ภาระเพิ่ม ภาระเพิ่ม คือ หลานเป็นพยาบาลมีลูก เลี้ยงเองได้ ๓ เดือน พอเข้าเดือนที่ ๔ ต้องไปทำงาน ซึ่งตัวหลานเอง เราเคยเลี้ยงเขามา เขาเลยต้องการให้เมตตา ช่วยเลี้ยงเหลนอีก ดิฉันพูดไม่ออก เลยมีภาระเพิ่ม ทั้งแม่และเหลน อุตส่าห์ ไม่แต่งงานแล้ว ก็ยังต้องเลี้ยงเด็กทารก ได้เห็นภาระของการเลี้ยง เด็กทารก ให้เราได้พิจารณา กว่าเราจะโต แม่เลี้ยงเราก็ลำบากแบบเราเลี้ยงเหลน พิมพรรณ จ.ตราด ได้ฝึกเรียนรู้ทุกข์ของการมีลูก เมื่อฝึกบทนี้เสร็จแล้ว ควรได้ฝึกแบบฝึกหัดอื่นๆบ้าง ควรให้หลานได้ฝึกเอาภาระ ในภาระที่เขา ควรได้เรียนรู้ สัจธรรมชีวิตข้อนี้
อีกหนึ่งประสบการณ์ความรุนแรง ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑ ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งที่หน้ารัฐสภา และบชน. ในวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และพร้อม ที่จะเป็นพยาน หากนำ คดีขึ้นสู่ศาล ทันทีที่ทราบข่าวความรุนแรงจาก ASTV ในการสลายการชุมนุม ก็รีบรุด ไปทำเนียบ ในช่วงเช้านั้นเลย เวลาประมาณ ๗.๐๐-๘.๐๐ น. เมื่อมี การรวมตัวกันที่ แยกมิสกวัน เพื่อนำกำลังไปเสริมที่หน้ารัฐสภา ระหว่างเดินผ่าน พระบรมรูป ทรงม้า ก็มีการระดมยิง แก๊สน้ำตามาจาก ใน รั้วบชน. (คงไม่อยากให้พวกเรา ไปเสริมกำลัง) แต่ระยะทาง ไกลเกินกว่าจะทำอันตราย บางลูกตกลงพื้น แล้วระเบิด กระจาย เป็นกลุ่มควัน บางลูกระเบิด กลางอากาศ แล้วกระจายเป็นกลุ่มควัน ผู้นำไปตะโกน บอกไม่ให้สนใจ ขอให้มุ่งหน้าไปที่รัฐสภา เมื่อไปถึงแล้วสักพักใหญ่ก็มีการระดมกำลังบริเวณถนนอู่ทองในเพื่อผลักดัน กำลังตำรวจให้ออกไป จนถึงแยก การเรือน เป็นการสลาย กำลังตำรวจ ที่อหิงสา สวยงาม ของพันธมิตร แล้วทุกคนก็ตบมือให้พร้อมกับขอบคุณ จากนั้น วางกำลัง พันธมิตรไม่มากนักคุมประตูรัฐ สภาทุกประตู สักพักหนึ่ง ก็มีเฮลิคอปเตอร์ ๓ ลำ (ไม่ใช่สีทหาร ๑ ลำ) บินเข้าไปในรัฐสภา พวกเราก็โห่กันแล้วร้องว่า "มันบินหนีแล้ว" ช่วงนี้เหตุการณ์ปกติ แต่ใจหวั่นชอบกล ข้าพเจ้าเดินต่อไปรอบบริเวณจนถึงหน้าบชน. ปรากฏว่า "ไม่มีกำลังตำรวจ อยู่บนถนนเลย ว่างเปล่าวังเวง" มองผ่านหน้าประตูบชน.