สารอโศก ฉบับ ๒๙๕ หน้า ๑๙ ตอน....กู้ชาติ กู้ศาสนา ในบทเรียนประชาธิปไตยที่งดงาม ถ้าแม้จะแพ้พ่าย ก็ภาคภูมิที่ได้เสียสละ (๒) มีนาคม ๒๕๔๙ ๙ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่สนามหลวง หลังบิณฑบาตแล้วมีกลุ่มนักศึกษาต่างชาติ ๓๐ คน กำลังศึกษาที่ ม.ขอนแก่น ตามโครงการ แลกเปลี่ยน CIEE อาจารย์ฝรั่ง ที่นำมา พูดภาษาไทยได้ดีมาก ดูจะมีความรู้ สังคมไทยมากทีเดียว และ ได้นำนักศึกษา ไปเรียนรู้ ใช้วิถีชีวิต ที่หินผาฟ้าน้ำมาแล้ว วันนี้ได้นำ นักศึกษา เรียนรู้ และสนทนา กับพ่อท่าน จากบางส่วน ของการสนทนา ดังนี้ ถาม : นักการเมืองก็มีคอรัปชั่นเยอะแยะนานมาแล้ว ทำไมถึงเข้าร่วมครั้งนี้ พ่อท่าน : อาตมาเห็นว่า มันถึงจุดที่ธรรมะ จะต้องแสดงออก อย่างนี้ เพราะครั้งนี้ มันทุจริตหยาบ และจัดจ้าน มากกว่า ที่ผ่านมา แล้วไม่ละอาย อ้างกติกา อ้างกฎหมาย ปิดกั้นสื่อ แล้วรวบอำนาจ กุมกลไก ในการตรวจสอบ ต่างๆ มากกว่า ยุคไหนๆ ขณะที่ผู้หลงเชื่อ สนับสนุน มีจำนวนมาก แต่เราเห็นว่า ขาดความชอบธรรม จึงจำเป็น ที่เราจะต้องร่วม เพื่อแสดงออก ว่าท่านผู้นำ ไม่ถูกต้อง เรามีความเห็นว่า นักการเมือง ควรจะซื่อสัตย์ ควรจะไม่ คอรัปชั่น ควรจะไม่ทำอะไร ที่ไม่ดีไม่งาม ยิ่งเป็นนักการเมือง ยิ่งควรจะต้อง เป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนดีงาม เป็นคน ที่เสียสละ เพราะเหตุว่า นักการเมือง ไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีลธรรม ไม่มีจริยธรรมเพียงพอ นักการเมือง จึงเป็น อย่างที่เป็นอยู่ เราจึงมีความเห็นว่า ควรจะต้อง ให้เอาศีลธรรม เอาคุณธรรม เข้ามาใกล้ นักการเมือง เข้ามาใส่ลงไป ในนักการเมือง เพราะว่า การที่แยกการเมืองกับ การศาสนา หรือ ธรรมะออกจากกันเนี่ย เป็นเรื่องเสียหาย ถาม : สมมติมีนักการเมือง ที่มีพฤติกรรมส่วนตัว ไม่ค่อยดีนัก แต่ว่าไม่มีผลกระทบ ต่อการทำหน้าที่ เป็นผู้นำ ในการปกครอง บ้านเมือง อันนี้ เป็นปัญหาไหม พ่อท่าน : คำว่านักการเมือง ต้องไม่มีคำว่า ไม่ค่อยดี ผู้จะมารับอาสาเสียสละ ช่วยบ้านเมืองต้องดี เป็นนักการเมือง ที่ปกครอง ต้องดี และ มีนิสัยดี คุณธรรมดีด้วย แม้จะไม่ดียอดเยี่ยม ก็ต้องดีพอเหมาะ อย่างน้อย ไม่มีการทุจริต การโกงกิน การหลอกลวง ถาม : สังคมจะเข้าใจชาวอโศกแบบไหน ที่เข้าร่วมตรงนี้ มันจะช่วยให้เขาเข้าใจอโศกมากขึ้น หรือน้อยลง หรือไม่เข้าใจ หรืออะไรไม่รู้ พ่อท่าน : คนที่ยังเข้าใจการกระทำของชาวอโศกไม่ได้มีอยู่ส่วนหนึ่ง คนที่กำลังศึกษาชาวอโศกอยู่ มีอีกส่วนหนึ่ง คนที่ไม่เข้าใจ และไม่เอาเลย ปฏิเสธเลยก็มี ส่วนหนึ่ง ยังไงก็ไม่เอา มีอยู่ ๓ ส่วนใหญ่ๆ ถาม : คิดว่าจะมีเสียหายไหมที่เข้าร่วม พ่อท่าน : อาตมาว่าไม่มีเสียหาย เพราะคนเราปรารถนา คนเราต้องการสิ่งที่ดี เรามั่นใจว่าเราทำสิ่งที่ดี เรามาช่วย ลดความรุนแรง มาเสียสละ มาช่วยเหลืออย่างสุจริต ไม่มีอกุศล จะเสียหายยังไง มันก็อยู่ที่ภูมิของแต่ละคน จะมองเรา อย่างไร ที่มองว่าเสียหายก็มี ที่เข้าใจ และยกย่องก็มี ถาม : ทุกวันนี้เขาเข้าใจว่าพุทธศาสนาเป็นแบบหนึ่ง แต่ว่าที่อโศกเข้ามาที่นี่ คิดว่าคนจะเริ่มเห็นว่า เรื่องศาสนา ไม่น่า จะเป็นเรื่องส่วนตัว อย่างเดียว น่าจะมีบทบาท กับสังคมด้วย อันนี้รู้สึกว่า อันนี้อาจจะเป็น สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ พ่อท่าน : ถูกต้อง สันติอโศกเห็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าใครเห็นว่าศาสนานั้นคือ ทำตัวเองหนีไปคนเดียว แล้วก็หยุด เลิก ไม่ยุ่งเกี่ยว กับสังคม วิธีปฏิบัติคือเข้าป่าเขาถ้ำ หนีสังคมไป นั่นเป็นความเข้าใจผิดแท้ๆ เพราะพุทธศาสนา ไม่ใช่ เป็นเช่นนั้น แม้แต่เข้าใจว่า สัมมาสมาธิ คือการนั่งหลับตา เพ่งกสิณ ตามแบบฤาษีเก่าๆ เดิมๆ สะกดจิต เข้าไปๆๆ ข่มใจ ให้ทิ้ง ให้ตัด ลืมสังคมไปเลย ซึ่งไม่ใช่ปฏิบัติมรรค ๗ องค์ อย่างสัมมาทิฏฐิ ให้เกิด "สัมมาสมาธิ" แบบลืมตา อย่างนี้ ก็ผิดทางพุทธ ถาม : แต่ตอนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ก็นั่งสมาธิ พ่อท่าน : นั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ใช้ประโยชน์อุปการะเท่านั้น ไม่ใช่ทางเอก ไม่ใช่หลัก ไม่ใช่ทฤษฎีใหญ่ ทางเอก หรือ ทฤษฎีหลัก ของพระพุทธเจ้า คือ มรรคองค์ ๘ ซึ่งในมรรคองค์ ๘ นี่เวลาปฏิบัติ ก็ปฏิบัติมรรค ๗ ข้อ คือ ๑-๒-๓-๔-๕-๖-๗ อย่างเป็นปฏิสัมพัทธ์ แล้วจะเกิดสะสมเป็น "สัมมาสมาธิ" ซึ่งไม่ใช่ "สมาธิ" ที่นั่งหลับตา เพ่งกสิณเอา ตามที่ เคยมีมาเก่าแก่ เรียกกันว่า เมดิเตชั่น ถ้าเข้าใจ Meditation อย่างสัมมาทิฏฐิ ก็เอามาใช้ประโยชน์ได้ เป็นส่วนหนึ่ง เท่านั้น ในการปฏิบัติ ไม่ใช่ "สัมมาสมาธิ" ที่เป็นสมาธิหลักของพุทธ เพราะ "สัมมาสมาธิ" นั้นต้องได้จาก การปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ ซึ่งต้องทำความเข้าใจ ให้เป็นความรู้ อย่างถูกถ้วน เสียก่อน จึงจะมีประธาน ข้อที่ ๑ ที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ แล้วจึงจะปฏิบัติให้ "สัมมา" ในข้ออื่นๆอีก ๖ ข้อ เช่นว่า ขณะดำรินึกคิดก็ "สังวร-ปหาน" ให้เป็น "ภาวนา" ที่สัมมา แล้วก็ "อนุรักขณา" เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ จึงจะสะสมตกผลึกลงเป็น "สัมมาสมาธิ" ไปตามลำดับ ในขณะที่พูด ก็นัยเดียวกัน ต้องใช้อิทธิบาท พากเพียรให้เป็น "สัมมา" เรียกว่า สัมมาวาจา ก็จะช่วยกันสร้าง สัมมาสมาธิอีก "สัมมากัมมันตะ" ก็ดี "สัมมาอาชีวะ" ก็ดี หรือ กำลังทำงาน กำลังทำธุรกิจ กำลังทำอาชีพ ในทุกกรรม ทุกอิริยาบถ ต่างช่วยกันสร้าง สะสม "สัมมาสมาธิ" ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ทำสัมมาสมาธิ ไม่ใช่นั่งหลับตาอย่างเดียว ต้องได้จาก การปฏิบัติ ทุกข้อ ของมรรคองค์ ๘ นี่เรามา ร่วมชุมนุม นี่เรากำลังสร้าง "สัมมาสมาธิ" ด้วยตลอดเวลา สมาธิแปลว่า ความตั้งมั่นของจิต ความเจริญของจิต ที่ได้ล้างกิเลสออก โดยการเรียนรู้กิเลส แล้วล้างกิเลส ออกให้ได้เรื่อยๆๆ แล้วจิตวิญญาณ จะแข็งแรงตั้งมั่น แล้วก็จะสมบูรณ์ สะอาดขึ้นเรื่อยๆ ถาม : คิดว่าจะมีวันที่อโศกเป็น Mainstream ของประเทศไทยไหม พ่อท่าน : ไม่เคยฝันไปถึงขั้นนั้น ไม่ได้คิดใหญ่โตอะไร เราทำให้ดีที่สุดให้ได้ไปทุกวินาที ถาม : เมื่อวานนี้ก็อยู่ที่ชุมชนหินผาฟ้าน้ำที่ชัยภูมิ เราแล้วก็เพื่อนๆ เราสังเกตว่าการศึกษาที่นั่น ที่เป็นบูรณาการ ที่ว่า เป็นองค์รวม ดูเหมือนว่า มีผลดีกับเด็ก อันนี้คิดว่า ระบบการศึกษาแบบนั้น มันเกี่ยวข้องกับ สร้างคุณธรรม ด้วยไหม ในคน พ่อท่าน : ด้วย ถาม : ถ้าอโศกก็อยู่ในชุมชนเล็กๆ ที่ตั้งเองแบบศีรษะอโศก ราชธานีอโศก แล้วจะมีบทบาทในการสร้างสังคม แบบใหม่ หรือ ปฏิรูปการศึกษา ได้ยังไง ถ้าห่างจากสังคม หรือตัดตัว ออกจากสังคมอย่างนี้ พ่อท่าน : นี่เป็นระยะเริ่มต้นก็ยังเล็กไปก่อนแน่นอน ต้องอยู่ห่างจากสนามแม่เหล็กใหญ่แห่งโลกีย์ก่อน และอีกอย่าง คนส่วนมาก ก็เข้าใจกันง่ายๆว่า ความใหญ่ นั้นคือ ความรวมกัน ติดกัน เป็นแผ่นผืนเดียวกัน ต้องอยู่รวมกันเป็นกระจุก แต่ความจริงแล้ว ความใหญ่นั้น คือ ความเล็กจุดย่อยๆ อันหลากหลาย ในที่ต่างๆ เชื่อมโยงกันได้ เชื่อมโยงกันอยู่ เป็นร้อย เป็นล้าน เป็นจักรวาล ซึ่งต้องรู้จุด ร่วมแกนประสานกัน แต่ละจุด ประสานกันเป็นแกน เป็นเอกภาพ ซึ่งแน่นอน ย่อมมีความต่างกัน มากบ้าง น้อยบ้าง เขาก็จะได้ความเหมาะสม ของเอกภาพ แล้วประสานกัน โดยมีปัญญารู้กัน ในจุดเอก เนื้อแท้ แต่มีจุดต่าง ที่ประสานกันอยู่ อันนี้สวยงามมาก กับการเอาร้อย เอาล้าน มารวมกัน อยู่ที่เดียวกัน โดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วจะบังคับให้เหมือนกันหมด เท่ากันหมด อันนั้นยาก และเป็นไปได้ไม่สวย หรือเป็นไป ไม่ได้เลย มันไม่มีอะไรเลย ในโลก ในมหาจักรวาลนี้ ที่จะมีอะไรเท่ากัน เสมอกันเป็นแฝด หรือ เหมือนกันไปหมด มีแต่ ความหลากหลาย ที่เป็นเอกภาพ ที่แตกต่าง แต่ก็อยู่รวมกันได้ อย่างสงบสุขสวยงาม โดยรู้แจ้งการร่วมกัน การรวมกันอยู่ แม้จะอยู่ห่างกันไกล ก็ร่วมกันได้ ไม่แตกแยก เพราะรู้ดี ในจุดร่วม จุดต่าง ถาม : อันนี้หมายความว่าเห็นด้วยกับความแตกต่างที่ไม่ใช่ความแตกแยก พ่อท่าน : ใช่ ๆ ถาม : เรื่อง FTA ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐ ถ้าเรื่องนี้ผ่าน โลกาภิวัตน์เข้ามามีอิทธิพล ในประเทศไทย มากขึ้น แล้วจะมี ผลกระทบ กับชุมชนอโศก อย่างไรบ้าง พ่อท่าน : ไม่มีผลกระทบกับอโศกหรอก แต่มีผลกระทบกับคนที่ไม่เหมือนอโศก เช่น เอาของกินที่มาจาก ต่างประเทศ เอาแซนวิช พิซซ่า เอาอะไร ที่เฟ้อๆเกินๆมานี่ พวกอโศกนี่ ไม่มีผลกระทบเลย หรือแม้แต่แฟชั่น แบรนด์เนมอะไรมา อโศกไม่มีผลกระทบ แต่คนที่ไม่ใช่คุณภาพอย่างอโศก กระทบแน่ ถาม : แล้วมันจะทำให้สังคมอโศกสื่อสาร หรือร่วมมือกับสังคมทั่วๆไป กระแสหลักยากขึ้นไหม เพราะว่า กิเลสมากขึ้น พ่อท่าน : ไม่ยาก เพราะอโศกรู้ว่าสังคมกำลังมีอะไรบ้าง มากเท่าไหร่อโศกก็รู้ แต่เราไม่ได้หลงเลอะเทอะ ไปกับเขา เราไม่ได้เอาด้วย ไปทั้งหมด กับเขา การแสดงธรรมก่อนฉันอาหารวันนี้ พ่อท่านให้ข่าววันนี้ ช่วงบ่ายจะมีพระพุทธรูป "พระพุทธาภิธรรมนิมิต" มาตั้งไว้ที่นี่ โดยจะมีป้าย เขียนบอก ให้เข้าใจถึง การบูชา พระพุทธรูป ที่ถูกต้องไว้ด้วย พระพุทธรูป คือสิ่งแทน ความเป็นพระพุทธ ที่ต้องเคารพบูชาให้ถูก ศาสนาพุทธ เป็น"อเทวนิยม" ไม่ใช่ศาสนาแบบ "เทวนิยม" จึงอย่าบูชาพระพุทธรูป ผิดไป เป็นบูชา "พระเจ้า - เทพเจ้า" หรือ บูชาสิ่งที่เป็น ปรมาตมัน - อัตตา จงบูชา พระพุทธ ด้วยธรรมบูชา อย่าบูชาพระพุทธ ด้วยอามิสบูชา เช่น อย่าใช้ธูป เทียนบูชา เพราะนั่น คือ ของบูชา แบบ เทวนิยมแท้ๆ อันเป็นเครื่องบูชา ที่เป็นอัคคียัญ ที่เขานับถือวิญญาณ แบบของเขา อันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แม้แต่ ดอกไม้ของหอม ก็เป็น วัตถุอนามาส ที่ไม่ควรนำมาบูชา หรือแม้แต่ทำใจในใจ ขณะกราบไหว้บูชาอธิษฐาน ก็ไม่ใช่ ขอนั่นขอนี่ ให้บันดล บันดาล ดังนี้เป็นต้น บูชาพระพุทธ ออกนอกรีต กันมานานแล้ว ขณะแสดงธรรมนักข่าวโทรทัศน์ช่อง ๗ ได้ขอสัมภาษณ์ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาว่า แต่งกายเลียนแบบพระ ตามที่มี ผู้ไปแจ้งความ ให้ดำเนินคดี เมื่อวานนี้ ช่วงท้าย พ่อท่านอธิบายถึง ทศพิธราชธรรม เล็กน้อย ขณะฉันอาหาร ทนายทองใบ ทองเปาน์ มากับภรรยา แวะมากราบ พร้อมกับเย้าว่า ได้ข่าวว่า เขาจะฟ้องดำเนินคดีอีก ข้อกล่าวหาว่า แต่งกายเลียนแบบ ฟังข้อกล่าวหา แล้วยังงงๆ หลังจากนั้น นักข่าวได้ขอสัมภาษณ์ ทนายทองใบ ๑๒.