ยำ

 

อีกหนึ่งประสบการณ์ความรุนแรง ๗ ตุลาคม ๒๕๕๑


ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ ทั้งที่หน้ารัฐสภา และบชน. ในวันที่ ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ และพร้อมที่จะเป็นพยาน หากนำคดีขึ้นสู่ศาล


ทันทีที่ทราบข่าวความรุนแรงจาก ASTV ในการสลายการชุมนุม ก็รีบรุดไปทำเนียบ ในช่วงเช้านั้นเลย เวลาประมาณ ๗.๐๐-๘.๐๐ น. เมื่อมีการรวมตัวกันที่ แยกมิสกวัน เพื่อนำกำลังไปเสริมที่หน้ารัฐสภา ระหว่างเดินผ่านพระบรมรูปทรงม้า ก็มีการระดมยิงแก๊สน้ำตา มาจากในรั้วบชน. (คงไม่อยากให้พวกเรา ไปเสริมกำลัง) แต่ระยะทาง ไกลเกินกว่าจะทำอันตราย บางลูกตกลงพื้น แล้วระเบิด กระจายเป็นกลุ่มควัน บางลูกระเบิด กลางอากาศ แล้วกระจายเป็นกลุ่มควัน ผู้นำไปตะโกน บอกไม่ให้สนใจ ขอให้มุ่งหน้าไปที่รัฐสภา


เมื่อไปถึงแล้วสักพักใหญ่ ก็มีการระดมกำลังบริเวณถนนอู่ทองในเพื่อผลักดันกำลังตำรวจให้ออกไป จนถึงแยก การเรือน เป็นการสลายกำลังตำรวจ ที่อหิงสาสวยงาม ของพันธมิตร แล้วทุกคนก็ตบมือให้พร้อมกับขอบคุณ จากนั้น วางกำลัง พันธมิตรไม่มากนัก คุมประตูรัฐสภาทุกประตู สักพักหนึ่ง ก็มีเฮลิคอปเตอร์ ๓ ลำ (ไม่ใช่สีทหาร ๑ ลำ) บินเข้าไปในรัฐสภา พวกเราก็โห่กันแล้วร้องว่า "มันบินหนีแล้ว" ช่วงนี้เหตุการณ์ปกติ แต่ใจหวั่นชอบกล


ข้าพเจ้าเดินต่อไปรอบบริเวณ จนถึงหน้าบชน. ปรากฏว่า "ไม่มีกำลังตำรวจอยู่บนถนนเลย ว่างเปล่าวังเวง" มองผ่านหน้าประตูบชน.เข้าไป จิตใจหดหู่ ไม่เบิกบาน "ตำรวจจะทำอะไรรุนแรงอีกไหม? เพราะเมื่อเช้าถึงขั้นแขนขาขาดทีเดียว" เมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้น ใจหนึ่ง ก็คิดอยากให้มีการถอนกำลัง เข้าอยู่ในทำเนียบ รัฐบาลอยากชั่วก็มันชั่วไปสุดๆ


เดินมาถึงบริเวณที่ชุมนุม มีการประกาศว่า "พันธมิตรสามารถเดินไปมา ระหว่างทำเนียบ กับรัฐสภาได้แล้ว" ข้าพเจ้าเลือกไปสมทบในทำเนียบ เพื่อฟังข้อมูลข่าวสาร


ช่วงบ่ายมากแล้ว บนเวทีประกาศ "ขอกำลังไปเสริมที่รัฐสภา" ข้าพเจ้าจึงเดินไปสมทบ เพราะอยากรู้อยากเห็น ได้ยินพูดคุยกันถึงความรุนแรง และคาร์บอม ระหว่างทางแวะไปที่หน้าบชน. เห็นกำลังตำรวจเต็มพื้นถนน จึงช่วยกันขนน้ำขวด กั้นเป็นกำแพง พวกเราทยอยเดินกันมา ส่วนหนึ่ง ปักหลักเสริมกำลังที่บชน. อย่างหนาแน่นพอสมควร


พอได้ยินตูมทางหน้ารัฐสภา จึงเดินไปสมทบ เห็นตำรวจยิงแก๊สน้ำตา สลายพันธมิตร พิธีกรบนรถประกาศ ขอให้พันธมิตรฯช่วยกัน เดินตามทหารกาชาด ที่ถือเปล เพื่อเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ และประกาศขอร้องตำรวจอย่ายิง ข้าพเจ้าเสี่ยงเดินตามไปด้วย เพื่อเก็บประสบการณ์ ทหารกาชาด ใช้เปลหามผู้บาดเจ็บหญิง ซึ่งเป็นแผลเหวอะหวะ ตรงหัวเข่าขวา ทั้งๆที่กำลังช่วยผู้บาดเจ็บ ตำรวจก็ยิงแก๊สน้ำตาเข้ามา เสียงดังมาก ทุกคนที่เดินตามไปด้วย ต้องวิ่งหนี ข้าพเจ้าหยิบมือตบ ที่พันธมิตรทำตกหล่นมาด้วย เห็นชายคนหนึ่งหงายหลัง ตกลงไปในหลุมซีเมนต์ ทุกคนหนีมา จนถึงหน้ารัฐสภา ก็ถูกแก๊สน้ำตายิงเข้าใส่อีก รู้สึกว่า คงจะยิงมาจากในรัฐสภา โหดร้ายทารุนจริงๆ อันตรายมากๆ ไม่อยู่แล้วบริเวณหน้ารัฐสภา ขณะถอยหนี เห็นแก๊สน้ำตายิงมาจากรัฐสภา ไปที่รถเวที ควันกระจายกลางอากาศ


