ชาติล่มจม เพราะ มิจฉาทิฐิ + ทุจริต + ลอยตัวเหนือความขัดแย้ง

ธันวาคม ๒๕๕๑

"ม้วนเดียวจบ" วลีเด็ดของ พลตรีจำลอง เป็นปฏิบัติการดาวกระจายสุดท้าย เพื่อหยุดยั้งการใช้อำนาจมิชอบธรรม ของ รัฐบาลหุ่นเชิด ให้ได้ ด้วยต้องการยุติการชุมนุม ก่อนวันเฉลิมพระชนมพรรษา จึงเคลื่อนตัว ไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งรัฐสภา กระทรวงการคลัง กองทัพไทย สนามบินดอนเมือง และสุวรรณภูมิ

ส่งผลกระเทือนกับธุรกิจคู่ค้าต่างประเทศ และธุรกิจท่องเที่ยว ทำให้นักธุรกิจทนนิ่งไม่รู้ไม่ชี้ต่อไปอีกไม่ได้ ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ แม้จะตำหนิพันธมิตรฯ แต่ก็เรียกร้องให้รัฐบาลหุ่นเชิด ยุบสภาฯ ด้วยหมดความชอบธรรม ในการใช้อำนาจ บริหารแล้ว

ถือว่าปฏิบัติการนี้ได้ผล ไม่ใช่กดดันรัฐบาลหุ่นเชิดเท่านั้น ยังกดดันไปยังภาคส่วนอื่นๆด้วย พลเอกอนุพงษ์ เชิญนักวิชาการ นักธุรกิจ ประชุมหาทางออก ผลก็สอดรับไปในทางเดียวกัน เรียกร้องให้รัฐบาลฯ ยุบสภาฯ

แต่นายกฯสมชาย ยังแข็งขืน ดึงดัน ยันไม่ลาออก ไม่ยุบสภาฯ อ้างเพื่อรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ใต้ดิน ของบริวารโฉด เพิ่มขีดความโหดร้ายรุนแรงตอบโต้มากยิ่งขึ้น ระเบิดถี่ ในช่วงปลายเดือน พฤศจิกายน จนถึง ต้นเดือน ธันวาคม ทำให้แกนนำ ตัดสินใจทิ้งที่มั่น ที่ทำเนียบฯ เพื่อความปลอดภัย ของมวล พันธมิตรฯ แต่บริวารโฉด ก็ตามไป ก่อการเลว ที่สนามบินทั้ง ๒ ด้วย ส่งผลให้พันธมิตรฯ เจ็บและตาย มากขึ้นเรื่อยๆ โดยสีกากีเกียร์ว่าง นิ่งเฉย หน้าฉาก อ้างรักษากฎหมาย พิทักษ์สันติราษฎร์ แต่หลังฉาก กลับพิทักษ์อาชญากร ทั้งทำตน เป็นอาชญากรเอง ใช้อาวุธสงคราม ทำร้ายพันธมิตรฯ ที่เต็มไปด้วย หญิง คนแก่ เด็ก จิตใจโหดเหี้ยม ผิดมนุษย์ มีผู้รู้ระบุหน่วยสังกัด ที่ก่อการเลวนี้ แต่ไม่สามารถ หาหลักฐาน มาเปิดเผย ยืนยันเอาผิดได้

๒ ธ.ค.๕๑
บริวารแดงขัดขวางศาล ไม่ให้แถลงปิดคดียุบพรรค ตุลาการศาล รธน. ได้ย้ายจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ไปที่ศาลปกครอง นปช. แดงตามราวีไม่เลิก บุกล้อม ศาลปกครอง พยายามกดดัน ไม่ให้ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดียุบพรรค

ประมาณ ๑๒.๐๐ น. ศาลรัฐธรรมนูญได้เริ่มอ่านคำตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย พรรคมัชฌิมาธิปไตย เพิกถอน สิทธิเลือกตั้ง หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร อยู่ในขณะที่กระทำความผิด เป็นเวลา ๕ ปี

ได้รับโทรศัพท์ทั้งจากคุณโสภณ และอาจารย์สุลักษณ์ เห็นว่าควรยุติการชุมนุมก่อน หากชุมนุมต่อ จะเสียคะแนน และฝ่ายแดง บ้าเลือดแล้ว ซึ่งเป็นความเห็น ที่สอดคล้องกันกับทางแกนนำ

ก่อนหนึ่งทุ่ม แกนนำได้แถลงข่าว ยุติการชุมนุมทุกแห่งตั้งแต่วันที่ ๓ ธ.ค. พรุ่งนี้เป็นต้นไป เนื่องจาก วันเฉลิมพระชนม์ พรรษา และ การชุมนุม ของพันธมิตรฯได้ประสบผล ตามเจตนาที่ได้ทำมา ตั้งแต่ต้นแล้ว หยุดยั้งรัฐบาล ไม่ให้แก้รัฐธรรมนูญ