๕๖ น. ชายหนุ่มแนะนำตัวเองว่าเป็นสมาชิกหนังสือสารอโศก ดอกหญ้า ได้มาขอนิมนต์พ่อท่าน ให้กลับไป แสดงความเห็น อยู่ที่สันติอโศก จะดีกว่า อย่าออกมา ร่วมเคลื่อนไหว อย่างนี้เลย มันเป็นผลเสียมากกว่า แม้พ่อท่าน จะอธิบาย อย่างไร เหมือนเขายึดแล้ว สุดท้าย พ่อท่านต้องตัดบท ให้คอยดูต่อไป "อาตมาก็มั่นใจว่า ได้ตัดสินใจดีแล้ว" เมื่อพวกเรา ยื่นหนังสือ และแผ่นซีดีให้เขา เพื่อเป็นข้อมูล ให้เขาได้ศึกษา แต่เขาปฏิเสธ แล้วจากไป ด้วยท่าที ไม่พอใจ ชายมีอายุ ใส่เสื้อสีเทา ดูท่าทีไม่ได้มีศรัทธา ยืนพูดอะไร ก็ฟังไม่ถนัด ขณะที่พ่อท่านนั่งอยู่ ใช้สรรพนาม เรียก พ่อท่านว่า คุณ แม้ญาติธรรม ที่อยู่ด้านหน้า จะพยายาม บอกให้เขานั่งลง แต่ดูเหมือน เขาไม่สนใจ แล้วเดินจากไป ๑๔.๐๐ น. ฝรั่งคนหนึ่งมาขอสัมภาษณ์ เพื่อทำวิจัย เขาชื่อ โรเจอร์ พอเลก จากรัฐวิสคอนซิล สหรัฐอเมริกา กำลัง ศึกษา ปริญญาโท รัฐศาสตร์ สาขา เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เห็นว่า นี่เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญ กับอนาคต ของประเทศไทย จึงอยากรู้ จากบางส่วน ของการสนทนา ดังนี้ โรเจอร์ : ที่เขาบอกว่า ทักษิณพัฒนาประเทศ จึงไม่อยากเห็นเขาออกจากอำนาจ พ่อท่าน : เขาเก่งที่พยายามจะพัฒนาทางด้านรูปธรรมที่สัมผัสได้ง่าย เขาเก่งที่ทำให้ประชาชนเห็นว่า เขาทำดี แล้วเขา ก็เก่ง ที่มีความซับซ้อน ทับซ้อนที่ไม่ดี ที่รุนแรงเลวร้าย ทำให้ประเทศไทย ในแนวลึก และระยะไกล พัง ล่มสลาย หมด ผู้ที่มีปัญญา รู้เรื่องลึกซึ้งพวกนี้เข้าใจ แต่คนในระดับ ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จะฟังไม่ออก รู้ไม่ได้ โรเจอร์ : ถ้าท่านจะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ท่านจะเลือกลักษณะอย่างไรบ้าง พ่อท่าน : ลักษณะนำคือเป็นคนดี เป็นคนมีคุณธรรม เป็นคนที่เสียสละจริงๆ ส่วนความสามารถหรือ การเก่งนั้น เป็นรอง โรเจอร์ : ผมได้อ่านหนังสือพิมพ์ที่ลงเช้านี้ พระบางองค์บอกว่า ท่านไม่ใช่พระ ทำไมจึงพูดแบบนั้น แล้วทำไม ท่านถึงเป็นพระ พ่อท่าน : เขาก็พยายามที่จะไม่ให้อาตมาเป็นพระ เขาอยากจะไล่อาตมาออกจากการเป็นพระ เพราะหนึ่ง อาตมา ไม่ได้ยอม สิโรราบ กับเขา สอง ไม่ได้มีความเห็น ไปทิศทางเดียวกับเขา สาม แถมมีความเห็น ค้านแย้ง กับเขาด้วย สี่ อาตมายังยืนยันว่า เขานั้นต่างหากผิด -อาตมาถูก ไม่เปลี่ยนแปลง และเผยแพร่ไม่หยุด ห้า อาตมาทำงาน มีผลงาน เจริญขึ้นๆ เขาก็เลย จะจัดการอาตมา โรเจอร์ : ถ้าจะเปรียบเทียบความเชื่อของท่าน กับความเชื่อของศาสนาพุทธ แบบเถรวาท จะเปรียบเทียบ ยังไงครับ มันแตกต่างยังไง พ่อท่าน : เราเชื่อว่าศาสนาต้องอยู่กับการเมืองนั้นหนึ่ง สองเถรวาทนั้น ยังเข้าใจเนื้อแท้ของ ศาสนาพุทธ ไม่สัมมาทิฏฐิ อยู่มาก โดยไปเข้าใจว่า ศาสนา หรือผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จะต้องหนีออก ห่างจากสังคม ปลีกเดี่ยว เรียกว่าหลุดพ้น แล้วไป อยู่ป่า ไปอยู่เขา ไปอยู่ถ้ำ ไปนั่งสงบอยู่ ไม่รับรู้อะไรเลย ปล่อยวางหมด แบบพาซื่อ ซึ่งอาตมาเห็นว่า นี่เป็น ความเข้าใจ ศาสนาพุทธผิด เพราะงั้น หมู่ใหญ่เข้าใจอย่างนี้ เป็นส่วนใหญ่ อาตมาเห็นต่างกัน อาตมาเห็นว่า ศาสนาพุทธ ที่จะไปนิพพาน ปฏิบัติอยู่กับสังคม ต้องช่วยสังคม เป็นประโยชน์ต่อสังคม อันนี้ยากหน่อย เป็น โลกุตรธรรม อยู่กับสังคม ช่วยสังคม แล้วก็เข้าใจ ในสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม โดยที่เรา ไม่กระทบกระเทือน ๑๔.๒๐ น. ได้ข่าวว่ามีผู้วางระเบิดป้อมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ บ้านของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ มีฝรั่งชาวอังกฤษ ๒ คน ได้รับบาดเจ็บ จากข่าวทีวี ๙ แจ้งว่า เจ้าหน้าที่ ยังไม่รู้ว่า เป็นระเบิดแสวงเครื่อง หรือ M ๒๖ ๑๔.๕๐ น. อาจารย์แสวง อุดมศรี ได้มากราบนมัสการ อาจารย์แสวงเคยสอนพระนิสิต อยู่ที่มหาจุฬาฯ และ เคยนิมนต์ พ่อท่าน ไปสอนพระนิสิต ที่มหาจุฬาฯ เมื่อประมาณ เกือบ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันอาจารย์แสวง ไม่ได้สอน พระนิสิตแล้ว ออกมารับผิดชอบ งานพระไตรปิฎก อย่างเดียว (ปกสีฟ้า ของมหาจุฬาฯ) อาจารย์เป็นนักเขียนด้วย มีผลงานหลายเล่ม ล่าสุด ก็ติดมือมาถวายพ่อท่านด้วย ชื่อหน้าปก จริยธรรมผู้นำรัฐ เนื้อหาภายในเล่ม เป็นเรื่อง สถานการณ์ปัจจุบัน วิพากษ์วิจารณ์ อย่างอ้างอิงหลักธรรม พุทธภาษิตประกอบไว้มากมาย จากเนื้อหาบางส่วน ของการสนทนา ดังนี้ อ.แสวง : เห็นคนเยอะตอนกลางวัน เลยไม่ได้เข้ามา พ่อท่าน : เขาฟ้องอาตมาแล้ว อ.แสวง : อยู่มาตั้งนานแล้วไม่ฟ้อง ออกมาแล้วจะมาฟ้อง พนักงานศาสนาของเรา ไม่ยืนยันในสิ่งที่ถูกที่ต้อง ให้สังคมเห็น พ่อท่าน : ไม่เป็นไรหรอก เขาจะฟ้องก็ฟ้องมา เขาสามารถที่จะรวมหัว รุมตีอาตมาได้ อย่างที่เขาทำ อาตมาก็ยอมให้ตี เพราะว่า เราเอง ไม่มีปัญหา เราเข้าใจ จิตใจเขา หนึ่งเขาก็รักศาสนา สองเขาก็มีส่วนกิเลสอะไร ที่เขาจะต้อง ทำอย่างนั้น มันเป็นธรรมดาสามัญ ที่เขาเชื่อเช่นนั้น ที่เขาคิดเช่นนั้น ทั้งๆที่หลัก นานาสังวาส อาตมาก็ พู๊ดพูดๆๆๆ อธิบาย ก็ตั้งเท่าไหร่ เขาเล่นตีทิ้ง เอ๊ะไม่รับธรรมะ ของพระพุทธเจ้า แล้วจะทำอย่างไร เมื่อไหร่ มันจะสงบซะที สุดวิเศษนะ นานาสังวาส ของพระพุทธเจ้านี่ โอ้โฮ...สมัยโน้น มันสมัยทาสนะ สมัยที่ยังไม่รู้จัก สิทธิมนุษยชนอะไรเลย แต่พระพุทธเจ้า บัญญัตินิติธรรมบทนี้ เอาไว้ให้นี่ สมัยนี้นักการเมือง ยังสู้ไม่ได้เลย นักรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ยังสู้ พระพุทธเจ้าไม่ได้เลย โอ้โฮ....ยอดเยี่ยมจริงๆ อ.แสวง : อ่านข่าวแล้ว พวกนี้จะเอาอะไร มันวุ่นจริงๆ หนึ่งก็ให้ออกมาก็ออกมาแล้วนะ เว้นวรรค อะไรกันนักหนา แล้วก็บอกอย่างนี้มา ตั้งแต่ปี ๒๒ แล้ว พวกนี้ไม่ไปทำอะไร ศาสนานี่ เป็นของพวกเขา คนเดียวเท่านั้นเหรอ พ่อท่าน : ไปจดลิขสิทธิ์ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ชุดนี้ของฉันนะ อะไรอย่างนี้นะ แล้วทำไม ไม่ไปฟ้องลาว ฟ้องพม่า เขมร ก็ห่มเหมือนกันแหละ ห่มเหมือนยิ่งกว่า อาตมาด้วย ก็ลอกเลียนเหมือนกัน ทำไม ไม่ฟ้องมั่งเล่า เขาละเมิดลิขสิทธิ์ ออกนอกประเทศ อ.แสวง : ก็เห็นใจนะท่านนายกทักษิณน่ะ แต่ว่ามันพลาดก็คือพลาด ไม่ถูกก็คือไม่ถูก ใช่เปล่าล่ะ ทีนี้เมื่อมันไม่ถูก เราจะไปอุปโลกน์ ว่ามันถูก ไปพูดชี้นำ เราก็หนีสัจจะสิ ขาดความซื่อตรง ต่อหลักคำสอน ของพระพุทธเจ้า พ่อท่าน : ขัดต่อสัจจะ ขบถต่อสัจจะด้วย ขบถได้ไง...? เก่งยังไงคนไปขบถสัจจะ อ.แสวง : อย่างน้อยก็แสดงให้เห็น แต่เราไม่ได้ไประรานอะไร พ่อท่าน : ไม่ๆ อาตมาบอกให้เข้าใจว่า เรามาทำงานนี่เรามาทำอะไร เราไม่ใช่นักการเมือง เราไม่ใช่นักรัฐศาสตร์ เราออกมา ร่วมชุมนุมนี่ เราออกมา เมื่อเขาทำกัน อยู่ก่อนแล้ว สังคมมันเกิดแตก เป็นสองฝ่ายแล้ว เมื่อมันเกิดแตก สองฝ่ายแล้วจริงๆ เราก็ต้องมา ตรวจสอบข้อมูล จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านสอน ให้คบบัณฑิต อย่าคบพาล ท่านให้ เลือกฝ่ายนะ เราก็ต้องเลือกฝ่ายแล้ว อะไรผิด อะไรชั่ว อย่าไปเข้ากลุ่มชั่ว มันต้องไปเข้ากลุ่ม อีกกลุ่มหนึ่ง เราก็ต้อง เลือกฝ่าย เราต้องตรวจสอบ ข้อมูล หลักฐาน ความจริงทุกอย่าง เมื่อเราเลือกได้แล้ว เราก็เข้าฝ่ายนี้ เราก็ต้อง มาช่วยฝ่ายนี้ แต่การที่เรา เข้ามาช่วย เราไม่ได้มาช่วยเรื่อง ของการเมือง การเมืองเขาก็ว่ากันไป อาตมามองเห็นว่า เออ....มันสงบเรียบร้อยมาแล้ว เขาทำมาตั้ง ๑๕ ครั้ง ชุมนุมกันมา สงบเรียบร้อยมา ทั้งนั้น แหม....การเมืองเมืองไทย มันดำเนินไป ดีเหลือเกิน ประชาธิปไตย สงบเรียบร้อยอย่างนี้ เป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ของโลกเลยนะ อาตมาก็ว่า เรามีความเย็นนะ สันติ อหิงสา พอที่จะมา ผสมผเส ช่วยกันอีกแรง เราจึงเข้ามาร่วม ด้วยจุดมุ่งหมายอันนี้ มาร่วม ชุมนุมด้วย ตั้งแต่ครั้งที่ ๑๖-๑๗-๑๘ ที่เราตามมา เราก็ถึงมาทำอย่างนี้ นี่คือ ประเด็นหลัก ไม่ได้มาทำหน้าที่การเมือง อ.แสวง : เป็นคำตอบที่ชัดเจนเลยว่า ในโลกนี้แม้จะมีคนพาลอยู่คนเดียว คือมีคนอยู่คนเดียว แล้วคนนั้นเป็นคนพาล ก็ไม่ควรคบ มันก็เป็นหลักอย่างนี้ ว่างั้นเถอะ แต่ทีนี้ ถ้าพ่อท่าน ขึ้นไปบนเวที อันนี้ไม่เหมาะสม แต่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ มันทำให้ทุกอย่าง... พ่อท่าน : ขึ้นแล้วนะ อาตมาขึ้นไปเทศน์แล้วนะ อ.แสวง : เทศน์นะ แต่ไม่ได้ไปจุดชนวนให้คนตีกันทะเลาะกัน แต่ว่าให้สติกับสังคม ทีนี้ถ้าไม่อยู่อย่างนี้สิ ดีไม่ดี เขาตีกันมากกว่านี้อีก พ่อท่าน : ใช่ อันนี้เขาน่าจะเข้าใจ อ.แสวง : ใช่เปล่า ดีไม่ดีเขาจะตีกันมากกว่านี้อีกนะ อาจจะมีพวกอะไรต่ออะไร ที่มาผสมโรง ตอดเล็ก ตอดน้อย พ่อท่าน : ทีนี้เราก็มาแสดงทั้งมวล ทั้งแสดงพลังสันติ พลังที่เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเจือจานอะไร ช่วยเอาไว้ ซึ่งอาตมาว่า อันนี้มันเป็น พฤติกรรมมนุษย์ คุณภาพมนุษย์ ทั้งรูปธรรม และนามธรรม ใครจะเชื่อไม่เชื่อ ใครจะเห็นไม่เห็น เราว่า เราได้ทำ เห็นไม่เห็น เราก็เสียสละ เราก็ทำอย่างนี้แหละ ตามความสามารถ มันจะสุขอะไร มานั่งตาก อบอยู่อย่างนี้ ห้องซาวน่า ก็ไม่ใช่นะนี่นะ อ.