงกิน สมบัติของชาติบ้านเมือง อย่างมูมมาม และพยายาม จะรวบอำนาจ ทั้งหลาย ให้ขึ้นตรงต่อตัวเอง เพียงผู้เดียว ความหลงสมบัติ(โอฬาริกอัตตา) และหลงอำนาจ(อรูปอัตตา) คือรากเหง้าของความชั่วร้ายที่ทำลายมนุษยชาติไปทั้งโลก แม้แต่ญาติธรรม ก็จะต้องหาทาง จัดการ ชำระล้าง ให้สิ้นซาก จากจิตวิญญาณของเรา จึงจะสามารถกู้ชาติและมวลมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง ในงานชุมนุมการกุศล(Protest) วีรชนคนกู้ชาติตัวจริง น่าจะยกให้ชาวบ้านที่พากันนอนเกลื่อนอยู่เต็มถนน
โดยไม่มีเสื่อไม่มีหมอน ไม่มีผ้าห่มนอน และมุ้ง และเขาเหล่านี้ ก็พร้อมที่จะเป็นแนวหน้ากล้าตายก่อนใครๆ
ถ้าเกิดเหตุการณ์คับขันกันขึ้นมา และเมื่อเสร็จภารกิจแล้ว พี่น้องชาวไร่ชาวนาเหล่านี้ก็ไม่ได้ สุดท้ายแล้วคนที่ไม่มีอะไรมากที่สุด ก็คือคนที่จะกอบกู้ช่วยเหลือประเทศชาติได้มากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่พ่อท่านได้พาชาวอโศก มาฝึกเป็นคน จนๆ จนไม่มีอะไรให้ได้ ยิ่งเราไม่มีอะไรได้มากเท่าไหร่ก็จะทำให้เกิดส่วนเหลือเผื่อแผ่แก่มวลมนุษยชาติได้มากเท่านั้น ธรรมะที่พ่อท่านเน้นมากในงานปลุกเสกฯ ก็คือ อย่ายินดีในธรรมอันเป็นความเนิ่นช้า แม้ว่าเราจะได้จัดงานฉลองครบรอบ ๗๒ ปีของพ่อท่าน แต่นั่น ก็หมายถึงว่า กำหนดการ หมดวาระของโควต้า ที่พ่อท่านได้มาในชาตินี้ ซึ่งท่านเริ่มให้สัญญาณเตือนพวกเราว่า การจะอยู่ให้เกิน ๑ ปี หรือ ๒ ปี ก็อยู่ที่ ความสำเร็จ ในการเจริญ อิทธิบาท เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นส่วนเกินนอกโควต้า ที่ท่านตั้งใจว่าจะทำให้ได้ มรณัสสติจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของสมาชิกกองทัพธรรม กรณีนางสาวดินตะวันที่ถูกรถตุ๊กตุ๊กชนอย่างจังๆก็ดี
หรือกรณีของท่านร่มบุญ ฉัตตปุญโญ ที่ถูกรถทัวร์ชน เสียชีวิตทันที ในระหว่างเดินจาริก
จะมาร่วมงานปลุกเสกฯในครั้งนี้ น่าจะเป็นอนุสติให้ชาวเรา รีบก้าวตามพ่อท่าน
เหมือนที่พวกเราได้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านั้น ถ้าเราสามารถจัดการให้กิเลสตายเสียก่อนจะดีไหม? ทั้งได้ชื่อว่าไม่ยินดีต่อธรรมอันเนิ่นช้า ทั้งเป็นการรักษาพ่อท่าน ให้อยู่กับเรา ตลอดไป อย่างไม่มีวันตาย และย่อมเป็นการตายเสียก่อนตาย ซึ่งจะเป็นการตายที่ได้ใจอันวิเศษ เพราะไม่มีกิเลส ตามไปด้วยนั่นเอง. - คณะผู้จัดทำ -
หน้า ๔ * ปลุกเสกพระแท้ๆนี่แหละพุทธ # # # จันทร์ ๒๔ เมษายน ๒๕๔๙ รายการภาคพิเศษ (๑๒.๐๐-๑๔.๐๐ น.) ได้ยกเลิกโดยอัตโนมัติ เพราะฝนตกอย่างต่อเนื่อง
จึงเปลี่ยนบรรยากาศให้พวกเราชมข่าวจากสื่อโทรทัศน์แทน เป็นการศึกษาเรียนรู้จากข่าวสารบ้านเมือง
รายการภาคค่ำ (๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.) สัมภาษณ์ปฏิบัติกรชุด "ก้อนอิฐและดอกไม้ที่ได้จากการชุมนุม" ดำเนินรายการโดย สมณะกล้าจริง ผู้ร่วมรายการคือ พ.จ.อ.หลักบุญ(บ้านราชฯ) น.ส. พลังใจ(สีมาฯ) น.ส.ปลูกขวัญ(ปฐมฯ) น.ส.ฟ่องฟ้า(สันติฯ) น.ส.จงจน(ศาลีฯ) น.ส.ดาวแพง-ขวัญ(ภูผาฯ) นางตรงเตือน (บ้านราชฯ) และนายกลางนา(วังสวนฟ้าฯ) # # # อังคาร ๒๕ เมษายน ๒๕๔๙ รายการเทศน์ก่อนฉัน(๐๙.๐๐-๑๐.๓๐น.) เรื่อง "เปิดโปงระบบทักษิโณมิค" โดยอดีตสมาชิกวุฒิสภาอาจารย์สมบูรณ์ ทองบุราณ ดำเนินรายการโดย คุณหนึ่งแก่น บุญรอด รายการภาคบ่าย (๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.) เรื่อง มองการเมืองไทยในอนาคต โดย อาจารย์สุรเธียร จักรานนท์ ดำเนินรายการโดย นายตายแน่ มุ่งมาจน รายการภาคค่ำ (๑๘.๐๐-๒๐.๐๐ น.) สัมภาษณ์ปฏิบัติกรชุด เสียงเพื่อนพ้อง ฉลองปัญญาสมโภช ดำเนินรายการโดยสมณะฟ้าไท ผู้ร่วมรายการคือ คุณหินจริง(สีมาฯ) คุณกลั่นพร(ศีรษะฯ) คุณดินนา(ปฐมฯ) คุณต้นฝัน(เชียงใหม่) คุณพึ่งบุญ(บ้านราชฯ) คุณฝั่งบุญ(บ้านราชฯ) คุณสื่อศีล(สันติฯ) คุณวิลาวรรณ(กทม.) คุณดาวแพงขวัญ(ภูผาฯ) คุณรุ้งดอกหญ้า(สันติฯ) คุณน้ำดิน(ปฐมฯ) คุณเย็นยอด(สุพรรณฯ) คุณธรรมทำ(เชียงราย) และคุณสีดิน(ปฐมฯ) # # # พุธ ๒๖ เมษายน ๒๕๔๙ รายการธรรมะก่อนฉัน (๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.) เรื่อง เอาอะไรในโลกหล้า โดย พลตรีจำลอง
ศรีเมือง รายการภาคบ่าย (๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.) เรื่อง เสียงพี่เสียงน้อง ฉลองปัญญาสมโภช
ผู้ร่วมรายการคือ สมณะกำแพงพุทธ สมณะแก่นหล้า สมณะมือมั่น สมณะดวงดี สมณะผืนฟ้า
สมณะดินทอง สมณะลึกเล็ก สมณะดินดี สมณะดงดิน และสมณะมั่นแจ้ง # # # พฤหัสบดี ๒๗ เมษายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๖.๓๐ น. พ่อท่านเป็นประธานการประชุม ๗ องค์กร แต่วันนี้ประชุมได้เพียง
๓ องค์กร คือ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรมฯ มีการเลือกนายกสมาคม ที่ประชุมเลือก เรือตรีแซมดิน
เลิศบุศย์ เป็นนายกฯ และเลือกกรรมการแทนตำแหน่งที่ว่าง ได้แก่ น.ส.ปลูกขวัญ
รักพงษ์อโศก และน.ส.งามใบตอง อีก ๒ องค์กร คือ ธรรมทัศน์สมาคม และกองทัพธรรมมูลนิธิ
ส่วนมูลนิธิธรรมสันติ ขอเลื่อนการประชุมไปวันที่ ๗ พ.ค. ๒๕๔๙ ที่สันติอโศก
รายการเทศน์ก่อนฉัน (๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.) เรื่อง น้อมปฏิบัติบูชาปัญญาสมโภช
โดย สิกขมาตุ กล้าข้ามฝัน และเรื่อง วิถีพุทธในต่างแดน โดย สมณะกลางดิน โสรัจโจ รายการภาคบ่าย (๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.) เรื่อง ร้อยปีพุทธทาสประกาศความวิเศษของพุทธ
โดย อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ # # # ศุกร์ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๖.๓๐ น. มีการประชุม ๗ องค์กรต่อจากเมื่อวาน โดยเริ่มจากเครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ(ค.ก.ร.) สมาคมนักศึกษาผู้ปฏิบัติธรรม(นศ.ปธ.) และแจ้งการได้รับอนุญาตให้จัดตั้งมูลนิธิบุญนิยม พ่อท่านได้ย้ำเน้นให้เห็นถึงความสำคัญ เราได้ดีเพราะการประชุม เป็นความสำคัญของขบวนการกลุ่ม รายการเทศน์ก่อนฉัน (๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.) เรื่อง "ความคิด ความฝัน ความหวัง
ความจริง" โดย สมณะแน่วแน่ สีลวัณโณ รายการภาคบ่าย ๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น. เป็นการตอบปัญหาเพื่อธรรมาธิปไตย โดยพ่อท่าน # # # เสาร์ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๖.๓๐ น. มีการประชุมใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน และประชุมสถาบันบุญนิยม เพื่อเลือกตัวแทนฝ่ายต่างๆ ขณะนี้มีศูนย์ฝึกอบรมในเครือข่ายของเรา ได้แจ้งความพร้อมเพื่อการอบรมแล้ว ๑๔ ศูนย์ พ่อท่านให้โอวาทว่า ธรรมะต้องยุ่งกับการเมือง เพื่อทำการเมืองให้หายยุ่ง แม้จะแก้ไขคนที่ก่อเรื่องยุ่งๆไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้เรื่องต่างๆ ลดความยุ่งๆลงได้บ้าง โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รายการเทศน์ก่อนฉัน (๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.) เรื่อง ตามหาคนใจเด็ด โดย สมณะลือคม
และเรื่อง เพื่อน โดย สมณะร่มเมือง รายการภาคบ่าย (๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ น.) ตอบปัญหาเพื่อธรรมาธิปไตย โดย พ่อท่าน # # # อาทิตย์ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๙ รายการก่อนฉัน (๐๙.๐๐-๑๐.๓๐ น.) ตัวแทนเจ้าภาพที่จัดงานปลุกเสกฯครั้งนี้ กล่าวสรุปงาน ประทับใจกลุ่มศิษย์เก่านักเรียนสัมมาสิกขาศีรษะอโศก ซึ่งรวมทีม มาช่วยจัดงานอย่างเข้มแข็ง ทำให้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ปีนี้เราใช้ศาลาฟังธรรมส่วนกลางเป็นที่จัดรายการต่างๆตลอดงาน เพราะฝนตกเกือบทุกวัน
จำนวนผู้มาร่วมงานก็เต็มศาลาพอดี แม้เราจะมีเวลาเตรียมงานน้อย แต่ก็ลงตัวเรียบร้อย
เพราะจัดมาเป็นครั้งที่ ๓๐ แล้ว สาธุ !
หน้า ๑๓ ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ '๔๙ วิกฤติรุนแรงทั่วโลก ก็ยังดำเนินไปอยู่ตามเหตุปัจจัยจริงๆของมัน แต่ละคนคงยากที่จะรอดพ้นจากผลกระทบของมัน ตามทฤษฎีที่ว่าด้วย "เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว" กฎแห่งกรรม ยังคงย้ำยืนยันทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว และที่สำคัญสุดของพุทธคือ เหตุแห่งทุกข์ต้องถูกกำจัดออกไปอย่างสัมบูรณ์ พุทธศาสนาจึงเน้น การพยายาม ทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ยังจิตใจให้ผ่องใสจนสัมบูรณ์ เพราะมีแต่วิถีทางนี้ ที่จะช่วยชาวพุทธ ให้สามารถอยู่ในโลก อย่างเป็นจริง ปลอดภัย ทั้งปวง ซึ่งดับเหตุแห่งทุกข์ อย่างถูกถ้วนตัวตนที่แท้ของมันจนสิ้นสนิท สังคมจึงจะสงบสุขอย่างยั่งยืน และจะแผ่ผลดีไปสู่สังคมโลกได้กว้างขวาง เรามิอาจเปลี่ยนแปลงบางสิ่งที่เกินความสามารถของเรา แต่เราทำได้ในการเปลี่ยนแปลงตนเอง และไม่ดูดาย ที่จะพยายาม ช่วยสนับสนุน การเปลี่ยนแปลง ที่ควรเปลี่ยน ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้นด้วยใจที่จริง ไม่มีอะไรซ่อนแฝง งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ งานประจำปีของชาวอโศกก็เป็นอีกความพยายาม ที่จะฝึกฝนตัวเองให้...
# ปีนี้งานปลุกเสกฯล่าช้ากว่าทุกปี เพราะเหตุใด ? # เราเสียผลอะไรหรือไม่ ? เพราะฉะนั้น ปรากฏการณ์นี้มันจึงบอกให้เรารู้อะไรต่ออะไรที่เกิดขึ้นหลายๆอย่าง ทั้งในเนื้อหาของความเป็นธรรมะ ทั้งในเนื้อหาของความเป็น ปริมาณ ทั้งใน ความเปลี่ยนแปลง อะไรต่างๆนานา ที่เปลี่ยนแปลงดีขึ้น ดีในส่วนนั้น ไม่ดีในส่วนนี้ ลดส่วนนั้น เพิ่มส่วนนี้ อะไรต่างๆ สรุปว่าไม่เสียผล # บรรยากาศในงานปลุกเสกฯ เป็นอย่างไร ? ส่วนปริมาณสังเกตได้ว่าปริมาณของผู้ที่ไปงานปลุกเสกฯคราวนี้น้อยลงกว่าที่ควรนิดหน่อย แต่ การน้อยลงนี้มันเป็นไปได้ เพราะเหตุว่ามีผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลย ว่าเราไปประชุมกันอยู่ที่งานชุมนุมประท้วง จนต้องงดงานปลุกเสกฯ อาจจะไปเก้อที่ศีรษะอโศกตามกำหนดเดิมก็ได้ แม้แต่เรามานัดแนะกัน จัดงานปลุกเสกฯ กันขึ้นมาใหม่ ทีหลัง คนที่ไม่รู้เรื่องในการเปลี่ยนแปลงนี้ก็มีไม่ใช่น้อยหลายร้อยหลายพันคนอยู่ อาตมาว่าคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวนี่แหละจะตกหล่นไป มีไม่น้อย เป็นต้น แล้วจะบอกว่า คราวนี้ที่คนน้อยลง เพราะเหตุว่า เนื้อหาสารสัจจะ ของธรรมะ มันไม่เคี่ยวข้น ขึ้นนั้น ไม่ใช่แน่ แค่มีคนน้อยลงเพราะเหตุว่าไม่รู้นี่อย่างหนึ่ง และอีกอย่าง ก็คนที่เห็นว่า เราออกไป ร่วมชุมนุม ประท้วงนี่ เป็นเรื่องที่ เขารับไม่ได้ แต่จะไปสรุปผลว่า เป็นเพราะเหตุหลังนี้ ทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม มันเป็นการเกิดเหตุการณ์ ที่พัฒนาการขึ้น อาตมามองว่า มันไม่ได้เป็นเรื่องของ การเสื่อมเสีย แต่เห็นว่า มันเป็นการวิวัฒนาการเพิ่มขึ้น # พ่อท่านเทศน์เน้นสอนเรื่องอะไรเป็นหลัก ? # จากเหตุการณ์ที่เราออกไปทำงานร่วมกับสังคม ทำให้เห็นภาพลูกๆของพ่อท่านมีทั้งสายเจโต ศรัทธา ที่พร้อมเดินตามพ่อท่าน เชื่อฟัง อย่างไม่มี ข้อแย้งใดๆ และสายปัญญา ที่กว่าจะเห็นด้วย คล้อยตาม ทำตาม ก็คิดวิเคราะห์หาข้อมูลต่างๆ และบางที ก็ไม่เห็นด้วย ไม่ทำตาม ในยุคของปัญญาสมโภช เราควรมีวิธี คิดอย่างไร ให้เกิดความสมดุล และเข้าถึงการมีปัญญา อย่างแท้จริง ? - ที่จริงแล้วจะไปบอกว่าสายศรัทธานั้น พ่อท่านว่าอะไรก็ทำตามลูกเดียว ที่จริงเขาก็มีปัญญาด้วย เพราะฉะนั้นหลายคนจะบอกว่าไปด้วยพลัง"เจโต" ไม่รู้เรื่อง อะไรหรอก พ่อท่านพาไปเขาก็ไป ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว เขามีปัญญาของเขาที่เข้าใจยิ่งขึ้น ว่าเออ....นี่อะไร แล้วเขาก็ได้เข้าใจยิ่งขึ้น ซึ่งนั่นก็คือ ปัญญา ส่วนสายปัญญา นั้นต่างหาก ที่ไม่น่าโง่ เขาบอกว่าสายปัญญา ความจริงโง่ต่างหาก ไม่เข้าใจในสารสัจจะ ก็เลยไม่เอาแล้วก็มี หรือที่เป็นปัญญาแท้ ก็ได้เข้าใจ สว่างแจ้งเลย โอ้โฮ....ชัดเจน ยิ่งรู้อะไรเพิ่มเติม รู้ลึกขึ้นบรรลุธรรมก็มี แทบจะตรัสรู้เลยก็ได้ มีได้ทั้ง ๒ ส่วน เพราะฉะนั้นทั้งสายเจโต และสายปัญญา ถ้าจะถามว่า คราวนี้ได้อะไร ก็ได้ปัญญา อาตมาถึงบอกว่า คราวนี้ที่เราไปนี้ เป็นการฉลอง"ปัญญาสมโภช"ทีเดียว ไม่ได้หมายความว่า มันทำให้ปัญญา เสื่อมไป เพราะว่า อาตมา ไม่ได้บังคับ ให้อิสระเสรีภาพเต็มที่ ใครไปก็ไป ใครไม่ไปก็ไม่ไป ใครจะไปพิสูจน์ ใครจะไปเรียนรู้ ใครจะไปฝึกฝนก็ไป หรือใครจะเต็มใจ ไปช่วยทำงานก็ไป ไปแล้วได้อะไร อาตมาว่าได้ปัญญากันทุกคน ไม่ว่าสายเจโต หรือสายปัญญา ทั้ง ๒ สายจะเพิ่มพูนปัญญา ได้ประสบการณ์ ในงานครั้งนี้ มากทีเดียว เป็นปัญญาที่เราได้รู้แจ้งทั้งสารสัจจะของธรรมะ ได้รู้ทั้งหลักเกณฑ์ของสังคม ได้รู้ทั้งพฤติกรรมต่างๆ อันพึงมีพึงเป็น ของสังคม ที่หลากหลาย มหาศาล # ในส่วนตัวดิฉัน ๒๐ กว่าปีที่อยู่กับพ่อท่าน มันราบรื่น ไม่เคยมีความเห็นขัดแย้งอะไร แม้ในเรื่องนี้(Protest)ก็เชื่อมั่นในภูมิปัญญากับพ่อท่าน แต่ไม่เห็นด้วย กับวิธีการ ที่พวกเราต้องออกไป protest อยู่ริมถนนนานเป็นเดือน ต้องทนกับความลำบากนานัปการ แต่เมื่อตรวจจิตเข้าไปลึกๆ พบว่า ดิฉันยังขาด ความอดทน ขาดเจโตอยู่มาก เดินตามพ่อไม่ไหว ก็ได้แต่เสียใจและคิดว่าจะพัฒนาในจุดอื่นที่เรายังหละหลวมอยู่ เพื่อว่าอนาคต พ่ออาจพาทำ ในเรื่องที่ ยากกว่านี้อีกก็ได้ - อันนี้ก็ต้องรู้ความจริงในตัวเรา ว่ามีบารมีเท่านี้ มีความสามารถเท่านี้ มีเรี่ยวแรงมีความอดทนได้เท่านี้ เกินนี้ไปเราทนไม่ไหวแล้ว สู้ไม่ได้จริงๆ เราก็ต้องรู้ สถานะของเรา อันนี้ก็เกิดการประมาณตน ทำให้เรารู้ว่าตัวเราก็เท่านี้ เราก็ประมาณตนได้ เรายอมรับว่า อันนี้เราไม่ไหวจริงๆ แม้จะเห็นดีด้วย เราก็อยาก ทำดี อย่างนี้ได้ด้วย แต่เราทำไม่ไหวจริงๆ มันได้เท่านี้ อินทรีย์พละเราได้เท่านี้ ความสามารถเรามีเท่านี้ ความอดทนของเรามีเท่านี้ นั่นก็เป็นความจริง ที่เรารู้ความจริง ถ้าเราไม่มีอัตตามานะ ไม่มีความติดยึดในตัวเอง
มันก็ยอมรับว่า เราไม่สูงกว่านี้ ไม่เก่งกว่านี้ เราไม่สามารถมากกว่านี้
มันก็ใช่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่บางคนเมื่อบอกว่า เราทำไม่ได้ เราก็เลยไปพาลกระแชง (หาเรื่องให้วุ่นวาย)
ไปว่ามันไม่ถูกหรอก มันไม่ดีหรอก ฉันไม่เอาด้วย อะไรต่างๆ นานา ก็เป็นได้
ก็ต้องคิดดู หรือจริงๆที่เราไม่ไปทำด้วยนั้น จริงๆมันอาจผิดก็ได้ และเราไม่เห็นด้วย
เลยไม่ทำ ก็เป็นได้ แต่เท่าที่ดูตามภูมิปัญญา ของอาตมา คราวนี้ที่เราไปทำ
ก็มีเล็กๆน้อยๆ ที่เราบกพร่องบ้าง แต่ไม่มีอะไรผิดพลาดหรอก ที่ทำๆกันก็ดูดี
ก็มีวิวัฒน์พัฒนาขึ้นไปในทุกคน ที่ไปทำงาน กับสังคม ก็ได้ปฏิบัติธรรมด้วยตรงๆเลย
แม้แต่การพัฒนาทางธรรมะ หลายผู้หลายคนก็มาพูดแล้ว ว่าได้เพิ่มความรู้ ความอดทน
ได้ลด ความติดยึด อะไรๆกันออกไป คนละไม่น้อยทีเดียว # ช่วงนี้พ่อท่านดูแลสุขภาพตัวเองอย่างไร ? *** พระพุทธเจ้าตรัสว่า