๓ ธ.ค.๕๑
ที่สันติอโศก ในรายการ สงครามสังคม-ธรรมะการเมือง พ่อท่านฯนำเอาพรหมจริยสูตรมาอธิบาย แทรกข่าวจาก ผู้ดูแล ความปลอดภัย เมื่อคืนก่อนจะประกาศยุติการชุมนุม มีคนขึ้นรถแท็กซี่ เข้ามาที่ซอย หน้าสันติอโศก (ซอย ๔๖) แล้วออกจากรถ ลงมายืนยิง ที่เกือบกลางซอย ใช้ปืนเอ็ม ๗๙ เล็งปืนเข้าไปตรงๆ หน้าสันติอโศก ลั่นไกถึง ๒ ครั้ง แต่ปรากฏว่า ยิงไม่ออกทั้ง ๒ ครั้ง คนยิงเห็นท่าไม่ดี รีบวิ่งกลับขึ้นรถ แล้วขับถอยหนีไป กล้องโทรทัศน์ วงจรปิดตัวหนึ่ง มันเสียพอดี

สามทุ่มแกนนำทั้งรุ่น ๑-๒ ได้ออกรายการที่ช่องของเอเอสทีวี ๑ โดยคุณสำราญทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ นำด้วย การอ่าน แถลงการณ์ กล่าวถึงผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บกว่า ๕๐๐ พันธมิตรฯ จะติดตามให้ความช่วยเหลือ

ประเด็นถาม คุ้มไหมกับการได้มา อย่างนี้และการสูญเสียชีวิตขนาดนี้

พลตรีจำลอง กล่าวถึงเป้าหมายของ การชุมนุมตั้งแต่เริ่มแรก หยุดยั้งการแก้รัฐธรรมนูญ แล้วขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิด ซึ่งก็ได้ บรรลุผลแล้ว แต่ไม่มีใครคิดว่ารัฐบาลจะ โหดเหี้ยมใช้อาวุธสงครามเข้าทำร้ายประชาชน ขนาดนี้ การชุมนุม ของพันธมิตรฯ สามารถ หยุดยั้งอำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลหุ่นเชิดได้ และทำให้ตุลาการ สามารถทำงานได้ จนถึงขนาดนี้ ถ้าไม่มี พันธมิตรฯ ป่านนี้รัฐบาลหุ่นเชิด ก็แก้รัฐธรรมนูญไปแล้ว และก็คง ไม่มีการยุบพรรค รวมถึงคดี ของคุณทักษิณ ก็จะหยุดชะงัก กระบวนการ ยุติธรรม ก็ไม่สามารถทำงานได้

เหตุที่พันธมิตรฯต้องออกมาชุมนุมก็เพราะสภาไม่สามารถหยุดยั้งอำนาจที่ไม่ชอบธรรมของรัฐบาลได้ และไม่มีใคร ออกมา ต่อต้าน ความไม่ชอบธรรม ของรัฐบาลหุ่นเชิด ถ้ามีใครมาทำหน้าที่เราก็คงไม่ต้องออกมาเหน็ดเหนื่อย อย่างนี้ เพราะการชุมนุม มันไม่ได้สนุกอะไร ต้องลำบาก นอนกลางดิน กินกลางทราย

ที่มีคนบาดเจ็บและตายก็เพราะผู้มีหน้าที่เขาใจดำนั่งอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร

๔ ธ.ค.๕๑
ที่สันติอโศก ประชุมสรุปงานชุมนุมฯ พ่อท่านฯให้โอวาทปิดการประชุมฯ...

อาตมาเห็นจริงๆ ว่ามันเป็นเรื่องวิเศษ สังคมไทย ยังไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ แม่ยกพ่อยกมาๆๆ เดือนหนึ่ง สองเดือน อาตมา ก็ไม่แปลก ๕-๖ เดือนก็ยังเรียกได้อยู่ มากันไม่อั้น บอกเดือดร้อนอะไรออกไป ก็ได้มาทันที บอกไปว่า ถ้าได้โทรทัศน์ มาตั้งให้ได้ดูกันทั่วๆ ที่ชุมนุม ร้อยเครื่องมาทันทีโอ้โฮ..

