ตอน เราเป็นต่อ หรือเป็นรอง

ถูกทวงต้นฉบับอีกแล้ว คราวนี้ บ.ก. ถึงกับเขียนโน้ตแนบมา นอกจากทวงต้นฉบับยังมี ข้อ ความเตือนสติด้วย มันกระตุ้น ต่อมสำนึก ของเราอย่างแรง จนรู้สึกฉุนขึ้นมา ฉุนใครล่ะ ฉุน ความไม่เข้าท่าของตัวเอง ทั้งที่เคยตั้งใจรวมทั้ง สัญญาก็แล้ว ว่าจะปรับปรุงการ ส่งต้นฉบับ ให้ทัน หลายครั้งหลายหนก็ล้มเหลวเหมือนเดิม ก็คงเป็นเพราะความ ไม่เอาจริงกับ ความ ตั้งใจดีที่คิดไว้ (เลยหายสงสัย ที่เคยคิดกับบางคน ทำไมไอ้คนนี้ มันทำดียากจัง(วะ)) และ ด้วยความรู้สึก ผิดชอบชั่วดี มีสำนึกรู้ ทำให้เราละอายใจ ซึ่งเป็นความ รู้สึกที่กัด กร่อน ความสุข ความภาคภูมิ ในการเป็นคนดีของเรายิ่งนัก เราจึงพาลฉุนบ.ก. ไปด้วย ทำให้เรารู้สึกว่า เป็นคนเหลวไหล ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย เพราะจริงๆ แล้ว ใจเรายอมรับ เคารพในการทำงาน จริงจัง มีหลักการ และตรงไปตรงมา สมกับเป็นนายตำรวจ เก่ามาก่อน ของท่านบก.อยู่แล้ว

เมื่อรู้สึกอย่างที่ว่าเราก็เกิดอาการเกรง และเกร็ง ถึงกับต้องคอยหลบหน้าหลบตา ในบางครั้ง มันเป็นความรู้สึกเดียวกับที่เราจำได้ว่า ตอนเด็ก เราค่อนข้างเกเร และจะออกอาการ เกรงกลัว มากกับครูที่ดุ และเอาจริง

ในช่วงที่เกิดอารมณ์ฉุน และพาลผู้อื่น ผีโวย...ถูกบีบคั้นนะเนี่ย ก็แค่ส่งช้า(บ่อยๆ) เท่านั้นเอง ไม่เห็นเป็นไร เลิกเขียนดีไหม จะได้สบายใจ ผีอย่างข้า ไม่ชอบหรอกนะอะไรๆ ที่มันเป็นกฎ เกณฑ์เป๊ะๆ ทำให้เครียด เครียดรู้มั้ย เอาละฟังเสียงรัฐบาลข้างเดียว คงไม่เข้าท่า จำต้องหันมา ฟังฝ่ายพันธมิตรบ้าง เดี๋ยวจะว่าเราไม่เป็นกลาง จึงโทรหาท่านสมณะ ที่เราเคารพและคุ้นเคย ก็ได้รับคำสอน ให้ฝึกวางใจ ทำความเข้าใจว่า บ.ก. ต้องทำตามหน้าที่ เพราะหนังสือ มีกำหนด เวลาออก ที่ค่อนข้างแน่นอน เราเองก็ต้องทำหน้าที่ผู้เขียน ส่งต้นฉบับ ให้ทันตามกำหนดเวลา ถ้าคราวไหน ทำส่งไม่ทันจริงๆ ก็แจ้งล่วงหน้าให้กองบ.ก. รับทราบ ไม่ทำให้เกิด ความลำบากใจ ในการทำงาน ทั้งสองฝ่าย เราฟังจบด้วยปัญญาเข้าใจ ยอมรับความจริง เราผิดเอง แต่ใจ ที่ขาดเจโตรู้ตาม จึงยังไม่สามารถสยบ สงบลงได้ ผีแม้ตัวเล็กลง ก็จริง แต่มันยังอยู่