หน้า ๒๐ ประเทศไทยตกอยู่ในความมืด มองไม่เห็นทางออกจากปัญหาที่ผู้รู้ทั้งหลายต่างก็พากันเก่งพากันก่อเรื่องก่อราวคนละน้อยบ้างมากบ้าง จน"มั่ว" มานานสองนาน ตราบจนกระทั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณา ชี้ทางให้อย่างสว่างใส ชัดแจ้ง เมื่อวันที่ ๒๕ เม.ย. ๒๕๔๙ กระนั้นก็ดี ก็ยังมีความเข้าใจแตกต่างกันไป ตีความกันไปคนละอย่าง เพราะผู้ที่ทำความเข้าใจเอาแค่บางช่วงบางตอนของพระราชดำรัส ก็ย่อมมีความเห็น เอียงไปข้างนั้นๆแน่ จริงๆแล้วต้องทำความเข้าใจกับ พระราชดำรัสทั้งหมด เป็นองค์รวม แล้วจะปลาบปลื้มกับพระปรีชาญาณที่สุดลึกซึ้ง ของพ่อเจ้าอยู่หัว ของไทย ยิ่งนัก ที่ทรงชี้ช่องทาง ให้แก่นักรัฐศาสตร์และนักนิติศาสตร์ในครานี้ อย่างสำคัญ ในพระราชดำรัสทั้งหมดที่ตรัสกับคณะศาลปกครองและศาลฎีกาครั้งนี้ ชัดเจนยิ่งว่า เป็นเรื่องของ"วิกฤติการเมือง" และได้ทรงมอบหมาย ให้"ศาล" เป็นผู้จัดการ แก้ไขวิกฤตินี้ให้ได้ ศาลจึงต้องสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณว่า ศาลไม่เกี่ยวกับวิกฤติครั้งนี้ไม่ได้ จากคำตรัสเริ่มขึ้นต้นเลย ทีเดียวว่า "ในเวลานี้ เราให้พูดเรื่อง การเลือกตั้ง ศาลเองมีสิทธิที่จะพูดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะเลือกตั้งของผู้ที่ได้คะแนนไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็ เขาเลือกตั้ง คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญ คือว่า ถ้าไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ในที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบจำนวน ไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องกับพวกท่าน หรือเปล่า แต่ความจริง น่าจะเกี่ยวข้อง เหมือนกัน เพราะว่า ถ้าไม่มีจำนวน ผู้ที่ได้รับเลือกตั้งพอ ก็กลายเป็นการปกครอง แบบประชาธิปไตยไม่ได้ แล้วถ้า ดำเนินการไม่ได้ ที่ท่านได้ปฏิญาณไว้ เมื่อกี้นี้ ก็เป็นหมัน ที่บอกว่า จะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้การปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องดำเนินการไปได้ ท่านก็เลย ทำงานไม่ได้ ถ้าท่าน ทำงานไม่ได้ ท่านก็อาจ จะต้องลาออก ไม่มีทางแก้ ต้องหาทางแก้ให้ได้" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตรัสว่า "ตั้งแต่เป็นพระมหากษัตริย์ มีรัฐธรรมนูญหลายฉบับ แล้วก็ทำมาหลายสิบปี ไม่เคยทำอะไรตามใจชอบ ถ้าทำตามใจชอบ บ้านเมือง ล่มจมมานานแล้ว แต่ตอนนี้เขาขอให้ทำตามใจชอบ แล้วถ้าทำตามที่เขาขอ เขาก็จะต้องด่าว่านินทา พระมหากษัตริย์ ว่าทำอะไร ตามใจชอบ ซึ่งไม่ใช่กลัว ถ้าต้องทำก็ต้องทำ แต่มันไม่ต้องทำ" พระองค์ทรงยืนยันว่า พระองค์อยู่ในกฎเกณฑ์กติกา หรือทรงทำตามรัฐธรรมนูญมาตลอดพระชนม์ชีพ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๔๐ มาตรา ๒ "ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข" เมื่อเมืองไทยในกาละวันนี้ ต่างทำงานกันเละตุ้มเป๊ะจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องตรัสออกมาว่า ทำกันอย่าง"มั่ว" กระทั่งคณะรัฐสภา และ คณะรัฐมนตรี ทำอะไร ไม่ได้สมบูรณ์เต็มที่กันแล้ว ณ กาละขณะนี้ เช่น พระราชดำรัสที่ว่า "การปกครองต้องมีสภาที่ครบถ้วน ถ้าไม่ครบถ้วนก็ทำงานไม่ได้ อาจจะหาวิธี ที่จะตั้งสภา ไม่ครบถ้วน ก็รู้สึกว่า มั่ว ก็ขอโทษที่ใช้คำว่ามั่ว ไม่ทราบว่าใครจะทำมั่ว จะปกครองประเทศมั่วไม่ได้ จะคิดอะไร แบบปัดๆไปให้เสร็จไป ถ้าไม่ได้ ก็โยนให้ พระมหากษัตริย์ทำ ซึ่งยิ่งร้ายกว่าทำมั่วอย่างอื่น" หรือ "การยุบสภา และต้องเลือกตั้ง ภายใน ๓๐ วัน ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดถึง ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูก ก็จะต้องแก้ไข แล้วก็อาจจะให้ การเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งท่านก็มีสิทธิ์ที่จะบอกว่า อะไรควรหรือไม่ควร ไม่ได้บอกว่ารัฐบาลไม่ดี แต่ว่าเท่าที่ฟังดู มันเป็นไปไม่ได้ ในการเลือกตั้ง แบบประชาธิปไตย เลือกตั้งพรรคเดียว เบอร์เดียว ไม่ใช่ทั่วไป อย่างมีคนที่สมัคร เลือกตั้งคนเดียว มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องของ ประชาธิปไตย" ดังนี้เป็นต้น และอื่นๆอีกที่เกิดขึ้นมากมายหลากหลายเรื่องราวเหลือเกินที่พิกลพิการในรัฐบาลนี้ กระทั่งทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสรุปการกระทำกันนั้นว่า "มั่ว" แล้วตรัสว่า "เวลานี้เป็นเวลาที่วิกฤติที่สุด" ถ้าขืนช้า ชาติไทยจะล่มจมลึกลงไปยิ่งกว่าเรือญี่ปุ่น ที่จมลงในมหาสมุทรถึงสี่พันเมตร ตามข่าวที่พระองค์ เพิ่งได้ ทอดพระเนตร ผ่านมา ตอนนี้ชาติไทยยังไม่ได้จม จึงต้องป้องกันไม่ให้จม แล้วจะได้ไม่ต้องกู้ชาติ พระองค์ทรงย้ำด้วยว่า "ต้องรีบทำ" และที่เป็นเนื้อหาแก่นหลักในพระดำรัสครั้งนี้ ก็คือ ทรงระบุว่า ศาลต้องทำงานแก้วิกฤติให้ได้ ทบทวนในคำตรัสกันให้ครบๆเถิด ชัดเจน แม้ที่พระองค์ ถึงขั้นตรัสว่า "ต้องขอร้องให้ศาล ช่วยกันคิด เวลานี้ประชาชนทั่วไป เขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา" ซึ่งประเทศไทยในขณะนี้ไม่มีรัฐสภา คณะรัฐมนตรีก็มีแค่รักษาการ แม้รักษาการก็ปฏิบัติกันอย่างลึกลับซับซ้อนซ่อนซุกพิกลๆ จึงยังเหลือ ก็แต่ "ศาล" เท่านั้น ที่ยังมีสถานะ เต็มสมบูรณ์ ที่จะทำหน้าที่นำเรื่องขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อรับสนองพระบรมราชโองการได้อย่างสง่างาม แทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จากคณะ รัฐมนตรี หรือไม่ก็เป็นประธานรัฐสภา จากรัฐสภา ตามที่เคยประพฤติปฏิบัติ เป็นธรรมเนียม หรือเป็นประเพณีกันมา ตามประสาความรู้น้อยของผู้เขียนเห็นว่า นี่น่าจะเป็นอีก"ทาง"หนึ่งของพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๓ มีระบุไว้ เพียงแต่ยังไม่เคยมี ประธาน ศาลฎีกา เป็นผู้ทูลเกล้าเรื่องอย่างนี้กันมาก่อนเท่านั้น ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๓ นี้ชี้ชัดๆว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ดังนั้น ณ กาละบัดนี้ "ศาล"จึงเหลือเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นตามกติกา ที่เห็นเด่นชัดว่า จะต้องทำหน้าที่ ต้องทำงานนี้ ซึ่งน่าตระหนก และ น่าตระหนักยิ่งนัก ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสกับท่านผู้พิพากษาศาลว่า "ท่านต้องลาออก หากท่านทำงานนี้ไม่ได้" และทรงย้ำ คำว่า"ลาออก" กับท่าน ผู้พิพากษา ตั้งหลายครั้งหลายครา อาจจะยังไม่ชัดเจนกันอยู่ในคำว่า "นายกฯพระราชทาน" แต่พระเจ้าอยู่หัวก็ได้ทรงไขความอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า "นายกฯพระราชทาน หมายถึง ตั้งนายกฯ โดยไม่มีกฎเกณฑ์ เมื่อครั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ที่มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ คือ รองประธานสภานิติบัญญัติ ฉะนั้น ไปทบทวน ประวัติศาสตร์หน่อย ท่านก็เป็นผู้ใหญ่ และท่านก็ทราบว่า มีกฎเกณฑ์ที่รองรับอย่างไร ตอนนั้นสภาอื่นๆ แม้ที่เรียกว่า สภาสนามม้า เขาก็หัวเราะกัน สภาสนามม้า แต่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะว่านายสัญญา นายกรัฐมนต รีเป็นผู้รับสนอง พระบรมราชโองการ ก็สบายใจว่า ทำอะไร แบบถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้เขาจะทำอะไรผิดรัฐธรรมนูญ ใครเป็นคนบอกก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกว่าผิด ก็ขอให้ช่วยปฏิบัติอะไร คิดอะไร ที่ไม่ให้ผิด กฎเกณฑ์ รัฐธรรมนูญ จะทำให้บ้านเมืองพ้นอุปสรรค และมีความเจริญรุ่งเรืองได้" นั่นก็คือ พระราชอำนาจของพระองค์ ก็จะต้องใช้อย่างอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญ แล้วกฎเกณฑ์ตามมาตรา ๓ ที่ว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้น ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้" น่าจะชัดเจนยิ่ง ที่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุข ทรงใช้อำนาจนั้น ทาง"ศาล" ในเมื่อทางรัฐสภาก็ดี ทางคณะรัฐมนตรีก็ดี ก็เป็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ไม่เหมาะสม ไม่สง่างาม หรือไม่อยู่ในสถานะที่จะทำหน้าที่แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ตรัสว่า "ต้องขอร้องฝ่ายศาลให้ช่วยกันคิด เวลานี้ประชาชนทั่วไปเขาหวังในศาล โดยเฉพาะศาลฎีกา และศาลอื่นๆ ประชาชน บอกว่าศาลดี ยังมีความซื่อสัตย์สุจริต มีเหตุมีผลและมีความรู้ ท่านได้เรียนรู้กฎหมายมา และพิจารณาเรื่องกฎหมายที่จะต้องศึกษาดีๆ ประเทศ จึงจะรอดพ้นได้" หรือหากจะพิจารณาตรงที่พระเจ้าอยู่หัวตรัสถึงมาตรา ๗ ก็ยังต้องตรงตามกฎเกณฑ์อยู่ดี
ดังพระดำรัสที่ว่า "ลองไปดูมาตรา ๗ เขาเขียนว่า ไม่มีการบัญญัติ ประชาธิปไตย
ไม่มี พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ไม่ได้บอกว่ามีพระมหากษัตริย์ที่จะมาสั่งการได้
แล้วก็ขอยืนยันว่า ไม่เคยสั่งการอะไรที่ไม่มี ดังนั้น นายกฯสัญญาก็ดี นายกฯอานันท์ก็ดี ฯลฯ ล้วนไม่ใช่"นายกฯพระราชทาน" แต่เป็น"มีนายกฯแบบที่มีการรับสนองพระบรมราชโองการถูกต้อง" โดยมีผู้รับสนอง พระบรมราชโองการ ซึ่ง ณ กาละอย่างขณะนี้ แม้ท่านผู้นำเรื่องขึ้น กราบบังคมทูล เพื่อรับสนองพระบรมราชโองการ จะไม่ใช่นายกรัฐมนตรี หรือ ไม่ใช่ ประธานสภา แต่เป็น ประธานศาลฎีกา ดังที่พระเจ้าอยู่หัวได้ ทรงพระราชทานพระดำรัส ครานี้ชัดๆ ทั้งได้ทรงขอร้องว่า "เวลานี้ประชาชนทั่วไป เขาหวังในศาล โดยเฉพาะ ศาลฎีกา" นั้น ก็ชัดแจ้งสว่างใสในพระปรีชาญาณ แห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของปวงชนชาวไทย อย่างยิ่ง คำว่า "นายกฯพระราชทาน" ก็จะไม่มี มีก็แต่"นายกฯ"หรือ"คณะรัฐบาลชั่วคราว" ที่"ทางศาล" นำเรื่องขึ้นทูลเกล้า ให้ทรงใช้พระราชอำนาจ อย่างถูกกฎเกณฑ์ ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย ไม่มีอะไรบกพร่องเลย ผู้เขียนความรู้น้อย ก็พูดไปตามประสา ไม่ทราบว่า ศาลจะเกี่ยวข้อง กับเรื่องดังกล่าวนี้บ้างหรือไม่? - จริงใจ ตามภูมิ -
หน้า ๒๓ พุทธอุดมการณ์ ในช่วงที่ท่านรักษาการนายกรัฐมนตรีเมืองไทยหายหน้าหายตาไปหลายวัน มีบทความน่าสนใจอยู่ ๒ ชิ้น ที่เสนอแนะว่า ใครที่สนใจ สถานการณ์การเมืองไทย ควรไปหาอ่าน เรื่องแรก เป็นงานเขียนของ คริส เบเกอร์ กับ ผาสุก พงษ์ไพจิตร ตีพิมพ์ใน นิวยอร์ก ไทม์ส ฉบับประจำวันอังคารที่ ๑๓ เมษายน ชื่อเรื่อง "After Thaksin, a deluge?" ถือเป็นบทความ ค่อนข้างยาว เกี่ยวกับสถานการณ์เมืองไทยในอดีต ที่ผ่านไปหมาดๆ ปัจจุบันที่เป็นอยู่ และอนาคตอันใกล้นี้ อีกเรื่องเป็นงานแสดงความคิดเห็นขนาดไม่ยาวนัก ของ เจมส์ โรส นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวและบรรณาธิการ แห่งคอร์ปอเรตกัฟเวอร์แนนซ์-เอเซีย ผ่านทาง หน้าหนังสือพิมพ์ชั้นดี บนเกาะฮ่องกงอย่าง "เดอะ สแตนดาร์ด" ฉบับประจำวันจันทร์ที่ ๑๗ เมษายนที่ผ่านมา เรื่องแรกต้องหาอ่านกันเอง จะเล่าสู่กันฟังเฉพาะเรื่องหลัง เพราะรู้สึกว่า เจมส์ โรส มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บนท้องถนนบ้านเรา ไม่เหมือนคนอื่น เจมส์ โรส มองสถานการณ์ ในบ้านเราข้ามพ้นจากกรอบเรื่องการเมือง พ้นจากการมองเรื่องของรูปแบบ ไปสู่เนื้อหาสาระ และตั้งคำถาม เอาไว้ให้คนไทยตอบ อย่างน่าสนใจ ด้วยความพยายามที่จะทำให้เนื้อหากระชับ เจมส์ โรส บอกไว้แต่เพียงว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย ทำผิดใหญ่หลวงไว้ ใหญ่หลวง ขนาดที่ขบวนการเคลื่อนไหว เพื่อต่อต้าน เขามีพื้นฐานกว้างใหญ่ ขนาดเท่าสนามหลวง ในอันที่จะรังสรรค์ "วิสัยทัศน์ในด้าน ตรงกันข้าม" กับเขาขึ้นมา เจมส์ โรส เชื่อว่าเรื่อง "ดีล ประวัติศาสตร์" กรณีชินคอร์ปนั้น
เป็นเพียง "ฟางเส้นสุดท้าย" เท่านั้น ภาพโดยรวมนั้น ใหญ่โตมากมาย
กว่านั้นมาก เจมส์ โรส เชื่อว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า คนเมืองระดับชนชั้นกลาง และผู้คนในแวดวงอาชีพชั้นสูงของสังคม พบว่าแนวนโยบาย ด้านการเมือง เศรษฐกิจ ในกรอบของ "โพสต์-โกลบอลไลเซซั่น" และ "ฟรี-เทรด วอชิงตัน คอนเซนซัส" แต่เป็น "ทักษิณ เวอร์ชั่น" นั้น "ขม" จนกลืน ไม่ลงคอ ! เขาเชื่อว่า การถกกันเรื่องแปรรูป จะกลายเป็นชนวนให้เกิดบรรยากาศของการ "ต่อต้านทักษิณ" "ต่อต้านโลกาภิวัตน์" เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่ คำถาม ทั้งในเชิงของ "รูปแบบ" มากพอๆกับ "สารัตถะ" ของเรื่องนี้ในที่สุด นอกเหนือจากที่มีความกังวลอย่างจริงจังอย่างยิ่ง ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่อง "ธรรมชาติ" ของเรื่อง การค้าเสรี และเรื่องของ "ความเหมาะสม" ที่จะใช้มันเป็น "โมเดลเศรษฐกิจ" ของประเทศไทยในทุกวันนี้ ประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ซึ่ง เจมส์ โรส นำเสนอไว้ในบทความชิ้นนี้ ในขณะที่หลายคนไม่ได้ใส่ใจมากมายนัก
โดยอาจสนใจ ก็เพียงแค่ "รูปแบบ" ภายนอก ก็คือ การยืนยัน อย่างชัดเจนว่า
"กองทัพธรรม" ขบวนการธรรมะของ "สันติอโศก" นั้นนำเสนอ
"โมเดล" ของวิสัยทัศน์ที่รุ่มรวย ในเชิงจิตวิญญาณ และ เป็นไทย
ทั้งดุ้น มาเป็นทางเลือก ให้กับสังคม ชนิดที่เรียกได้ว่า สามารถต่อกรกับวิสัยทัศน์
"ทุนนิยมสมัยใหม่" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แบบ เรียงประเด็น เขามองสภาวการณ์ในยามนี้ว่า ตกอยู่ในสภาพ "ตึงเครียด" ที่เกิดจากการเผชิญหน้าระหว่าง "พลังทางสังคม" ที่ตรงกันข้ามกัน ที่กำลังส่ง ระลอกคลื่น กระเพื่อม กระแทก กระทั้น ออกไปต่อเนื่องระลอกแล้วระลอกเล่า เป็นการโต้แย้งกันถึงเรื่อง ในขอบเขต ที่เกี่ยวเนื่องกับการ "สร้างไทยใหม่" อยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ การแบ่งแยก ระหว่างเมืองกับชนบท เรื่องจริยธรรมในแวดวงธุรกิจ เรื่องธรรมชาติของทุนนิยม ในกรอบของ ประชาธิปไตย เรื่องบทบาทของ ภาคประชาชน และเรื่องสำคัญ เหนืออื่นใด นั่นคือสิ่งที่ เจมส์ โรส เรียกว่า "วิถีแห่งเอเซีย" นั่นเอง คำถามที่ท้าทายอย่างมาก ที่ เจมส์ โรส ถามเอาไว้ก็คือ ตอนนี้เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นสภาพนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แนวความคิดที่เกิดขึ้น ระหว่างการต่อสู้ ของขบวนการ ต่อต้านทักษิณ จะถูกแปรไปเป็น "วาระ" ต่างๆกันอย่างไร? และได้มากน้อยขนาดไหน? เขายกตัวอย่างไว้ เช่น คำถามที่ว่า...."พุทธอุดมการณ์" จะหลอมรวมเข้ากับเศรษฐกิจที่ทันสมัย
เต็มไปด้วยการแข่งขันของประเทศได้อย่างไร? แต่ถ้าถามว่า อะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนั้น เจมส์ โรส เองก็คงไม่แน่ใจมากมายนัก แต่เขาเชื่อว่าไทยได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มีทั้งพลัง และศักยภาพ ในการดำเนินการ ดังกล่าวนี้ และแน่ใจอยู่อย่างหนึ่งว่า ภายใต้กระบวนการดังกล่าวนี้ ความเป็น "นายกฯ
ซีอีโอ" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอันถึงจุดจบแน่นอน.