คุณโสภณฯ หมอประเวศฯ ยกย่องชมเชย พวกเรานี่เสียสละ

ก็ขอให้รักษาความดี รักษาสิ่งที่เราทำได้นี่ ทำให้ดียิ่งขึ้นไปเถอะ สื่อสารสื่อมวลชนไม่กล้าชมหรอก ไม่กล้า น่ะ ดีแล้ว ถ้าเขาชม พวกเราจะเสีย คนมีปัญญาเห็น เขายอมรับ เท่านั้นพอแล้ว คนไม่มีปัญญา ไม่มีปัญหา เพราะเราไม่ต้องการ มวล..ฮือฮา คนไม่รู้เรื่องเขาด่าเรา ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้ไปทำชั่วอะไร แต่เขาเองเขามองไปในแง่ลบ

อาตมางง ที่ ทักษิณฯ ว่า ตุลาการตัดสินยุบพรรค..เป็นปฏิวัติเงียบ เป็นการเผด็จการ เป็นขบถของประเทศ เป็นขบถต่อ ประชาธิปไตย คิดได้อย่างไง แหม่..เจ้าประคุณเอ้ย..ยอดกลิ้งยิ่งกว่า.. โอ้โฮ มันหมุนได้หมดเลย แปรไปได้หมดเลย คนที่ไม่มีภูมิ ถึงได้ถูก ทักษิณฯ หลอกอยู่ตลอด

สรุป ข้อสอบคราวนี้ ไม่ใช่สอบข้อเขียน แต่เป็นสอบปฏิบัติ นี่มันโจทย์จริง ตายจริง ขาขาดจริง เหนื่อยจริง นา.. จริงทั้งนั้นเลย ใครสอบได้ สอบตกอย่างไร ก็เป็นเรื่องจริง ที่เราได้ผ่านมา ซึ่งอาตมาก็เห็นแล้วว่า ค่ารวมองค์รวมแล้ว มันสอบได้ ส่วนใคร จะเสียท่า พลาดท่าบ้าง ก็ไม่มีปัญหาอะไร มันก็เป็นธรรมดา ก็ต้องมีส่วนเสีย ส่วนสละบ้าง มันคือ การเสียสละ อย่างแท้จริง

ข้อสำคัญคือ อาตมาได้พิสูจน์ธรรมะของพระพุทธเจ้า อันนี้แหละเป็นสุดยอด ที่ อาตมาเห็นว่ามันคุ้มแสนคุ้ม เราจะพิมพ์ หนังสือ เราจะถ่ายโทรทัศน์ เราจะอะไรสื่อออกไป มันไม่ได้เหมือนกับอย่างนี้เลย

อันนี้จะเป็นหลักฐานในการวิจัย เขาจะมาศึกษาต่อไปในอนาคต ทำให้มั่นใจว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น จะพัฒนา ขึ้นมาได้ สังเกตดู กระแสสะท้อน มีบ้างที่พยายามจะโค่นเรา มีทั้งใบปลิว หนังสือพิมพ์ ซีดี ทำออกมาต้าน แต่ไม่มีสื่อสาร ขานรับเลย ไม่มีใครตีต่อเลย เขาทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะให้มันเป็นข่าว อุตส่าห์ไปเช่าโรงแรม.. จัดอภิปราย ด่าเราต่างๆ นานา ตั้งหลายครั้ง ..เงียบ ลูกด้านหมดเลย อันนี้คือสิ่งที่เกิดจริง ที่อาตมาวัดค่าจากสังคม

เราประพฤติปฏิบัติมาแล้วเราก็แสดงความจริง ที่จริง พฤติกรรมจริงของเราปรากฏขึ้น..คิดว่า มีหวัง นา... ขอบคุณ ทุกคนจริงๆ ด้วยหัวใจจริง

สมณะถ่องแท้ โทรศัพท์จากศีรษะอโศก แจ้งว่า มีข่าว นปช.จะใช้ความรุนแรง อาจจะเผา หรือทำร้ายร่างกาย ประสานตำรวจ จะมาช่วยดูแลป้องกันให้

๕ ธ.ค.๕๑
เมื่อคืนข่าว ASTV รายงานข่าวว่า นปช.ขอนแก่นบุกไปที่โรงสีขอนแก่นอโศก แต่รายละเอียด ยังไม่ทราบว่า เป็นอย่างไร มีใครได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ข้าวของเสียหายหรือไม่

ที่ประตูห้องทำงาน มีจดหมายไม่ติดแสตมป์ จ่าหน้าซอง กราบนมัสการ พ่อท่านพระโพธิรักษ์ ในซองจดหมาย มีสำเนา ภาพการ์ดพันธมิตรฯ ที่ใช้อาวุธปืนยิง ในเหตุการณ์ปะทะกับ กลุ่มแท็กซี่ นปช. ที่ถนนวิภาวดีฯ ซอย ๓

ความในจดหมาย...