อ้าว...นั่นหลานสาวเจ้าปัญญาเข้ามาพอดี เขาถามทันทีเมื่อฟังเราเล่าแจ้งแถลงไขจบ งานนี้ มีใครได้ ใครเสียไหม เราบอกไม่มี เพราะทุกฝ่าย ต่างไม่มีผลประโยชน์ เขาถามต่อว่า เราทำงานนี้เพื่ออะไร ก็เพราะเป็นงานที่เราชอบ นะซี เราอยากทำ ทำให้เราได้ฝึกความชำ นาญ เพิ่มขึ้น เรา.... "หมดคำถาม" เขาพูดขึ้น ด้วยภาษานักกฎหมาย คงให้เราคิดเอง และเรา ก็พลัน คิดได้ ถ้าเราเลิกทำงานชิ้นนี้จริง กองบ.ก. ก็คงหาคนทำแทนได้ไม่ยาก อาจดีกว่าเรา และ ไม่ต้องตาม ทวงต้นฉบับให้เหนื่อย เราต่างหากเป็นฝ่ายเสียผล ต้องเสียงานที่เรายังเห็นคุณค่าประโยชน์ และงานที่เราอยากทำไป ถ้างั้นก็ยังไม่สายเกินไป ยังมีโอกาสแก้ตัว รีบปรับปรุง ตัวเองเร็วไว ก่อนที่จะสูญเสีย และต้องเสียใจ (ส่งต้นฉบับตามกำหนด) ใช่เลย...เราคิดได้แล้ว เราวางใจได้แล้ว ดีใจเอ๋ย ดีใจจัง หลานสาวเจ้าปัญญา ฟังเราคิดดังๆ จนจบ ก็หัวเราะ ชอบใจ เอื้อนเอ่ยว่า นี่เป็นวิธีคิดของเรานั่นเอง จำไม่ได้หรือ ที่มักสอนเขาเสมอว่า เมื่อเกิดปัญหาขึ้น เราจะมองดู และถามตัวเองว่า ในสถานการณ์ขณะนั้น เรากำลังเป็นต่อ หรือเป็นรอง เมื่อรู้ชัด แล้ว จึงค่อยหาวิธีแก้ไขปัญหา เพราะสถานการณ์ ที่ต่างวิธีคิด ก็ย่อมแตกต่าง เช่น ถ้าในสถาน การณ์เป็นต่อ เราจะมีแบบคิดและท่าทีอย่างหนึ่ง และในสถานการณ์ที่เราเป็นรอง ก็จะมีแบบ คิดและท่าทีอีกอย่างหนึ่ง

ถ้ายังไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่ดำรงอยู่ และในขณะนั้นเราถูกอารมณ์ชักพาไป ไม่ว่าจะเป็นราคะ หรือ โทสะ การแก้ปัญหาของเรา อาจนำไปสู่ การสร้างปัญหาใหม่ ซึ่งอาจทำให้เราเจ็บช้ำ จาก การสูญเสีย มากขึ้นไปอีก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้น ในกรณีนี้ ถ้าเราอยากเป็นนักเขียน สักวันข้างหน้า เราอยากทำงานที่เป็นบุญ เราอยากเป็นคนดี และเราอยากได้อะไรอีก มากมายใน บ้านอโศก หลังนี้ ซึ่งตั้งแต่เรารู้จัก ชาวอโศกมา ๒๐ กว่าปี เราได้ตัดสินด้วยปัญญาของเราแล้วว่า ดีที่สุด เราจะอ่อนโยน น้อมรับความเป็นรองตลอดไป ด้วยความเข้าใจ อย่างเต็มใจ และรู้ว่า เราจะ ไม่มีวันเป็นต่อเลย ในบ้านอโศกหลังนี้

ถ้าเมื่อใดมีความคิดเป็นต่อเกิดขึ้น นั่นคือ ผี ผี ผีมันคิด และเราจงฆ่ามันด้วยมือเราซะเร็วๆ อย่ารีรอ

รำพึง รำพัน
โดย เอี่ยมเช็ง
๑ ก.ค.'๕๑


สารอโศก อันดับ ๓๑๐ กันยา - ตุลา ๒๕๕๒