หน้า ๒๕ ละอายที่จะแสดงธรรม !! พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้คบคนชั่วเป็นมิตร ควรบูชาบุคคลที่ควรบูชา ควรเชิดชูคนดีและประณามคนชั่ว ดังนั้นในทางศาสนาจึงมีคำว่า "มุทิตาสักการะ" คือ การแสดงความยินดี ต่อคนที่ได้ดี และการจะดูคนดีหรือไม่ดีนั้น ท่านให้มองดูที่ผลผลิตของงาน นักบวชและผู้ประพฤติธรรมไม่จำเป็นจะต้องร่างกฎกติกาขึ้นมารับรอง ไม่ว่าเพศบรรพชิตหรือเพศฆราวาสก็สามารถบรรลุธรรมได้ เสมอเหมือนกันหมด ทั้งนักบวช และผู้ประพฤติธรรมย่อมบรรลุสู่พระนิพพานได้ด้วยกันทั้งนั้น สัทธรรมคือความจริง ! ไม่รู้เพราะอะไร ?? เมื่อเช้าวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๙ "สมณะโพธิรักษ์" ประมุขแห่งสันติอโศก ได้ขึ้นแสดงธรรมบนเวทีกลางที่สาธารณะว่า พลังงานที่อยู่ในตัวคน สามารถ ที่จะเรียนรู้ กรรมที่แบ่งเป็น กุศลกรรม และอกุศลกรรมได้ และยังสามารถมีธรรมะ รู้จักธรรมะว่าเป็นความดี ความประเสริฐ ความเจริญ รู้ว่าอะไร เป็นอธรรม ก็สามารถรู้ได้ ตามจิตวิญญาณ ของความเป็นมนุษย์ ที่สูงขึ้น ที่เรียกว่า เวไนยสัตว์ สามารถแบ่งออกว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิด และ ในมนุษย์ นี่แหละ ที่สามารถรู้อะไร ยิ่งไปกว่านั้นอีก คือ "โลกียะ" ที่แบ่งเป็นดีเป็นชั่ว เป็นถูกเป็นผิด ในความตรัสรู้ของ พระพุทธเจ้า สามารถหยั่งรู้ ไปถึง โลกุตรธรรม ด้วยโลกียธรรม อย่างหนึ่ง กับโลกุตรธรรม อย่างหนึ่ง ซึ่งสูงกว่า สามัญปรกติจิต โลกุตรธรรมหมายถึงความรู้ที่รู้ไปถึงขั้นรู้ถึงจิตวิญญาณ ในตัวจิตวิญญาณเองมีตัวหยั่งรู้ ผู้ที่เป็นโลกุตรบุคคล จะสามารถมีญาณหยั่งรู้ ไปถึงจิตวิญญาณ เข้าไปวิจัย จิตวิญญาณ ได้ว่าวิญญาณอย่างนี้ แบ่งออกเป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน จิตวิญญาณอย่างนี้เป็นจิตวิญญาณอย่างแท้ ที่มีหน้าที่ ของจิตวิญญาณโดยตรง ส่วนที่แฝงอยู่ในจิตวิญญาณ หรือที่พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "อาคันตุกะ"
ไม่ใช่ตัวจริงแต่เป็นแขกที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านเจ้าของเรือน แต่เป็นวิญญาณ
ที่เป็นกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นแขกที่เรียกภาษาบาลีว่า "อาคันตุกะ"
ซึ่งแปลว่า ผู้มาเยือน มันไม่เข้ามาธรรมดา แต่มันเข้ามายึดครองด้วย เข้ามายึดครอง
เป็นเจ้าบ้าน เจ้าเรือนเลย ไม่ใช่แขกจรเข้ามายึดครอง แล้วเบ่งอำนาจในตัวคน
ทำทีเป็นเจ้าบ้าน เจ้าเรือน ทำทีเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ถึงขั้นมีอำนาจใหญ่ สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนธรรมะจึงไม่รู้จักพลังงานชนิดหนึ่งที่เป็นกิเลสตัณหาอุปาทานอยู่ในใจ จึงไม่สามารถทำลายให้มันตายสิ้นได้ มันก็จะทำ หน้าที่ อยู่ในตัวเรา ในตัวคนนี่แหละ มันทำหน้าที่จริงๆ คนสู้ไม่ได้ คนมีสำนึกดีมีแต่สู้กิเลสไม่ได้ จึงขอยกตัวอย่างให้ฟัง เช่น คนที่จะโกง คนที่จะคอรัปชั่น ฉลาดนะไม่ใช่ไม่ฉลาด เป็นคนฉลาดมากมาย อาจจบด็อกเตอร์ ๕ ใบ เรียกว่า ฉลาดระดับ อัจฉริยะ แต่ไม่รู้ว่า กิเลสมันมีอำนาจ พอกิเลสมีในตัวมากๆจะฉลาดอย่างไรก็แล้วแต่ ก็จะใช้กิเลสนั่นแหละหาวิธีเอาเปรียบเอารัดอย่างทุจริต ไม่ให้คนอื่นรู้ทัน ก็เพราะฉลาดไง ที่นี้คนที่โกงดังกล่าวนี้แหละ ต่อให้ฉลาดอย่างนี้แหละ ฉลาดขนาดไหนก็โกง ต่อให้เรียนจบด็อกเตอร์มากี่ใบก็โกง ถ้ามีกิเลส และกิเลสมันแรงกว่า เพราะฉะนั้น คนที่โกง ถึงเป็นใหญ่เป็นโต ก็จะโกงด้วยความฉลาด โดยไม่ให้เขารู้ตัว ใครจับไม่ได้เลย โกงชนิดที่ ใครก็จับไม่ได้ ซับซ้อน ทับซ้อน กลบซ้อน มีทั้งความซับซ้อน ทับซ้อน กลบซ้อนไม่ให้คนรู้ทัน ขอถามหน่อยเถอะ รู้มั้ยว่าการโกงนั้นคือความชั่ว ?? - ณ.หนูแก้ว -
หน้า ๒๗ พระที่ชาติต้องการ วิกฤติทางการเมืองที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยในขณะนี้ เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งแรกในประเทศไทย ที่ศาสนา มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ตั้งแต่ต้น จนนำไปสู่ การชุมนุม ต่อต้าน ผู้นำประเทศ และเป็นแกนหลักของขบวนการกู้ชาติ เป็นครั้งแรก ที่ชาวพุทธ และศาสนิกชน ในศาสนาต่างๆ ในประเทศไทย ออกมาเรียกร้อง ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางการเมือง คงไม่มีผู้ใดปฏิเสธว่าหากปราศจากผู้นำทางศาสนา ๒ ท่าน คือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
และสมณะโพธิรักษ์ ผู้นำสำนักสันติอโศก การต่อสู้ของผู้รักความเป็นธรรม และ
รักประเทศชาติ คงไม่เดินมาถึงจุดนี้ พระเถระทรงสมณศักดิ์หลายรูปออกโรงประณาม พล.ต.จำลองและสันติอโศก อย่างรุนแรง บางรูปออกมาให้พรแก่ผู้นำประเทศให้อยู่ต่อไปอีก จนครบเทอม หรือนานกว่านั้น เจ้าคุณบางรูป ให้ท้ายถึงขนาดปิดวัดในวันงานบุญใหญ่ประจำเดือน ระดมส่งสานุศิษย์ให้ไปร่วมชุมนุมให้กำลังใจท่านผู้นำประเทศ บางรูป ให้สมาชิก พรรคการเมือง ขนาดใหญ่ ใช้หาเสียง อย่างออกนอกหน้า ในขณะที่เจ้าคุณบางรูป ถึงขนาดยกมือ ชูสองนิ้ว เมื่อเทศน์จบ ทางโทรทัศน์ เพื่อเป็นการหาเสียง ให้พรรคการเมืองใหญ่ ให้มีชัยในการเลือกตั้ง ครั้งที่ผ่านมา แม้ท่านนายกฯทักษิณ ประกาศเว้นวรรคทางการเมือง ไม่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยหน้า
ปัญหาที่ชาวพุทธไทยน่าจะถามตนเองคือ สิ่งที่เห็นชัดเจนประการหนึ่งในสังคมไทยขณะนี้คือสำนักสันติอโศกนั้น แม้จะถูกพระเถรานุเถระ ผู้สมณศักดิ์ระดับสูงทั้งหลาย ประณาม อย่างต่อเนื่อง ว่าเป็น "เสี้ยนหนาม ต่อพระพุทธสาสนา" แต่กลับพิสูจน์ตัว ให้สังคมไทย ตระหนักว่า สำนักนี้ มีจืตสำนึก ในความรับผิดชอบ ต่อสังคม ยิ่งกว่าพุทธกระแสหลัก ทั้งหลาย ในประเทศไทย เป็นรูปแบบของนักบวช ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ของประเทศชาติได้จริง ส่วนพระเถระผู้ทรงสมณศักดิ์เหล่านั้นต่างหาก ที่ไม่แสดงจุดยืนใดๆให้ชัดเจนเลยว่ามีความรับผิดชอบ ต่อแผ่นดิน ไม่นับผู้ที่หลง ไปสนับสนุน คนผิด ให้ท้ายคนชั่ว ให้อยู่อำนาจได้นาน พระที่ประเทศชาติต้องการ จึงไม่ใช่พระที่ทรงสมณศักดิ์ ที่เห็นแต่ตำแหน่งความยั่งยืนของตนในระบอบขุนนางพระ ซึ่งเป็นระบบ ศักดินา ของพระ ไม่เคยให้คุณ แก่ประเทศชาติ หรือศาสนา นอกจากหมู่พวกของตนเอง เท่านั้น - เมตฺตานนฺโท ภิกฺขุ -
หน้า ๒๘ คืนระเบิดที่สันติอโศก เราขึ้นไปนอนชั้น ๔ ของพระวิหารเป็นคืนแรก เพื่อรับความเย็นสบายจากสายลม ขณะที่กำลังหลับสบายๆ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงระเบิด "ตูม!!!" ดังสนั่น หวั่นไหว อยู่เต็มหู รีบลุก ออกมาดู เมื่อมองลงไปข้างล่างเห็นควันสีเทาพวยพุ่งขึ้นมาบริเวณลานหินแกรนิตที่ล้อมต้นไม้หน้าศาลาสุขภาพ พอลงมาดูข้างล่าง ปรากฏว่า แรงสั่นสะเทือน มีผลทำให้ นาฬิกาถึงกับหยุดเดิน เมื่อเวลา ๐๑.๕๕ น. แรงระเบิด ทำให้กระจกที่โบสถ์ และอาคารบ้านเรือน ในรัศมี ๓๐ เมตร กระเด็นแตก ไปตามๆกัน ได้พบจุดระเบิด ที่ผู้ไม่หวังดี ซุกเอาไว้อยู่ใต้บริเวณแผ่นคอนกรีตที่ปูหินแกรนิต เพื่อเอาไว้ใช้นั่งเล่น แรงระเบิด ทำให้ดิน และพื้นคอนกรีต ที่ปูล้อมต้นไม้ ถูกทะลุทะลวง เป็นรูขนาดใหญ่ ประมาณครึ่งเมตร เมื่อดูลักษณะการวางระเบิด แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่จะข่มขู่มากกว่าที่จะทำอันตรายชีวิตของผู้คนให้บาดเจ็บล้มตาย และเลือกทำในเวลา ปลอดคน จึงทำให้ ไม่มีใคร ได้รับบาดเจ็บ และการวางระเบิดก็น่าจะเป็นลักษณะของมืออาชีพที่มีความชำนาญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี หลังเสียงระเบิดได้ไม่นาน พ่อท่านและปัจฉา รีบออกมาดู ก่อนเพื่อน สมณะและญาติธรรม ก็ค่อยๆทยอย ตามกันออกมา ไม่นานเท่าใดนัก ทางตำรวจจาก สถานีบึงกุ่ม ก็ได้เข้ามาตรวจตรา สถานที่เกิดเหตุ ประมาณตีสามกว่าๆ โทรทัศน์หลายๆช่อง ก็ได้มาเก็บภาพ ความเสียหาย และได้สัมภาษณ์พ่อท่าน ทำให้ข่าวยามเช้า ของวันนี้ ทีวีเกือบทุกช่อง ต่างพากัน รายงานข่าว ขู่วางระเบิด ที่สันติอโศก เป็นข่าวร้อนในวันนี้ ประเด็นหลัก ที่นักข่าวถามพ่อท่าน ก็คือ เหตุที่เกิดระเบิดนี้ มาจากอะไร พ่อท่านเอง ให้สัมภาษณ์ ไปว่า น่าจะเป็นเหตุมาจาก เรื่องที่ คุณจำลอง และชาวสันติอโศก ประกาศว่า จะออกไปร่วมชุมนุมกัน ที่ท้องสนามหลวง เป็นหลัก เพราะเราไม่เคย มีเรื่องราว อะไรกับใคร ตลอดเวลา ๓๐ กว่าปี พวกเรา อยู่กันมา อย่างสงบสันติ ไม่เคยมีเรื่อง รุนแรงอะไรเกิดขึ้น แต่ทางฝ่ายรัฐบาล ท่านรองนายกฯ ฝ่ายดูแล ความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุเกิดระเบิด ที่สันติอโศก ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง จะออกมาชุมนุม ประท้วงรัฐบาล มีนักข่าวถามว่า "ปกติที่วัดจัดเวรยามดูแลความสงบเรียบร้อยกันอย่างไร" พ่อท่านก็ได้อธิบายวิถีชีวิตปกติของพวกเราว่า "พวกเราอยู่กันแบบ ไม่มีเวรยาม อะไร ประตูวัด เปิดอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง ใครจะเข้า ใครจะออก อย่างไร ก็ได้ตลอดเวลา วัดเราไม่มีลับลมคมในอะไร ที่จะปิดบัง อำพราง แต่เป็นสถานที่ เปิดเผย ความจริง และสัจธรรม ใครจะเข้ามาสอดแนม ล้วงความลับ จับผิดใดๆ ก็พร้อมที่จะให้ตรวจสอบ ความโปร่งใส ได้อยู่เสมอ" ข่าวระเบิดที่สันติอโศกวันนี้ ทั้งทีวี ทั้งวิทยุ รายงานข่าวและวิเคราะห์วิจัยกันเกือบทั้งวัน ส่วนหนังสือพิมพ์ยังตีพิมพ์ไม่ทัน เลยไปพาดหัว เป็นข่าวใหญ่ ในวันรุ่งขึ้น ในสถานการณ์ ที่เข้มข้นและงวดเข้าไปเรื่อยๆ เช่นนี้ก็มีข่าวปล่อยออกมามากมาย จนไม่รู้ว่า อะไรเป็นอะไร มีข่าวว่า สันติอโศก ที่จะออกไป ชุมนุมกัน ครั้งนี้ เพราะว่า เคยไปเรียกร้องเงิน จากท่านนายกทักษิณ ๓ พันล้าน แต่เขาไม่ให้ คุณสนธิ จะเอาตั้ง ๖ พันล้าน เขาก็ไม่ให้ พอไม่ได้ผลประโยชน์ ก็เลย ออกมาชุมนุม ขับไล่กัน ตอนเย็น ก็มีข่าวออกมาว่า มีใบปลิวออกมาว่า คุณจำลอง ยื่นคำขาดว่า จะตายภายใน ๗ วัน ถ้านายกทักษิณ ไม่ลาออก และข่าวที่ตลก ไม่แพ้กัน ก็คือ ระเบิดสันติอโศก ในครั้งนี้ เป็นเรื่องที่สร้างสถานการณ์ ขึ้นมาเอง พ่อท่านเตือนสติ คนที่พูดเรื่องเหล่านี้ ออกมาว่า เป็นการดูถูกธรรมะ เป็นการหลู่ธรรมะ มากไป เป็นการเอาความคิด ของตัวเอง มายัดใส่ พื้นที่ความคิดของเรา.....เมื่อตัวเองถือศีลไม่ได้ หรือตัวเอง คิดอะไร ที่ไม่ดีไว้ ก็จะไปคิดว่า คนอื่นก็จะทำ อย่างที่ตนเองชอบทำ ซึ่งจริงๆสันติอโศกเองก็ไม่น่าจะโง่ที่ไปเอาจุดอ่อนจุดด้อยในเรื่องของการใส่ร้ายป้ายสี การมีเล่ห์เหลี่ยม ซึ่งในเรื่องวิชามารนี้ เราไม่มีความชำนาญ อยู่แล้ว ถ้าเราเอาเรื่อง เลวร้ายอย่าง งี้ ไปสู้กับเขา ยังไงๆ เราก็คงสู้ไม่ได้ จุดแข็งของเราก็คือการใช้ความจริงความถูกต้อง เราก็คงไม่โง่พอ ที่เอาจุดอ่อน จุดที่เราไม่เป็น ไม่ชำนาญ ไปสู้กับจุดแข็งของเขา ที่เขาทำเป็น เขาชำนาญอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในการต่อสู้กัน ทางสันติอโศก คงยึดมั่น ในสิ่งที่เป็นจุดแข็ง ของตัวเอง คือความจริง หรือสัจจะ มากกว่า ที่จะไปหาระเบิดมาต่อสู้ แล้วก็ไม่รู้ว่า จะไปหาซีโฟร์ มาจากที่ไหน? มีการวิเคราะห์กันไปหลายๆนัยว่าเหตุการณ์ครั้งนี้รัฐบาลเขาไม่ทำอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะมีบรรดาลิ่วล้อของนักการเมือง มาทำแทนเจ้านาย เจ้าหน้าที่ ของรัฐ ที่ดูแล ความมั่นคง เขาบอกว่า น่าจะใช่เลย แล้วก็สอดคล้องกับญาติธรรม ที่คลุกคลีอยู่ในวงการเมือง ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ต้องสงสัยเลยว่า จะเป็น มือที่สาม มือที่สี่ เรื่องนี้ น่าจะเป็น พวกลิ่วล้อ ทำขึ้นโดยตรง เพราะระเบิดลงแต่ละครั้ง ในวงการผู้มีอิทธิพล มันพอเดากันถูกว่า ลักษณะระเบิดแบบนี้ มันมาจากสีไหน มาจาก ขาใหญ่สายไหน ในแวดวงจริงๆ มันพอเดา ทิศทางกันออก ซึ่งทางตำรวจ ก็ได้แถลงให้ทราบว่า ระเบิดที่สันติอโศก เป็นระเบิด แบบเดียวกับ ที่เคยระเบิดที่ น.ส.พ.ผู้จัดการ และ เคยระเบิด ที่กระทรวงมหาดไทย แต่ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียง ข้อสันนิษฐาน ถึงความน่าจะเป็นเท่านั้น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง รีบบึ่งจากเมืองกาญจน์มาถึงสันติอโศกในตอนสายๆ เพื่อมาตรวจดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และในตอนบ่าย ทั้งพ่อท่าน และคุณจำลอง ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์นักข่าวร่วมกันที่บริเวณหน้าน้ำตกใต้พระวิหาร และพร้อมกับโฆษณาหนังสือเราคิดอะไรเล่มใหม่ ที่เพิ่งออกมาสดๆร้อนๆ ชื่อฉบับว่า "เพราะข้าโง่มาก่อนไง...ข้าจึงหลงส่งเสริมเขา!!!" นักข่าวพยายามเจาะลึกว่า...ชื่อหนังสือฉบับนี้ คุณจำลองเป็นคนตั้ง ขึ้นมาเองหรือเปล่า คุณจำลอง รีบปฏิเสธว่า ตัวเองไม่ได้ตั้ง แต่อย่างใด แต่เขียนตามที่กองบ.ก. เขาสั่งให้เขียนมาตามนี้ พ่อท่านได้แง้มออกมาว่า ชื่อหนังสือเล่มนี้ เป็นชื่อที่ได้รับการโหวต จนชนะ โดยมีชื่อคู่แข่ง ที่แพ้อย่างเฉียดฉิวว่า "อย่าไปหลงโง่กับทองคำ ที่เขานำมาอวดโชว์ แต่สุดท้าย เขานำเอามาทำปืนปล้นชาติ" วันนี้คุณแซมดินเป็นตัวแทนของสันติอโศกไปร่วมประชุมกับแกนนำฝ่ายพันธมิตร