กราบนมัสการ พ่อท่าน กระผมมีความศรัทธาในตัวพ่อท่านและสันติอโศกมานาน ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เพราะได้เห็น การเผยแผ่ พุทธธรรม การช่วยเหลือสังคม การก่อตั้งโรงเรียน การก่อตั้งชุมชนอโศก การก่อตั้ง ร้านค้าราคาถูก การให้ความรู้ ด้านสุขภาพ การเผยแพร่ อาหารมังสวิรัติ การทำสวนธรรมชาติ การก่อตั้ง โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งเป็น บุคลิกลักษณะ ของพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่ง โดยแท้ ผลงานของพ่อท่านนั้น มีมากมาย เกินกว่าจะบรรยาย ออกมา ให้ครบถ้วนได้ นับว่าพ่อท่าน เป็นมนุษย์ มหัศจรรย์ ท่านหนึ่ง ที่มี ความเป็นอัจฉริยะ จริงๆ สมควรที่จะได้รับ รางวัลสูงสุด ของโลก พ่อท่านจึงเป็นนักบุญ ที่อยู่ในหัวใจ ของกระผม และ ภรรยาตลอดมา

แต่มา ณ วันนี้ ภาพลักษณ์ที่ปรากฏแก่สายตาประชาชนเป็นอย่างนี้ กล่าวคือ

๑. นับตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๑ กลุ่มอโศกได้ร่วมมือกับนายสนธิ ปิดเส้นทางจราจร ใช้กำลังคน ยึดทำเนียบ รัฐบาล ยึดสถานี วิทยุโทรทัศน์ รถประจำทาง ที่ทำการของรัฐ สนามบิน ปิดล้อมรัฐสภา ปิดเส้นทาง เสด็จฯ โดยมีมีด อาวุธปืน ท่อนเหล็ก ไม้กอล์ฟ ระเบิด เป็นอาวุธ เป็นเหตุให้มีคนตาย ได้รับบาดเจ็บมากมาย ทั้งกลุ่มพันธมิตรฯ กลุ่มต่อต้าน เผด็จการ และ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้รับบาดเจ็บด้วย ประเทศชาติได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยเฉพาะ ความแตกแยก ภายในชาติ ซึ่งไม่อาจ คำนวณ เป็นตัวเลขได้

๒. หลายครั้งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมพันธมิตรได้พร้อมอาวุธและระเบิด แต่แกนนำพันธมิตรปฏิเสธ นายสนธิ กับ พลตรีจำลอง ทั้ง ๒ ท่านต่างยืนยันว่า การชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ คือ ชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ แต่ภาพ ที่ปรากฏ ทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ และวิทยุโทรทัศน์ ต่างยืนยัน ครั้งแล้วครั้งเล่าว่า กลุ่มพันธมิตร มีอาวุธ ใช้กำลัง ทำร้ายผู้อื่น และเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลายครั้ง รวมทั้งบังคับให้ประชาชน ถอดเสื้อที่มีข้อความว่า "ยุติความรุนแรง" ออกไป จึงไม่ทราบว่า นายสนธิ ผู้อ้างว่า มีใจเป็นพระ กับพลตรีจำลอง ผู้รับรองตัวเอง หลายครั้งว่า ถือศีล ๘ พูดโกหก หรือไม่ หรือโกหกทั้ง ๒ ท่าน เพราะขณะนี้ กระผมและประชาชน หลายคน ต่างมีความรู้สึก สับสนไปหมดว่า โกหก กับ ความจริง ความหมาย เป็นอย่างไร ความหมายของ อหิงสา ที่ ทั้ง ๒ ท่าน กล่าวอ้างมา ตลอดนั้น เป็นอย่างไรกันแน่

การชักชวนให้สมาชิกในชุมชนอโศกมาร่วมกระทำการสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนครั้งนี้ โดยอ้างว่า เป็นการทำ ความดีนั้น ถูกต้องหรือไม่ พระพุทธเจ้า สอนอย่างนี้หรือ

กระผมรู้สึกห่วงใยและเสียดายสถาบันต่างๆที่พ่อท่านได้ทุ่มเทสติปัญญา ก่อสร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์สุขของสังคม อาจถึงกับ ล่มสลาย เพราะไป เป็นเครื่องมือ ให้กับนายสนธิ และพลตรีจำลอง ซึ่งกระหายอำนาจ เงิน มันน่าเสียใจ หรือไม่

การสร้างการเมืองใหม่ของนายสนธิ เป็นแนวคิดที่เป็นไปได้ยากมาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย เพราะพฤติกรรมของ นายสนธิ กับคำพูด ขัดกัน และโกหก ขาดความน่าเชื่อถือไปเสียแล้ว