แสวง : ความเย็น ท่ามกลางความร้อน ทำร้อนให้เป็นเย็น ก็ดีแล้วๆ ยังคิดอยู่ว่า จะไปกราบพ่อท่าน แต่ไม่ได้ไป จากนี้ไป เป็นการสนทนาเรื่องสุขภาพ ต่อด้วยเรื่องงานพระไตรปิฎกของอาจารย์ เรื่องระเบิด ที่บ้าน พล.อ.เปรม ก่อนจากลา อาจารย์ได้กล่าวชื่นชม รวมถึง ฝากให้ดูแลสุขภาพ "ก็ขอชื่นชม และอนุโมทนา มันทำให้บรรยากาศสงบเย็นขึ้น ถ้าไม่มีพระมาอยู่ตรงนี้ บางครั้ง มันอาจจะรุนแรง อาจจะ กระทบกระทั่ง กันมากขึ้น เพราะว่า ต่างคน ต่างร้อน และก็ยังไม่รู้ว่า ที่กำลังไหลมาอยู่นี่ ไม่รู้เท่าไหร่ ถ้าเป็นวัด ก็มัคคทายกวัด กราบลาพ่อท่านก่อน พ่อท่านรักษาสุขภาพนะ จะได้เป็นหลัก" ๑๔.๕๙ น. นักข่าวข่าวสด เดลินิวส์ ไทยโพสต์ได้มาขอสัมภาษณ์ เกี่ยวกับข่าวการวางระเบิด หน้าบ้านสี่เสา เทเวศน์ หลวงพ่อตัน พระอาคันตุกะ ที่ร่วมชุมนุมด้วย ได้มาแจ้งว่า พระเถรสมาคม เขาประชุมกัน เขาจะเคลื่อนพระห้าพันรูป มาสวด ภาณยักษ์ ๑๕.๔๕ น. เวทีย่อยภายในเต็นท์เริ่มด้วยการสัมภาษณ์ความเห็นของญาติธรรม ที่ได้มาร่วมชุมนุม ในครั้งนี้... .เป็นแบบฝึกหัดที่ดี ได้มาบำเพ็ญบารมี ขณะมีการร้องเพลง เมืองไทยไม่สิ้นคนดี ต่อด้วยเพลงผู้แพ้ มีชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทีไม่เต็ม หรือเมา ยืนสูบบุหรี่ พร้อมกับ พูดบ่นอะไร อยู่ภายนอกเต็นท์ ครู่ต่อมา จ่าหลักบุญและนายรัฐเขตไปคุย และ ขอให้เขาออกไป คงจะไม่เต็ม จริงๆ เขายอมออกไป โดยไม่มีเหตุอะไร วงดนตรีฆราวาส ร้องเพลงแรกด้วยเพลง ขยะ สำนึกดีที่แยกขยะ ก่อนเพลงจะบรรเลง ข้าพเจ้าทักถามพ่อท่านเรื่องที่หมอทั้งสอง มาเสนอเมื่อคืน ได้บอก กับใครหรือยัง พ่อท่าน บอกว่า เป็นเรื่อง ระยะยาว ฟังแล้ว ออกจะงงๆ ว่ามันน่า จะเป็นเรื่องด่วนนะ ช่วงระหว่างนี้ มีคนหน้าใหม่ๆ มากราบ แสดงตัวว่าศรัทธา ขณะที่คนที่เคยศรัทธา กลับหมดศรัทธากัน ก็งานนี้ เหมือนกัน ๑๖.๐๗ น. หญิงคนหนึ่งขึ้นไปหยิบไมโครโฟนขอร้องเพลง บอกว่าเป็นศิษย์หลวงพ่อคูน ขอบารมีหลวงพ่อคูน จงช่วย ให้เหตุการณ์ ที่วุ่นวายนี้ สงบลงด้วยเถิด ๑๖.๒๓ น. พระพุทธรูปปางตรีลักษณ์ มาถึงเต็นท์สนามหลวง ๑๖.๔๔ น. นักข่าว GG New ได้โทรมาขอสัมภาษณ์ ประเด็นที่มีการวางระเบิดที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม เป็นระเบิด ชนิดเดียว กับที่ได้วางระเบิด ที่สันติอโศก ครู่ต่อมา มีผู้มาบอกว่า ข่าวที่ว่า มีกลุ่มคนมาชุมนุม ที่ลาน พระบรมรูป ทรงม้านั้น ความจริงเป็นญาติของนักศึกษา ที่จบรับปริญญา ไม่ใช่กลุ่มคน ที่มาเพื่อเผชิญหน้า แต่อย่างใด คุณแดนดิน มาแจ้งว่า พล.อ.สายหยุด เกิดผล ได้มาพบกับ พล.ต.จำลอง และมีข่าวว่า จะมีรายการพูดกัน ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายรัฐ จะมีท่านนายกฯ และ อีก ๒ คน ในซีกรัฐบาล ส่วนฝ่ายพันธมิตรฯ จะมีคุณสนธิ พล.ต.จำลอง และใครอีกคน ที่เวที แห่งนี้ ออกจะเป็นงงว่า เป็นไปได้อย่างไร พ่อท่านและหมู่สมณ ะเดินไปที่เวที เพื่อเตรียมขึ้น รายการเย็น เห็นสมณะ ไปหลายรูปแล้ว จึงคิดจะอยู่ทำงานที่เต็นท์ ครู่ต่อมา ได้รับโทรศัพท์ จากคุณตายแน่ แจ้งว่านิมนต์ ให้ไปร่วมเป็นปัจฉา ขึ้นเวที เนื่องจาก พ่อท่านให้ตาม ที่เวทีรายการวันนี้ เป็นเรื่องเหตุด่วน จากระเบิดบ้าน พล.อ.เปรม พร้อมกับเรื่องด่วนที่ พล.อ.สายหยุด เกิดผล และ องค์กรกลาง ได้มายื่นหนังสือ เชิญตัวแทน จากพันธมิตรฯ และตัวแทนจากรัฐบาล ไปร่วมรายการ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นการพบกัน เพื่อถามและตอบ สิ่งที่เป็น ปัญหากันอยู่ หลังจากนั้น พล.ต.จำลอง ตอบข้อซักถาม เรื่องระเบิด ที่บ้าน พล.อ.เปรม เนื่องจากมีความสัมพันธ์กับ พล.อ.เปรม พล.ต.จำลอง พยายามตอบ อย่างที่รักษา พล.อ.เปรม ไว้ จะยังไม่ไปพบ เพราะไม่อยากให้ใคร เอาไปหาเรื่องว่า พล.อ.เปรม อีก ส่วนเรื่องระเบิดนั้น เป็นความรับผิดชอบ ของรัฐบาลอยู่แล้ว ทำไมประเทศ จึงเกิดเหตุเช่นนี้ อยู่เรื่อยๆ แล้วยังจับใคร ไม่ได้เลย "รัฐอย่ามาอ้างเหตุเท่านี้ มาประกาศภาวะฉุกเฉินไม่ได้" ๑๗.๓๔ น. เริ่มรายการพ่อท่าน ตอบข้อซักถามเรื่องระเบิด มีมุขตลกอยู่เหมือนกัน เมื่อคำถามว่า ระเบิดเป็น แบบเดียวกัน กับที่วางระเบิด ที่สันติอโศก พ่อท่านตอบว่า ก็เขาเลือก เอาอย่างที่เหมือนกันง่ะ ประเด็นที่เหมือนพ่อท่านโยนระเบิด กลับไปที่รัฐบาล ให้คิดตอบ คือ ระเบิดที่จริง ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆนะ มีก็เฉพาะ เจ้าหน้าที่ บางหน่วยงานเท่านั้น จึงไม่ใช่เรื่องยาก ที่จะค้นหา แต่จนป่านนี้ ทำไมยังคลุมเครืออยู่ มีประเด็น ที่เรารู้สึก สะดุด เมื่อพ่อท่าน อธิบายถึงเรื่อง นานาสังวาส ที่อธิบายว่า เชื่อต่างกัน เห็นต่างกัน พระพุทธเจ้า ให้ต่างฝ่าย ต่างอยู่ อย่ามาท้วง กล่าวโทษกัน ถ้าใครทำเป็นอาบัติ ที่สะดุด มันเหมือนทำให้คนฟังคิดว่า แล้วการที่มาร่วมชุมนุม กล่าวโทษทักษิณอย่างนี้ มันเป็นนัยยะเดียวกันกับ หลักนานาสังวาส หรือเปล่า เสร็จรายการ บนเวทีแล้ว เดินกลับมา ที่เต็นท์ ดร.ปรีชา สุวรรณทัต ได้มานมัสการ บอกเล่าว่า ตนได้มาทุกวัน และตั้งใจว่า จะลงสมัคร สว. คิดว่า จะช่วยสังคม เท่าที่ช่วยได้ ได้รับโทรศัพท์ จากอาจารย์ขวัญดี แจ้งว่า ได้รับโทรศัพท์ จากคุณจิราภรณ์ ขณะขับรถ ไปปากช่อง พบรถถัง จำนวนมาก เคลื่อนตัวเข้ามา ในกรุงเทพฯ ระหว่างพ่อท่าน อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ คุณหัวโต หรือแผ่นฟ้า ได้มาช่วย นวดเท้า ให้พ่อท่าน ๑๙.๔๒ น. คุณสนธิได้มากราบนมัสการพ่อท่าน และบอกเล่ากรณีระเบิดที่บ้านสี่เสา รู้ตัวคนวางระเบิดแล้ว แต่ไม่ สามารถ เขียนเป็นข่าวได้ เพราะไม่มีหลักฐาน ออกเดินทาง จากสนามหลวง ก่อนสองทุ่มเล็กน้อย กลับถึง สันติอโศก เช่นวันก่อนๆ มีสมณะ และญาติโยม ส่วนหนึ่ง ยังคงดู รายงานข่าวทาง ASTV สำหรับพ่อท่าน ขึ้นห้องพักนอน # # # ๑๐ มี.ค. ๒๕๔๙ ขณะพ่อท่านอ่านข่าว มีสมณะชี้ให้ดูคอลัมน์ของ ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ที่เขียนถึงพ่อท่าน และ สันติอโศก ยืนยันว่า เป็นกลุ่มคนที่ดี มีความมุ่งหมายที่ดี กราบไหว้ได้ โดยสุจริตใจ การแสดงธรรมวันนี้ พ่อท่านยังคงบอก ไปถึง ชาวอโศก อื่นๆ ให้มาร่วมกัน เป็นพลัง เราไม่ได้มา ด้วยเหตุของการเมือง ที่เรามาร่วม เพื่อให้เกิด สันติ อหิงสา เราเป็นเพียง จุดเย็น เล็กๆ เพื่อช่วยเพิ่มถ่วง ให้เกิดความไม่รุนแรง จากนั้นเป็นการอธิบายถึงความเป็นกลาง ซึ่งวันนี้คอลัมน์นิสต์ของหนังสือพิมพ์ เขาใช้คำใหม่ขึ้นมาว่า ความเป็นกลาง อย่างตกขอบ แต่ก่อน มีขวาตกขอบ ซ้ายตกขอบ วันนี้มีคำว่า ความเป็นกลางอย่างตกขอบ ศาสนาพุทธนั้น สอนให้ อยู่ร่วมกันได้ แม้จะมีความเห็น ต่างกัน ไม่แตกแยกกัน พุทธมีคำว่า นานาสังวาส ถ้าไม่เข้าใจ คนเราจะอยู่กัน อย่างแตกแยก ทะเลาะกัน รุนแรงต่อกัน ชาวอโศกไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ก็อยู่ร่วมกับ ผู้ที่กินเนื้อสัตว์ได้ อย่างอิสลาม ไม่กินเนื้อหมู ก็สามารถร่วมกับเราได้ ที่ผ่านมา ที่ประท้วงอยู่หน้า ก.ล.ต. ก็กินอาหาร ร่วมกัน กับเราได้ พ่อท่านอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เจ้ลั้ง ทัพธรรม เผยค่าอาหารเลี้ยงทัพธรรม วันละหมื่น ต่อด้วย น.ส.พ. กรุงเทพธุรกิจ ที่พาดหัวข่าวว่า กลุ่มองค์กร ชาวพุทธ หรือ ศูนย์พิทักษ์ พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ไป แจ้งความที่ สน.ชนะสงคราม ข้อหาแต่งกายเลียนแบบ จะมีการนิมนต์พระ ห้าพันรูป มาสวดมนต์ เพื่อต้องการ ให้สันติอโศก ออกจากการร่วมชุมนุม ทางการเมือง ที่สนามหลวง แล้วต่อด้วย บทความของ คุณนิติภูมิ นวรัตน์ จากไทยรัฐ
พ่อท่านสรุปว่า นี่เป็นศิลปะ วิธีของสังคม ที่เขาจะสื่อ บอกกับคนในสังคม ก็ทำกันไป ตามความเห็น ที่ต่างกัน
จากนั้นพ่อท่าน นำเอา ทศพิธราชธรรม มาอธิบาย กับสถานการณ์ปัจจุบัน ทาน ศีล จาคะ ฯลฯ... ๑๐.๐๓ น. ในเต็นท์ที่กองอำนวยการ มี พล.ต.จำลอง กำลังนั่งเขียนอะไรอยู่ ข้างๆกัน มีคุณภิภพ ธงไชย และ พิธีกรของ ASTV อีกคน เราจำชื่อไม่ได้ น้ำเสียงนุ่มเย็น นั่งเขียนอะไรอยู่ด้วย ขณะที่พ่อท่านกล่าวถึง สมัยพระพุทธเจ้า ที่มีพระเทวทัต กระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้า ให้ประกาศ บอกให้ประชาชน ได้รู้เท่านั้น ไม่ได้จับสึก ไม่ได้ไป ฟ้องร้องอะไร แต่ปัจจุบัน สถาบันการศึกษา ของศาสนาพุทธ กำลังกระทำผิด ต่อหลักการของพระพุทธเจ้า ว่าด้วยเรื่องหลัก นานาสังวาส... ๑๒.๔๕ น. นักข่าวไทยรัฐได้สอบถามเรื่องพระพุทธรูปที่เพิ่งนำมา ๑๕.๓๐ น. คุณอัญชลี ไพรีรักษ์ ได้เข้ามากราบนมัสการ และว่ารายการเย็นนี้จะมี ๒-๓ ประเด็น เอาเรื่องอบายมุข ที่ติดค้างไว้ เมื่อวาน สำหรับพรุ่งนี้ จะมีนักวิชาการ ทางศาสนา มาพูด จากนั้น ขอตัวไปคุยกับ พล.ต.จำลอง ก่อนแวะไปรับประทานอาหาร การถ่ายทอดเสียง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังคงดำเนินต่อไป เป็นการพูดของ พล.ต. สนั่น ขจรประศาสน์ ๑๗.๐๐ น. รายการที่เวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นการสนทนาสัมภาษณ์พ่อท่าน โดยมีคุณอัญชลี ไพรีรักษ์ ดำเนินรายการสด ถ่ายทอด สัญญาณภาพ และเสียง ทาง ASTV News 1 ประเด็นการสนทนาเรื่อง อบายมุข เบียร์เหล้า ที่จะเข้าตลาดหลักทรัพย์ กับเรื่อง กาสิโนคอมเพ็ค ถ้าไม่ให้เปิดในไทย เงินก็จะไหล ไปต่างประเทศ พ่อท่าน เห็นอย่างไร พ่อท่านยังคงยืนยันว่า อบายมุข เป็นทางมาแห่งความเสื่อม ของมนุษย์ จะอย่างไรๆก็เสื่อม ไม่ควร ส่งเสริม ด้วยประการทั้งปวง เมื่อถูกถามกลับว่า แล้วมันจะไม่เป็นสังคม ที่จืดชืดเกินไปหรือ พ่อท่านย้อนถาม ให้คิดว่า แล้วเราจะเลือกสังคม อย่างที่หวือหวา สีสันเยอะ สนุกสนาน แต่ตีรันฟันแทง แย่งชิงกันมาก เอารัดเอาเปรียบกัน ก่ออาชญากรรมกัน กับสังคมที่อาจจืดชืด แต่คนอยู่กัน อย่างสงบ สันติ มีความร่าเริง เบิกบาน ตามธรรมชาติ อยู่กัน อย่างเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน ไม่แย่งชิงแข่งขันกัน ไม่ทุกข์ร้อนวุ่นวาย คุณอัญชลี ซักเพื่อให้พ่อท่านได้เปิดเผยต่อว่า แล้วมันจะไม่เป็นสังคมยูโทเปียเกินไปหรือ พ่อท่าน : แล้วมันไม่ดีหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณอัญชลี : มันจะเป็นไปได้หรือคะ พ่อท่าน : เป็นไปได้แล้ว อย่างชุมชนต่างๆของชาวอโศก ไม่มีอบายมุขเลย อยู่กันอย่างพี่ อย่างน้อง เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน (รายละเอียด ของการสนทนานี้ ติดตามได้ จากฝ่ายเผยแพร่) ๑๙.