ซึ่งตอนนี้มีถึงกว่าร้อยกว่าองค์กรที่จะออกมาร่วม ชุมนุมกันในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์นี้
ในกลุ่มพันธมิตร ได้กำหนดให้มีคณะกรรมการ ที่เป็นผู้ตัดสินใจในการชุมนุมครั้งนี้
มี ๕ ท่านด้วยกัน นับตั้งแต่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง คุณสนธิ เหตุการณ์ระเบิดที่เกิดขึ้นในวันที่ ๒๒ มีสมณะของเรารูปหนึ่งเกิดวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ในวันนี้พอดี และท่านก็เคยอ่านพบในหนังสือสัจจะชีวิต ที่ระบุไว้ว่าวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ถือว่าเป็นวันเกิดของแดนอโศก เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๖ จนถึงปีพ.ศ.๒๕๔๙ ก็ถือว่าชาวอโศกได้รวมตัวกันมาถึง ๓๓ ปีเต็ม พ่อท่านถือว่า ชาวอโศก เกิดด้วย มงคลธรรม ข้อที่ ๒๒ คือคารโว จ นิวาโต จ เอตัมมังคลมุตตมัง พ่อท่านย้ำกับชาวอโศกว่า เราจะต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างยิ่ง มีนิวาโต อย่างยิ่ง พ่อท่าน ได้แสดง เป็นรูปธรรม ให้พวกเราได้สำนึกกัน ในวันนั้น ด้วยการกราบนักบวช ที่อยู่ร่วมก่อตั้งกัน ในสมัยแดนอโศก ซึ่งหลายๆคน เกิดความสะเทือนใจ เหตุการณ์ในวันนั้น จนกระทั่ง บางคนเกิดปีติ ถึงกับหลั่งน้ำตา ระเบิดในครั้งนี้จึงเป็นเสมือนการเตือนให้ชาวอโศกได้รู้ว่าครบรอบ ๓๓ ปี
เราจะอยู่รอดปลอดภัยและเติบโตกันต่อไปได้ เราจะต้องมี ความเคารพกัน อย่างยิ่ง
และ มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างยิ่ง ความเคารพกันนั้นพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ในหมวดคารวะ
๖ ท่านให้เคารพอย่างยิ่งใน ๖ สิ่งด้วยกัน คือ พ่อท่านมักจะเน้นพวกเราว่าหลักธรรมของพระพุทธเจ้าข้อสุดท้ายจะเป็นการขมวดสิ่งที่สำคัญเอาไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จะไม่มี ความหมายเลย ถ้าเราปฏิสันถารไม่ดี ต่อให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดีวิเศษยังไง แต่การปฏิสันถาร การต้อนรับแขกไม่ดี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ดียังไง เขาก็ไม่เอา ฉะนั้น ชาวอโศกเราจะต้องตระหนัก ในเรื่องของการปฏิสันถาร ในการต้อนรับ ในการทักทายกับผู้อื่น อย่างสำคัญ ถึงจะรอดปลอดภัย ในชีวิตได้ และจะต้อง มีความอ่อนน้อม ถ่อมตน อย่างมาก จึงจะทำให้น่ารัก ไม่น่าหมั่นไส้ วันนี้เป็นวันที่พ่อท่านให้สัมภาษณ์นักข่าวเกือบทั้งวัน และเป็นวันที่ท่านได้เปิดประเด็นสำคัญว่าทำไมธรรมะต้องมาวุ่นวายกับการเมือง ซึ่งท่านก็หยิบเอา สถานการณ์ปัจจุบัน มาชี้ให้เห็นว่า ก็เพราะการเมือง ไม่มีธรรมะ มันถึงเข้าขั้นวิกฤติ ลำบากเดือดร้อนกันอย่างนี้ ก็เพราะว่า คนตีกันธรรมะ ตีกันนักบวชออกไป ไม่ให้เข้ามา เกี่ยวข้องการเมือง การเมืองก็เลยกลายเป็นเรื่อง โลภ โกรธ หลง กันอย่างเต็มที่ นักการเมือง จะต้องเข้าหาพระ มาฟังธรรมะ เอาธรรมะ ไปประพฤติปฏิบัติ จึงจะทำให้การเมือง เป็นเรื่องของการเสียสละ และเป็นประโยชน์กับประชาชน พระของศาสนาพุทธ ไม่ใช่เป็นแบบฤาษี ที่หลับหู หลับตา อยู่แต่ในป่า เขา ถ้ำ โดยไม่ได้ สนอกสนใจ บ้านเมือง แต่เป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาของสังคม เป็นศาสนาเพื่อประโยชน์ และความสุข แก่ชนเป็นอันมาก เป็นศาสนา ที่อนุเคราะห์โลก เรียกว่า "โลกานุกัมปายะ" และท่านก็ได้ขอร้อง ให้ทุกๆฝ่าย ช่วยกันป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น ซึ่งพ่อท่าน ก็มั่นใจว่า ขณะนี้ทุกฝ่าย พยายามกัน อย่างยิ่งยวดอยู่แล้ว และท่านก็คิดว่า ถ้าทุกอย่างเรียบร้อยด้วยดี มันจะเป็นการแสดง ประชาธิปไตย ที่งดงาม ที่สุดในโลก เราจะได้ประกาศโฆษณา ความงดงาม ของประชาธิปไตย ออกไปให้โลกเขาได้รับรู้ ทุกอย่างเรียบร้อย เราชุมนุมเรียกร้องกัน ไม่ได้เกิด เหตุการณ์ วุ่นวายอะไรเลย ไม่เหมือนประเทศอื่นๆ ที่ต้องเสียเลือด เสียเนื้อกัน ท่านบอกว่า มันคุ้มยิ่งกว่าไปจัดงานโอลิมปิก ลงทุนเป็นหมื่นๆล้าน แสนๆ ล้าน ก็ไม่คุ้มเท่ากับ การแสดงความสุดยอด ของประชาธิปไตย ในเมืองไทย ที่สามารถจบกันได้ อย่างสวยงามที่สุด เรียบร้อยที่สุด ก็เพราะว่า "ทุกคนทุกฝ่าย มีสำนึก ที่ไม่สร้าง ความรุนแรงเลวร้ายให้เกิดขึ้นมา" - ขรัวตาคง -
หน้า ๓๓ โพธิรักษ์ขึ้น สน.มอบตัว ชนะสงคราม l สมณะโพธิรักษ์เข้ารายงานตัวกับเจ้าพนักงาน สน.ชนะสงคราม หลังถูกแจ้งความแต่งกายเลียนแบบสงฆ์ ปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยยืนยันว่า ยังเป็น สมณเพศ เพราะไม่เคยสึก ขณะที่กองทัพธรรม ยกขบวนบุกให้กำลังใจ แน่นโรงพัก เมื่อเวลา ๑๓.๓๐ น. วันที่ ๘ พ.ค. สมณะโพธิรักษ์ จากสำนักสันติอโศก เข้ารายงานตัวให้ปากคำต่อพ.ต.ต.อดุลยศักดิ์ พูลเขียว ที่สน.ชนะสงคราม ตามหมายเรียก ของเจ้าพนักงาน เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหา แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ตามคำแจ้งความของ นายเสถียร วิพรมหา อาจารย์คณะ สังคมศาสตร์ มหามกุฏราชวิทยาลัย ประธานสภา พุทธบริษัทและพวก นายชำนาญ พิเชษฐพันธ์ ทนายความซึ่งเดินทางมาพร้อมสมณะโพธิรักษ์ กล่าวว่า วันนี้พ่อท่าน(สมณะโพธิรักษ์) เดินทางมาตามหมายเรียก เพื่อรับทราบ ข้อกล่าวหา และให้ปากคำเจ้าพนักงาน จากการที่นายเสถียร วิพรมหา และพวกคือ นายณัฏฐธเนศ ราชนบุณยวัทน,์ น.ส.กชกร อัศวพิริยานนท,์ นางสุริยา แซ่จู, นายเสมา เล็กรัตน์ ร่วมกันแจ้งความ ในข้อหา แต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ซึ่งในเรื่องนี้เบื้องต้น พ่อท่านก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาไปแล้ว ด้านสมณะโพธิรักษ์กล่าวหลังเข้าพบเจ้าพนักงานว่า เค้าว่าเราไม่ใช่นักบวช เราก็ปฏิเสธไป เพราะเรายังเป็นนักบวช เราไม่เคยสึก วันนี้มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว และนำหลักฐานเอกสาร สำเนาใบสุทธิต่างๆมายืนยันว่า เราเป็นสมณะ "เคยโดนฟ้องมาแล้วคล้ายๆแบบนี้ ฟ้องให้เราสึก แต่เราก็ไม่สึกตอนนั้น เรายังคงความเป็นพระอยู่ อยู่ในเพศสมณะ ศาลยืนยันว่าเราไม่ได้สึก ถ้าเราไม่ได้สึก ก็ยังเป็นนักบวช เพราะฉะนั้น เค้ามากล่าวหา ก็เป็นกล่าวหาเท็จ วันนี้เอาหลักฐานมาให้ดู เราบวชกับเถรสมาคม พอดีมีสำเนาใบสุทธิ นิกายธรรมยุต สำเนาตอนบวชมหานิกาย และสำเนาใบสุทธินานาสังวาส สำนักสันติอโศก ก็เอามาให้ดู ตอนนี้เราเป็น นานาสังวาส ไม่ได้สังกัดกับเถรสมาคม แต่เป็นพุทธธรรม ที่แตกต่าง อย่างในต่างประเทศ ก็มีกันเยอะแยะ ส่วนเรื่องการฟ้องกลับคงไม่ เราทำหน้าที่ทาง พุทธศาสนาดีกว่า ขอย้ำว่า เราไม่ได้ทำผิดอะไร และเราก็เป็นสมณะ เพราะยังไม่เคยสึก" พระโพธิรักษ์กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อประมาณปี ๒๕๓๘ พระโพธิรักษ์ เคยมีคดีฟ้องร้องมาแล้ว โดยขณะนั้น เถรสมาคม ได้ฟ้องร้องว่า สมณะโพธิรักษ์ ไม่ปฏิบัติตาม กฎเถรสมาคม และศาลแขวง มีคำสั่งให้สละสมณเพศภายใน ๗ วัน ซึ่งต่อมาในปี ๒๕๓๙ ศาลอุธรณ์ ก็ตัดสิน ยืนตามศาลชั้นต้น สั่งลงโทษ โดยรอลงอาญา ๒ ปี และต้องรายงานตัว ส่วนสมณะโพธิรักษ์ ได้กล่าวเพียงว่า ไม่ขอตอบอะไร และก็ยังไม่ได้ทำการสึก แต่ได้ยอมเปลี่ยน มาห่มขาวแทน เนื่องจาก ขณะนั้น กระแสแรงมาก หลังจากนั้น เมื่อหมดอายุความ ก็ได้กลับมาแต่งแบบเดิม จนล่าสุด หลังจากนำกองทัพธรรม เข้าร่วมการชุมนุมที่ผ่านมา ก็ได้ถูกแจ้งความอีกรอบ ข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศ ขณะที่สมณะโพธิรักษ์เดินทางโดย รถตู้โฟล์คสวาเกน
สีบรอนช์เงิน มาถึง สน.ชนะสงคราม เมื่อเวลาประมาณ ๑๓.๓๐ น. โดยมีชาวกองทัพธรรม
มารอให้กำลังใจ ทั้งด้านนอกด้านใน ราว ๒๐๐ คน จนแน่นขนัด สน.ชนะสงคราม จากนั้นสมณะโพธิรักษ์
ได้เข้าพบเจ้าหน้าที่ ในห้องสอบสวน โดยใช้เวลาประมาณ ๒ ชม. จากนั้น ก็เดินทางกลับ
หน้า ๙๔ # ฌาน # อีแร้งของสังคม อยู่ร่วมกันสมานฉันท์สัมพันธ์ก่อ ช่วยถักทอสานสายใยใฝ่สรรสร้าง # แสงทอง แห่งศีลธรรม ที่คล้ำหมอง # แม่-พ่อ ยังรอเจ้า
หน้า ๙๖ สมณะร่มบุญมรณภาพ เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๙ สมณะ ๒ รูป มีสมณะหม่อน มุทุกันโต กับสมณะร่มบุญ ฉัตตปุญโญ เดินจาริกธุดงค์ เพื่อไปร่วมงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๓๐ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก โดยเริ่มออกเดินทางประมาณตี ๑ จนถึงเวลาประมาณ ๐๔.๔๕ น. ขณะอยู่ระหว่างหลัก กม. ๙ กับ กม. ๑๐ ใน อ.สังขะ จ.สุรินทร์ ได้มีรถทัวร์ของ บจ.ขนส่ง วิ่งแซง รถบรรทุก ๑๐ ล้อ ทำให้เฉี่ยวชนสมณะร่มบุญ และสมณะหม่อนที่เดินอยู่ข้างทางตามลำดับ ปรากฏว่าสมณะร่มบุญเสียชีวิต ขณะเกิดเหตุ เพราะถูกชน อย่างแรง จนกะโหลกแตก ยุบเป็นรูเท่ากำปั้น ส่วนสมณะหม่อน สลบอยู่ข้างถนน ในเส้นทางฝั่งถนนขาเข้า กทม. บริเวณไหล่ทาง ศีรษะแตก ซีกหน้าข้างขวา และเปลือกตาขวา บวมช้ำ เลือดไหลเปรอะ จากคำบอกเล่าของคนขับรถ ๑๐ ล้อ ลำดับเหตุการณ์ที่เกิดได้ว่า พอรถทัวร์ชนท่านร่มบุญ ซึ่งเดินอยู่ข้างหลังท่านหม่อน ก็รีบหักรถกลับ ทำให้ชนรถ ๑๐ ล้อ จนรถ ๑๐ ล้อ เสียหลัก วิ่งชนต้นไม้ข้างทาง ซึ่งรถทัวร์มีผู้โดยสารอยู่หลายคน แต่เมื่อท่านหม่อน ฟื้นจากสลบ ไปดูท่านร่มบุญ ก็รู้ว่ามรณภาพแล้ว จึงเดินไปขอความช่วยเหลือ จากชาวบ้านแถบนั้น ให้นำส่งโรงพยาบาล อำเภอสังขะ ก่อนจะย้าย ไปรักษาต่อ ที่โรงพยาบาล จังหวัดสุรินทร์ จนถึงวันที่ ๒๗ เม.ย. จึงได้ไปรักษา ที่โรงพยาบาล ยันฮี กทม. ชาวอโศกที่ผ่านไปพบเห็นเหตุการณ์สมณะหม่อนมุทุกันโตกับสมณะร่มบุญ ฉัตตปุญโญทั้งก่อนและหลัง ประสบอุบัติเหตุ ผู้สื่อข่าวได้สัมภาษณ์มาดังนี้ * คุณอดุลย์ ดอนวิชา อายุ ๕๒ ปี * คุณเพียงพอ (อาต๋อ) ชัยรัตน์ อายุ ๕๒ ปี หลวงพ่อมุทุฯก็พูดว่า เออ...ชาวไพศาลี คนนี้เคยเดินมาแล้วนี่ ผมก็ขยับไปกราบหลวงน้าร่มบุญ ซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง หลวงน้าร่มบุญ ก็ได้ทักทาย แล้วก็ถามว่า ข่าวทางสันติฯ เป็นอย่างไรบ้าง ผมก็บอกท่านว่า เกิดเหตุการณ์อยู่สองเรื่อง เรื่องแรก มีหมายจากตำรวจ เรียกตัวพ่อท่าน และคณะไปสอบสวน ท่านก็บอกว่า เออ.... เขามาเอาเรื่องเราแล้ว ท่านก็ถามว่า ข้อหาอะไร ข้อหาแต่งกาย เลียนแบบพระในศาสนา แต่ก็ไม่ได้ระบุว่า เป็นศาสนาอะไร เรื่องที่สอง พระจากเวียดนาม มาขอพระธาตุ จากพ่อท่าน พ่อท่านมอบให้ ๑๐ องค์ ช่วงเวลาตี ๔ ได้เกิดเหตุการณ์ฟ้าร้อง ลมกระโชก สักพักหนึ่งก็เงียบ หลวงน้าร่มบุญก็บอกว่า มันเป็นเรื่องอจินไตย เรื่องปาฏิหาริย์ ซึ่งมีจริง ผมได้ถามถึงเรื่องสุขภาพของหลวงน้าร่มบุญว่าเป็นอย่างไร ท่านก็บอกว่า สุขภาพอาตมาดี ท่านยังได้พูดถึง หลวงพ่อ ดงเย็นว่า เดินกันมา ๓ รูป หลวงพ่อ ดงเย็น เดินมาถึง สระบุรี ยางแตก (เท้าแตก) จึงเดินกลับ ช่วงนั้น ผมได้มองไปทางด้านหลัง ของท่านร่มบุญ ก็ได้เห็นว่า ถนนเส้นนี้ไม่ปลอดภัย อันตราย มากเลย (ในความรู้สึก) ผมก็ได้เงยหน้า ไปมองหน้าท่านเหมือนกัน ก็เห็นว่า หน้าตาท่านก็เหมือนเดิม ไม่แก่ แต่ก็ดูหน้าคล้ำหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ของพระจาริก ต้องโดนแดด โดนลม ท่านก็ยิ้มแย้ม แจ่มใสดี มิได้บอกว่าจะมีเหตุอะไร ช่วงนั้น เวลาสี่โมงเย็นเศษๆ เหลียวหลังมาดู ก็เห็นฝ่ายหญิง คุยกับ หลวงพ่อมุทุฯอยู่ ผมก็เห็นว่า เวลาพอสมควร ก็บอกสมาชิกว่า ควรกราบลาท่านเดินทางต่อ หลวงน้าร่มบุญ หลวงพ่อมุทุฯ ก็ให้ศีลให้พรว่า ก็ให้เดินทาง โดยปลอดภัย แล้วคณะเรา ก็เดินทางมาถึง ศีรษะอโศก ๖ โมงเย็น เช้าได้เจออาอ๋อย (ต้นกล้า) เวลา ๖ โมงเช้า ของวันที่ ๒๑ เม.ย.'