แต่แนวคิดของพ่อท่านที่สร้างเด็กรุ่นใหม่ด้วยการปลูกฝังให้มีความรู้คู่คุณธรรม โดยผ่านโรงเรียนของพ่อท่าน ต่างหาก เป็น แนวคิดที่ถูกต้อง แม้ว่าจะต้องใช้ระยะเวลา ที่ยาวนานก็ตาม แต่ก็เป็นไปอย่างมั่นคงและ ยั่งยืน ตามแนวทางของ พระโพธิสัตว์มิใช่หรือ

ด้วยความปรารถนาดีต่อสังคมไทย และด้วยความเคารพนับถือเป็นอย่างสูงต่อ พ่อท่านตลอดมา กระผมขอให้ พ่อท่าน กลับมา เป็นพ่อท่าน เมื่อ ๒๐-๓๐ ปีที่แล้ว และดำเนินชีวิต เยี่ยงอย่างพระโพธิสัตว์ ที่มุ่งมั่น สร้างความสงบสุข ให้กับสังคม อย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม กระผมเชื่อว่าคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการของพ่อท่านได้ จึงขอแสดงความยินดีกับพ่อท่านด้วย ที่ตลอดเวลา ๓๐ ปี ท่านได้ใช้เงินที่ผู้อื่นบริจาคให้มาด้วยความศรัทธา สร้างสรรค์สิ่งต่างๆมากมาย อันเป็นคุณูปการ อย่างใหญ่หลวง แก่สังคม แต่ท้ายที่สุด ท่านกับศิษย์เอกได้ใช้ฝ่าเท้า ๒ คู่ ลบทำลายทิ้งไป

ขอกราบนมัสการมาด้วยความเคารพ
นัตถิ สันติปรัง สุขัง

น่าสงสาร อคติทำให้ญาติธรรมท่านนี้ เลือกมองบางเหตุการณ์ ไม่มองภาพรวมของความขัดแย้ง ไม่มองต้นเหตุจริงๆ มาจากอะไร

เมื่อมีอคติ ทำให้เลือกมองข้อบกพร่องของพันธมิตรฯ เว้นข้อบกพร่องของ ทักษิณ-รัฐบาลหุ่นเชิด-นปช. เลือกหยิบเอา ข้อบกพร่อง ของพันธมิตรฯ เป็นเหตุ ป้ายรวมกับกองทัพธรรม ทั้งๆที่ข้อบกพร่อง ของพันธมิตรฯ เป็นผลมาจาก เหตุความผิด ของ ทักษิณ-รัฐบาลหุ่นเชิด-นปช.

อคติทำให้มิจฉาทิฐิมองพลตรีจำลองว่ากระหายอำนาจ เงิน ทั้งๆที่พฤติกรรมและความจริง ของพลตรีจำลอง แสดงมา ตลอดชีวิต ลดละ เสียสละ มีแต่ละวางจากอำนาจ และเงินทอง แค่รูปธรรมที่เห็นได้ง่าย ยังเห็นดีเป็นเลว เห็นถูก เป็นผิด เห็นเสียสละ เป็นเอาเปรียบ เห็นดอกบัว เป็นกงจักร ประสาอะไรกับนามธรรม หรือจิตใจของ พลตรีจำลอง ที่ละเอียด ลึกซึ้ง รู้ได้ยาก ยิ่งกว่ารูปธรรม

น่าเห็นใจที่ญาติธรรมท่านนี้และอีกหลายท่าน ไม่เห็นด้วยกับการร่วมชุมนุม ดังที่ ญาติธรรมท่านนี้ตั้งคำถาม พระพุทธเจ้า สอนเช่นนี้หรือ

จริง ไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับไหนๆในโลกระบุไว้ แต่ขอให้นำหลัก กาลามสูตร ๑๐ ข้อ มหาปเทส ๔ ประกอบการ พิจารณาด้วย เช่น การเรียนนักธรรมตรี-โท-เอก-บาลี มหาวิทยาลัยสงฆ์นานา การใช้สื่อวิทยุ-โทรทัศน์ -หนังสือ เผยแพร่ธรรม ฯลฯ ก็ไม่มีระบุใน พระไตรปิฎก แต่สงเคราะห์กับกุศลธรรม เป็นประโยชน์ต่อสังคม หรือ พรบ. การปกครอง คณะสงฆ์ไทย การตั้งพระวินยาธิการ เพื่อควบคุมกำจัดสงฆ์ ที่ประพฤติมิชอบ ระงับอกุศล ไม่ให้กำเริบ นี่ก็เป็น ประโยชน์ต่อสังคม ที่ไม่มีระบุ ในพระไตรปิฎก เช่นกัน เป็นต้น