๑๘ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้มากราบนมัสการพ่อท่านอย่างที่เคยทำ สนทนากันเล็กน้อย ก่อนคุณสนธิ จะขอลา ไปทำกิจต่อ # # # ๑๑ มี.ค. ๒๕๔๙ บิณฑบาต วันนี้ มีคนจนแต่งตัวมอซอ เข้าใจว่า คงเร่ร่อนอยู่ที่สนามหลวง หรืออย่างไรนี่แหละ เข้ามาขอถวายเงิน วันก่อน ก็มีลักษณะ คนจนยาก อย่างนี้ ถวายเงิน ขณะบิณฑบาตมาแล้ว และ มีคนขับรถแท็กซี่ ได้ขอถวายเงิน ใส่บาตร เช่นกัน เป็นข้อมูล ที่แปลกไป เพราะมีผู้ส่งข้อความมาว่า แท็กซี่แปดหมื่นคัน ในกรุงเทพฯ เขารวมตัวกัน เรี่ยไรเงิน เพื่อซื้อพวงหรีด เอามาวางให้กับ พล.ต.จำลอง และท่าทีของแท็กซี่ อยู่ข้างท่านนายกฯ มานานแล้ว หลังบิณฑบาต ได้รับโทรศัพท์จากคุณสงกรานต์ เพื่อประสานข้อเสนอของอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม ต้องการให้มี การเจรจากัน โดยอาศัย พล.อ.เปรม เป็นตัวกลาง แล้วอาศัยพ่อท่าน เป็นทางผ่านไปยัง พล.ต.จำลอง เพื่อให้ได้ ไปเจรจา กับท่านนายกฯ ที่บ้านของ พล.อ.เปรม เรื่องนี้พ่อท่านไม่ขัดข้องแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดจะอยู่ที่ฝ่ายพันธมิตรฯ คุณสงกรานต์เห็นว่า สถานการณ์อย่างนี้ อยู่ที่พ่อท่านเท่านั้น ที่จะทำให้ได้ ประสานเจรจากันได้ และจะเป็นผู้ทำ ให้เกิดสิ่งดีๆในสังคม แทนที่จะต้องบาดเจ็บ เผชิญหน้ากัน อย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น จึงเห็นว่า อาจารย์ไพบูลย์ อยากจะนิมนต์พ่อท่าน ไปปรึกษา หารือกัน ในการ หาทางออกได้ โดยจะให้คุณนราทิพย์ เอารถมารับ เพื่อไปปรึกษากัน ที่บ้านพิษณุโลก จะมารับ ตอนบ่าย สองโมง พ่อท่านบอก กับคุณสงกรานต์ว่า อาตมาไม่เห็นว่า ตนเองเป็นคนสำคัญ หรือเป็นคนที่มีอำนาจ อิทธิพลใด ที่จะเป็นได้ ตามที่พวกคุณ จะพยายามให้เป็น ๐๘.๐๔ น. คุณแซมดินมาเรียนแจ้งผลการประชุม เกี่ยวกับการเคลื่อนตัววันที่ ๑๔ นี้ กลุ่มย่อยแกนนำ ๕ คน เห็นว่า ไม่ควรปิดล้อมทำเนียบ ทั้งหมด แต่กลุ่มใหญ่ ที่มีสมาพันธมิตรฯ อื่นๆ ซึ่งมีกลุ่มของ กฟผ. ฯลฯ ต้องการที่จะปิดล้อม ทั้งหมด ส่วนกลุ่มของ กองทัพธรรม จะอยู่ที่จุด สะพานมัฆวาน ไม่ได้เป็นจุด เผชิญหน้าอะไร ห่างจาก หน้าทำเนียบ เยอะ ส่วนจุดที่เผชิญหน้านั้น เป็นของ กฟผ. พ่อท่านเกรงว่า คนเหล่านั้น เขาจะแรง แล้วมันจะเป็นผลเสีย จากนั้นพ่อท่านบอกเล่าที่เมื่อครู่นี้เพิ่งได้รับการติดต่อ อาจารย์ไพบูลย์ต้องการจะให้มีการเจรจา อาศัย พล.อ.เปรม เป็นตัวประสาน คุณแซมดินเห็นว่า จากการร่วมประชุม กับแกนนำ ของฝ่ายพันธมิตรฯ ไม่ต้องการให้มีการเจรจา กันอย่างลับๆ ต้องการให้เปิดเผย เพราะไม่ไว้ใจ ท่านนายกฯ หรืออย่างไรนี่แหละ อาจจะมีคนกลาง ที่เชื่อถือได้ แล้วไม่ให้ได้ยินเสียง ก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ต้องการ ที่โล่งแจ้ง ให้คนได้เห็นกัน หลายๆคนได้ การแสดงธรรมก่อนฉันอาหารวันนี้ มีประเด็นที่พ่อท่านยกตัวอย่างเปรียบเทียบ กับการอ้างว่า ทำถูกต้อง ตาม กฎหมาย แต่ผิดศีลธรรม เป็นเรื่องที่ ไม่สมควรประพฤติ "อาตมา ขอยกตัวอย่าง ฟังดูดีๆ เหมือนนาย ข. แต่งงาน มีเมียคนหนึ่ง จดทะเบียนถูกต้อง ตามกฎหมาย แต่นาย ข. นี่นะ มีเงิน เอาเงินไปล่อผู้หญิง มาสำส่อนเสพ เอาอำนาจ ใช้อำนาจไปหาผู้หญิง มาสำส่อน อาตมาสมมุตินาย ข. นะ อย่าเข้าใจผิด นาย ข. ก็ไปสำส่อน ผู้หญิงคนนั้น คนนี้เยอะ นี่พูดด้านเดียว ประเด็นเดียว ว่าไม่มีศีลธรรม ศีลธรรมไม่ดี พฤติกรรมไม่ดี ไม่เป็นที่น่ายกย่อง หรือ ไม่เป็นที่เคารพ ของสังคม เพราะไปทำผิด อย่างนี้ ใช้อำนาจเงิน ไปซื้อเอาผู้หญิง มาสำส่อน เสร็จแล้ว ก็ประกาศตูมๆว่า ผมมีเมีย คนเดียว ใช่....ยังมีเมียคนนั้นแหละ ก็ยังอยู่ ยังรักเมียคนนั้นอยู่ แต่คุณประพฤติ อย่างนี้แหละ สำส่อน กับผู้หญิง ไม่รู้กี่คน แล้วก็ยืนยันว่า ผมไม่ได้ผิดกฎหมาย ใช่...คุณไม่ผิดกฎหมายหรอก แต่คุณผิดศีลธรรม บกพร่องทางศีลธรรม จริยธรรมอันไม่ควร มักมากในกาม นี่พูดประเด็นกาม ประเด็นเดียวนะ ถ้าพฤติกรรมศีลธรรม ไม่สมเหมาะสมควร ประเด็นอื่น ก็ทำนองเดียวกัน" อีกประเด็นหนึ่งที่บอกถึงความนิ่งสงบของสมณะ สยบความเคลื่อนไหว สำหรับผู้มีปัญญา จะเห็นได้ "อาตมานั่ง เป็นประธาน อยู่ตรงนั้น ใครผ่านไป ผ่านมา ก็เห็น เป็นนักบวช แล้วก็มี พระอันดับ มีสมณะนั่งอยู่เป็นปึก ข้างหลัง อาตมา ไม่ได้ทำอะไร แต่ทำ...ทำนั่ง นิ่งๆ อยู่เฉยๆ อยู่งั้นแหละ วันทั้งวัน ใครผ่านมา นั่งนิ่งเป็นปึก อยู่งั้นน่ะ ไม่เคลื่อนไหว ไปไหน มาไหน ไม่จุ้นจ้าน วุ่นวายอะไร นั่งอยู่อย่างงั้น ทั้งวัน วันแล้ววันเล่า ทุกวัน ก็มานั่ง... เหมือน ไม่เกิด อะไร แต่เกิดอะไรมั้ย เกิดน้ำหนัก อะไรขึ้นมา คุณก็คงจะเข้าใจว่า มันมีน้ำหนักอะไร น้ำหนักอย่างหนึ่ง ที่คนที่สัมผัสแล้วเขารู้...อืม...พระมานั่งกันสงบๆ อยู่อย่างนี้หนอ... ท่านสงบดียิ่งหนอ... คนไม่ชอบเขาก็บอก มันมานั่งบ้าอยู่ทำไมว้า ส่วนคนที่เข้าใจ ก็จะมองว่า โอ้...หนอ ท่านเสียสละ ท่านมาเป็นมวล มาเป็นน้ำหนัก อย่างน้อย ก็มาแสดง ความสงบ มาแสดง ความนิ่ง มาแสดงความแข็งแรง มั่นคง ยืนหยัด ยืนยัน ให้เกิด ความนิ่ง เกิดความสงบ เป็นแกน เป็นหลัก" สมรภูมิปฏิบัติธรรม เป็นน้ำแข็งท่ามกลางเตาหลอมเหล็กให้ได้ "ในหลายๆจุด พวกเราฆราวาส ก็มารวมกัน เป็นระเบียบเรียบร้อย โอ....ยิ่งเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่างนี้ ยิ่งดีใหญ่ ดูเต็นท์ก็ โอ้โห...เป็นระเบียบดี เรียบร้อยดี เป็นแถว เป็นแนว สวย....ดูดี การเคลื่อนไหวของพวกเราก็ทำงาน เราไม่ได้มาค้ามาขาย เราได้มาแจก แจกไปแจกมา กระทั่ง กลายเป็น โรงบุญแล้ว ตอนนี้ มาอยู่ที่นี่ เรามาเป็นผู้รับใช้ เราไม่ใช่ จะมาเป็น ผู้ที่เบ่ง มาแสดงอำนาจ เรามาเป็นผู้บริการ ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือบริการ อาหารเราทำก็จะมีขยะเปียก มันจะมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องขอแรงเพิ่มเติมช่วยบ้าง ขยะเปียกนี่มันเหม็นนะ มันเน่า มันเลอะ ขยะแห้งนี่ คนช่วยเก็บเยอะ ไม่ต้องกลัว แต่ถึงกระนั้น เราก็จะต้องช่วยทำ อยู่นั่นแหละ ทั้งขยะแห้ง ขยะเปียก ทีนี้อาหารการกิน เราก็จะต้องใช้หม้อ ใช้ชาม มีกะละมัง มีถาด มีจาน เพิ่มขึ้น หม้อก็ต้อง ใหญ่ขึ้น ล้างกัน คนล้าง ก็หนัก จึงต้องการ คนไปช่วย ในการชำระล้าง คืองานนี่ ใช้ปฏิภาณนะ ใช้ปฏิภาณเถอะ ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น เล็กๆ น้อยๆ ต้องช่วยกันมากขึ้น ในด้านนั้น ด้านนี้ สิ่งพวกนี้นี่ เป็นเรื่องที่มันเป็นเหตุการณ์ ที่มาให้เราได้ปฏิบัติ เป็นโจทย์ ทำแบบฝึกหัด ที่เราจะฝึกฝน อบรมตนไป เรามีหลายอย่าง ที่เราทำแล้ว สังคม ยังตามเราไม่ทัน อย่างน้อยนี่ พวกเรา มามักน้อย สันโดษนี่ ก็สังคมตามเรายาก พระพุทธเจ้า ท่านไม่ส่งเสริมคนหยุดอยู่ ท่านส่งเสริมคนเจริญๆๆ ยิ่งๆขึ้น จึงต้องสังวรระวัง เพิ่มภูมิของเราให้ได้ เพิ่มอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา หรือ เพิ่มวิมุติ วิมุติญาณทัศนะ ให้สูงเติมขึ้นไปเรื่อยๆ โจทย์คราวนี้นี่ แหม...ลึกซึ้ง โจทย์สูงขึ้น แม้แต่ในสมณะเองก็ตาม ทนพอได้เหมือนกัน ซึ่งเป็นการพิสูจน์ ตัวเราเองด้วย ทุกๆด้าน ในนัยะหลายอย่าง ในขณะที่ เรามีเหตุปัจจัย มีคนมาสารพัดสารเพ โอ้...เยอะเหลือเกิน สติไม่สมประกอบก็มี กินเหล้าเมามา พูดไม่รู้เรื่อง ก็เยอะ คนมีนิสัยแรงๆ แล้วก็ค่อนๆ จะไม่ค่อยจะเต็มนัก ก็มี โอ้โฮ....รับลูกยากมากเลย นี่หละถือว่า เป็นโจทย์ที่ โอ้โห....ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้นี่ ไม่มีโจทย์นี้ มาทำนะ เราจะได้รู้เลยว่า ใจเราจะกิเลส ขึ้นเร็วไหม เราจะอดทนพอไหม เราจะมีศิลปะวิธี สามารถที่จะปฏิสันถาร คือต้อนรับกัน อย่างงดงาม ต้อนรับกัน อย่างมีผลสูง เป็นคนมี ความสามารถ อยู่กับสังคม เพราะสามารถ รับได้ทุกทิศ รับได้ทุกลักษณะ คนสารพัดเราก็รับได้ สัมพันธ์ได้ทุกขนาด นี่เป็นเรื่องของสังคมศาสตร์ที่ลึกซึ้งมาก เราอาจจะอยู่กันคนละพวก แต่เมื่อถึงเวลาวาระ ที่จะต้อง มาสัมพันธ์กัน เขาไม่มีอะไร เขาจะมาร่วมกิน กับเราอย่างเดียว เรามีพอ ให้เขากินได้มั้ย.....ได้ ก็ต้องให้เขาด้วยน้ำใจที่ดี ปฏิสันถาร กันอย่างดี สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษยชาติ เป็นเรื่องของสังคม ทั้งสิ้นเลยนะ... เมื่อมาสู่สนามปฏิบัติ กันอย่างนี้แล้ว ก็จงใช้การปฏิบัติ ลงสู่สนามปฏิบัตินี้ ให้ได้เกิดประโยชน์ ต่อตน และ ประโยชน์ท่าน ให้ยิ่งๆเลย มันเป็นโอกาส ของเราแล้ว เราหยุดการ หยุดงานมา บางคนทิ้งสวน ทิ้งไร่มา ตอนนี้หน้าร้อน แดดอะไรมากมายด้วย ไม่รู้ต้นไม้ จะตายไปเยอะเท่าไหร่นี่ ขาดน้งขาดน้ำ ไม่ได้รดน้ำ รดท่าอะไร ต่างๆนานา กลับไปบ้าน มันจะตายเท่าไหร่ก็เอาละ เสียสละไว้ก่อน กลับไปค่อยปลูกขึ้นใหม่ มีอะไร ก็เก็บต้น ที่มันยังไม่ตาย กินไปก่อน หรือต้นที่ตายแล้ว กินมันได้ ก็กินมันก่อน มันตายแล้ว ก็ปลูกใหม่ ไปตามเรื่องตามราว อาตมาเห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เป็นคนมักน้อย สันโดษ เป็นคนขยันหมั่นเพียร พึ่งตนเองรอด จนกระทั่ง เหลือเฟือ แล้วก็ เกื้อกูลผู้อื่นได้ การเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือ อุ้มชูกันนี่ มันประเสริฐ อะไรก็เงิน อะไรก็เงิน อะไรก็เงิน จะบ้าแล้ว สังคมทุกวันนี้ อะไรก็ GDP GDP ถ้าไปเพ่งแต่เรื่องโน้น ไม่มาเพ่งจุด พฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมของสังคม ที่ควรจะอยู่ ในลักษณะไหน พระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้ว อาตมาก็นำมาสืบสานต่อ มักน้อยสันโดษแล้วก็มารู้จักช่วยกัน อนุเคราะห์เกื้อกูลกัน แล้วไม่ต้องสะสม อาตมาภูมิใจนะว่า สอนให้พวกเรา กล้าจน จนไม่ได้สะสมเนี่ย โอ้โฮ...