๔๙ อาอ๋อยบอกว่า ท่านร่มบุญ ถูกรถชน เสียชีวิตแล้ว ส่วนหลวงพ่อมุทุฯ บาดเจ็บ ใจก็คิดว่า เราต้องแจ้งข่าวแล้ว แต่ใจหนึ่ง ก็ยังไม่มั่นใจว่า ข่าวนี้จะชัดเจนแค่ไหน ก็เลย เดินมาที่ ศาลาฟังธรรม ว่าจะมาถาม สมณะ เพื่อความชัดเจน ก็มาพบหลวงอาลือคม ถามท่านว่า หลวงน้าร่มบุญเป็นอย่างไร ท่านว่า เตรียมจะไปรับศพกัน ผมก็รำพึง อยู่ในใจว่า "โอ้....ชีวิต อะไรกันนะ" คุยกับท่าน อยู่หลัดๆเลย ท่านก็มาจากไปเสียแล้ว ก็เดินไปหาคลื่นโทรศัพท์ และนึกในใจว่า จะโทรฯไปบอก หลวงปู่ชินฯ ก่อน หลวงปู่ชินฯ ก็บอกว่า รู้ข่าวแล้ว แต่ยังไม่ทราบ รายละเอียด ก็ได้บอกกับท่านว่า หลวงน้าร่มบุญเสียชีวิต หลวงพ่อมุทุฯ บาดเจ็บ ก็เลยเดินมารำพึงในใจว่า ชีวิตนี้ ประมาทไม่ได้เลย * คุณเจ็ดแก้ว ชาวหินฟ้า อายุ ๔๙ ปี ญาติธรรมสุรินทร์อโศก ระหว่างที่นอนบนรถก่อนถึงโรงพยาบาล ท่านอ้วกเป็นเลือดกองใหญ่ ผมถามท่านว่าเป็นอย่างไร ท่านว่าอ้วกออกมา แล้วโล่ง พอถึง ร.พ.สุรินทร์ ส่งไป ห้องฉุกเฉิน โดยมีใบส่งตัวจาก ร.พ.สังขะไปด้วย หมอตรวจเช็ค ให้กลับบ้านได้ ไม่มีปัญหาอะไรเลย พยาบาลที่เป็นญาติธรรม จ่ายค่ายาให้ ๒๐๐ บาท แต่พยาบาล ก็ไปขอหมอ ให้สมณะอยู่ สังเกตอาการก่อน หมอบอกอนุญาตให้อยู่ได้ถึงเย็น ค่อยกลับได้ ระหว่างนั้น ผมไปต้ม ข้าวต้มร้อนๆ มาถวาย ขณะ ฉันข้าวต้ม เลือดก็ออกมาทางจมูก หลังจากฉันข้าวต้มแล้วท่านก็ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ท่านลุกขึ้นเดิน คิดว่าจะไปบิณฑบาต ที่อำเภอสังขะ และไปเยี่ยมญาติธรรม แถวนั้น จึงเดินไปทาง ด้านขวา ของถนน ซึ่งมองเห็น รถสวนมาได้ พอเดินได้สักพักหนึ่ง ก็ได้ยินเสียง ดังโพล๊ะ แล้วไม่รู้เรื่องอะไรอีกเลย สักพักจึงรู้สึกตัวแล้วสำรวจตัวเอง ว่าเป็นอะไรมั้ยนี่ มือเป็นอะไรมั้ยนี่ ก็เห็นเลือดไหลออกมา จึงเอาผ้ามาห้ามเลือด และมองหาเพื่อนสมณะ เห็นอยู่ข้างหน้า ๕ เมตร คลำหัวคลำมือตัวนิ่มๆ ก็บอกว่าไม่รอดแล้ว ท่านจึงมองหาบ้าน จะไปขอความช่วยเหลือ ตอนนั้นประมาณ ตีสี่ ยังไม่มีใครตื่นเลย และเห็นรถทัวร์ จอดหาศพ ว่าศพอยู่ที่ไหน ท่านมุทุฯ จึงคิดว่า ถ้าชนคนไม่ตาย เคยมีผู้เล่าว่า จะถอยมาทับซ้ำ จึงไม่ออกไปแสดงตัว แต่ไปหาชาวบ้านแทน พอเดินไป หาชาวบ้าน บ้านแรก ก็ร้องถามโยมว่า โยมมีใครอยู่มั้ย บ้านที่หนึ่งไม่ตอบรับ บ้านที่สอง ไม่ตอบรับ บ้านที่ ๓ ไม่เปิดไฟ ท่านจึงลอง เข้าไปหาโยม บอกว่า อาตมา ถูกรถชน บาดเจ็บ มีโทรศัพท์ไหม ขอใช้โทรศัพท์แต่...โทรออกไม่ได้ เพราะเงินหมด โยมผู้หญิง จึงไปขอโทรศัพท์อีกบ้านหนึ่ง ก็โทรออกไม่ได้ เหมือนกัน จึงวิ่งไปหา ผู้ใหญ่บ้าน ให้ผู้ใหญ่บ้าน โทรไปเรียก รถโรงพยาบาลมา ปรากฏว่ารถโรงพยาบาลบ้านแพ้วมา ผู้ใหญ่บ้านก็เรียกให้รถโรงพยาบาลบ้านแพ้วไปส่ง พอไปก็เจอรถ โรงพยาบาลสังขะมา ท่านก็ต้องเปลี่ยนรถอีก แล้วไปส่งถึง ร.พ.สังขะเลย เมื่อผมทราบดังนี้ ก็ไปเล่าให้หมอฟัง เพราะสงสัยว่า ทำไมอาการท่านมากอย่างนี้ จึงยังจะให้กลับได้ หมอก็บอกว่า ผมถามท่านว่าเป็นอะไร ท่านก็ว่า ไม่เป็นอะไร และหมอที่ ร.พ.สังขะ ก็เขียนใบส่งตัวว่า ไม่เป็นไร โดยใบส่งตัว เขียนมาว่าท่านนั่งมาบนรถ รถชน พระอีกรูปกระเด็นมาชนท่าน ทำให้พระรูปนี้ บาดเจ็บ นิดหน่อย ผมจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอบอกว่า พระรูปนี้รอดได้อย่างไร อย่างนี้ต้องแอ็ดมิต (ต้องนอนค้างโรงพยาบาล) ที่หมอพูดให้ออก เพราะไม่รู้ หมอบอกว่า หมอให้ออก ญาติคนไข้ให้อยู่อย่างนี้ ต้องเสียเป็นหมื่นนะ ผมก็บอกว่า กี่หมื่นก็จ่าย แต่พอหมอฟังคำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ ก็ตกลงให้แอ๊ดมิต หมอจึงเขียน ใบส่งตัว ให้ไปพักที่ตึกสงฆ์ มีพยาบาล ที่เป็นญาติธรรม อีกคนหนึ่งมาเยี่ยม ที่ตึกสงฆ์ เห็นอาการของท่านว่า น่าไปอยู่ห้องพิเศษ จึงบอกพยาบาล ประจำตึกว่า ขอไปอยู่ ห้องพิเศษได้มั้ย พยาบาลบอกว่าไม่ได้ เพราะต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้น ก็มีญาติธรรม มาเยี่ยมเยอะเลย สรุปว่าผมว่าสมณะออกจาริกควรมีแผ่นซีดีติดไว้สักห้าแผ่น ถ้าเดินตอนมืดๆ จะได้มีแสงสะท้อน เมื่อรถสาดแสงไฟมา จะได้มองเห็น และเวลา ได้รับอุบัติเหตุ อย่าบอกว่า ไม่เป็นไร ควรเล่าเหตุการณ์ให้หมอฟัง ตามความจริง หรือให้หมอดูเอา ก็แล้วกัน *** รำลึกถึงทานสมณะร่มบุญ....ยอดนักรบ เมื่อบวชแล้วไม่ค่อยได้พบกัน เพราะท่านไปจำพรรษาที่อื่น แต่พอเข้าพรรษาปี'๔๖ ได้มาอยู่จำพรรษาด้วยกันที่ พุทธสถาน สีมาอโศก และก็ลงอาราม ต่อมาด้วยกัน ที่นี่อีก ๒ ปี ทุกครั้งที่ขึ้นศาลา ท่านจะนั่งติดต่อจากเรา เพราะบวชห่างกันปีเดียว จึงใกล้ชิดกัน พอสมควร การอยู่ร่วมกันครั้งนั้นทำให้รู้สึกประทับใจหลายอย่าง เช่น ความเป็นอยู่ที่สมถะ สันโดษประณีต ประหยัด ขนาดแปรง หรือ ยาสีฟันแบบทั่วไป ก็ไม่ใช้ แต่จะใช้ ไม้สีฟัน หรือใช้ผ้า ถูฟันแทน กุฏิที่พักและรอบๆบริเวณที่ท่านจำวัดนั้น จะสะอาดสะอ้าน ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย สิ่งของเครื่องใช้ ก็จัดวางไว้ ไม่มีเกะกะ จีวรผ้าครองที่ไม่ใช้ ท่านจะพับเก็บ เป็นที่เป็นทาง เหมือนวางอยู่ในตู้ บ่อยครั้งที่ไปพบ ท่านจะกำลังศึกษาค้นคว้าอ่านพระไตรปิฎก บางทีก็หยิบยกข้อธรรมะขึ้นมาถก วิเคราะห์ วิจัยวิจารณ์กัน หรือหากมีญาติโยม ถวายยา ให้ท่านฉัน แล้วเหลือ เก็บไว้ฉันอีก ท่านก็จะขอ แจ้งวิกัปป์เสมอ ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามพระวินัยนี้ ท่านจะเคร่งครัดมาก การเทศนา อบรมสั่งสอน ท่านจะขยันเอาภาระมาก ถ้าอยู่ที่พุทธสถานก็จะเทียวไปสอนธรรมะ ให้ญาติโยม ถึงที่พัก ผู้อายุยาวเลยทีเดียว (งานศพของท่าน ก็มีญาติโยม ผู้เฒ่า ผู้แก่ หลายคนไป บางคนเดินยังไม่ค่อยจะไหว ก็อุตส่าห์ไปได้) และถ้าเป็นงาน อบรมภายนอก เช่น เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ วังน้ำเขียว, เมฆาอโศก, ดินหนองแดนเหนือ ท่านก็ยินดีที่จะไป และบ่อยครั้ง ที่มีกิจนิมนต์ เทศน์ในงานต่างๆ ท่านก็พร้อมรับเสมอ เรียกว่า เป็นนักเทศน์ องค์หนึ่ง ตลอดชีวิตนักบวชของท่าน ท่านเป็นสมณะผู้บำเพ็ญกิจของสงฆ์ได้อย่างสมบูรณ์ เป็นตัวอย่างที่ดี ตั้งแต่บิณฑบาต, กวาดลานวัด, ทำวัตร สวดมนต์ ฯลฯ หลังงาน มหาปวารณา ๗ พ.ย.'๔๘ ได้ยินท่านบอกว่า ปีนี้จะฉลองอายุครบ ๖๐ ปี ด้วยการตั้งอธิษฐานว่า จะใช้ชีวิตเยี่ยง อนาคาริกะ จะไปไหนๆ ก็จะอดทน เดินจาริกไป ไม่ขึ้นรถยนต์ ตลอดทั้งปี ซึ่งท่านก็สามารถทำได้แล้ว จนถึงวินาทีสุดท้าย แม้การจากไปของท่านครั้งนี้ จะเป็นเครื่องเตือนสติ เตือนใจพวกเราไม่ให้หลงมัวเมาประมาท
ยืนยันความไม่เที่ยง ของสังขาร ขนาดเป็นสมณะแล้ว ก็ไม่อาจ รอดพ้น จากอุบัติภัยได้ก็ตาม
ในฐานะพวกเรา เป็นเสมือนนักรบ นักรบอหิงสาแห่งกองทัพธรรม เราก็ถือได้ว่า
ท่านเป็นผู้กล้าหาญ และตายในสนามรบ ตายในเครื่องแบบ ตายในขณะ ปฏิบัติหน้าที่
สมควรได้รับ การยกย่อง เป็น ยอดนักรบ *** ชีวิตนักเดินทาง ปฏิบัติสูงขึ้นท่านก็แยกทางเดินกับแม่บ้านให้อิสระแก่กัน ได้เจอกับท่านที่ปฐมอโศก ปี ๒๕๓๔ ท่านตั้งใจมาบวช เป็นสมณะชาวอโศก ปี ๒๕๓๘ ท่านก็ได้บวช ตามที่ คาดหมาย ท่านเป็นสมณะ ผู้ใฝ่ในการศึกษา อ่านหนังสือ ฟังเท็ป ฟังธรรม ถ้าจบแล้ว ท่านมักจะถามเสมอถึงหัวข้อธรรมวันนี้ ประทับใจ ได้ประโยชน์อะไร ในการฟังธรรม บางครั้ง เราสงสัยในธรรม หมวดต่างๆ ท่านก็ตอบ ด้วยความยินดี พุทธสถานที่ท่านจำพรรษามากกว่าที่อื่นคือสีมาอโศก ไม่ว่าท่านจะจำพรรษาที่ไหน ท่านจะสอนพระธรรม ให้กับญาติโยม เป็นประจำ มีการอบรม สัจธรรมชีวิต ก็เคยได้ไปร่วมงานกับท่าน เห็นท่านมีไฟ มีปีติในการแสดงธรรม บางคราว สมณะมีน้อยรูป รูปเดียว ท่านก็ไป ยกย่องให้ท่าน ในด้านสมณะผู้อวิโรธน ผู้ไม่พราก ห่างจากธรรม ผู้ใฝ่ในธรรม ท่านเป็นสมณะ ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย รักษาศีล รักษาพระวินัยได้อย่างดี ท่านจึงเป็นที่เคารพศรัทธา จากเพื่อนสมณะ และญาติโยม เรื่องการจาริกเดินธุดงค์ของชาวอโศก มีหลวงพ่อหม่อน มุทุกันโตเดินเป็นหลัก ท่านร่มบุญ ท่านก็เป็นรูปหนึ่ง ที่มีความเพียร ใฝ่ฝึกฝนในด้านนี้ ตามจังหวะ เวลา บางคราว ก็ไปกัน ๒ รูป ๓ รูป ไปจนมากสุด ๑๕ รูป ก็เคยเดินกัน ได้เดินทางร่วมกัน ครั้งสุดท้าย จากข้างทำเนียบรัฐบาล มาที่สันติอโศก แด่นักรบผู้จากไปไม่หวนคืน *** คุณฝั่งบุญ ชาวหินฟ้า อดีตแม่บ้าน ท่านเป็นสุภาพบุรุษ และเป็นคนทนไม่ได้กับความอยุติธรรม ตอนที่เป็นพระอยู่ข้างนอก ก่อนที่จะสึก ท่านได้เห็นความไม่เป็นธรรม จึงต้องลาสิกขา จากตรงนั้น และมา เรียนต่อที่ มสธ. แต่ก็ทราบว่าไม่จบ ที่ช่วงหนึ่งที่ไปอยู่กรมการปกครอง เพราะสนใจความเป็นธรรม โดยส่วนตัวที่ดิฉันได้ไปคบคุ้น เห็นท่านมีบุคลิกน่าเคารพ รู้สึกเห็นเป็นพ่อ ตอนนั้นดิฉันอายุ ๒๓ ปี และไม่รู้อายุจริงของท่าน ก็เดาว่าคงประมาณ ๒๘ ปี แต่ความจริง ท่านอายุ ๓๘ ปี มารู้ภายหลัง ที่ได้อยู่ด้วยกัน ตั้งใจที่จะมีครอบครัว อยู่ในศีลในธรรมมากๆ ก็รู้สึกชอบใจ ตรงที่ท่าน ประณีตประหยัด ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ขยัน อดออม เงินที่เก็บได้ ก็จุนเจือช่วยเหลือญาติ ทั้งสองฝ่าย และมีเก็บฝากธนาคาร ก็ไม่ได้คิดว่า จะมาพบธรรมะอย่างนี้ ปกติทำงาน ไม่มีวันหยุด ขยันหาเงิน หาทอง นอกจาก เหนื่อยล้าจริงๆ พอพบธรรมะปี ๒๕๓๑ ก็กำหนดวันอาทิตย์หยุดไปที่วัดสันติอโศก ก็ไปยืมเท็ป ไปฟังธรรม ไปซื้ออาหารมังสวิรัติ จะไปด้วยกัน ดิฉันก็ถามท่านว่า ศีลคืออะไร ท่านก็ตอบว่า ศีลคือปกติชีวิต ก็รู้สึกให้คำตอบไม่ชัด แต่ได้คำตอบจากหนังสือ และเท็ปพ่อท่าน สิ่งที่ต้องการที่สุดของดิฉัน คือ ถือศีล ๘ เพราะพอได้ฟังธรรมแล้ว ชีวิตสามีภรรยา อยู่ด้วยกัน รู้สึกว่าบาป เพราะท่านเหมือนพระเลย วันที่ตั้งจิตถือศีล ๘ ดิฉันก็กราบลา บอกท่านว่ามันบาปและแยกที่นอนกันเลย ท่านก็วางตัว ให้เกียรติ มีอะไรก็บอก มีการเปิดใจ บำเพ็ญ ท่านสะดุดว่า ดิฉันร้องไห้ ไปวัด ครั้งแรก ที่ได้ฟังเท็ป เห็นภาพบิณฑบาตของพ่อท่าน อยู่ข้างเท็ป แล้วอยากไปตักบาตร ท่านบอกว่า ในโลกนี้ คนเขาร้องไห้ อยากไปซื้อสร้อย ซื้อแหวน แต่ดิฉันร้องไห้ ให้พาไปวัด ที่ร้องไห้เพราะดิฉันอยากจะไป ตั้งแต่ตีห้า แต่ท่านทำงานตลอดคืน พึ่งจะนอน แต่ดิฉันก็บอกว่า จะไปเดี๋ยวนี้ เพราะกลัว จะไม่ทัน ใส่บาตร พ่อท่าน พอเห็นดิฉันร้องไห้ ท่านลุกเปลี่ยนเสื้อผ้า พานั่งแท็กซี่ จากราชบูรณะ ไปที่สันติอโศก ได้คุยกันท่าน ก็ได้ระลึกว่า ในพุทธกาล ก็มีแบบที่ครอบครัวเรา กำลังเป็น และในชาดก ในที่สุดก็ได้บวชทั้งคู่ ยิ่งเป็นกำลังใจ ใช่แล้ว ชีวิตใช่เลย แบบนี้แหละ จากที่ได้อยู่กันมา ได้เป็นน้ำใจ ได้เห็นความประพฤติ ได้เห็น คุณธรรมของท่าน ยิ่งเห็นว่า เราเป็นภรรยาไม่ได้ มันไม่ใช่ วันที่เข้าวัด ก็แยกวัด ดิฉันคิดว่า ถ้าเข้าวัดจะทำกสิกรรมธรรมชาติ จึงไปอยู่ศีรษะอโศก ส่วนท่านรู้จักกับคุณระพินทร์ ซึ่งเขาอยู่ปฐมอโศก ท่านก็เข้าวัด ปฐมอโศก เป็นสิ่งที่ดีมาก อยู่ที่วัด ถ้าใจไม่ดี ใจระลึกถึงท่าน จะไม่กล้าทำชั่ว ในบางครั้งอยู่วัด อัตตามานะขึ้น ไม่อยากอยู่วัด อยากจะไป หาเงินหาทอง ถ้าระลึกถึงกันแล้ว ไม่กล้า เพราะถ้าใคร เป็นอะไรไป มันจะมีผลต่อ ความรู้สึกกันและกัน ต่างคนให้กำลังใจกันอยู่ เวลาไปกราบท่าน ในงานชาวอโศก ดิฉันก็จะแซวว่า ท่านบรรลุธรรม ขั้นไหนแล้ว อะไรอย่างนี้ ท่านก็ยิ้ม เวลาจะกราบลา ท่านก็จะให้ขุมทรัพย์ว่า ฝั่งบุญไม่เรียบร้อย วิญญาณความผูกพัน แบบสามีภรรยาไม่มี จะมีสะดุด ตอนท่านบวช จากนาค เป็นสามเณร เราไม่รู้ ก็สะดุดว่า จะเลื่อนฐาน ทำไมไม่บอกสักคำ ในใจก็คิดว่า จะไม่กราบเลย ดิฉันก็ไปกราบพ่อท่าน บอกว่าถือสา ที่ไม่บอก ไม่อยากกราบ พ่อท่านพูด ก็เลยวางใจ และไม่มีความรู้สึกอีกเลย วันที่ท่านบวชคือ หลังที่ไปขึ้นศาล วันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๘ ท่านก็บวชที่ปฐมอโศก ตอนนั้น ดิฉันอยู่บ้านราชฯ ไปกับชาวบ้านราชฯ ก็อนุโมทนา อย่างยิ่ง ที่จิตใจ ตัดรอบ ดิฉันคิดว่า เพราะไม่ได้คบคุ้น ทางพฤติกรรม เรื่องกิจกรรม แยกวัด ท่านเป็นสมณะ เราก็มาอยู่วัดในฐานะแบบนี้ ความรู้สึกผูกพัน มันตัดขาดไปหมด วันที่ท่าน เสียชีวิต ก็รู้สึกเฉยๆ ก็รู้ว่าท่านมรณภาพ ได้ประโยชน์จากที่พ่อท่านเทศน์งานศพว่า เหตุการณ์อะไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเศร้าหรือไม่เศร้า
ประเด็นอยู่ที่ว่า เราได้ประโยชน์ จากเหตุการณ์อย่างไร คิดว่า จะต้องตั้งจิตตั้งใจ
จะต้องทรงสำนึก ต้องทรงจิตที่ดีไว้ ในการต่อสู้ผัสสะ เราจะต้องนำอนุสติ มาเตือนใจเป็นประโยชน์