นัยเดียวกัน ญาติธรรมท่านนี้ได้เขียนในต้นจดหมายว่า กระผมมีความศรัทธาในตัวพ่อท่านและสันติอโศก มานาน ตั้งแต่ปี ๒๕๒๖ เพราะได้เห็นการเผยแผ่พุทธธรรม การช่วยเหลือสังคม การก่อตั้งโรงเรียน การก่อตั้ง ชุมชนอโศก การก่อตั้ง ร้านค้า ราคาถูก การให้ความรู้ด้านสุขภาพ การเผยแพร่อาหารมังสวิรัติ การทำสวนธรรมชาติ การก่อตั้ง โรงพยาบาล เป็นต้น ซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะ ของพระโพธิสัตว์ องค์หนึ่ง

คุณประโยชน์ที่ญาติธรรมท่านนี้เห็นข้างต้นนี้ ก็ไม่มีในพระไตรปิฎกฉบับไหนๆในโลกเช่นกัน แต่สังเคราะห์กันได้กับ หลัก กาลามสูตร ๑๐ - มหาปเทส ๔ มิใช่หรือ จึงทำให้ ท่านเห็นว่า เป็นบุคลิกลักษณะของ พระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง

จดหมายน้อยนี้สะท้อนให้เห็นใจ นปช. ที่มองชาวอโศกเป็นร้าย ก็ขนาดญาติธรรมที่ได้สัมผัสเรียนรู้ มีศรัทธา บ้างแล้ว ยังอดไม่ได้ ที่จะเหน็บแนม มิจฉาทิฐิได้ถึงปานนี้ ประสาอะไรกับ ชนที่ยังไม่มีศรัทธาเลย

ไร้ประโยชน์ที่จะชี้แจงโต้เถียง เมื่อต่างภูมิ ต่างเชื่อ ต่างยึดถือคนละด้าน ต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริง ของ ๒ ฝ่าย

ภาวะการณ์ยามนี้ พ่อท่านฯและชาวอโศกเหมือนพระเอกนางเอกภาพยนตร์จีน ที่สังคมเข้าใจผิดว่าเลวร้ายชั่วช้า กว่าเรื่องจะจบ ถูกทำร้าย ถูกประณามหยามเหยียด แต่ก็ยัง มุ่งมั่นทนสู้กับชีวิตต่อไป ไม่ได้ละทิ้ง แนวทาง หรือวิถีทางเดิม

ข่าวเช้านี้ที่โรงสีขอนแก่นอโศกถูก นปช.ขอนแก่นบุก รวมถึงเหตุการณ์ต่างๆที่ ชาวอโศกถูกทำร้าย ทั้งที่อุทยานฯ บ้านราชฯ และ ศีรษะอโศก เป็นลางบอกวิบาก จากนี้ไปอาจเกิดเหตุร้ายรุนแรงถึงขั้น สูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน อย่างไม่คาดคิดได้

ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ, หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ (ของผู้ยิ่งใหญ่แห่งบุรีรัมย์), สื่อวิทยุชุมชน, สมุนบริวาร ส.ส. ยังคง ป้ายสี ให้ชาวบ้านเข้าใจผิด เกลียดชัง กองทัพธรรมและชาวอโศก กล่าวหาว่าเป็นลัทธิอันตราย ไม่ใช่พุทธ อารมณ์ความรู้สึก ของชาวบ้าน ที่เชื่อสื่อเหล่านี้ อาจทำหยาบร้าย รุนแรงได้ เฉกเช่น กรณีเหตุการณ์ ๖ ตุลาฯ๑๙ ที่มีการ แขวนคอ นักศึกษา โดยกล่าวหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ เวียดนาม การทุบตี เตะ ถีบ ซากศพที่แขวน แล้วนำมา เผานั่งยาง เป็นอารมณ์ ความเคียดแค้น ชิงชัง ที่ไม่มีใครคิดมาก่อนว่า จะเป็นไปได้ถึงเพียงนั้น

๖ ธ.ค.๕๑
ข่าวเช้านี้ส่อว่าบ้านเมืองมีโอกาสวุ่นอีก เพราะเมื่อคืนคุณหญิงพจมาน กลับมาเมืองไทย พร้อมลูกสองคน มีนายตำรวจ ๕๐ นาย คอยคุ้มกัน มีกลุ่ม นปช.เสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปต้อนรับ

สื่อมองว่ามาเพื่อคุยกับก๊วนเนวินเพื่อให้เทเข้าพรรคเพื่อไทย

อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ให้ข่าวว่ามาเพื่อจัดการเรื่องทรัพย์สินที่แบ่งกันแล้ว หลังจากที่หย่ากับคุณทักษิณ