อาตมาตายไปวันนี้ก็ภูมิใจ ภูมิใจ ที่สอนให้พวกเรา เกิดเป็นคนไม่โลภ แล้วก็ไม่แย่งชิง แล้วก็ไม่ต้องสะสม เอาเปรียบใคร ได้มากน้อยอะไร ก็แล้วแต่เถอะ แต่ได้ ขณะนี้มีอยู่จริง เราจะอยู่ท่ามกลางไฟร้อน ท่ามกลางสังคมที่เขาเดือดร้อนวุ่นวาย แล้วเราก็สงบ เราก็ช่วยเขาได้ มีประโยชน์แก่เขาได้ จิตเราก็สงบจริงๆ นิพพานนี่คือ จิตสงบ ท่ามกลาง กระแสวุ่น อย่างที่ท่านพุทธทาส ท่านว่า "เป็นน้ำแข็ง ท่ามกลาง เตาหลอมเหล็ก" อันนี้แหละ เป็นเรื่องพิสูจน์ชัดเจนว่า เราเย็นแท้ แม้ท่ามกลาง ความร้อน และ เราก็มีประโยชน์ กับ คนที่เขาร้อนเร่า ให้สงบให้เย็น เหมือนกับเรากำลังมาทำนี่" ร.ต.อ.ดร.นิติภูมิ นวรัตน์ ได้มากราบนมัสการ และบอกเล่าให้พ่อท่านฟังว่า กว่าจะเขียนคอลัมน์ เมื่อวาน ออกมาได้ ต้องไปคุยกับ คุณสราวุธ วัชรพล เจ้าของ หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ อยู่หลายครั้ง เพื่อบอกให้เข้าใจว่า มันจำเป็น ที่จะต้องเขียน อย่างนี้แล้ว ๑๓.๔๐ น. อาจารย์นราทิพย์ พุ่มทรัพย์ ผอ.ศูนย์คุณธรรม ได้มารับไปที่บ้านพิษณุโลก เพื่อสนทนากับอาจารย์ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม รวมถึง ดร.โคทม อารียา เกี่ยวกับ การหาทางออก ให้กับปัญหา ทางการเมืองครั้งนี้ รถวน ดูบริเวณ บ้านพิษณุโลก คุณนราทิพย์บอกเล่า อธิบายอาคารต่างๆ ที่ใช้ มีทั้งอาคาร ที่ท่านนายกฯ ใช้พบปะ กับแขกบ้าง รวมถึงอุโมงค์ใต้ดิน สำหรับหลบภัยจากระเบิด เป็นอาคารที่สร้าง ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ช่างก่อสร้างเป็นคนเดียวกับ ที่สร้างทำเนียบรัฐบาล รออาจารย์ ไพบูลย์ และดร.โคทม อยู่สักพักใหญ่ๆ ระหว่างรอนั้น คุณสุนัย คุณสงกรานต์ และคุณสมพงษ์ ซึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว ได้นำเอาเอกสาร ที่อาจารย์ไพบูลย์ ได้เขียนเสนอ แนวทางสันติวิธี หรืออหิงสา อย่างให้มีการเจรจา รวมถึงคุณสุนัย ได้ให้เอกสาร ที่คุณสุนัยรวบรวม และเขียนถึงปัญหา และ เสนอทางออกไว้ด้วย คือ เจรจา อย่างเดียวกับที่ อาจารย์ไพบูลย์ ได้เสนอไว้ ทั้งอาจารย์ไพบูลย์และคุณสุนัยเห็นว่า ถ้าปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ โอกาสที่จะมีการเผชิญหน้า และ สูญเสีย เลือดเนื้อ มีความเป็นไปได้ เพราะทั้งสองฝ่าย ไม่มีท่าที จะถอยให้กัน รวมถึงมีมวลชน ที่สนับสนุน และร้อนแรง ด้วยกัน จึงคิดว่า น่าจะมีการเจรจา เพื่อลดความร้อนแรงลง โดยอาจจะกำหนด กรอบที่จะเจรจา เอาจากเรื่องง่ายๆ ที่ทั้งสองฝ่าย สามารถร่วมกันได้ ส่วนเรื่องที่ ขัดแย้งกัน มากๆ ก็ค่อยคุยกันภายหลังได้ ให้มีภาพว่า ทั้งสองฝ่าย ร่วมกันได้บ้างก่อน จะได้มีกำลังใจว่า การเจรจา พอเป็นไปได้ โดยให้ คุณสุนัย ลองไป สอบถามความเห็น จากคน ในซีกรัฐบาล ส่วนทางฝ่ายพันธมิตรฯ ก็นิมนต์พ่อท่าน คุยกับ พล.ต.จำลอง เพื่อดูความเป็นไปได้ ของทั้งสองฝ่ายก่อน หากมีความเป็นไปได้ทั้งสองฝ่ายยินดีที่จะเจรจากัน ก็จึงคิดหาทางที่จะหาประเด็นในการเจรจากันต่อไป โดยเสนอ กรอบคร่าวๆ ว่ามีสองฝ่าย และ อาจจะหาคนกลาง ที่ทั้งสองฝ่าย ยอมรับ อาจจะเป็น พล.อ.เปรม เพื่อเจรจากัน ต่อหน้า แล้วได้ผลอย่างไร ให้ พล.อ.เปรมเป็นผู้แถลง การเจรจานั้น ควรทำกันเป็นส่วนในก่อน ค่อยแถลงข่าว ภายหลัง หากเปิดกว้างในที่สาธารณะเลย การต่อรองจะยาก การลดราวาศอกจะไม่เกิด เพราะต่างฝ่ายต่างจะเอาชนะกัน ดีไม่ดี จะสาวออกมาพูดกัน อีกหลายเรื่อง พ่อท่านตอบรับว่า เห็นด้วยกับการจะให้มี การเจรจากัน ดร.โคทมมาถึง หลังจากได้สนทนากันไปเป็นแนวทางคร่าวๆแล้ว ดร.โคทม แจ้งข่าวที่น่าสนใจว่า หมอเปรมศักดิ์ เพียยุระ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ของพรรคไทยรักไทย ได้บวชแล้ว ที่วัดสวนแก้ว มีผลทำให้ จำนวน ส.ส.ทั้งสภา ไม่ถึง ๕๐๐ คน เพราะพระเปรมศักดิ์ ขาดคุณสมบัติ ส่งผลต่อให้สภา เปิดประชุมไม่ได้ ส่งผลต่อไปถึง แต่งตั้งนายกฯ ก็ไม่ได้ อาจารย์ไพบูลย์มีท่าทีดีใจ เพราะจะได้ใช้มาตรา ๗ คือ ขอพระราชทานรัฐบาลได้ แต่ท่าทีของ ดร.โคทม ยังไม่อยาก จะให้ใช้ เพราะมันล่อแหลม ที่จะละเมิด กฎหมายรัฐธรรมนูญ ถ้าจำเป็นต้องใช้ ก็ควรจะเข้าหารัฐธรรมนูญ ให้มาก ที่สุด ๑๗.๐๗ น. เมื่อกลับมาถึงที่สนามหลวง พ่อท่านไปหา พล.ต.จำลอง เพื่อบอกแจ้งข้อเสนอ ให้มีการเจรจาของ อาจารย์ ไพบูลย์ และ ดร.โคทม ใช้รถตู้คันหนึ่งเ ป็นที่สนทนา โดยมีคุณแซมดิน คุณแก่นฟ้า และคุณขวัญดิน ร่วมรับฟังด้วย ท่าทีของพ่อท่าน ในการบอกสื่อ เรื่องข้อเสนอ ในการเจรจานี้ เหมือนไม่ลงน้ำหนัก สำคัญมาก บอกเล่าอย่างย่อๆ แล้วแถม น้ำหนัก ของการสนทนา ให้ไปอยู่ที่เรื่อง หมอเปรมศักดิ์ออกบวช เย็นนี้ไม่มีรายการของพ่อท่าน เพราะเมื่อวาน พล.ต.จำลอง รวมถึงคุณอัญชลีได้บอกไว้เกริ่นว่า อาจจะมีรายการ นักวิชาการ ทางศาสนา มาพูด แต่เมื่อถึง เวลาจริงๆ ไม่มีใคร มีวงดนตรีอะไรไม่ทราบ มาร้องเพลง ไปตามเรื่อง ของดนตรี ไม่ได้มีนักวิชาการ ทางศาสนา แต่อย่างใด พ่อท่านยังคง นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่รายการ บนเวที ประชาธิปไตย ยังคงดำเนินไป อยู่เรื่อยๆ จนได้เวลาสองทุ่ม จึงเดินทางกลับ ถึงสันติอโศก ก่อนสามทุ่มเล็กน้อย # # # ๑๒ มี.ค. ๒๕๔๙ การแสดงธรรมก่อนฉันอาหารวันนี้ พ่อท่านยังนำหลักทศพิธราชธรรม มาอธิบายประกอบ มีประเด็น ที่มีผู้ที่ เคยศรัทธา เสื่อมศรัทธาไป ด้วยเข้าใจว่า การตัดสินใจ มาร่วมชุมนุม อย่างนี้ เป็นความผิดพลาด เสียหาย พ่อท่าน เผยถึงความเชื่อมั่น ในการตัดสินใจ ทำอะไร มีส่วนคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่อย่างหนึ่งคือ "อาตมา มีส่วน คล้ายกับ คุณทักษิณ อยู่นิดหนึ่ง นิดเดียว คล้ายตรงที่ว่า "ผมไม่ทำหรอก ทำงานแล้วขาดทุน" อาตมาก็เหมือนกัน นั่นแหละ รู้อยู่แล้วว่า งานนี้นะ ทำไปแล้ว ลงแรง ไปแล้ว มั่นใจนะว่าดี เหมือนกับคุณทักษิณที่ว่า "มั่นใจว่ากำไร" แล้วคุณ ทักษิณทำ อาตมาว่า กำไรขาดทุน อาตมาไม่มีปัญหา แต่อาตมา มั่นใจว่าดี งาม ทำแล้ว ประเสริฐมั่นใจทำ เพราะฉะนั้น ถ้าอาตมา ไม่มั่นใจถึง ๗๐-๘๐% อาตมาไม่เสี่ยง ถ้าจะเสี่ยง ต้องรู้ว่า มีน้ำหนักถึง ๗๐-๘๐% จึงจะเสี่ยง ๕๐-๖๐ ไม่เอา อาตมาไม่เสี่ยง แต่กำไรของอาตมา ไม่ได้เอาเข้ากระเป๋าตัวเอง กำไรของอาตมาคือ ได้เสียสละ ให้สังคม การที่เรามาที่นี่ ก็เพื่อให้เกิด ความสงบเย็น พวกเรา มาร่วมชุมนุม อย่างซื่อตรง ไม่ได้คิดถึงผลประโยชน์ ทับซ้อน อะไรเล้ย ไม่ได้ทำเพื่อหวังผลอะไร มาให้กับตนเอง" หลังการแสดงธรรมจบลง ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ ได้นำหนังสือพิมพ์หลายฉบับ มาถวายให้ และสนทนาด้วย ขณะฉันอาหาร คุณร้อยแจ้งโทร.มาขอให้ทำธง อหิงสา อโหสิ เพิ่มจากเดิม โดยเห็นว่างบในการทำมีอยู่แล้ว ที่ฝ่าย กองอำนวยการ อยากจะให้ทำ สักสองหมื่น อากาศร้อน ไม่ต่างจากวันก่อนๆเลย เราเห็นหมอหนุ่ม ที่อาสามาช่วยบริการมานั่งทำงาน ดูกระตือรือร้นพอได้ ที่เต็นท์กองอำนวยการ มีประชาชน มาบริจาค ร่วมสมทบทุน ในการต่อสู้ครั้งนี้ นักข่าวไทยรัฐ ได้มาซักถามเรื่องการทำธง อหิงสา อโหสิ เพื่ออะไร และการเคลื่อนตัว ในวันที่ ๑๔ นี้ กองทัพธรรม จะอยู่ส่วนไหน ๑๗.๒๐ น. มีการพูดถึงปัญหาการเจรจาในรถตู้ โดยคุณแซมดินและคณะได้มาถ่ายทอดการเจรจา กับทาง ตัวแทน ฝ่ายรัฐ หมอพรหมมินทร์ เสนอให้มีตัวแทน ในการตรวจสอบ ข้อกล่าวหาทั้งหมด ที่มีต่อท่านนายกฯ แต่ทางฝ่าย พันธมิตรฯ เห็นว่า เป็นข้อเสนอ ที่อ่อนเบาไป ๑๙.๐๒ น. คุณสนธิและคุณสโรชา ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน สนทนากันเล็กน้อย ก่อนทั้งสอง ขอตัวไปที่เวที ระหว่าง เดินทางกลับ สันติอโศก ได้รับโทรศัพท์ จากคุณสงกรานต์ แจ้งข่าวว่า โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ได้นำเอา ภาพเหตุการณ์ ที่ในหลวง ได้เรียก พล.อ.สุจินดา และ พล.ต.จำลอง เข้าพบ หลังจากเกิด เหตุการณ์รุนแรง พฤษภาทมิฬ คุณสงกรานต์เห็นว่า เป็นเรื่องที่มีนัยยะเตือนมาถึง พล.ต.จำลอง ขณะอยู่ในรถนั้น ไม่สามารถรับฟัง พระราชดำรัสได้ เพราะเสียง ที่ถ่ายทอด จากสถานีวิทยุไม่ดี ถ้าเป็นโทรทัศน์ จะมีตัวหนังสือวิ่งให้ดู ถึงคำตรัสนั้น กลับถึงสันติอโศก ผู้ที่ไม่ได้ไป อยู่ที่วัด เปิดดูรายการของ ASTV ซึ่งกำลังพูดถึงเรื่อง กระแสพระดำรัสนี้ อยู่พอดี พล.ต.จำลอง บอกเล่าเหตุการณ์ ในช่วงนั้น และยืนยันว่า ความผิดอยู่ที่ฝ่ายรัฐ เอาทหาร ออกมายิงประชาชน ไม่ได้เกิดจาก ประชาชนก่อขึ้น ขณะเดียวกับการแปลความ พระราชดำรัสนี้ คุณสนธิมองว่า เป็นการส่งสัญญาณมาว่า ท่านนายกฯ ต้องลาออก เพื่อหลีกเลี่ยงกับ การเกิดสถานการณ์ ที่รุนแรงนั้น # # # ๑๓ มี.ค. ๒๕๔๙ หลังบิณฑบาต แล้ว คุยกับคุณสงกรานต์ และคุณสุนัย โดยมีคุณแซมดิน คุณธำรง คุณแก่นฟ้า ร่วมสนทนาด้วย ในรถตู้ "ทัวร์ทีป" คุณสงกรานต์ เปิดประเด็น เรื่องที่ทางโทรทัศน์ รวมการเฉพาะกิจ ได้นำเอาภาพเหตุการณ์ที่ พล.ต.จำลอง และ พล.อ.สุจินดา เข้าเฝ้าในหลวง ออกมาเผยแพร่ พ่อท่าน ทักถามกลับว่า ได้ดูที่คุณสนธิ วิเคราะห์ไว้หรือไม่ คุณสงกรานต์ พยายามบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ที่ดูแล้ว เขาไม่ได้คิด อย่างคุณสนธิ เขาอาจจะคิดว่า เป็นการ ออกมาเตือน พล.ต.จำลอง ในการจะเคลื่อนตัว วันพรุ่งนี้ จึงน่าจะได้มีการทำโพล สำรวจความเห็นประชาชน ว่าเขาคิดอย่างไร ขณะที่คอลัมน์นิสต์สื่อต่างๆ ก็มองกันทั้งสองส่วน เท่าที่ดูจากท่าทีของคุณสงกรานต์และคุณสุนัย เป็นห่วงเรื่องภาพ ของชาวอโศก ที่จะออกมารุนแรง ไม่ยอมเจรจา และ เกรงจะถูก กล่าวหาอีกว่า เป็นเหตุทำให้คนตายกัน คุณสุนัยก็เห็นด้วยกับ ความรู้สึกของพันธมิตรฯ ที่ว่า ข้อเสนอของฝ่ายรัฐนั้น น้อยไป ในการเจรจา คุณสงกรานต์ เปรย ถึงข่าวว่า ท่านนายกฯจะลาออกวันนี้ เป็นกระแสที่ถูกบีบ มาจากหลายๆฝ่าย ก่อนฉันอาหารวันนี้ พ่อท่านยังคงนำเอาหลัก ทศพิธราชธรรมมาอธิบายต่อ ๑๓.