พัฒนาจิตวิญญาณ. *** ประวัติสมณะร่มบุญ ฉัตตปุญโญ ชีวิตการงาน เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งอัตราจ้างที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยเป็นเวลา ๒ ปี ต่อมาทำกิจการค้าขาย ร้านกาแฟ และเบเกอร์รี่ ที่บางมด กทม. นาน ๔ ปี ชีวิตการปฏิบัติธรรม เคยบวชเป็นพระภิกษุที่สำนักเรียน วัดพายัพ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นเวลา ๑๑ ปี จบเปรียญ ๓ ประโยค แล้วสึก มาใช้ชีวิต ทางโลก จนกระทั่ง ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ ได้พบธรรมะชาวอโศกจากลูกค้า ชื่อนายระพินทร์ พุกบ้านยาง อ่านหนังสือชาวอโศก และฟังเท็ปของพ่อท่าน แล้วจึงปฏิบัติธรรม ถือศีล ๘ ทั้งสามีภรรยา เข้าวัดในปี พ.ศ.๒๕๓๓ ส่วนอดีตแม่บ้าน เข้าวัด ปี พ.ศ.๒๕๓๔ บวชเป็นสมณะชาวอโศก วันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๓๘ รวมเวลา ๑๑ พรรษา มรณภาพ ด้วยอุบัติเหตุรถชน เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๙
หน้า ๑๐๖ แด่นักรบกองทัพธรรม ** จากผู้เขียนถึงเพื่อนผู้ลาลับ เราคงจะไม่นำเสนอเฉพาะเรื่องราวที่มีแต่ภาพความทรงจำที่ผ่านมา เพียงมุมเดียว เพราะนั่นคงไม่ใช่ความต้องการของอ้อย เป็นแน่ แต่เรา จะขอสื่อ ถึงแง่มุม ที่คิดว่า เมื่อท่านผู้อ่าน ได้อ่านแล้ว ท่านเหล่านั้นน่าจะได้แง่คิด แรงบันดาลใจ หรือสาระประโยชน์จาก "ความเป็นดินตะวัน" ให้ได้มากที่สุด ทั้งในช่วงที่มีชีวิตอยู่ และช่วงที่อ้อย จากไปแล้ว แต่ก็อย่างว่า ถ้าการที่คนเราจะสำนึกอะไรได้โดยต้องแลกกับชีวิตของคนดีดีคนหนึ่งเสียก่อน มันย่อมเป็น การลงทุน ที่ไม่คุ้มค่า เอาเสียเลย ใช่หรือไม่ ? ** ยอดประหยัด -ทุกครั้งที่ไปซื้อของด้วยกัน อ้อยมักจะพิจารณาถึงความคุ้มค่าและราคาที่ไม่แพงจนเกินไป อะไรที่ไม่จำเป็น หรือข้าวของบางอย่าง ที่มีอยู่แล้ว และพอใช้ได้ อ้อยก็จะไม่ซื้อใหม่ อีกทั้งยังรู้จักซ่อมแซม สิ่งของเพื่อใช้ต่อ -เวลาไปสอบที่รามคำแหง อ้อยจะซื้อวัตถุดิบมาทำกินเองและจะคำนวณตลอดว่า ถ้าซื้อมาแล้ว จะกินได้กี่มื้อ กี่คน และมีคุณค่าต่อร่างกายเพียงใด คุ้มกว่า การไปซื้อกินเองอย่างไร ซึ่งถือได้ว่า เป็นนักวิจัยการบริโภคในครัวเรือน ไปโดยไม่รู้ตัว -มือถือที่ใช้ อ้อยจะพยายามศึกษาโปรโมชั่นที่คุ้มค่าที่สุด เพื่อจะได้ไม่ต้องสิ้นเปลืองกับมันมากมาย -อ้อยจะพยายามไม่รบกวนเงินจากทางส่วนกลางทั้งที่ตนเองก็มีสิทธิ์ที่จะเบิกจ่ายมาใช้
แม้แต่เงินที่คุณพ่อคุณแม่เอาให้ อ้อยก็จะนำไปฝากธนาคารไว้ รวมทั้งเงิน ที่ได้จาก
การประกวด เขียนเรื่องสั้น หรือบทความ แม้จะไม่มาก แต่ก็มีคุณค่า ทางจิตใจ
อ้อยมีเงินเก็บ จากการเก็บเล็ก ผสมน้อย เป็นจำนวนถึง หนึ่งหมื่นกว่าบาท และสุดท้าย
เงินส่วนนั้น ก็ได้ให้คุณพ่อคุณแม่ นำไปซื้อวัสดุต่อเติมบ้าน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวโดยรวม
มิได้หวงแหนไว้ เพื่อตัวเอง ** น้ำใจงาม -เวลาไหนที่ว่างจากงานของตัวเอง อ้อยก็จะขวนขวายช่วยงานส่วนกลาง หรือหาสิ่งที่เป็นประโยชน์ทำเพื่อไม่ให้เวลา ผ่านไปเปล่าๆ -เวลาเพื่อนคนไหนเดือดร้อนไม่มีเงินอ้อยก็มีน้ำใจให้ยืม บางทีก็ให้ไปเลย ทั้งๆที่ตัวเองก็ไม่ค่อยจะมีใช้ ** มีความอุตสาหะพยายาม ** มีหิริโอตัปปะ -แค่การไปนั่งดูรายการหน้าเวทีพันธมิตรประชาชนกับผู้ชาย แม้ไม่ใช่ที่ลับหูลับตา อ้อยก็จะรู้สึกผิดสำนึกได้ว่ามันเป็นสิ่งที่ ไม่เหมาะควร และบอกตัวเองว่า จะไม่ทำอย่างนี้อีก ซึ่งก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึง ความเป็นคนรักนวลสงวนตัวของอ้อย -แม้แต่ตอนไปสอบ อ้อยจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเรียบร้อยเสมอ ผิดกับเพื่อนๆที่จะใส่เสื้อผ้ากันตามสบาย กางเกงขาสั้นบ้าง เสื้อยืดบ้าง อ้อยมีเหตุผลว่า อ้อยเป็นคนวัด การแต่งกาย ก็ต้องให้ดูเรียบร้อย สำรวม สมกับเป็นนักปฏิบัติธรรม -การกระทำใดที่เป็นไปในทางอกุศล อ้อยจะหลีกเลี่ยง หรือหากเผลอไปทำอ้อยจะรีบแก้กลับ และไม่ไปทำเช่นนั้นอีก ** ใช้ธรรมะในการดำเนินชีวิต ** ภารกิจส่วนรวมมาก่อนส่วนตัว ต่าย : อ้อย ไปเดินขบวนวันพรุ่งนี้กลัวถูกยิงตายมั้ย? อ้อย : เราไม่กลัวตายหรอกต่าย ถ้าถึงเวลามันก็ต้องตายเป็นธรรมดา ถ้าวันนี้ต้องตายจริงๆ ก็คุ้มแล้วที่ตายในนามของกองทัพธรรม นี้เป็นถ้อยคำที่เราสองคนคุยกันก่อนเข้าร่วมเดินขบวนไปสนามหลวง ในวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ - - อ้อยเป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตของการเป็นชาวอโศก และเป็นเพื่อนคนเดียวที่ข้าพเจ้าเรียกว่าเพื่อนสนิท ชีวิต ม.ต้น เรามีกันอยู่แค่สองคน ไปไหน ไปด้วยกัน มีอ้อย ต้องมีต่าย จะทุกข์หรือสุขเราจะอยู่ด้วยกันเสมอ จนใครๆต่างก็มองว่า เราสองคน คล้ายกัน เชื่อมั้ยว่าแม้วันที่อ้อยเสีย ก็ยังมีคนเข้าใจว่าเป็นต่าย การที่ผู้ใหญ่เรียกชื่อต่ายกับอ้อยสลับกันถือเป็นเรื่องปกติ แต่ก็ไม่วายที่เราสองคนมักจะมานั่งส่องกระจก เพื่อหาถึงจุดคล้าย จนแล้วจนรอด ข้อสรุปสุดท้าย ที่คิดว่า คล้ายกันที่สุด ก็คือ "เราเป็นเด็กผู้หญิง ตัวดำดำเหมือนกัน" เราอยู่ด้วยกันมาตลอดจนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ และตัดสินใจว่าจะอยู่ช่วยงานที่ปฐมอโศก ช่วงหนึ่งปีให้หลัง เราสองคน เริ่มห่างเหินกัน อาจด้วยทิฐิ ที่ไม่ค่อย ตรงกัน ตลอดจนเวลา ที่มีให้กันน้อยลง และเรื่องราวต่างๆ ที่เข้ามาให้เราได้ทะเลาะกันอยู่เสมอ แต่ไม่ว่าจะโกรธกันยังไง สุดท้าย เราก็จะมานั่งจับเข่าคุยกัน เปิดใจกันเช่นเคย ไม่นึกเหมือนกันนะอ้อยว่าวันที่ ๒-๓ เมษายน จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้นอนเสื่อผืนเดียวกัน เปิดใจเรื่องที่อ้อย กำลังทุกข์ อาบน้ำด้วยกัน ซักผ้าด้วยกัน รับประทาน อาหาร ที่อ้อยตักมาให้ เหมือนครั้งที่เรา ยังเป็นนักเรียน ม.ต้น เป็นวันที่เราได้อยู่ใกล้กับอ้อย มากที่สุดในรอบปี หากรู้สักนิดว่า คำลาของอ้อย ก่อนจะไปซื้อหนังสือ นั้นเป็นการ ลาจากเราไป ตลอดชีวิต เราจะไม่ปล่อยอ้อย ไปคนเดียว เราจะอยู่ข้างๆอ้อย จะจับมืออ้อย และข้ามถนน พร้อมอ้อย วินาทีที่หมอ บอกกับเราว่า อ้อยไม่มี ทางรอด เป็นวินาทีที่โหดร้ายที่สุด สำหรับเราและพี่ๆน้องๆ ที่มารวมตัวกัน เพื่อเยี่ยมอาการอ้อย แม้แต่สั่งลาสั้นๆ ก็ไม่สามารถทำได้ มันเร็วมาก เร็วจนไม่มีโอกาสได้บอกว่า "แม้เราจะโกรธอ้อยแม้เราจะเฉยชากับอ้อย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราไม่เคยเปลี่ยน คือ เรายังรักอ้อยและก็ แคร์อ้อยที่สุด" ขอโทษ กับความบกพร่องของเรา ที่ไม่อาจทำหน้าที่ให้สมกับคำว่า "เพื่อนสนิท"ของอ้อย เราก็ยังเป็นหนึ่งในบุคคลผู้โง่เขลา ที่กว่าจะสำนึกอะไรได้ ก็ต้องลงทุนด้วยชีวิต ของคน ที่ได้ชื่อว่า "เพื่อนรัก" อ้อยจะไปในที่ที่ดีกว่าเดิม เรามั่นใจเช่นนั้น สุดท้าย ขอยกเอาบทกลอน ที่อ้อยแต่งไว้ให้เรา ก่อนจะจากไปอยู่ บ้านราชฯ มามอบ ให้ตัวอ้อยเอง อยากให้รู้ว่า จากกันแค่บ้านราชฯกับปฐม มันเทียบไม่ได้เลย กับการจากกันครั้งนี้ อำลาเมื่อลาจาก ขอขอบพระคุณพ่อแรงเพชร แม่แรงงาม และพี่ตาล-เรืองตะวันที่คอยดูแล และช่วยเหลือข้าพเจ้ามา โดยตลอด ทำให้ข้าพเจ้า รู้สึกเสมอว่าตนเอง เป็นส่วนหนึ่ง ของครอบครัว "วงศ์แสนสาน" สิ่งใดที่อ้อยได้ทำ เป็นตัวอย่างอันดีแล้ว ข้าพเจ้าจะนำมาสานต่อ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ระลึกถึงอ้อยเสมอ ชื่อ น.ส. ดินตะวัน วงศ์แสนสาน
หน้า ๑๑๓ ชื่อใหม่ นางตรงเตือน นาวาบุญนิยม ปลายปี ๒๕๓๔ เป็นนักศึกษาปีสุดท้าย ญาติธรรมมาเชิญชวนที่หอพัก เพื่อไปร่วมงานเปิดร้านมังสวิรัติที่หน้าวิทยาลัย หลังจากนั้นแวะไปกินตลอด ต่อมา ไปร่วมงาน ตลาดอาริยะ ปีใหม่ ปี ๒๕๓๕ และงานปลุกเสกครั้งที่ ๑๕ ประทับใจวิถีชีวิตที่เรียบง่าย มักน้อย สันโดษ ถือศีล ๕ ลดละอบายมุข ซาบซึ้งทรัพย์แท้ ของมนุษย์ และรู้สึก อบอุ่นทางวิญญาณ หลังจากพบ ก็กินอาหารมังสวิรัติ เลิกการแต่งตัว ใช้เสื้อผ้าฝ้าย เลิกดูหนังตามโรงหนัง และไม่เข้าห้างสรรพสินค้า รวมทั้งฝึกถอดรองเท้า ใช้เวลาที่เหลือ มาช่วยงาน และคบคุ้น กับญาติธรรมที่ร้านมังสวิรัติ ปี ๒๕๓๕ เรียนจบ มีครอบครัว และทำงานรับราชการครู มีโอกาสมาฟังธรรมที่วัดตามงานสำคัญๆ คิดว่า ชีวิตนี้มีครอบครัวถือศีล ๕ ลดละ อบายมุข ก็สุด ที่จะมีความสุขแล้ว ทั้งพ่อบ้าน สมัครให้เป็นสมาชิกหนังสือ และเท็ปธรรมะชาวอโศก ได้ฟังเท็บ ได้อ่านหนังสือธรรมะ ยิ่งฟังยิ่งอ่านยิ่งซาบซึ้ง ความคิดเริ่มเปลี่ยน เห็นทุกข์ของ การมีครอบครัว จึงอยากเรียนรู้ และได้ลองฝึกฝนศีล ๘ ปี ๒๕๓๘ จึงแยกกับพ่อบ้านชั่วคราวฝึกศีล ๘ เคร่งครัด พาลูกที่ยังเล็กๆ อายุขวบกว่า และ ๓ ขวบกว่า มาที่หมู่บ้านราชธานีอโศกทุกวันศุกร์ กลับบ้าน ที่อำเภอ เขมราฐ วันอาทิตย์ หมั่นมาหาหมู่กลุ่ม ส่งสมุดบันทึก ประจำวัน ตรวจศีล ได้เข้าร่วมกิจกรรมกับหมู่ ฝึกกิน ๑ มื้อ และไม่ใช้สบู่ เมื่อมาวัดบ่อยๆ จึงพบเส้นทางชีวิต ที่ชัดเจน ปี ๒๕๔๐ ลาออกจากราชการ เพราะซาบซึ้งธรรมะที่พ่อท่านสอนเรื่องมิจฉาอาชีวะ ต่อมาหย่ากับพ่อบ้าน เปลี่ยนมาเป็นเพื่อนกัน และอยู่ที่หมู่บ้านราชธานีอโศกตั้งแต่นั้นมา เมื่อมาอยู่กับชาวอโศก ช่วยเรื่องการเลี้ยงเด็กสมุนพระราม (เด็กก่อนวัยเรียน)
เพราะจะได้ดูแลลูกเล็กๆ ของตนด้วย ทั้งสอนนักเรียนระดับประถมศึกษา # ปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน เบื้องต้นเมื่อมาอยู่หมู่กลุ่มใหม่ๆ อุปสรรค คือความกลัว ไม่กล้ารับผิดชอบ ไม่อยากเอาภาระ เพราะไปคิดว่า เป็นคนมีลูก ต้องเลี้ยงลูก ให้ดีก่อน แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ทำอย่างที่คิด มีงานต้องช่วยหมู่กลุ่ม จนในที่สุด จึงได้คำตอบว่า ถ้าจะเลี้ยงลูก ให้ซับซาบซึมซับกับ สังคมบุญนิยม แม่ช่วยส่วนกลาง ยิ่งเป็นการเปิดโลกทัศน์ให้ลูก จึงทำงานไปเลี้ยงลูกไป บกพร่องบ้าง แต่ก็พิสูจน์ได้ว่า ลูกมีพัฒนาการที่ดี เมื่อทำงานมาได้ระยะหนึ่งจะเกิดภาวะที่แข็งแรงขึ้น ทั้งฝึกฝนตนเอง และการช่วยเหลืองานส่วนกลางที่มากขึ้นจะเกิดภาวะ มานะอัตตา ทำงานให้ได้ดังใจ ขาดความเห็นใจผู้อื่น เป็นสภาพจิตใจกระด้าง แต่ก็มีเหตุการณ์ ที่กระแทกให้ตื่น และได้เรียนรู้ อารมณ์กิเลสตัวนี้ จึงได้ทบทวน และปรับใจใหม่ เพราะทุกข์กับ สภาวะ ที่ถือสาคน จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ (ตอนที่มีภาวะอารมณ์นี้) แต่จะทุกข์ขนาดไหน ก็ไม่มีวันจะออกจากหมู่กลุ่ม เพราะนึกถึงความยากลำบาก กว่าจะได้เข้ามาอยู่ # แนวทางแก้ไข เกิดภาวะทุกข์จะระลึกถึงอารมณ์ตอนสภาวะคลอดลูก เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องกลั้นใจ เบ่งลูกให้ออก ซึ่งทุกข์นี้ ได้ผ่านมาแล้ว และคิดว่า ทุกข์ในตอน ที่เป็นอยู่นี้ มันไม่เจ็บปวดตรงไหน ใช้เคล็ดลับ ตอนเกิดทุกข์ จะทำงานให้มากขึ้น แปรพลังทุกข์ เป็นพลังงาน เลือกงานที่เหมาะสมกับ การจัดการกิเลส ถ้าเป็นแกนกาม จะทำงานกับคนไม่จมภพ ถ้าเป็นอัตตามานะจะทำงานกับคนที่ได้รับใช้คน สรุปแล้วว่า การทำงานและการอยู่กับคน จะดึงจิตให้ตื่น แล้วใช้เวลา มาทบทวนว่า อารมณ์ที่เกิดนั้น มันเปลี่ยนแปลง อย่าไปเสียเวลาเสียอารมณ์ เมื่อทำงานกับคน จะทำให้เข้าใจคน ให้โอกาส และให้อภัยคน ถือว่าเรามาลดละ ปฏิบัติธรรม เพื่อมารับใช้คน และไม่เฉพาะเจาะจงว่า เป็นชาวอโศก เท่านั้น # ข้อปฏิบัติที่คิดว่ายากที่สุด คือ การให้เวลากับจิตใจ และมองเข้าหาตนเอง
เพราะไม่มีสติเวลาทำงาน ความให้ได้ดั่งใจเอาแต่ใจตัวจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