พงศ์เทพ เทพกาญจนา ให้ข่าวว่า มาเพื่อเยี่ยมแม่ ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย

ที่สันติอโศก ในรายการสงครามสังคม ธรรมะการเมือง

ถาม : ยังไม่กลียุค ยังเลวขนาดนี้ หากกลียุคจะเป็นอย่างไร กลียุคไกลจากนี้ขนาดไหน

พ่อท่านฯ : กลียุคจะเลวร้ายกว่านี้ เยอะ ร้ายแรงดุเดือดมากกว่านี้ ยุคนี้ยังไกลกับกลียุคเป็นพันปีขึ้นไปจึงจะเข้าเขต กลียุคแท้ ศาสนาพุทธ ก็จะช่วยคนได้จำนวนหนึ่ง คนบนโลกจะถึงจุดไฟประลัยกัลป์จริงๆ

ศาสนาพุทธของสมณะโคดมนี้ มีพระอรหันต์น้อยที่สุดในบรรดาพระพุทธเจ้าที่ ผ่านๆมา

พระพุทธศาสนาจะไปอีก ๒๐๐๐ กว่าปี ตอนนี้ศาสนาพุทธจะขึ้นไปอีกช่วงหนึ่ง และคุณภาพก็จะมีจนไปถึง ๕๐๐๐ ปี ก็จะลงมา และจะย่าง เข้าสู่กลียุค เป็นยุคหมดสิ้นศาสนาพุทธ มันจะทำลายกันร้ายแรง คิดไม่ออกหรอก

ถาม : ได้ข่าวว่าจะมี นปก.ไปบุกเผาศีรษะอโศก คนพาลย่อมก่อเวรภัยที่เราคิด ไม่ถึง ถามจะทำใจไม่ให้หวั่นไหวกับ คำขู่ของ คนพาล เหล่านี้อย่างไร

พ่อท่านฯ : อย่างไรก็โสตาย แค่ตาย ถ้าเชื่อกรรมเชื่อวิบาก อย่างที่ไปร่วมชุมนุม ได้รับบาดเจ็บ สิ่งเหล่านี้เป็นจริง มันเป็น วิบากแน่ แม้คนที่ไม่มีวิบาก จะต้องตาย แต่เราเสียสละไปเพื่อสิ่งนี้ มันดีหรือชั่ว อย่าไปคิดว่า การตาย เป็นเรื่องบาป หรือชั่ว ต้องเข้าใจสัจจะ ให้ลึกซึ้ง ยิ่งตายยิ่งเป็นคุณค่า ด้วยซ้ำ บางศาสนา เขาบอกไว้ อย่างนั้นเลย นี่เขาไปเสียสละ เพื่อบ้านเมือง ประเทศชาติ คนที่ตาย ถ้ามีวิบากก็เป็นได้ แม้ไม่ใช่วิบาก แต่เขาได้เสียสละ มันก็เป็น กุศลแล้ว มันเป็นธรรมดา ของธรรมชาติ ที่เกิดตามเหตุปัจจัย ที่จะต้องเป็นอย่างนี้

ถาม : เหตุที่เกิดคราวนี้มีคนโทษว่าทำให้เกิดความแตกแยก

พ่อท่านฯ : คนที่มีกิเลสโลภมาก เห็นแก่ตัว ก่อให้เกิดความแตกแยก แต่คนที่เสียสละ เกื้อกว้าง เอื้อมเอื้อ พันธมิตรฯ ไปทำงานนี้ เพื่อมวลประชาชน เมื่ออธิบายให้เห็นดำ เห็นขาว จึงเกิดการรู้ดำรู้ขาวแท้ เลือกดำเลือกขาว ให้เกิด ในสังคม เป็นการสร้างสัจจะ ให้เป็นจริง ไม่ได้หมายความว่าเป็นความ- แตกแยก แต่มันกำลังวิจัยให้เห็นผิด-ถูก เพื่อสังคม จะได้ปรับตัว ถ้าไม่มีสัจจวิจัยนี้ มันจะคลุมเครือ เจ็บปวดระบมรวดร้าว ไปอีกนาน และจะสับสน ทำผิดกัน อีกมาก ขอให้มองให้ลึก แม้แต่เรื่องเศรษฐกิจ กล่าวหาว่า พันธมิตรฯ ทำให้เศรษฐกิจเสีย อย่างนี้ตื้นเกินไป