๔๒ น. นักข่าวหนังสือพิมพ์ในอเมริกา ฉบับหนึ่ง ได้มาขอสัมภาษณ์พ่อท่าน จากบางส่วน ดังนี้ นักข่าว : กังวลไหมว่าจะเกิดความรุนแรง พ่อท่าน : ไม่กังวล เท่าที่ดูแล้ว ทุกฝ่ายก็ต้องการ ที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรง ฝ่ายรักษาความมั่นคงของรัฐ เขาก็ เตรียมพร้อม ป้องกันไว้แล้ว นักข่าว : กังวลไหมที่เราเป็นนักบวช แล้วมาเกี่ยวข้องกับการเมือง กังวลว่าเขาจะครหาไหม พ่อท่าน : อาตมาไม่กังวล เพราะอาตมารู้ความจริงทั้งสองด้าน สังคมเข้าใจว่า ธรรมะอย่ามาเกี่ยวกับการเมือง แต่อาตมาเห็นว่า ธรรมะต้องเกี่ยวกับการเมือง แยกจากกัน ไม่ได้ เมื่อถึงครั้งถึงคราว ก็ต้องเข้ามาเกี่ยว ไม่เช่นนั้น มันจะใจดำ เกินไป และได้ตัดสินใจดีแล้ว ว่าจะต้องทำ จึงไม่ได้กังวลอะไร เพราะความจริง ที่เขาคิด อาตมาก็เข้าใจ แต่ที่อาตมา มีความจริ งเขาไม่เข้าใจ นักข่าว : ในทางการเมืองประชาธิปไตย การเลือกตั้งน่าจะเป็นคำตอบที่ดี การเลือกตั้งใหม่ ก็เป็นประชาธิปไตย แล้วไม่ดีตรงไหน พ่อท่าน : โดยหลักการถูก แต่โดยเหตุการณ์ขณะนี้มันไม่ถูก มันไม่ชอบธรรม มีมากมายหลายประเด็น ปัญหา ใหญ่ที่สุด อยู่ที่ตัวนายกฯ แม้จะมี การเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่ชอบธรรม เพราะอำนาจ และอิทธิพล ยังมีอยู่มาก นักข่าว : จากการที่ได้คุยกับแหล่งข่าวต่างๆ คิดว่าทักษิณจะลาออก แต่ไม่อยากให้ยึดทรัพย์ ท่านได้ยินอย่างนี้ บ้างไหม พ่อท่าน : เรื่องนี้เป็นเรื่องสามัญ เข้าใจได้ ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร นักข่าว : ท่านมองว่าอีกหนึ่งวันถัดจากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น พ่อท่าน : อาตมาไม่ได้เป็นโหราจารย์นี่ นักข่าว : การขายหุ้นชินคอร์ป เหตุใดจึงเป็นเรื่องที่แรงที่สุด พ่อท่าน : การขายหุ้นจำนวนมากยังไม่เคยมี สอง การขาย มีสิ่งที่ไม่โปร่งใส มีความซับซ้อน ทั้งในเรื่องของวิธีการขาย ทั้งในเรื่องของ สถานะ ของนายกฯ อีกทั้งเรื่อง ของการเสียภาษี ไม่เสียภาษี ก็ซับซ้อนอยู่ มีทั้งทับซ้อน มีทั้ง ความกลบซ้อน นักข่าว : ที่ว่าเป็นหยดน้ำเย็นเล็กๆหยดหนึ่งในที่ชุมนุม ที่จะช่วยให้เกิดความสงบนั้น ทำอย่างไร พ่อท่าน : อันนี้อธิบายยาก มันมีอยู่ใน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของพวกเรา แต่ละคน ที่มีความสงบ สันติ ไม่รุนแรง ซึ่งเป็นทั้ง รูปธรรม และนามธรรม โดยเฉพาะ นามธรรม ที่เป็น ธรรมมัญญารังสี ๑๔.๑๔ น. James Rose ฝรั่งอเมริกันอีกคนได้มาขอสัมภาษณ์ จากบางส่วนของการสนทนา ดังนี้ พ่อท่าน : มาช่วยสังคม James Rose : ท่านพูดเหมือนกับว่า ท่านพยายามที่จะให้การมาชุมนุมของกลุ่มนี้ ไม่เป็นไปในทางการเมือง ใช่หรือเปล่า พ่อท่าน : ก็มีส่วน James Rose : ท่านมีความคิดว่าศาสนาเนี่ยมีบทบาทสูงไหมในสังคมปัจจุบัน อย่างมุสลิมเนี่ย เขาก็เกี่ยวข้อง กับเรื่องของ สังคมมาก แล้วทางของพุทธล่ะ พ่อท่าน : ความจริงแล้วศาสนาพุทธนั้นเป็นศาสนาที่มีคุณค่า หรือมีประโยชน์ต่อสังคมโดยตรง James Rose : มีหลายคนที่ไม่อยากจะเห็นเรื่องศาสนา สังคม และเศรษฐกิจเนี่ย มารวมอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ทางโลกตะวันตกเลย ขอความเห็น ในเรื่องนี้ ในเรื่องบทบาท ของศาสนาพุทธ พ่อท่าน : อาตมาว่าเป็นความเข้าใจผิด เพราะว่าเรื่องศาสนาเกี่ยวข้องหมดทั้งสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ เกี่ยวข้องโดยตรง ทั้งรัฐศาสตร์ หรือ เศรษฐศาสตร์ James Rose : เป็นคำตอบที่ดีมาก ถ้าสมมติท่านนายกฯทักษิณ ยอมลง แล้วก็ออก ท่านคิดว่า อะไรเกิดขึ้น พ่อท่าน : สงบ James Rose : คำว่าความสงบ ในที่นี้ หมายความว่าอย่างไร ถ้าในแง่ของพระพุทธศาสนา คำว่าสงบ พอจะเข้าใจ แต่ที่ถามนี่ ในแง่ว่า สำหรับ ประเทศไทย พ่อท่าน : ทุกอย่างก็หมดปัญหา เพราะปัญหา มันเกิดอยู่ที่ตรงนี้ James Rose : พระพุทธศาสนาเนี่ย จะเข้ามามีในเรื่องของการแก้ปัญหาชีวิตโดยตรง ไม่ใช่หรือ พ่อท่าน : สังคมด้วย พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาเอาแต่ตัวรอดคนเดียว ตรงนี้เป็นคำตอบที่สำคัญ คือศาสนาพุทธนี่ เป็นศาสนาก็ใช่ ที่ทำที่ตัวเอง แต่เมื่อทำ ที่ตัวเองได้แล้ว ผลจะเป็นประโยชน์ ต่อสังคมด้วย เหมือนเหรียญ ๒ ด้านแยกกันไม่ได้ James Rose : ที่กำลังพูดถึงนี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณ แต่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่ และ การจัดการ เหตุการณ์ ที่เป็นอยู่ มากกว่าเรื่องของจิต พ่อท่าน : จริงๆด้วยกัน พร้อมๆกันเลย มีทั้งภายนอกภายในพร้อมกัน เพราะเราทุกคนนี่ มาฝึกฝน และเรียนรู้ ภายในด้วย และ ทำกับภายนอกด้วย มีผลต่อ ข้างนอกด้วย มีผลต่อเราด้วย ได้ประโยชน์ทั้งเรา และ ได้ประโยชน์ ทั้งสังคมด้วย เราเสียสละให้เขาไป เขาก็ได้ สิ่งที่เราให้ เราก็ได้....เราได้"ความเป็นประโยชน์ ต่อผู้อื่น" เป็นคุณค่า ของเรา ทางธรรม เรียกว่า บุญ James Rose : ปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าโลกทั้งโลกนี่อยู่ใต้อำนาจของทุนนิยม และใต้อำนาจของธุรกิจไปหมด แล้วก็มุ่ง ที่จะทำเงิน มากกว่า เหมือนกับที่ ท่านนายกฯ ทักษิณ ทำอยู่ แล้วท่านมองว่า โลกกำลังหมุน ไปแนวทางที่ผิด ใช่หรือไม่ เขาบอกว่า เขาคิดว่าอย่างนี้ แล้วก็เชื่อว่า ท่านก็คงจะตอบอย่างนั้น เหมือนกัน พ่อท่าน : แล้วควรจะถามว่า มียังไงหรือเปล่า James Rose : ถ้าสมมติว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในเมืองไทย ส่งผลที่ดี โดยมีเรื่องของทางด้านธรรมะ เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่งผลที่ดี คือสำเร็จ เหตุการณ์ในเมืองไทย จะกลายเป็น ตัวอย่าง สำหรับประเทศรอบๆ ที่มีปัญหาอยู่หรือไม่ พ่อท่าน : โอ มันจะเป็น Best Record ของโลกเลยนะ เพราะอะไร เพราะว่าการชุมนุมทางการเมือง หรือ การชุมนุม ต่อต้าน ล้มล้าง ผู้นำของประเทศนี่ ที่ไทย กำลังเกิดอยู่นี่ มันชุมนุมกันมาแล้ว ตั้ง ๑๕-๑๖-๑๗ ครั้งแล้วนี่ มันสงบ เรียบร้อย ไม่เกิดความรุนแรงอะไรมาได้ตลอดเลย ซึ่งไม่เคย มีมาก่อนเลยในโลก ทั่วโลก มีแต่เกิด ความรุนแรง จลาจล จึงจะสำเร็จ เพราะฉะนั้น เราถึงเห็นความวิเศษ หรือความงดงาม ของการชุมนุมกัน ได้อย่างสงบนี่เอง เราถึง เข้ามาร่วมด้วย เพื่อมาช่วยให้สิ่งนี้ สำเร็จให้ได้ เพื่อให้เกิดประชาธิปไตย ที่สวยงาม สงบเรียบร้อย บรรลุผลจริง James Rose : โดยวิธีการนี้ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างนี้ใช่หรือไม่ คือ การชุมนุมอย่างนี้ จะช่วยให้เกิด ความสงบ ข้างใน มากกว่าที่จะเป็นการใช้ ความรุนแรง ทำให้ข้างใน ของแต่ละคนๆ รู้สึกสงบ แล้วการชุมนุมวันนี้ เป็นสิ่งที่ดี ใช่ไหม เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ดี ใช่หรือไม่ พ่อท่าน : เราพยายามช่วยเหตุการณ์นี้ให้เกิดไปในทางที่ดี มีเป้าหมายหลักคือ ไม่ให้เกิดความรุนแรง ให้เกิด ความยุติธรรม เป็นสำคัญ โดยเรา ไม่มีจุดมุ่งหมาย ไปทำร้าย ทำลายอะไร James Rose : ท่านคิดอย่างไรในเรื่องการที่มีรัฐบาลที่ดีหรือว่ามีธรรมรัฐ พ่อท่าน : พูดตรงๆนะ เรากำลังสร้างอยู่นะ แต่คงต้อง ใช้เวลา อีกนาาาน เพราะว่า ระบบของเรา ไม่ใช่โลกีย์ มันไม่ใช่ระบบ ของทุนนิยม ไม่ใช้ศักดินา ไม่ใช้อำนาจ ไม่เป็นโลกาธิปไตย และไม่เป็น อัตตาธิปไตย เรามุ่งธรรมเป็นหลัก ให้เกิดธรรมาธิปไตย อาจจะฟังแล้ว เหมือนเพ้อฝัน ของเรามัน Suppra Model แล้วก็ไม่มีคำ ไม่มีภาษาจะเรียก มันก็ไม่รู้จะใช้ว่าอะไร ก็ระบบบุญนิยม James Rose : อันนี้เป็นสิ่งที่เราเอาเข้าไปต้านใช่ไหม หมายความว่าตรงกันข้ามกัน พ่อท่าน : ไม่ใช่ต้านนะ อันนี้คนละตระกูล แต่ไปด้วยกันได้ James Rose : ไปสร้างสมดุลใช่ไหม พ่อท่าน : ทุนนิยม กับ บุญนิยม นี่คนละตระกูล ทุนนิยมเอา ส่วนบุญนิยมให้ เพราะฉะนั้น อยู่ด้วยกันได้ เพราะคนหนึ่ง "เอา" อีกคนหนึ่ง"ให้" มันก็สมานกัน ทันที มันเข้ากัน ลงตัวกัน มันไม่ทะเลาะกัน ไม่ขัดแย้งกันเลย เพราะมันส่งรับกัน - สอดคล้องกัน เห็นๆอยู่แล้ว เป็นสามัคคีแท้ๆ แต่ทั้งสองนี้ มันคนละขั้วแน่ คนละตระกูลแน่ คนละ species แน่ ทว่า ไม่ใช่ศัตรูกันเลย James Rose : ใช่ เห็นด้วยเลย เพราะว่านั่นคือมนุษย์มันมี ๒ อย่าง อย่างนี้ พ่อท่าน : เรานะไม่ได้ทะเลาะกับเขา ส่วนเขานั้นจิตใจต้องฝึกฝน เพียงไปด้วยกันได้ในเรื่องสังคมศาสตร์ ถ้ายังเป็น ทุนนิยม หรือโลกีย์ เขาก็ยังต้องเอา ไม่จบ ไม่พอ ทุนนิยมนั้น ต่างคนต่างเอา เขาตระกูลเดียวกันแท้ๆ แต่เขาแย่งกัน ชกกันเลยนะ ตระกูลเดียวกัน แต่ทะเลาะกัน ส่วนบุญนิยมนั้น ต่างคน ต่างไม่เอา ไม่ทะเลาะกันเลย ต่างคนต่างสร้าง และ เสียสละ เพราะมีความพอ James Rose จบลงด้วยการพูดว่า ตอนนี้เขากำลังคิดว่า เขาได้สิ่งที่เรียกว่า บุญนิยมอยู่แล้ว เพราะว่าตัวเขานี่ เอาเวลา ของพ่อท่านมากแล้ว พ่อท่านก็ให้ๆ ๑๖.๕๘ น. หนังสือพิมพ์โพสทูเดย์ ได้มาขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับพระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ คือ พระพุทธาภิธรรมนิมิต ที่ตั้งอยู่ในเต็นท์ ของชาว กองทัพธรรม ขณะนี้ เนื่องจาก การเคลื่อนขบวน ของผู้ชุมนุม ในวันพรุ่งนี้ จะใช้พระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ องค์นี้ นำขบวนด้วย ๑๙.๒๐ น. คุณสนธิได้มากราบนมัสการอย่างเช่นทุกวันที่เคยปฏิบัติ ประเด็นการสนทนาวันนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การใช้หลัก อหิงสา เมื่อใช้ได้สำเร็จ ก็ถือว่า ชนะแน่ # # # ๑๔ มี.