ข้าพเจ้าถอยมายืนเกาะกลุ่ม คุยกันหน้าพระที่นั่งวิมานเมฆ พันธมิตรฯบางท่านโกรธมาก และเริ่มไม่เห็นด้วย กับวิธีอหิงสา แต่ ๔ เดือน กว่า จากการบ่มเพาะหลักการอหิงสา ก็สามารถคุยกัน จนเป็นที่ยอมรับได้ว่า การต่อสู้ครั้งนี้ ต้องสู้กันด้วยความจริง และสติปัญญา ใครรุนแรงกว่า คนนั้นต้องแพ้ จึงไม่มีใครลุแก่อำนาจโทสะ ด้วยการทำลายข้าวของเลย มีเพียงผรุสวาจาเท่านั้น ที่ตอบโต้ เสียงตูมๆ (ต่างจาก ๑๗ พ.ค.'๓๕ พูดกับใครไม่ได้เลย ทุกคนโกรธเคือง และทำลายข้าวของ จนถึงขั้นจุดไฟเผา กรมประชาสัมพันธ์ และสรรพากร)


ช่วงนี้ประมาณ ๑๗.๐๐-๑๘.๐๐ น. มีคนเดินไปมาตลอดเวลา ทั้งๆที่รู้สึกถึงภัยอันตราย เนื่องจากใกล้ค่ำแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงปักหลัก อโหสิ เพราะทุกคน ห่วงพิธีกรบนรถเวที ได้เห็นน้ำใจที่กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว ห่วงใยกันและกันของพันธมิตร จนเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มีคำสั่งให้ถอนกำลังหน้ารัฐสภา ไม่ต้องรอรถเวที จึงพากันเดินกลับ เป็นขบวนใหญ่


ระหว่างทางเห็นขบวนรถทหารหลายคัน นำกำลังทหารมาเต็มรถ ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจ ร้องตะโกนว่า "ทหารมาช่วยประชาชนแล้วๆๆ" ทุกคนโห่ร้องพร้อมตบมือให้ และรถทหารทุกคัน ก็ขับหายเข้าไปในรั้วอาคาร หน้าพระบรมรูปทรงม้า รู้สึกฉงนว่า "ทำไมไม่นำกำลัง ไปหน้ารัฐสภา และหน้าบชน. เพื่อเป็นแนวกั้นกลาง ระหว่างตำรวจกับพันธมิตรฯ"


ยืนรอสักพักไม่เห็นทหารออกมาเลย จึงเดินไปที่รถลำโพงของนักศึกษา (Young pad) ได้ยินประกาศ ให้ไปตรึงกำลังที่หน้าบชน. ข้าพเจ้าพูดขึ้นลอยๆ ไม่เห็นด้วยนัก ว่ายังจะไปอีกหรือ? แต่ก็ได้เห็นน้ำใจ ห่วงใย กล้าหาญ เสียสละ เป็นกองหน้าของพันธมิตรฯ ด้วยเกรงว่าตำรวจจะบุกสลายผู้คนในทำเนียบ ก่อนไปได้ช่วยกันขนน้ำ ใส่ท้ายรถปั่นไฟ ข้าพเจ้าเดินตามไปด้วย ไปยังไม่ถึงครึ่งทางเลย ก็ถูกระดมยิงด้วยแก๊สน้ำตา เข้าใส่ราวกับห่าฝน เสียงบนรถ ประกาศบอกว่า "อย่าวิ่งหนี ให้หมอบหลบลง" เสียงแก๊สน้ำตาดังมาก น่ากลัวมาก เสียงกรีดร้องอย่างตกใจมากของน้องๆ ยากที่จะให้หลบอยู่เฉยๆได้ ทุกคนวิ่งหนี


ข้าพเจ้าหนีไปหลบที่ตู้ไปรษณีย์ รู้สึกไม่ปลอดภัย จึงหนีไปหลบข้างกำแพง พบพันธมิตรฯท่านหนึ่งไม่กลัวเลย เขานั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ข้างกำแพง ระหว่างหลบอยู่ มีแก๊สน้ำตาลูกหนึ่ง ตกข้างตัว เห็นชัดๆกับตาว่า พอตกถึงพื้น จะมีประกายไฟ แล้วระเบิดตูม เสียงดังมาก หูแทบแตก ควันที่กระจายออกมา ทั้งเหม็นทั้งแสบ แม้แว่นที่ใส่อยู่ ก็แทบป้องกันไม่ได้ นึกในใจว่า ถ้าตกถูกตัว ต้องเกิดบาดแผลเหวอะหวะ อย่างที่เห็นเมื่อตอนเย็นนี้เเน่นอน]


ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่ใจมาก บอกกับตัวเองว่า ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ผู้ไม่มีอาวุธอะไรเลย เป็นหน้าที่ของทหารติดอาวุธต่างหาก ทำไมปล่อยให้พวกเรา ถูกปราบปรามถึงขนาดนี้ ตำรวจใจร้าย ระดมยิงแก๊สน้ำตา ราวกับว่าสนุกเหลือเกิน จะซุ่มดูอยู่ แต่ใจไม่อยู่แล้วบริเวณนี้ ช่างอันตรายเหลือเกิน จึงคลานหนี เหมือนลูกหมากลัวตาย เข้าไปบริเวณแยกมิสกวัน ล้างหน้าตา แม้เสียงระเบิด ยังดังอยู่ ก็รู้สึกว่าปลอดภัย และรู้สึกเป็นห่วงน้องๆ นักศึกษาที่เดินไปด้วยกัน ข้าพเจ้าเข้าไปปักหลัก รอฟังสถานการณ์ ที่เต็นท์กองทัพธรรม จิตใจฟุ้งซ่าน คิดไปว่า ถ้าเขาจะปราบ สลายเราคืนนี้จริงๆ คงไม่มีใครเหลือ ในทำเนียบคงวุ่นวายสับสน เพราะไม่รู้ว่า ทหารจะร่วมมือกัน ปราบปรามหรือเปล่า แล้วก็รีบสลัดความคิดนี้ทิ้งไป


มืดแล้ว เสียงระเบิดก็ยังดังอยู่ มีชายคนหนึ่ง เข้ามาขอแว่นกันแก๊สน้ำตา ข้าพเจ้าถามว่า "จะไปสมทบหรือ? อันตรายนะ ต้องระวัง" แล้วก็ให้แว่นข้าพเจ้าไป พร้อมกำชับเรื่องผ้าชุบน้ำ สักพักมีคนมารายงานให้ฟังว่า "มีคนบาดเจ็บสาหัสมาก แขนขาขาดอีกแล้ว คราวนี้ต้องมีคนตาย ฟังแล้วสลดใจมาก ตลอดทั้งคืน จนรุ่งเช้า ไม่ได้นอนเลย" ข้าพเจ้าเริ่มถามตัวเอง "เราเป็นใคร? ภารกิจที่แท้จริงของเรา คืออะไร? เราควรจัดการกับชีวิตของเราอย่างไร? ทำไมชีวิต จึงทุกข์ยากเหลือเกิน กับรัก-โลภ-โกรธ-หลง"


มาทำหน้าที่ มาใช้หนี้แผ่นดิน และมาทำบุญ
สันติ-อหิงสา ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ช่วยกันไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ
อับราฮัม ลินคอล์น กล่าวว่า "ท่านสามารถหลอกประชาชนทั้งหมดบางเวลา และประชาชนบางส่วนตลอดเวลา แต่ท่านไม่สามารถหลอกประชาชนทั้งหมด ได้ตลอดเวลา"
การเมืองใหม่ ประชาภิวัฒน์ ตุลาการภิวัฒน์ สังคมภิวัฒน์
สักวันหนึ่ง คนไทยคงมี"กิเลส"น้อยลงๆ "อาสาเสียสละ"กันมากขึ้นๆ สาธุๆ


ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชน ผู้กระทำความรุนแรง มักหลบหนี ลอยนวลไปได้ทุกครั้ง ด้วยกฎหมายนิรโทษกรรม วันนี้ผู้กระทำความรุนแรง จึงกล้าลอยหน้าลอยตา เล่าความเท็จอย่างไม่รู้สึก สะทกสะท้านสำนึก อนาถหนอ.... ยศยิ่งใหญ่ กลับยิ่งชั่ว แล้วก็ปล่อยให้ความรุนแรง ฝังตัวอยู่ในสังคมไทยต่อไปๆ ซึ่งพร้อมจะปะทุได้อีกทุกเมื่อ


ความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ต้องมีคนรับผิดชอบ และถูกลงโทษ เพื่อความหลาบจำ ให้เป็นบทเรียนอีกหน้าหนึ่ง ของสังคมไทย ที่ต้องสังวร เรียนรู้ไป ตราบนานเท่านาน แล้วช่วยกัน ขจัดความรุนแรงออกไป ให้หมดสิ้น ขอเป็นอีกแรงหนึ่ง ช่วยกันเอาคนผิดมาลงโทษ


เบ็ญจวรรณ เจริญวงษ์


การผลักดันเรื่องต่างๆ ยังคงต้องทำกันต่อไป แต่อย่าลืมอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ คือ อหิงสา - อโหสิ แม้เราจะเป็นผู้ถูกกระทำ ก็ต้องอหิสา - อโหสิ ให้ได้


สารอโศก อันดับ ๓๑๐ กันยา - ตุลา ๒๕๕๒ หน้า ๒๕-๒๙