# ข้อคิดข้อฝากให้หมู่กลุ่ม ถ้าเอาจริงเอาจังกับการปฏิบัติศีล เคร่งที่ตนผ่อนปรนผู้อื่น ได้เห็นอานิสงส์ของศีล ชีวิตนี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การมีลูก ไม่ได้เป็นอุปสรรค ต่อการปฏิบัติ ศีล ๘ สิ่งที่เป็นอุปสรรค คือ จิตใจที่ไม่เอาจริงเอาจัง และได้พิสูจน์ว่า ไม่มีเงินแต่มีศีล สามารถเลี้ยงลูกให้รอดพ้นความมอมเมาของสังคม ทำงาน ๗ ปี ไม่มีบำเหน็จบำนาญ และไม่มีเงินแล้วมาอยู่กับหมู่กลุ่มทำงานกับองค์รวม ช่วยลดอัตตามานะที่ละเอียด ถ้าปฏิบัติธรรมแบบเทวดา อยู่สบาย จะไม่ได้ฝึกทำโจทย์ ลดอัตตามานะ สำหรับครอบครัวแล้ว การแยกทางกัน ไม่ใช่การล่มสลาย ของชีวิตครอบครัว เป็นการยกระดับ ความรัก คือ การปลดปล่อย ซึ่งกันและกัน เพราะสิ้นสุด การเป็นสามีภรรยา แต่จะเป็นญาติ ที่ยังเกื้อกูลกันได้ตลอด ส่วนผู้ที่มาอยู่วัดแล้ว สิ่งที่น่ากลัวคือ สวรรค์ เพราะทำให้ประมาท ไม่ขัดเกลาตนเองเพิ่มขึ้น แต่ชีวิต การปฏิบัติธรรม เราจะอยู่บ้านหรืออยู่วัด สิ่งสำคัญคือ หมั่นทำแบบฝึกหัด ที่อยู่ตามเหตุปัจจัยของตนเอง เพราะการเจริญ ในธรรมะ เป็นภาวะของ จิตวิญญาณ การได้มาอยู่วัด จะมีเหตุปัจจัย ที่เอื้ออวยในการได้ทำแบบฝึกหัด ที่มีแกนลึกและกว้าง เป็นประโยชน์ต่อ การพัฒนา จิตวิญญาณ มากกว่า เป็นชาวพุทธ ที่มีโอกาส เรียนรู้ธรรมะ กับพระโพธิสัตว์ จึงควรรีบขวนขวาย ให้มากที่สุด ที่จะทำได้ เพราะท่านมีเวลาชีวิต เหลือน้อยแล้ว
หน้า ๑๑๖ พระวิมลเถระ ทำบุญ บำเพ็ญ ทุกชาติ ในสมัยของพระพุทธเจ้าวิปัสสีนั้น พระวิมลเถระได้เกิดเป็นชายหนุ่มในตระกูลของนักดนตรีเป่าสังข์ เขาเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญ สำเร็จการศึกษา ศิลปะด้านนี้ เป็นอย่างดี วันหนึ่งได้มีโอกาสพบเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เขาบังเกิดจิตศรัทธาอย่างยิ่ง จึงติดตามบำรุงพระศาสดาตลอดมา และได้อาศัยความเชี่ยวชาญ ทางดนตรี ทำการบูชาพระศาสดา ด้วยการเป่าสังข์ถวายอยู่เสมอ เขาทำบุญสร้างกุศลเช่นนี้ จนตลอดชีวิต ผลบุญที่สะสมไว้นั้น พาให้ไปเกิดเป็นเทวดา(ผู้มีจิตใจสูง) และมนุษย์(ผู้มีใจประเสริฐ)ทั้งหลาย มีเสียงดนตรีอันไพเราะห้อมล้อมอยู่เสมอ แทบไม่รู้จักทุคติ (ทางไปชั่ว) เลย ครั้นสมัยของพระพุทธเจ้ากัสสปะ เขาก็ได้กระทำบุญบำเพ็ญบารมีอีกมาก ด้วยการดูแลหมั่นรดน้ำต้นโพธิ
ทำความสะอาดเจดีย์ เช็ดถูอาสนะ (ที่นั่ง) ของสงฆ์ และช่วยซ่อมแซม หรือหาของใช้ให้แก่สมณะทั้งหลาย
แล้วได้ตั้งจิต(อธิษฐาน)ไว้ว่า เมื่อเข้าสู่สมัยของพระพุทธเจ้า มีอยู่วันหนึ่ง วิมลมาณพได้พบเห็นพุทธานุภาพของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในคราวที่เสด็จพร้อมด้วยสงฆ์หมู่ใหญ่ เข้าสู่กรุงราชคฤห์ ทำให้เขาบังเกิด ความศรัทธา แรงกล้า ปรารถนาออกบวชทันที พอขอบวชได้แล้ว ก็เข้าบวชอยู่ในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญเพียรอริยมรรค เรียนกรรมฐาน (วิธีปฏิบัติ ลดละกิเลส อย่างเหมาะสมกับฐานะ) แต่เพราะเคยร่ำรวย สุขสบายมาตลอด ดังนั้นภิกษุวิมละ จึงไปฝึกฝนตน ที่ถ้ำบนภูเขาในแคว้นโกศล อยู่มาวันหนึ่ง หมู่เมฆปกคลุมทั่วท้องฟ้าทั้งหมด มืดครึ้มน่ากลัว ฝนห่าใหญ่ตกลงมาอย่างหนัก
ลมก็พัดรุนแรง ฟ้าแลบแปลบปลาบ ภิกษุวิมละ อาศัยเหตุการณ์นี้วิปัสสนา (อบรมปัญญา
ให้เกิดความรู้แจ้งเห็นจริง) ในทันที จิตของภิกษุวิมละพิจารณาดังนี้แล้ว ก็มีอารมณ์เป็นหนึ่ง ตั้งมั่นด้วยดี
ด้วยโลกุตระสมาธิ ปราศจากความวิตกกังวลใดๆ กิเลสทั้งปวงก็ดับสิ้น ไม่มีความกลัวอะไรๆ
ในโลกนี้อีก ได้บรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง พอรู้ว่าได้บรรลุแล้ว
พระวิมลเถระถึงกับเปล่งอุทานว่า - ณวมพุทธ -
หน้า ๑๑๘ # # # สันติอโศก สันติอโศกตอนนี้คนมาอยู่มากมายเพราะเหตุการณ์ทางการเมืองที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ชาวอโศกได้รับความรู้ด้านการเมืองการปกครอง ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์ พวกเราไปศึกษาที่ข้างทำเนียบรัฐบาลตลอดเดือนเลยทีเดียว ทำให้ชาวอโศกได้ฝึกตนเองในความอดทน และสัมพันธ์กับ บุคคลภายนอก หลากหลายอาชีพ นี่แหละทำให้ชาวอโศกได้เข้มแข็งมากกว่าเดิมทั้งส่วนบุคคลและส่วนรวม พ.๑ ประชุมทีมบริหารการศึกษาสัมมาสิกขา ขอกราบคารวะแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้าและพระอาริยเจ้าทั้งหลาย
อย่างสุดเกล้าสุดเศียร # # # ปฐมอโศก หมู่เรากองทัพธรรม รวมพลทั่วสารทิศ ร่วม กับพันธมิตรฯ ทำกิจกรรม ร่วมชุมนุมข้างทำเนียบ
ภารกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ร่วมคัดค้านเข้าข้างความถูกต้อง งานของเราคือ ไปเป็นผู้รับใช้ ทำ ๕ ส. และตั้งโรงบุญฯ ทำสื่อ พิมพ์หนังสือ
แจกเป็นแสนกว่าเล่ม ทำซีดีแจก ซึ่งเป็นของท่านผู้รู้มาบรรยาย และการแสดงธรรม ของพ่อท่าน
แสน กว่าแผ่น ผลิตเสื้อสกรีนคำว่า อหิงสา อโหสิ จำหน่ายราคาต่ำกว่าทุน สินค้าคุณภาพดี
ราคาถูก ได้รับความสนใจอย่างมาก อา.๑๒ ปิดเทอมปลายภาค เปิด ๒ พ.ค. ๔๙ อา.๑๙ ให้นักเรียน ม.๖ ที่เรียนจบปีนี้ ไปทำพิธีรับกลด ที่ข้างทำเนียบฯ
ซึ่งมีนักเรียนที่จบการศึกษา ปีนี้ รวม ๖๕ คน # # # ศาลีอโศก สภาวะเหตุการณ์ความเป็นไปในเดือนนี้ ไม่มีอะไรมากมาย เพราะอยู่ในช่วงที่เด็กนักเรียนปิดเทอม ส่วนชาวชุมชนส่วนใหญ่ ไปร่วมชุมนุมคัดค้าน ผู้นำที่ขาดความชอบธรรม ในการปกครองประเทศ ที่ท้องสนามหลวง และหน้าทำเนียบรัฐบาล ตามหน้าที่ของพลเมืองดี ที่เห็นความไม่ชอบธรรม ที่เกิดขึ้นในสังคม ภายในชุมชนจึงเหลืออยู่แต่ผู้มีอายุยาวเป็นส่วนมาก อาจจะมีบางผู้บางคนที่เวียนไปเวียนมาบ้าง ส่วนแขกที่มาเยี่ยม ดูงานวิถีชีวิตชาวชุมชน ก็มีบ้างตามปกติ จึงสรุปได้ว่า ในเดือนนี้ ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เป็นพิเศษ เหตุการณ์รายวัน * ข้อคิดสุดท้าย นักสู้ที่แท้จริง ต้องทรงคุณธรรม # # # สีมาอโศก พุทธสถาน สีมาอโศกสำหรับเดือนนี้ ตลอดทั้งเดือน สมาชิกชุมชนสีมาอโศก ไปร่วมชุมนุมประท้วงอย่างสันติ
อหิงสา อโหสิ และเดินขบวน ร่วมกับ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประมาณ
๓๐ องค์กร ซึ่ง เป็นการเดินขบวนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ มีผู้เข้าร่วมหลายแสนคน
จากสนามหลวง สู่ทำเนียบรัฐบาล ปีนี้เป็นการทำข้อสอบชั้นพิเศษ ได้ตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมจะเจริญยิ่ง
พวกเราได้ฉลองปัญญาสมโภชไปในตัว มีขันติบารมี เมื่อเจอผัสสะต่างๆ ได้เรียนรู้ ตัวตนของกิเลสที่เกิดขึ้น
มีทั้งราคะ ปฏิฆะ โกธะ โทสะ โมหะ ได้ทำประโยชน์ตน (ล้างกิเลส) และประโยชน์ท่าน
(ช่วยเหลือสังคม) การประท้วง (Protest) สิ่งที่ไม่ชอบธรรม ในการทำหน้าที่บริหารปกครองประเทศ
ของผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ซึ่งเกิดวิกฤตทางการเมือง อย่างรุนแรง
พวกเราจึงขอให้ฯพณฯนายก ลาออกจากตำแหน่ง สภาพบรรยากาศภายในพุทธสถาน อากาศ ร้อน ฝนตกเป็นช่วงๆ ต้นไม้เขียวสดชื่นดี สุดท้ายนี้ ขอฝากข้อคิดว่า.... การไม่รู้ตัว เป็นบาปอย่างยิ่ง # # # ภูผาฟ้าน้ำ บรรยากาศภูผาฟ้าน้ำเดือนนี้ ฤดูหนาวเริ่มร่ำลาจากไป ฤดูแล้งร้อนเริ่มคืบคลานเข้ามา ใบไม้แห้งร่วงหล่นลงสู่ผืนดิน เหมาะเหลือเกินที่จะเป็นเชื้อไฟ แล้วก็เป็นดังคาดหมาย กลางๆเดือนไฟป่าเริ่มไหม้มาใกล้ แต่โชคดีที่ปีนี้ กรมป่าไม้มาช่วยสกัดดับไฟ และช่วงปลายๆเดือน มีฝนโปรยปรายลงมาบ้าง ทำให้ภูผาฯปลอดภัย เพราะเดือนนี้สมาชิกชุมชนไม่อยู่เป็นส่วนมาก เพราะไปช่วยชุมนุม ขอร้องให้ฯพณฯนายก ลาออก เนื่องจากขาดจริยธรรม ส่วนนวกะก็ไม่ได้อยู่เช่นกัน ไปให้กำลังใจญาติโยมที่ไปชุมนุม ณ ท้องสนามหลวง และข้างทำเนียบรัฐบาล ทำให้ภูผาฟ้าน้ำที่เงียบสงบเป็นปกติอยู่แล้ว ยิ่งเงียบสงบลงอีก โชคดีที่คนเฝ้าได้รับฟังเทศน์ออนไลน์จากพ่อท่านเกือบทุกวัน จึงพอได้รับรู้ข่าวคราวอยู่บ้าง * เหตุการณ์ทั่วไป * ฝากท้ายด้วย พุทธศาสนสุภาษิต # # # ราชธานีอโศก อากาศหนาวเย็นหวนกลับมาเยือน ต้อนรับเดือนใหม่ หนาวขนาด ๑๕ องศาเซลเซียส
หนาว ๓-๔ วัน แล้วจากไป กลับมาหนาวอีกครั้งในวันที่ ๑๓-๑๕ พร้อมกับฝนโปรยปราย
แล้วก็จากไป เรียกว่าฤดูหนาวสลับฤดูร้อน แบบพลิกหน้ามือหลังมือเลยทีเดียว * บ้านราชฯ วันนี้ * ฝากข้อคิดสุดท้ายว่า - สมณะกล้าตาย ปพโล - # # # ทักษิณอโศก เดือนมีนาคมนี้ สังฆสถานทักษิณอโศก เงียบ เหงาทั้งเดือน ช่วงต้นเดือนฝนก็แล้ง ทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉา แต่พอปลายเดือนมีฝนตกลงมา ทำให้ต้นไม้เขียวชอุ่ม ผักพื้นบ้านต่างเริ่มแตกยอดให้เก็บกิน ช่วงนี้คนน้อย ทำให้ผลไม้และผักเหลือกิน ได้วางขายที่ร้านรวมบุญเกือบทุกวัน แม้ว่าทักษิณอโศกจะอยู่ไกล จากส่วนกลาง แต่ ได้เกาะติดข่าว มีการออนไลน์ทาง โทรศัพท์ และดูการถ่ายทอดสดจาก ASTV ทุกวัน มีน้องเลี้ยงที่เคยอบรมเดินทางมาจากสงขลา มาถามว่าทำไมสมณะต้องไปยุ่งเรื่องการเมืองด้วย ชาวชุมชนได้อธิบาย แต่เมื่อเขาไม่เปิดรับ อธิบายไป ก็เปล่าประโยชน์ ส่วนญาติธรรมที่มีแรงศรัทธาพ่อท่าน และรักประเทศชาติ ยังปลีกตัวลางานมากู้ประเทศชาติของเรา * เหตุการณ์ต่างๆในเดือนนี้ - นางสาวยังกุศล จูงยัง - # # # สังฆสถานหินผาฟ้าน้ำ อ.แก้งคร้อ ชัยภูมิ ธรรมาธรรมสงคราม ระหว่างอสูรกับเทวดา ผลัดกันรุก ผลัดกันถอย * เดือนนี้มีอะไร? * มรณัสสติ * คติธรรมสะกิดใจ
หน้า ๑๒๘ สรุปรายงานการประชุม สรุปรายงานการประชุม สรุปรายงานการประชุม สรุปรายงานการประชุมคณะกรรมการธรรมทัศน์สมาคม สถิติเผยแพร่สัจธรรม ธรรมปฏิกรรม ธรรมพิมพ์ ธรรมปฏิสัมพันธ์ สถิติธรรมโสต มนุษย์มีเชาว์ปัญญา
หน้า ๑๓๐ ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ '๔๙ ครั้งที่ ๓๐ รถด่วนขบวนสุดท้าย.....มาแล้ว # # # อโศกสร้างคน คนสร้างเมือง # # # ชีวิตมนุษย์สีขาว # # # ชีวิตที่งดงาม # # # จะเดินเองหรือถูกบังคับเดิน ? # # # เศรษฐกิจพึ่งตน # # # ปฏิบัติธรรมต้องรู้จักทฤษฎีเสือหลับ "ในส่วนของการช่วยงานที่ชุมชนร้อยเอ็ดอโศก ก็ทำให้กระผมทำงานเสียสละในจุดที่ไม่ค่อยมีคนทำ
คือ งานเก็บหางล้างภาชนะโรงครัว ทั้งๆที่บางครั้งใจไม่อยากทำ แต่กระผมก็ต้องบังคับใจตัวเองทำ
ต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่าต้องเป็นเรา คนอื่นเขาไม่ทำก็เป็นเรื่องของคนอื่น
แต่เราต้องทำเพราะงานจุดนี้ได้เห็นตัวกิเลสตัวขี้เกียจ ตัวรังเกียจของตัวเอง
ตัวถือสาคนอื่นชัดมาก....." นำจดหมาย ๒ ฉบับมาอ่านสู่กันฟัง เพื่อจะย้ำเน้นว่า หากไม่มีโจทย์ก็ไม่มีโอกาสหลุดพ้น
ผัสสาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมี กิเลสก็เหมือนเสืออยู่ในตัว ยามหลับเราก็นึกว่าพ้น
หากต้องการ"พ้นทุกข์"จริง เราก็จำเป็นต้องมี"เด็กแหย่เสือ"
จึงอย่าไปนึกเบื่อหน่ายเด็กเหล่านี้เลย กลับจะต้องขอบคุณเขาเสียอีก จุ๊ย์ๆๆ # # # เส้นทางชีวิตชาวอโศก # # # ผิดเป็นครู # # # ของดีจากประธานฯ # # # พ่อท่านคิดอะไร? คนเราถ้าซื้อของเงินสดต้องประมาณ ถ้าเครดิตก็ประมาท ปล่อยปละละเลย ซื้อสดขายสดกันเลย
ไม่มีทุกข์ตามธรรมของพระพุทธเจ้า ทำให้เกิดความเชื่อถือ คุมดีมานด์ ซัพพลาย
คนซื้อ คนขาย คนผลิต ออเดอร์มาของจะขายเท่าใด ประมาณใด ก็จะไม่เหลือมากมาย
ถ้าเราปรับขึ้นมาเป็นบุญนิยมอย่างแท้จริง ค่อยทำไป เราจะรู้ มีรายละเอียด มีเท่าไรทำเท่านั้นจริงๆ ระวัง! อย่าไปแข็งกร้าวเกินไป มีข้อบกพร่องบ้าง บางรายก็ช่างมัน เหลือแต่พวกเรา คำตอบอยู่ที่คน เราจะฉลาดรู้เอง" หมายเหตุ คัดจากโอวาทพ่อท่าน ในรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัทฟ้าอภัยจำกัด ครั้งที่ ๒/๒๕๔๒ ๒๗ มีนาคม ๒๕๔๒ # # # หมูยังกลัว # # # คติประจำฉบับนี้
หน้า ๑๓๗ บนถนนยังมีคนดี เช้าวันหนึ่งบนถนนสายที่ ๑๑ ลำปาง เด่นชัย ผู้เขียนกับพระอาจารย์ได้ขออาศัยรถของชายหนุ่มผู้ใจดีท่านหนึ่ง
เดินทางมาร่วมงานศพ ที่เชียงใหม่ ระหว่างรถแล่นไป ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งมาโบกรถข้างถนน ชายหนุ่มที่ผู้เขียนขอร่วมทางมาด้วยจอดรถลงไปดู ปรากฏว่า รถที่ชายหนุ่มขับมานั้น ยางหน้า ระเบิด หนุ่มผู้ใจดี ลงไปช่วยเปลี่ยนยางให้ ผู้เขียนได้ลงไปพูดคุย กับชายหนุ่ม ที่รถยางระเบิดนั้น จึงทราบว่า รถยางระเบิด ตั้งแต่ตี ๔ แล้ว และ ก็ได้ติดต่อ ขอความช่วยเหลือ ไปยังเจ้าหน้าที่ ที่คิดว่าจะช่วยได้ เจ้าหน้าที่ว่าจะมาช่วย แต่ก็ยังไม่เห็นมา หลังจากชายหนุ่ม ได้ช่วยเปลี่ยนยางให้ จึงขับรถมา ระหว่าง ขับรถมา ก็ได้เห็นดินภูเขาถล่มลงมา บนถนนหลายจุด ชายหนุ่มนั้น จึงสันนิษฐานว่า รถยางระเบิดนั้น สาเหตุน่าจะมาจาก เศษหิน ที่ถล่มมา กับดินภูเขา เนื่องจากว่า เมื่อชายหนุ่มที่รถยางระเบิด ได้ให้นามบัตรแก่ชายหนุ่มผู้ใจบุญไว้ ชายหนุ่มผู้ใจบุญจึงโทรศัพท์ไปบอกว่า สาเหตุที่ยางระเบิด น่าจะเป็นเหตุ มาจากหินภูเขา ถล่มตกลงมาในถนน สังคมใดหากมีผู้ใจดี ใจบุญ พร้อมที่จะเสียสละอยู่ในสังคมใด สังคมนั้นก็จะเป็นสังคมที่น่าอยู่สงบเย็นเป็นสุข