ค. ๒๕๔๙ คุณหนึ่งฟ้า โทรมารายงานข่าวว่า ได้คุยกับ คุณสุรเธียร เขาเตือนให้ระวัง ตรงจุดสะพานมัฆวาน ไม่รู้ว่า เป็นข้อมูล ที่ได้มาอย่างไร แต่อย่างน้อย ก็ต้องรีบส่งข่าว ให้พวกเรา ได้รับรู้ก่อน โทรบอกคุณแก่นฟ้า และ คุณร้อยแจ้ง ได้รับคำตอบว่า คณะกองทัพธรรม ผ่านจุดสะพานมาได้ปลอดภัยแล้ว กำลังถึงที่ทำเนียบ ๐๙.๔๓ น. ได้รับโทรศัพท์จากสมณะถักบุญ ปรึกษาปัญหาเรื่องรถพระพุทธรูป ออกไปนอกเส้นทาง ตำรวจกำลังจะให้ เคลื่อนย้ายออกไป จึงติดต่อ แจ้งให้คุณแก่นฟ้า ช่วยประสาน กับผู้ที่จะเจรจา กับทางตำรวจได้ โชเฟอร์ อารมณ์ เสียมาก เขาไปจอดที่สนามหลวงก่อน รอจนกว่า ฝ่ายประสานงาน จะเจรจาได้ จึงค่อยขับ กลับมาจอด ในที่ชุมนุมได้ ระหว่างฉันอาหาร เปิดดูการถ่ายทอดตลอด พ่อท่านเปรยว่า ฉันแล้วจะเดินทางไปที่ทำเนียบ บริเวณที่ชุมนุม เพื่อเป็น กำลังใจ ให้กับพวกเรา พ่อท่าน ยังประมาณ สถานการณ์ไม่ถูก ว่าจะเป็นอย่างไร จากข้อหารือ ที่คุณตายแน่ โทรมา สอบถาม เรื่องที่พ่อท่าน จะไปเยี่ยมพวกเรา มีคนส่งข่าวว่า พ่อท่านจะไปเทศน์ คุณตายแน่ จึงได้โทรมาสอบถาม ให้แน่ชัด ไม่รู้ใครให้ข่าวไป จึงได้ตอบไปว่า พ่อท่านไม่ได้คิดว่า จะไปเทศน์ เพียงต้องการ ไปดูพวกเรา เป็นการให้ กำลังใจ เท่านั้น ประมาณ บ่ายสี่โมง ออกจากสันติอโศก ข้าพเจ้าถามคุณตายแน่ว่า ถ้าสมณะจะไปกันหลายๆรูป จะสะดวกไหม (เพราะเห็นหลายรูป มีท่าที อยากจะไป เช่นกัน) คุณตายแน่ตอบว่า ยังไม่เข้าที่ เข้าทาง เอาเฉพาะ ที่มากับพ่อท่าน ได้เท่านั้นก็พอ เพราะปัญหาเรื่องสถานที่ ยังไม่ลงตัว จากข้อมูลที่คุณตายแน่ รายงานมานี้ ทำให้พ่อท่าน บอกกับสมณะ ที่ต้องการ จะไปร่วม ให้ระงับก่อน ส่วนสิกขมาตุเอง ก็ต้องการจะไปดูพวกเรา สำหรับสิกขมาตุ พ่อท่านเห็นว่าไปได้ เพราะสังคม อาจจะไม่ติดใจ สิกขมาตุ เท่าสมณะ ที่จะไป ปรากฏตัว ในที่ชุมนุมอย่างนั้น ตกลงว่า สิกขมาตุไปได้ ส่วนสมณะ ขอเอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งไป แต่เมื่อถึงเวลาจริงเข้า มีสมณะ ๒ รูป แอบไปรถอีกคันหนึ่ง ที่คุณวิรัติ เป็นคนขับ แต่ไม่ลงจากรถ เมื่อไปถึงแล้ว ทั้งสองนั่งเก็บตัว อยู่ในรถ ออกจากสันติอโศกประมาณ ๑๖ นาฬิกา ถึงประตูทางเข้า พอดีนักข่าวจากคมชัดลึก โทรมาสอบถาม เรื่อง พระพุทธรูป ปางตรีลักษณ์ ซึ่งใช้นำ ในการเคลื่อนขบวน ในครั้งนี้ เมื่อเข้ามาในบริเวณเต็นท์ ของกองทัพธรรม ญาติธรรมหลายคน กำลังจัดเตรียมที่พัก หลายคนก็ทำงานจัดสถานที่ บ้างก็นั่ง รอดูสถานการณ์ อยู่ก็มี นักข่าว จากโทรทัศน์ช่อง ๓ ได้มาขอสัมภาษณ์ ประเด็นก็คือ ทำถึงขนาดนี้แล้ว ท่านนายกฯ ยังไม่ยอมลาออก แล้วจะทำอย่างไรต่อ พ่อท่านตอบว่า จะทำอย่างไรได้ เราก็ต้องทำไป ตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่เป็นไป ด้วยความรุนแรง จนกว่า ท่านนายกฯ จะสำนึก อย่างนายกฯ เกาหลี ลาออกแล้ว โดยความผิดของเขา ก็นิดเดียว นักข่าว : จะเน้นอะไรเป็นพิเศษไหม เพื่อให้เขาได้สำนึกสักทีค่ะ พ่อท่าน : ก็เน้นความจริง เน้นสำนึก เน้นความรู้ในทางคุณธรรม จะเน้นให้เกิดความสงบ จากนั้นเป็นการกล่าวถึงพระพุทธรูปปางตรีลักษณ์ที่ได้นำมาร่วมในการชุมนุม ๑๘.๐๕ น. คุณไชยวัฒน์ได้มากราบนมัสการ แล้วบอกเล่ารายงาน จากการเคลื่อนขบวน เมื่อเช้า กองทัพธรรม ได้รับการยอมรับมาก แม้แต่เรื่อง ความเป็นกลาง เมื่อคืนไปภาคใต้ ก็เอาไปพูด คนใต้ฟังแล้วลงมา เขาบอกว่าดีมาก คุณผ่านฟ้าแทรกบอกเล่าว่า มีคนจากพังงา มาร่วม จะเผาตัวเอง แต่เมื่อได้คุย กับพวกเราแล้ว เขาคลายใจได้ คุณไชยวัฒน์ เล่าต่อ มีข่าวลือว่า เขาจะเตรียมไปต่างประเทศ แล้วให้รองชิดชัย รักษาการแทน เขาพยายาม จะประกาศ ภาวะฉุกเฉิน เหมือนกัน แต่ประกาศไม่ได้ มันด้าน เมื่อเช้าถาม พล.ต.จำลอง ว่า ท่านไหวไหม ท่านบอกว่า สบาย พ่อท่านทักถามว่า เห็นขบวนไหม เป็นอย่างไรบ้าง คุณไชยวัฒน์บอก โอ้โฮ สง่างามมาก ไปจัดซ้อม กันมาจากไหน ๑๙.๒๐ น. ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัตร ได้มากราบนมัสการแล้วสนทนาด้วย โดยกล่าวถึงสภาพการณ์ที่ทำมา จนถึง ขณะนี้ นับเป็นชัยชนะ ที่งดงามแล้ว ดร.วุฒิพงษ์ : ผมว่าคราวนี้ ในเชิงการเมืองแล้วนี่ เป็นการยกวุฒิภาวะการเมือง ไปอีกระดับหนึ่งเลยครับ กราบ ขอบพระคุณพ่อท่าน ที่ได้ให้เกียรติ เมื่อเช้า ได้ทานข้าวต้มฟรี ตอนเช้า มีเขาเห็น เขาจำได้ จะจ่ายเงินเขาไม่เอา ขอเลี้ยง สักตั้ง คนที่มานี่ ก็แปลกมาก เดี๋ยวๆ....รอด้วย จะไปด้วยกัน เดี๋ยวๆ....ขอเอาของ ในรถก่อน รถเบ็นส์ คันเบ้อเร่อเลย ล็อครถเสร็จ ก็นั่งรถตุ๊กๆ มาที่สนามหลวง นี่เป็นนิมิตใหม่ ในทางการเมืองเลย พ่อท่าน : มันเป็นหลัก การโค่นผู้นำประเทศมาตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว จนถึงยุคนี้ มันมีอยู่ ๒ แบบ หนึ่ง แบบที่ทำ ด้วยเรี่ยว ด้วยแรงอำนาจ เข่นฆ่า กันตาย สาหัสขนาดไหน ไม่เกี่ยง ขอให้โค่นกันจนชนะ ก็ทำกันมาอย่างนี้ ตั้งแต่ ดึกดำบรรพ์ จนถึงทุกวันนี้ ทีนี้มันมีแบบใหม่ ยกฐานะขึ้นมาใหม่แล้ว ไม่ต้องโค่นกัน ด้วยเรี่ยว ด้วยแรง ด้วยอำนาจ แต่โค่นด้วยความรู้ ด้วยความจริง ด้วยหลักฐาน ด้วยสติปัญญา สุภาพ สงบ ไม่ล้มตายเสียหาย นี่มันสุดยอดเลย นี่เป็นแบบที่สอง ดร.วุฒิพงษ์ : สุดยอดเลย นี่ผมห่วงอยู่อันเดียวเท่านั้นว่า คุณทักษิณเขาเหมือนจะดุร้าย เวลาจนมุมขึ้นมา กลัวว่า จะตะปบด้วยนั่น... พ่อท่าน : ไม่เป็นไร เราไขความจริงออกมาเรื่อยๆ ให้ความรู้แก่ประชาชนขึ้นมา มีหลักฐานอะไร ก็นำมายืนยันกัน มันเป็นการสร้างประชาธิปไตยจริงๆ อันนี้ให้ความรู้ ทางการเมือง แก่เขาจริงๆ ทั้งศีลธรรม ทั้งการเมืองเลย สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ไปในตัวเลย ดร.วุฒิพงษ์ : ใช่ ถ้าผมประเมินนี่ ผมคิดว่าคุณทักษิณนี่แพ้แน่ แต่จะแพ้ใครเท่านั้น ถ้าสมมุติไปทางสันติวิธีนี่ เขาจะแพ้ ประชาชน สิ่งนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะว่า เราจะได้เหมือนกับ เพดานบินใหม่ ในเชิงวุฒิภาวะ ทางการเมือง เลยนะครับ แต่ถ้าเขาเหมือนสัตว์ดุร้าย ตอนก่อนเสียชีวิตนี่ มันก็จะกลับไปหา วิธีแรง ซึ่งจะไม่ใช่เราแล้ว มันจะกลายเป็น การต่อสู้ด้วยกำลังแล้ว..... พ่อท่าน : แล้วโลกจะรู้ ทุกคนจะรู้ ดร.วุฒิพงษ์ : ไม่ใช่จบชีวิตทางการเมืองเท่านั้น อาจจะจบชีวิตเลย ผมเกรงว่า จะเป็นอย่างนั้น ทั้งนี้ทั้งนั้น คงจะอธิบาย ด้วยรัฐศาสตร์ไม่ได้ อธิบายด้วย วิทยาศาสตร์ไม่ได้ คงอธิบายด้วยพุทธศาสตร์ แต่ผมยังหวังว่า ท้ายสุด เขายังมี กุศลเจตนา อยู่บ้างว่า ถ้านำไปสู่สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับประเทศนี่ เขาน่าจะเป็น ฝ่ายพ่ายแพ้ ให้กับประชาชนมากกว่า ถ้าเป็นไปได้ พ่อท่าน : แม้แต่ขณะนี้นี่ ในคนที่เขายังเข้าใจผิด ยังเข้าใจยังศรัทธาเลื่อมใสคุณทักษิณอยู่ตอนนี้ มันก็ใกล้จะจำนน ต่อความจริง เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ที่มันก้าวมา เรื่อยๆ ก็เพราะอะไร ก็แล้วแต่ แต่ละคนแต่ละหน่วยงาน ได้ช่วยกัน ส่งเสริม ให้ประชาธิปไตยไทย มันดีขึ้น และผู้รู้ที่เข้าใจถูก และอยากจะมาร่วม มาผนึก ก็จะออกมา เรื่อยๆ ซึ่งมันเกิด มิติใหม่ มีทั้งผู้รู้ ผู้มีฐานะทางสังคม ผู้ที่มีหลักฐานความจริงอะไร ก็จะออกมาเรื่อยๆ ต่างออกมาช่วยกัน ให้ความรู้ เปิดเผย ความจริง ช่วยกันสื่อสาร ช่วยกันรังสรรค์ ถ้าจะว่าด้วยสัจจะ มันมีนวัตกรรม ทางการเมืองเกิดแล้ว ได้แล้ว ขนาดหนึ่ง มันสวยด้วย แต่....แต่ถ้ามันยังใช้อำนาจ ใช้เรี่ยวแรงกัน ขึ้นมาอีก ชนะกัน ด้วยความรุนแรง กันแบบเก่า เอาอำนาจ มาข่มโค่น ลงไปอีก ผู้ชนะก็ครองอำนาจ ไประยะหนึ่ง และแล้วก็จะมีคนใหม่ มาโค่นกันอีก ประชาธิปไตย แบบนี้ ก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ หากคนนี้ รักษาอำนาจไปได้นาน ก็แก่ แก่แล้วก็หมดแรง แล้วก็จะเปลี่ยน ผู้สืบทอดกัน ก็แค่นั้น แต่อันใหม่นี้ มันไม่ใช่ มันไม่เป็นอย่างนั้น มันจะอภิวัฒน์ พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นประชาธิปไตย ที่ไม่ใช้อำนาจ แต่ใช้ความรู้ความจริงใจ ของประชาชนจริงๆ จึงจะถาวร และยั่งยืน ขอให้สร้าง แบบใหม่นี้กันเถิด ดร.วุฒิพงษ์ : ผมหวังเป็นอย่างยิ่งจะเป็นอย่างที่พ่อท่านว่า ผมคิดว่าวันนี้มันจะเป็นไม่ใช่แค่หน้าใหม่ ทางประวัติศาสต์ ทางการเมืองนะครับ เป็นบทใหม่ ทีเดียวเลย ผมว่า ถ้าเป็นเครื่องบิน ก็เหมือนกับว่า ขึ้นไปอีกหนึ่งเพดานบิน เลยนะ ครับ ยกเพดานบินเลยนะครับ แล้วผมก็เห็น เป็นความหวัง ตอนนี้ที่เห็น เป็นกลุ่มชุมนุมนี่ เป็นความหวังจริงๆ พอได้เดิน ผมเห็นเป็นม๊อบที่วิเศษมาก ไม่ธรรมดาเลย พ่อท่าน : ถึงแม้มันจะไม่สำเร็จในครั้งนี้ มันจะขึ้นบทใหม่แล้ว ของมิติใหม่ ดร.วุฒิพงษ์ : ก็ได้กำลังใจว่าขึ้นบทใหม่ แต่ถ้ามันเป็นบทใหม่ที่ประสบความสำเร็จเลย ก็ยิ่งดีนะครับ พ่อท่าน : แต่ถึงยังไงก็ขึ้นบทใหม่แล้ว ขึ้นมิติใหม่แล้ว ดร.วุฒิพงษ์ : เมื่อวานก็เดินๆดูตอนตั้งแต่สนามหลวง ม๊อบนี่ก็มีพ่อ แม่ แล้วก็มีลูก ๗ ขวบมา ก็ถือว่า เป็นการ ให้การศึกษา ทางการเมือง แล้วก็มีลูก ๔ ขวบ นอน มีขวดนมอยู่ขวดหนึ่ง ซึ่งผมว่า อันนี้มันเป็นความน่ารัก ทางการเมือง ซึ่งเราไม่ได้เห็นนะ โดยปกตินี่ อดนะ ๑๙.๓๗ น. คุณธำรงได้มาให้ข้อมูล ปัญหาสำคัญของการชุมนุมครั้งนี้คือ ช่วงตอนกลางวัน บ่ายจะไม่มีคนอยู่เลย เขามาร่วมได้เพียงเย็นค่ำ และ ดึกเท่านั้น ต่างจาก การชุมนุม ที่ผ่านๆมา จะหาวิธีว่า จะอยู่อย่างไรได้ ในตอนกลางวัน ก็เลยจะหาเต็นท์มากาง ไม่แน่ใจว่า ที่ทางสะพานมัฆวาน จะมีคนอยู่หรือเปล่า ในตอนกลางวัน จะหาทาง ทำให้เป็น วิถีชีวิต กลุ่มเอ็นจีโอนี่ ก็พอได้ ของเราก็มี ประมาณหนึ่ง ถ้าคนน้อยๆ ก็อาจจะต้องปรับแผน ส่วนกลางคืน ไม่ห่วง เพราะกระแส มันขึ้นแล้ว คนจะเยอะ ตอนกลางคืน คนแน่น ๑๙.๔๔ น. พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร ได้มากราบนมัสการพ่อท่าน ก่อนจะไปขึ้นเวทีปราศรัย พล.ต.มนูญกฤต ทักถาม พ่อท่านว่า เหนื่อยไหม พ่อท่าน : มันก็เหนื่อย หรือคุณคิดว่ามันไม่เหนื่อย เพียงแต่ไม่ได้เหนื่อยใจเท่านั้น พล.ต.