เข้าไป จิตใจหดหู่ ไม่เบิกบาน "ตำรวจจะทำอะไรรุนแรงอีกไหม? เพราะเมื่อเช้าถึงขั้น แขนขาขาด ทีเดียว" เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น ใจหนึ่ง ก็คิดอยาก ให้มีการถอนกำลัง เข้าอยู่ในทำเนียบ รัฐบาลอยากชั่วก็มันชั่วไปสุดๆ เดินมาถึงบริเวณที่ชุมนุม มีการประกาศว่า "พันธมิตรสามารถเดินไปมา ระหว่างทำเนียบ กับรัฐสภาได้แล้ว" ข้าพเจ้าเลือกไปสมทบ ในทำเนียบ เพื่อฟังข้อ มูลข่าวสาร ช่วงบ่ายมากแล้ว บนเวทีประกาศ "ขอกำลังไปเสริมที่รัฐสภา" ข้าพเจ้าจึงเดินไป สมทบ เพราะอยากรู้อยากเห็น ได้ยินพูดคุยกันถึง ความรุนแรง และคาร์บอม ระหว่างทาง แวะไปที่หน้าบชน. เห็นกำลังตำรวจเต็มพื้นถนน จึงช่วยกันขนน้ำขวด กั้นเป็นกำแพง พวกเราทยอย เดินกันมา ส่วนหนึ่ง ปักหลักเสริมกำลังที่บชน. อย่างหนาแน่นพอสมควร พอได้ยินตูม ทางหน้ารัฐสภา จึงเดินไปสมทบ เห็นตำรวจยิงแก๊สน้ำตา สลายพันธมิตร พิธีกรบนรถประกาศ ขอให้พันธมิตรฯช่วยกัน เดินตาม ทหารกาชาด ที่ถือเปล เพื่อเข้าไปช่วย ผู้บาดเจ็บ และประกาศขอร้องตำรวจอย่ายิง ข้าพเจ้าเสี่ยง เดินตามไปด้วย เพื่อเก็บประสบการณ์ ทหารกาชาด ใช้เปลหาม ผู้บาดเจ็บหญิง ซึ่งเป็นแผล เหวอะหวะ ตรงหัวเข่าขวา ทั้งๆที่กำลังช่วยผู้บาดเจ็บ ตำรวจก็ยิง แก๊สน้ำตาเข้ามา เสียงดังมาก ทุกคน ที่เดินตามไปด้วย ต้องวิ่งหนี ข้าพเจ้าหยิบมือตบ ที่พันธมิตรทำตกหล่นมาด้วย เห็นชายคนหนึ่งหงายหลัง ตกลงไป ในหลุมซีเมนต์ ทุกคนหนีมา จนถึงหน้ารัฐสภา ก็ถูกแก๊สน้ำตา ยิงเข้าใส่อีก รู้สึกว่า คงจะยิงมาจากในรัฐสภา โหดร้ายทารุนจริงๆ อันตรายมากๆ ไม่อยู่แล้วบริเวณหน้ารัฐสภา ขณะถอยหนี เห็นแก๊สน้ำตา ยิงมาจากรัฐสภา ไปที่รถเวที ควันกระจายกลางอากาศ ข้าพเจ้าถอยมายืนเกาะกลุ่มคุยกันหน้าพระที่นั่งวิมานเมฆ พันธมิตรฯบางท่าน โกรธมาก และเริ่มไม่เห็นด้วย กับวิธีอหิงสา แต่ ๔ เดือน กว่า จากการบ่มเพาะ หลักการอหิงสา ก็สามารถคุยกัน จนเป็นที่ยอมรับได้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องสู้กัน ด้วยความจริง และสติปัญญา ใครรุนแรงกว่า คนนั้นต้องแพ้ จึงไม่มีใคร ลุแก่อำนาจโทสะ ด้วยการทำลาย ข้าวของเลย มีเพียงผรุสวาจาเท่านั้น ที่ตอบโต้ เสียงตูมๆ (ต่างจาก ๑๗ พ.ค.'