หน้า ๑๓๘ เก็บเล็กผสมน้อย เผย นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา บรรณาธิการวารสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ปัจจุบันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นอาหารที่ ประชาชน นิยมบริโภคกัน อย่างแพร่หลาย เป็นอาหารของคนยาก แต่จากการสำรวจ ของนิตยสาร ฉลาดซื้อ ในการสำรวจ ปริมาณ โซเดียม ในเครื่องปรุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จากรสชาติ ที่นิยม เป็นหลัก เช่น รสต้มยำกุ้ง รสหมูสับ พบว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เกือบทั้งหมด ในท้องตลาด มีปริมาณ โซเดียมสูง โดยแต่ละยี่ห้อ ปริมาณโซเดียม จะไม่ต่างกันมากนัก นายอิฐบูรณ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้จากบัญชีสารอาหารของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) แนะนำให้บริโภคโซเดียม ไม่เกิน ๒,๔๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน แต่ปริมาณ โซเดียมในเครื่องปรุง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในแต่ละห่อ สูงถึง ๕๐-๑๐๐ % ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม การออกมา ให้ข้อมูล ในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการ ให้สังคมตื่นตระหนก เพียงต้องการ ให้คนไทยบริโภค อย่างระมัดระวัง เท่านั้น ด้านนพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉิน กล่าวว่าโซเดียมเป็นแร่ธาตุตัวหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของร่างกาย แต่เมื่อได้รับ เป็นปริมาณมาก หรือน้อยเกินไป ก็จะทำให้เกิด ความผิดปกติต่อร่างกาย เช่น ถ้าได้รับปริมาณ ที่มากเกินไป จะทำให้เกิด โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ไตวาย ฯลฯ ซึ่งในบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูปมีปริมาณโซเดียมที่สูง หากประชาชน ลดการบริโภคลงได้ ก็จะทำให้สุขภาพดีขึ้น ซึ่งขณะนี้ หลายประเทศ กำลังพยายาม รณรงค์ ให้ประชาชน ในประเทศของตน ลดปริมาณการบริโภค โซเดียมลง ขณะที่รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า แป้งเป็นส่วนประกอบหลัก ในบะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป ประมาณ ๖๐-๗๐ % รองลงมา คือไขมัน ที่อยู่ในเครื่องปรุง ประมาณ ๑๕-๒๐ % และอีก ๕-๖ % คือเกลือและผงชูรส ซึ่งการรับประทาน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป หนึ่งห่อ จะได้รับ โซเดียม สูงถึง ๕๐-๑๐๐ % ของความต้องการ ของร่างกาย ดังนั้นอีกหนึ่งทางเลือกในการในการบริโภคให้ปลอดภัยและได้คุณค่า จึงควรลดเครื่องปรุงให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่งหรือน้อยกว่านั้น และหากห่วง เรื่องความเข้มข้น ควรลดน้ำร้อน ลงครึ่งหนึ่งเช่นกัน ทั้งควรเติมเนื้อสัตว์และผักลงไป เพื่อให้ร่างกายได้รับ สารอาหาร เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ควรบริโภค บะหมี่ กึ่งสำเร็จรูป ติดต่อกันประจำ เป็นเวลานาน เพราะเสี่ยงต่อ การได้รับโซเดียม มากเกินไป จนเกิดการสะสม ในร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิด โรคต่างๆ ตามมา รศ.ดร.ประไพศรี กล่าวต่อว่า ปัจจุบันในบัญชีสารอาหารที่แนะนำให้ควรบริโภคในปี ๒๕๔๖ สำหรับผู้ชายควรบริโภคโซเดียมในแต่ละวันประมาณ ๔๗๕-๑,๔๗๕ มิลลิกรัมและสำหรับผู้หญิงอยู่ที่ประมาณ ๑๐๐-๑,๒๐๐ มิลลิกรัม จะเห็นได้ว่าเป็นปริมาณที่ลดลง ซึ่งขณะนี้ อย. กำลังดำเนินการ จัดและปรับปรุง บัญชีสารอาหาร ที่แนะนำให้ควรบริโภค ต่อวันใหม่ คาดว่าปริมาณโซเดียมที่แนะนำให้ประชาชนบริโภค จะลดลงอีกแน่นอน จึงอยากให้ ผู้ประกอบการ ได้ลดปริมาณ โซเดียม ในเครื่องปรุงลง ซึ่งจะเป็น การลดต้นทุน ในการผลิต และยังเป็นการดูแลสุขภาพ ของประชาชนอีกด้วย รศ.ดร.ประไพศรี กล่าวด้วยว่า สำหรับแหล่งโซเดียมจะพบได้ที่เครื่องปรุงรสต่างๆ เช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ผงชูรส ซึ่งในซีอิ๊ว ๑ ช้อนชา จะมีปริมาณโซเดียมถึง ๑,๐๐๐-๑,๒๐๐ มิลลิกรัมและเกลือ ๑ ช้อนชา จะมีปริมาณโซเดียมสูงถึง ๒,๔๐๐ มิลลิกรัม จะพบว่า ในการรับประทานอาหารแต่ละวัน จะได้รับปริมาณโซเดียม ที่สูงเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ เนื่องจากประชาชนนิยมบริโภคอาหารที่มีรสจัดและติดรสเค็ม จึงขอให้ประชาชนควบคุมและระมัดระวังการบริโภคโซเดียมไม่ให้เข้าสู่ร่างกายมากเกินไป
รวมทั้งลดปริมาณเครื่องปรุงในบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป จะสามารถควบคุมการบริโภคโซเดียมไม่ให้ร่างกายได้รับมากเกินไป
ซึ่งต่างจากการบริโภคอาหารสำเร็จรูปประเภทอื่นที่ไม่สามารถควบคุมด้วยตนเองได้
หน้า ๑๔๐ ฉบับนี้ เป็นการรายงานผลการดื่มฉี่ของสมาชิก นำเสนอค่ะ ท่านแรก จาก คุณเชี่ยวชาญ ขอฝากรายงานผลนี้ไปคอลัมน์ น้ำฉี่ดีจริงหรือด้วยครับ สุดท้ายนี้ ขออวยพรให้คอลัมน์ น้ำฉี่ดีจริงหรือ อยู่คู่คนรักสุขภาพตราบนานเท่านานครับ ท่านที่ ๒ คุณสมสมัย จากจ.ลำปาง ท่านที่ ๓ จากคุณลุงหนู จ.สกลนคร
หน้า ๑๔๑ กรรมตามสนอง เรื่องราวของคนตัดมือลิงนี้ เล่าเรื่องโดยจ่าสิบตรีประสิทธิ์(ทรายเมือง) โสระแสน อาชีพรับราชการตำรวจ อยู่บ้านเลขที่ ๕๓ หมู่ ๑๒ ต.เอราวัณ อ.เอราวัณ จังหวัดเลย จ่าสิบตรีประสิทธิ์ได้เล่าเรื่องจริง ให้กับผู้เขียน(ก่อแก่น)ฟังว่า เมื่อปีพ.ศ.๒๕๓๑ ขณะผมรับราชการอยู่ศูนย์อพยพ อ.ปากชม มีลูกน้องอยู่คนหนึ่งชื่อนายเดช เป็นอ.ส. เขาเล่าถึงเรื่องของวิบาก ที่เขาได้รับมา ให้กับกระผม ฟังว่า เขาเป็นคนมีฐานะยากจน ไม่มีที่ดินทำกิน ตอนแต่งงานใหม่ๆ เขาก็เลยชวนภรรยา ไปถางป่า อยู่แถวๆ ตีนภู เพื่อปลูกข้าวโพด พอปลูกข้าวโพด แล้วเขาก็ดูแล จนข้าวโพดออกฝัก มีอยู่วันหนึ่งเขาไปดูแลข้าวโพดของเขาเหมือนมีใครมาลักโขมยหักเอาข้าวโพดของเขาไป พอเขาเห็นเท่านั้นเขาก็คิดว่า พรุ่งนี้เช้า เราจะมา แอบดูซิว่า ใครมันคือ เจ้าหัวขโมยที่แอบมาาลักเอาข้าวโพดของเราไป เช้าวันต่อมา เขาก็ได้เดินทางไปที่สวนข้าวโพดของเขาแต่เช้ามืด แล้วเขาก็นั่งซุ่มแอบดูอยู่ห่างๆ สักครู่ก็มีฝูงลิงฝูงหนึ่ง พากันลงมา จากภูเขา แล้วหักเอา ข้าวโพด ของเขาไปตัวละฝักสองฝัก พอเขารู้ว่า เจ้าหัวขโมย ที่แอบมาลักเอาข้าวโพดของเขา คือเจ้าพวกลิงจ๋อ เขาก็เลยกลับไปบ้าน เพื่อทำบ่วงมาดัก บ่วงนั้นทำจากลวด สายเบรค รถจักรยาน พอทำบ่วงเสร็จ เขาก็เอาไปดักไว้ตามต้นข้าวโพด วันต่อมาเขาก็มาดูผลงานของเขา ปรากฏว่ามีลิงสองตัวมาติดบ่วงของเขา พอเขาเห็นเจ้าลิงจ๋อมาติดบ่วงของเขา เขาทั้งโกรธ ทั้งแค้น เขาจึงบ่นด่า เจ้าลิงจ๋อ ไปต่างๆนานาว่า มึงมาติดบ่วง ของกูแล้วเหรอ เจ้าพวกลิงหัวขโมย มึงรู้ไหมว่า กว่าข้าวโพดที่กูอุตส่าห์ปลูก จะออกฝักออกผลนี้ กูกับเมีย ต้องถากถางป่า แล้วต้องปลูกข้าวโพด กูต้องเหน็ดเหนื่อย ขนาดไหน แล้วมึงจะมาลัก ข้าวโพดของกูไปกินฟรีๆ แบบนี้ มันไม่เอาเปรียบกัน ไปหน่อยหรือเพื่อน ดีละ โทษของมึง มาขโมยข้าวโพดของกู คราวนี้ กูจะตัดมือพวกมึงทิ้งเสีย เพื่อพวกมึง จะได้ไม่มีมือ มาขโมย ข้าวโพด ของกูอีก พูดพลางเขาก็เดินไปจับเอาลิงทั้งสองที่ติดบ่วงอยู่นั้นไปที่ตอไม้ แล้วเขาก็จับเอามือของลิงวางลงบนตอไม้ จากนั้นเขาก็ใช้มีด ฟันลงไป ที่มือของลิง จนขาดด้วน ทั้งสองตัวเลย พอเขาทำกรรมกับลิงจนหนำใจของเขาแล้ว เขาก็ปล่อยให้ลิงทั้งสองนั้นเข้าป่าไป พอลิงโดนปล่อย เสียงของมัน ร้องไห้ โหยหวน อย่างเจ็บปวด ชวนให้น่าสงสารยิ่งนัก แล้วพวกมันเดินขึ้นภูหายไป แต่พระพุทธองค์ท่านตรัสสอนไว้ว่า ผู้ใดทำกรรมใดไว้ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม ผลแห่งกรรมย่อมจะเป็นของผู้นั้นโดยแท้ อยู่ต่อมาอีกไม่นาน เมียของนายเดชคนนี้ ก็ตั้งท้องแล้วคลอดออกมาเป็นผู้หญิงปรากฏว่า มือด้วนทั้งสองข้าง หน้าตาเนื้อตัวจะมีขนดก คิ้วก็ดกคล้ายๆลิง เขาก็นึก ขึ้นมาทันทีว่า กรรมได้ตามมาสนองเข้าให้แล้ว อยู่มาอีกประมาณ ๓ ปี เมียเขาก็ตั้งท้องอีกเป็นท้องที่สอง พอคลอดออกมาเป็นผู้ชาย แขนก็ด้วนทั้งสองข้างเหมือนลูกคนแรก หน้าตาเนื้อตัวมีขน เหมือนกัน เปี๊ยบเลย กับพี่สาว พี่สาวเห็นน้องตอนแรกก็เข้าไปกอด พี่น้องคู่นี้ต่างก็รักใคร่กันดี จะไปไหนก็ไปด้วยกัน ด้วยการ ให้น้องขึ้นขี่หลังไป สองผัวเมียคู่นั้น เห็นลูกทั้งสองแล้ว ก็เกิดจิตสลดหดหู่ในผลกรรมที่ตัวได้เคยกระทำลงไป คิดไม่ถึงว่า วิบากกรรมจะตามมาสนองเร็วถึงขนาดนี้ จ่าสิบตรีประสิทธิ์ โสระแสน กล่าวกับผู้เขียนในที่สุด - ก่อแก่น -
หน้า ๑๔๓ เอาแต่ใจตัว คือ ชั่วโดยอัตโนมัติ สมัยเมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็กมีอาหารการกินค่อนข้างสมบูรณ์ กับข้าวบนโต๊ะในแต่ละวัน มีเกือบ ๑๐ อย่าง เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ บ้านของเราเป็นร้านขายไม้ มีคนงาน หลายสิบคน เมื่อทำกับข้าวก็จะแบ่งเป็น ๒ โต๊ะเสมอ หลังจากที่ลูกค้ารายใหญ่เบี้ยวหนี้ โรงไม้ก็มาถึงกาลอวสาน เราหมุนเงินไม่ทัน พ่อแม่จึงต้องหนีหนี้ คุณย่าก็มาดูแลหลานๆแทน โรงไม้ปิดเงียบ พวกเรา พี่น้อง อยู่กันตามปกติ วันดีคืนดีก็มีเจ้าหนี้ย่อยมาทวงหนี้ ยังไม้แปรรูปที่ขายเล็กๆน้อยๆได้เงินมาซื้อกับข้าว วันหนึ่ง ขณะที่อาหารตั้งบนโต๊ะซึ่งเหลืออยู่แค่ ๒-๓ อย่าง ข้าพเจ้าชะเง้อดูก็พูดออกมาว่า "อาม่า ไม่เห็นมีอะไรกินเลย..." กับข้าวน้อยอย่าง ทำให้ข้าพเจ้า รู้สึกกับข้าว อร่อยหายหมด อาม่าตอบเสียงเขียว "มีให้แดกก็บุญแล้วนะ !�" หลังจากวันนั้นข้าพเจ้าไม่เคยกินยากอีกเลย มีอะไรก็กินได้ ธรรมะจากอาม่า ทำให้ข้าพเจ้ากินง่ายตั้งแต่วันนั้น.....
จับผิด ฉันยิ้มแบบผักกระเฉดโดนจิ้ม ก็จริงของเขา อาจจะเป็นเพราะเรามัวแต่คิดเรื่องทำตัวง่ายๆ
จนลืมคิดถึงการวางระบบ "คนอะไรใจดำ แทนที่จะแก้ไข กลับคอยจ้องดูพฤติกรรมของคนที่ผิดพลาด แล้วก็เอาแต่ด่าๆๆๆ การปฏิบัติธรรมลดละกิเลส ผลแห่งการพากเพียร-อดทน-ข่ม-ฝืน-ธรรมวิจัย ย่อมเกิดสภาวะสว่างโพลงดั่งรู้แจ้งเห็นแจ้งสภาวะเหล่านี้ เมื่อเกิดทุกครั้ง จิตใจของเราจะหลุดร่อน ผ่อนคลาย เราจะนำประสบการณ์เหล่านี้มาเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นกำลังใจ และเพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติแก่กันและกัน
เชิญชวน ขอเชิญญาติธรรม ที่มีประสบการณ์ ส่งไปเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นธรรมทาน
หน้า ๑๔๔ ความลำบากอยู่ที่ใจ อย่ากังวลเมื่อเผชิญกับความลำบาก ชีวิตที่ไม่เคยลำบากเป็นอะไรที่น่าสมเพชมะลืดชืด ไร้รสชาติ ไม่ท้าทาย ไม่ภาคภูมิ ไม่เชื่อมั่นในตน อุปสรรคสร้างคน วจนะนี้เราได้ยินกันบ่อยข้าพเจ้าขอตรานัยอันลึกลงไปอีกว่า "ความลำบากสร้างจิตวิญญาณ" ชีวิตที่เผชิญความลำบากมาสาหัสสากรรจ์ วิญญาณคนคนนั้นจะกล้าแกร่ง ดุจเหล็กกล้าต้องผ่านกระบวนหลอมด้วยความร้อนสูง จึงจะออกมาเนื้อดี กว่าจะได้ดาบอันคมกริบต้องผ่านการทุบตีนับครั้งไม่ถ้วน เราพึงเผชิญความลำบากด้วยจิตที่มั่นคงคัมภีรภาพ อย่ากังวลใจ เพราะมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
รังแต่ทำลายสมาธิ และบั่นทอนไหวพริบปฏิภาณเราให้ลดลง คนที่ทอดทิ้งความลำบาก เราจะขี้ขลาดหวาดกลัว ไม่อดทน ไม่กล้าที่จะเผชิญกับโลกแห่งความจริง เมื่อพบกับความผิดหวัง ยากจะทำใจยอมรับได้ บางคนถึงกับบ้าและฆ่าตัวตายก็มี คนฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งเกิดจากไม่เห็นค่าในชีวิต คนเช่นนี้มีชีวิตสุขสบายมาแต่เกิด เพราะไม่เคยผ่านกระบวนต่อสู้กับความลำบาก ยามผิดหวัง จึงคิดชีวิต ช่างไร้ค่า ไม่คิดสู้ และไม่คิดอยู่บนโลกนี้ในที่สุด คนเคยลำบาก รู้ว่าชีวิตมีค่าสักเพียงไร กว่าจะผ่านอุปสรรคมามันยากเย็นแสนลำเค็ญ เหตุนี้คนที่ปากกัดตีนถีบ จึงไม่คิดฆ่าตัวตาย คิดแต่ว่า พรุ่งนี้ ทำอย่างไร ให้ชีวิตอยู่รอด ไม่อดตาย..... หากเราจะใช้ปัญญามองอย่างลึกซึ้ง..... แท้จริงความลำบากมิได้อยู่ที่งาน หรืออุปสรรดใดทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ใจเราเอง ใจที่รู้สึกว่าต้องฝืนกับสิ่งนั้นๆ เกิดอารมณ์ไม่ชอบไม่อยากจะทำ จึงรู้สึกว่ามันเป็นความลำบาก แม้อุปสรรคเล็กน้อยเรายังมองเห็นใหญ่โตได้ เพราะใจมันรู้สึกต้านเสียแล้ว ง่ายปานใดกับกลายเป็นลำบากได้ทั้งนั้น ความลำบากอยู่ที่ใจเรา.... มันอยู่กับเราเสมอ ติดตามเราไปทุกแห่งหน ตราบใดเราไม่สามารถอยู่เหนือใจตน เรายังต้องฝืนสู้กับความลำบาก แก้ที่ใจเรา ให้คลายความลำบากจะดีกว่า ทำอารมณ์ความรู้สึกให้เต็มร้อย ทำใจให้รักในสิ่งอันเราต้องกระทำ
อาจเป็นงานที่หนักน่าเบื่อ ผลตอบแทนน้อย แล้วใจเรา จะไม่ลำบากอีกต่อไป... |
|