มนูญกฤตทักถามเรื่องเก่า ตั้งแต่สมัย อยู่หอพักบุตร ทบ.เดิม (พ่อท่าน และ พล.ต.มนูญกฤต ต่างเคยอยู่หอพักบุตร ทบ.กันมา) ก่อนจะขอ คำแนะนำ ในการจะขึ้นพูดบนเวที อีกสักครู่ต่อไป พ่อท่านย้ำ การต่อสู้ในอดีต ต่อสู้กันด้วยกำลัง แต่มิติใหม่ สู้กันด้วยปัญญา สู้กันด้วยความจริง แม้จะยังไม่ชนะก็ตาม ก็ถือ เป็นมิติใหม่ ที่ดีแล้ว พอดี พล.ต. มนูญกฤต ต้องไปขึ้นเวที เนื่องจากเวลาใกล้เข้ามาแล้ว จึงขอตัวลาจากไป ประมาณสองทุ่ม พ่อท่านนำหมู่สมณะและสิกขมาตุกลับสันติอโศก # # # ๑๕ มี.ค. ๒๕๔๙ ที่เวที ยังคงมีรายการข่าว ของคณะทำงาน ASTV อ่านและรายงานข่าว ให้ประชาชน ที่ยังคงปักหลัก ชุมนุมกันอยู่ พ่อท่านเดินผ่านตำรวจที่ดูแลทางเข้าตรงกองพลทหารราบที่ ๑ ข้ามถนนไปทางลานพระบรมรูปทรงม้า ต้องวางใจ อย่างมาก เมื่อพ่อท่าน เดินลงถนน มีปฏิกิริยา จากคนขับรถ มีทั้งที่บีบแตร ส่งเสียงให้รู้ว่า เขาไม่พอใจ มีทั้งที่ เปิดกระจกหน้าต่าง มองมาด้วยสายตา ที่ไม่เป็นมิตร เอาเสียเลย มีทั้งส่งเสียง ตะโกน ว่าอะไร ได้ยินไม่ชัด เหมือน ส่งเสียงดังๆขึ้นมา แสดงความไม่ชอบใจ พ่อท่านเดินเหมือนไม่สะทกสะท้าน กับปฏิกิริยา ที่เกิดขึ้นรอบข้าง ๘.๕๙ น. การแสดงธรรมที่สี่แยกสวนมิสกวัน ในบรรยากาศแดดกำลังเริ่มร้อน คนฟังหลายคน เพลียกับการอดหลับ อดนอนมา ทั้งคืน หรือ อาจจะหลายคืน ของหลายคน ทำให้หน้าเวที มีคนนั่งร่วมฟังรายการ อยู่ไม่มาก เมื่อเทียบกับ รายการภาคเย็นค่ำไม่ได้ หลายคน หลบอยู่ที่ร่มไม้ ริมกำแพงต่างๆ มีญาติธรรม อยู่กระจัดกระจาย มาร่วม ฟังธรรมด้วย ที่อยู่หน้าเวที ต้องพร้อมที่จะสู้กับแดดได้ จึงมีอยู่ไม่มากคนนัก เป็นครั้งแรก ที่พ่อท่านแสดงธรรมกลางที่ชุมนุม นำด้วยการอธิบายธรรม ในนัยที่ลึก เป็นการอธิบายถึง นิยาม ๕ อุตุ พีช จิต กรรม ธรรม แวะกล่าวถึงหลัก นานาสังวาส แล้วกล่าวถึง ความเป็นกลาง ดูเหมือนว่า พ่อท่านจะจบด้วย ความหลงของสังคม ไม่ว่าจะเป็น ทุนนิยม บริโภคนิยม อำนาจนิยม อบายมุขนิยม หรูหรานิยม วิตถารนิยม ๑๐.๔๐ น. หลังการแสดงธรรมก่อนฉันอาหาร นักข่าวจากสำนักข่าวเอพีขอสัมภาษณ์ ประเด็นที่ถาม เกี่ยวกับกิจกรรม ที่หน้าทำเนียบนี่ จะเป็นอย่างไร ต่างจาก ที่สนามหลวงหรือเปล่า นักข่าว : ทำไมถึงได้มาร่วมชุมนุมคะ นักข่าว : ความมุ่งหมายของเราก็คือ ให้นายกฯลาออก นักข่าว : ทำไมเราจึงเลือกที่จะช่วยฝ่ายนี้ นักข่าว : ถ้าคนต่างประเทศมองเข้ามา มันจะแปลกหรือเปล่าที่ปกติแล้ว พระจะวางตัวเป็นกลาง แล้วเราจะอธิบาย กับ คนต่างประเทศ อย่างไร พ่อท่าน : เราต้องเข้าใจว่า ความเป็นกลางนั้น ต้องมีปัญญา ไม่ใช่ความเป็นกลาง คือ ชั่วครึ่งหนึ่ง ดีครึ่งหนึ่ง แล้วหารสอง แต่คนเป็นกลาง ที่ไม่มีความลำเอียง ก็ต้องมีปัญญารู้ว่า อะไรดี อะไรผิด คนเป็นกลาง ต้องไม่กลัว ที่จะเข้าข้าง คนที่ถูกต้อง ความดีและความถูกต้อง ก็ควรที่จะมีพวก ให้มากๆ ไม่ควรที่จะให้ ความไม่ถูกต้องชนะ คนเป็นกลาง จึงต้องมีปัญญา ที่จะเลือก เข้าข้างความดีกว่า คนที่ถูกต้องกว่า ไม่ใช่อยู่เป็นกลาง แบบเห็นแก่ตัว หรือใจดำ นักข่าว : โดยส่วนตัวแล้ว ทำไมท่านจึงคิดว่าท่านทักษิณต้องออกไปได้แล้ว พ่อท่าน : ก็เห็นการปฏิบัติที่มันซับซ้อน ไม่ชอบมาพากล แม้แต่การบริหารก็ส่งเสริมให้อบายมุขเพิ่มขึ้น ทุนนิยมจัดจ้าน ไม่ลืมหู ลืมตา ขี้โลภจัดมาก สร้างความขี้โลภ ใส่ใจมนุษย์เกินไป แม้ในมุมลึก ก็ส่งเสริมครอบงำ ความคิดที่จะให้คน มุ่งไปรวยนั้น เราเห็นว่าผิดแน่ ตีกันแน่ ไม่สามัคคีกันแน่ อย่างในหลวงก็ตรัส ให้พอเพียง แต่ท่านนายกฯ ไม่ได้ทำตาม อย่างนั้นเลย โดยเฉพาะตัวท่าน มีความไม่โปร่งใสเอามากๆ ไม่ตอบข้อข้องใจ ที่ส่อถึงความไม่บริสุทธิ์ ซื่อตรง บกพร่อง ทางศีลธรรม จริยธรรม จึงเห็นว่า ท่านนายกฯ ไม่มีความชอบธรรม ที่จะอยู่ต่อ ในฐานะนายกฯแล้ว ๑๑.๕๘ น. อ.สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ได้เข้ามานมัสการ และแสดงความชื่นชม ว่าได้ดูทีวีแล้วเห็นว่า ต้องรีบมาแสดง ให้กำลังใจ แล้วพูดถึง ความเป็นกลางว่า ระหว่างดีกับชั่ว จะให้เป็นกลางได้อย่างไร และตำหนิสงฆ์หมู่ใหญ่ว่า ไม่มี ความกล้าหาญ เอาเสียเลย พ่อท่าน ชวนให้กินข้าว แต่อาจารย์สุลักษณ์บอกว่า มาให้กำลังใจเท่านั้น ก่อนจาก พ่อท่าน ได้มอบหนังสือ ให้ไปด้วย อาจารย์พูด ติดตลกว่า มาไม่ได้มีอะไร มาถวายเลย มารับลูกเดียว ๑๕.๑๓ น. คุณขวัญดินมารายงาน ความคืบหน้าที่ฝ่ายประสานงานกับกลุ่มองค์กรพันธมิตรฯ ให้พ่อท่านได้ทราบ เกี่ยวกับ เสธ. ปรีชา เอี่ยมสุวรรณ ได้มา ให้คำแนะนำ รวมไปถึง ยอดเงินบริจาค และเรื่องการจัดขบวน ที่จะต้อน รับเสด็จ พระบรมฯ คนสนใจมาก พากันมาให้ พล.ต.จำลอง เซ็นชื่อ ในผ้าโพกหัว เป็นที่ระลึก มีนักข่าว มาสัมภาษณ์เยอะ พ่อท่าน "ทุกอย่างมันกำลังมีอะไรเกิดขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะทางนี้ มันรุกไปข้างหน้า แต่ทางโน้นหมดแล้ว เหตุการณ์ขณะนี้ มันชัดเจนแล้ว มันจบ คำตอบแล้ว สำหรับ คุณทักษิณ มันหมดคำตอบ ที่จะให้กับคำถามใดๆอีกแล้ว แต่ทางนี้ ยังมีอะไร อีกเยอะ ที่จะตอบ จะพูด จะบอกแก่กัน แม้แต่ในความจริง ในประชาธิปไตย ที่เป็นมิติใหม่" คุณขวัญดินบอกว่า เมื่อวานเดินขบวน กลุ่มของคุณสนธิ เขาเอาคำพูดของพ่อท่าน ไปพูดตลอดเวลา พ่อท่าน โพธิรักษ์ บอกว่า เป็นการชุมนุม ที่งดงาม จะดังไปทั่วโลก เอกสารแจกดีมาก ไม่เหลือเลยค่ะ ๑๕.๓๕ น. มีชายแปลกหน้าอีกคนได้มากราบ และขอสนทนาด้วยเล็กน้อย บอกผมไม่ได้ติดรูปแบบ เข้าใจว่า เป็นเจตนา ที่แสดงออก อย่างนี้ อันเนื่องมาจาก ข่าวที่มีผู้ไปฟ้องร้อง ให้ดำเนินคดีว่า แต่งกายเลียนแบบ ไม่ใช่พระ ว่าได้ฟัง รายการวิทยุ อยากจะโทร.ไปว่าเขา พระจริงอยู่ที่สีผ้าหรือ? ไม่ใช่ศีล สมาธิ ปัญญาหรือ? ผมอยาก จะโทร. ไปว่าเขา แต่เกรงว่า มันจะไปยั่วกิเลสเขา ก็เลยฟัง ด้วยความขบขัน ๑๖.๐๕ น. คุณธำรงได้มารายงานข้อมูลและปรึกษา เกี่ยวกับงานแจกกลดนักเรียน ม.๖ สัมมาสิกขา ที่ปีนี้ พิเศษ ให้ย้าย มาจัด ที่หน้าทำเนียบนี่เลย เนื่องจาก งานฉลองครองราชย์ ๖๐ ปีของในหลวง ทางพันธมิตรฯ เขาจะออกข่าวว่า คุณทักษิณ หมดความชอบธรรม ที่จะเป็น ประธานจัดงาน แล้วเขาจะใช้ กำลังคนเป็นพัน ปิดล้อมทำเนียบ ไม่รู้คนจะพอหรือเปล่า เพราะจะมีคน ส่วนหนึ่ง ไปที่สีลม พ่อท่าน "ไม่ดี ถ้าจะปิดล้อมกดดันอย่างนี้ไม่ดี ไม่สวยงาม ไม่แฟร์ มันเหมือนนักเลงโต ถ้าจะพูดถึงความไม่เหมาะสม ก็พูดไปสิ ส่วนเหตุผล ที่ไม่เหมาะอย่างไร ก็พูดไปสิ ปิดล้อมมันเหมือน คนเถื่อนๆ" ๑๗.๑๖ น. ทีวีช่อง ๓ ได้มาขอสัมภาษณ์ในประเด็นที่เกี่ยวกับกิจกรรมของกองทัพธรรมจะเป็นอย่างไร นักข่าว : แล้วคนที่ได้มาสนทนาด้วย ส่วนใหญ่เป็นเรื่องอะไร นักข่าว : ที่มาชุมนุมที่ข้างทำเนียบนี่มันแตกต่างจากที่สนามหลวงอย่างไรครับ พ่อท่าน : ไม่แตกต่าง เช้าเราก็บิณฑบาต และฉันอาหาร นอกนั้นก็ไม่มีอะไร ขณะนี้ที่นี่ตอนนี้ ยังไม่ได้สวดมนต์ และ เทศน์ เหมือนที่สนามหลวง ถ้าอยู่ที่พุทธสถาน กิจวัตรตื่นเช้า เราจะทำวัตรเช้า อยู่ที่นี่ ไม่ได้ทำงาน อย่างที่เคยทำ ที่สันติอโศก เพราะมันจะต้องรับแขก ประเด็นที่คนจะมาคุย ก็จะเป็นเรื่องปัจจุบัน เรื่องปัญหาของชาติ เรื่องปัญหา ส่วนตัว ไม่มีเท่าไร นักข่าว : เท่าที่ผมได้เดินดูนะครับ มีระบบระเบียบของการจัดเก็บน้ำ การจัดเก็บขยะนะครับ ไม่ทราบว่า ระบบ ระเบียบอย่างนี้ มันเกิดขึ้นมา ได้อย่างไร พ่อท่าน : เรื่องนี้มันเป็นวัฒนธรรมของพวกเราแล้ว เราศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ฝึกฝนตามธรรมกันมา เป็นเรื่อง ปกติ ของพวกเราแล้ว เป็นสามัญ ไม่ใช่เป็นเรื่อง นานๆทำครั้ง อยู่ที่โน่น เราก็ทำของเรา อย่างนี้อยู่แล้ว มันไม่ใช่ เรื่องแปลกใหม่อะไร ของพวกเรา แต่คนอื่น อาจจะเห็นแปลกใหม่ มันเป็นระบบ ระเบียบ เพราะมันเป็น ทุกคนน่ะ แม้แต่คุณจำลองเอง ก็ขัดถูส้วมมาเหมือนกัน สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นบทศึกษา ปฏิบัติจริง เราศึกษา ฝึกฝนกันจริงๆ เราฝึกลดอัตตา ถือตัว ฝึกมักน้อย สันโดษ โดยอ่านกิเลสในใจ และ ลดละกิเลส ให้ถูกตัวตน ของกิเลสจริงๆกัน มันจึงเกิดได้เป็นได้ ที่ไหนๆก็เป็นได้ จิตเป็นสัมมาสมาธิ นักข่าว : ไม่ว่าจะย้ายที่ชุมนุมกันกี่ครั้ง กี่ที่ เราก็ไม่มีปัญหาในการปรับตัวเลยใช่ไหมครับ พ่อท่าน : ใช่ เพราะนี่แหละคือความจริงของชีวิตที่ต้องกิน อยู่ หลับนอน มันไม่ต้อง ไปประดับประดาตบแต่งอะไรมาก ไม่เหมือน ที่เขาต้อง ประดับ ประดา ตบแต่งกัน อันนั้น มันไม่จริง มันล้วนของหลอก อันนี้มันเป็นเรื่อง แก่นสาร ของชีวิต ๑๘.๕๔ น. น.พ.ภากร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ พ่อท่านเคยได้รับการตรวจดูแล จากหมอคนนี้ ที่โรงพยาบาล พร้อมมิตร ได้มากราบ นมัสการพ่อท่าน พร้อมกับภรรยา ได้สนทนากันเล็กน้อย ดูหมอยังเป็นคน ที่อารมณ์ดี ยิ้มแย้ม อยู่เสมอ คุณหมอภากรบอก มาให้กำลังใจ ถ้ามีอะไรให้ผมรับใช้ ก็ยินดีนะครับ กล่าวอย่าง มีอัธยาศัยดี ก่อนจากลา ๑๙.๑๒ น. พ.อ.วินัย สมพงษ์ ได้มากราบนมัสการก่อนขอตัวไปที่เวที พ่อท่านแค่ยิ้มตอบรับ คำทักทาย พ.อ.วินัย แจ้งว่า เมื่อวาน นอนเพียง ชั่วโมงครึ่ง ไม่ได้คุย อะไรมากนัก พ่อท่านเสริมเพียงว่า มันถึงเวลา ก็ต้องทำอย่างนี้ ต่อด้วย ชายอีกคน มาด้วยคำถามแปลกๆว่า ถ้าจะคุยกับเปรต จะใช้ภาษาอะไรดีครับ พ่อท่านก็ตอบว่า ก็ใช้ภาษาจิตซี่ ขณะกำลังขึ้นรถกลับสันติอโศก ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ขวัญดี แจ้งเรื่องที่ พล.อ.เปรมได้ออกมาให้สัมภาษณ์ ในทำนอง ให้มีการเจรจากัน เมื่อกลับถึง สันติอโศก ผู้จัดรายการข่าว ของวิทยุคลื่น FM ๙๔ ได้โทร.มาสอบถาม ความเห็นว่า เห็นอย่างไรกับที่ พล.อ.เปรม ออกมากล่าว อย่างนี้ พ่อท่านบอกว่า เป็นนิมิตที่ดี ที่จะให้มีการเจรจากัน ไม่เช่นนั้น ก็เลี่ยงกันไป เลี่ยงกันมา กลับถึงสันติอโศก พ่อท่านพักนอนในห้องทำงาน - รักข์ราม. - อ่านต่อสารอโศก ฉบับที่ ๒๙๕ บันทึกจากปัจฉาฯ หน้า ๕๒ |
|