๓๕ พูดกับใครไม่ได้เลย ทุกคนโกรธเคือง และ ทำลายข้าวของ จนถึงขั้นจุดไฟเผา กรมประชาสัมพันธ์ และสรรพากร) ช่วงนี้ประมาณ ๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. มีคนเดินไปมาตลอดเวลา ทั้งๆที่รู้สึกถึง ภัยอันตราย เนื่องจากใกล้ค่ำแล้ว แต่ส่วนใหญ่ ก็ยังคงปักหลัก อโหสิ เพราะทุกคน ห่วงพิธีกร บนรถเวที ได้เห็นน้ำใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ห่วงใยกันและกัน ของพันธมิตร จนเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีคำสั่ง ให้ถอนกำลังหน้ารัฐสภา ไม่ต้องรอ รถเวที จึงพากันเดินกลับ เป็นขบวนใหญ่ ระหว่างทางเห็นขบวนรถทหารหลายคันนำกำลังทหารมาเต็มรถ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ร้องตะโกนว่า "ทหารมาช่วย ประชาชนแล้วๆๆ" ทุกคน โห่ร้องพร้อมตบมือให้ และรถทหารทุกคัน ก็ขับหายเข้าไปในรั้วอาคาร หน้าพระบรมรูปทรงม้า รู้สึกฉงนว่า "ทำไมไม่นำกำลัง ไปหน้ารัฐสภา และหน้าบชน. เพื่อเป็นแนวกั้นกลาง ระหว่าง ตำรวจกับพันธมิตรฯ" ยืนรอสักพักไม่เห็นทหารออกมาเลย จึงเดินไปที่รถลำโพงของนักศึกษา (Young pad) ได้ยินประกาศ ให้ไปตรึงกำลัง ที่หน้าบชน. ข้าพเจ้าพูดขึ้นลอยๆ ไม่เห็นด้วยนัก ว่ายังจะไปอีกหรือ? แต่ก็ได้เห็นน้ำใจ ห่วงใย กล้าหาญ เสียสละ เป็นกองหน้าของพันธมิตรฯ ด้วยเกรงว่า ตำรวจจะบุกสลาย ผู้คนในทำเนียบ ก่อนไปได้ช่วยกันขนน้ำ ใส่ท้ายรถปั่นไฟ ข้าพเจ้าเดินตามไปด้วย ไปยังไม่ถึง ครึ่งทางเลย ก็ถูกระดมยิงด้วย แก๊สน้ำตา เข้าใส่ราวกับห่าฝน เสียงบนรถ ประกาศบอกว่า "อย่าวิ่งหนี ให้หมอบหลบลง" เสียงแก๊สน้ำตาดังมาก น่ากลัวมาก เสียงกรีดร้องอย่างตกใจมาก ของน้องๆ ยากที่จะให้หลบอยู่เฉยๆ ได้ ทุกคนวิ่งหนี ข้าพเจ้าหนีไปหลบที่ตู้ไปรษณีย์ รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงหนีไปหลบข้างกำแพง พบพันธมิตรฯ ท่านหนึ่งไม่กลัวเลย เขานั่งสมาธิสงบนิ่ง อยู่ข้างกำแพง ระหว่าง หลบอยู่ มีแก๊สน้ำตาลูกหนึ่ง ตกข้างตัว เห็นชัดๆกับตาว่า พอตกถึงพื้น จะมีประกายไฟ แล้วระเบิดตูม เสียงดังมาก หูแทบแตก ควันที่กระจายออกมา ทั้งเหม็น ทั้งแสบ แม้แว่นที่ใส่อยู่ ก็แทบป้องกันไม่ได้ นึกในใจว่า ถ้าตกถูกตัว ต้อง เกิดบาดแผลเหวอะหวะ อย่างที่เห็น เมื่อตอนเย็นนี้เเน่นอน] ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ใจมาก บอกกับตัวเองว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเราผู้ไม่มีอาวุธอะไรเลย เป็นหน้าที่ของทหาร ติดอาวุธต่างหาก ทำไมปล่อย ให้พวกเรา ถูกปราบปราม ถึงขนาดนี้ ตำรวจใจร้าย ระดมยิงแก๊สน้ำตา ราวกับว่า สนุกเหลือเกิน จะซุ่มดูอยู่ แต่ใจไม่อยู่แล้วบริเวณนี้ ช่างอันตรายเหลือเกิน จึงคลานหนี เหมือนลูกหมา กลัวตาย เข้าไปบริเวณแยกมิสกวัน ล้างหน้าตา แม้เสียงระเบิด ยังดังอยู่ ก็รู้สึกว่า ปลอดภัย และ รู้สึกเป็นห่วงน้องๆ นักศึกษา ที่เดินไปด้วยกัน ข้าพเจ้าเข้าไปปักหลัก รอฟังสถานการณ์ ที่เต็นท์กองทัพธรรม จิตใจฟุ้งซ่าน คิดไปว่า ถ้าเขาจะปราบ สลายเรา คืนนี้จริงๆ คงไม่มีใครเหลือ ในทำเนียบคงวุ่นวายสับสน เพราะไม่รู้ว่า ทหารจะร่วมมือกัน ปราบปรามหรือเปล่า แล้วก็รีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป มืดแล้ว เสียงระเบิดก็ยังดังอยู่ มีชายคนหนึ่งเข้ามาขอแว่นกันแก๊สน้ำตา ข้าพเจ้าถามว่า "จะไปสมทบหรือ? อันตรายนะ ต้องระวัง" แล้วก็ให้แว่นข้าพเจ้าไป พร้อมกำชับเรื่องผ้าชุบน้ำ สักพักมีคนมารายงานให้ฟังว่า "มีคนบาดเจ็บสาหัสมาก แขนขาขาดอีกแล้ว คราวนี้ต้องมีคนตาย ฟังแล้ว สลดใจมาก ตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้า ไม่ได้นอนเลย" ข้าพเจ้าเริ่ม ถามตัวเอง "เราเป็นใคร? ภารกิจที่แท้จริงของเรา คืออะไร? เราควรจัดการกับ ชีวิตของเราอย่างไร? ทำไมชีวิต จึงทุกข์ยากเหลือเกิน กับรัก-โลภ-โกรธ-หลง"
ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ผู้กระทำความรุนแรง มักหลบหนี ลอยนวลไปได้ทุกครั้ง ด้วยกฎหมาย นิรโทษกรรม วันนี้ผู้กระทำ ความรุนแรง จึงกล้าลอยหน้า ลอยตา เล่าความเท็จอย่างไม่รู้สึก สะทกสะท้านสำนึก อนาถหนอ.... ยศยิ่งใหญ่ กลับยิ่งชั่ว แล้วก็ปล่อยให้ความรุนแรง ฝังตัวอยู่ใน สังคมไทยต่อไปๆ ซึ่งพร้อมจะปะทุได้อีกทุกเมื่อ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ต้องมีคนรับผิดชอบ และถูกลงโทษ เพื่อความหลาบจำ ให้เป็นบทเรียนอีกหน้าหนึ่ง ของสังคมไทย ที่ต้องสังวร เรียนรู้ไป ตราบนานเท่านาน แล้วช่วยกัน ขจัดความรุนแรงออกไป ให้หมดสิ้น ขอเป็นอีกแรงหนึ่ง ช่วยกันเอาคนผิด มาลงโทษ เบ็ญจวรรณ เจริญวงษ์ การผลักดันเรื่องต่างๆ ยังคงต้องทำกันต่อไป แต่อย่าลืม อุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อหิงสา - อโหสิ แม้เราจะเป็นผู้ถูกกระทำ ก็ต้องอหิสา - อโหสิ ให้ได้ สารอโศก อันดับ ๓๑๐ กันยา - ตุลา ๒๕๕๒ หน้า ๒๕-๒๙ |