ถาม : เราจะใช้ศีล สมาธิ ปัญญา ไปสู่การใช้หน้าที่ให้ถูกต้องได้อย่างไร

พ่อท่านฯ : ศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ได้แบ่งแยกจากกัน แต่มันเป็นสมังคีองค์รวมที่ไปด้วยกัน ศีลไม่ได้ทำแค่กาย วาจา ศีลจะทำ ให้เกิด ผลถึงจิต จนบรรลุจุดหมาย ตนเองเป็นตถตาเป็นเช่นนั้นเองในตน สำเร็จที่จิต จิตจะถูกขัดเกลา ออกหมดเลย จิตหมดเหตุ ที่จะไปละเมิด เป็นอรหัตผล

ปฏิบัติแล้วจะต้องรู้ความจริง เป็นสัจจญาณ เป็นกตญาณ

ผู้ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา จะรู้หน้าที่ จะรู้จักใช้อำนาจโดยธรรม คนฉลาดแบบ โลกๆจะสร้างอำนาจให้กับตนเอง แต่คนที่เป็น อาริยะ จะไม่สร้างอำนาจให้แก่ตนเอง แต่อำนาจนั้นจะเกิดขึ้นโดยธรรม

จบรายการสงครามสังคม ธรรมะการเมือง คุณไชยวัฒน์ได้มารายงานการเสวนา ทางวิชาการในวันนี้ การพยายาม หาทางออก ให้กับ ประเทศชาติ วงเสวนาก็เห็นแนวเดียวกับพ่อท่านฯ คือ พยายามผลักดัน ให้ถวายคืนพระราชอำนาจ โดยจะยื่น ถวายฎีกา

๘ ธ.ค.๕๑
กราดเอ็ม ๑๖ ถล่มสำนักสงฆ์สาขาสันติอโศก (คมชัดลึก) เนื้อข่าว ตำรวจเชียงรายและปลัดอำเภอ ฝ่ายความมั่นคง ได้ไป ตรวจสอบ สถานปฏิบัติธรรม ดอยรายปลายฟ้า สาขาสันติอโศก เนื่องจาก คืนที่ผ่านมา มี คนร้าย ๕ คน ขับรถกระบะ มาจอด หน้าปากทางเข้า แล้วใช้อาวุธสงครามยิงใส่แท้งน้ำ ได้รับความเสียหาย ๓ จุด แต่ไม่มีใคร ได้รับอันตราย ก่อนหน้านี้ มีกลุ่มคน เสื้อแดง เข้ามาก่อกวน และข่มขู่ และมีคนมาลอบเผากุฏิ ๒ หลัง

๙ ธ.ค.๕๑
อภิสิทธิ์รับทุกเงื่อนไขเนวินยื่น ๔ ข้อ แนบสัญญาลูกผู้ชาย ไชยวัฒน์เตือนมาร์ค สมคบพรรคถูกยุบ (มติชน)

๑๐ ธ.ค.๕๑
เนวินยกก้นมาร์ค ท่านนายก ๔ พรรคผนึกหนุน (ไทยรัฐ),

นพ.เหวงกล่าวโทษ ๒๔ แกนนำ พธม.ปิด๒สนามบินโทษถึงประหาร เสนอให้ปิดเอเอสทีวีปลุกปั่น (มติชน)

๑๑ ธ.ค.๕๑
นักวิชาการชี้ไทย ๓ ฝ่ายขัดแย้ง แดง-เหลืองเป็นเหยื่อ (มติชน)

รศ. ดร.สมชาย ปรีชาศิลปกุล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนและคณบดีคณะนิติศาสตร์ มช. กล่าวว่า สังคมไทย ยังไม่สามารถ เดินไปสู่ความราบรื่น เชื่อว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงอีกแน่
ขณะนี้กลุ่มขัดแย้ง แบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ
๑.นักการเมือง จากระบบการเมือง กับกลุ่มพลังอำมาตยาธิปไตย ที่ยังคงสืบเนื่อง และมีบทบาทก่อให้เกิดปัญหาได้
๒.กลุ่ม ทุนชาติเดิมกับกลุ่มโลกาภิวัตน์ที่เข้าครอบงำ การเมือง โดยเฉพาะกลุ่มทุนที่เกิดใหม่ใน สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายก รัฐมนตรี ซึ่งผลักให้กลุ่มทุนเดิม ไปรวมกับ กลุ่มอำมาตยาธิปไตย และ
๓.กลุ่มชน ชั้นกลางเดิม ที่เคยกำหนดทิศทางการเมือง กับชนชั้นรากหญ้า ที่มีพลังมากขึ้นในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ตั้งรัฐบาล และ ค้ำยันรัฐบาล ให้คงอยู่ได้ เห็นได้ชัดคือ กลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีพลังมาก

ข่าวไม่ได้รายงานว่า นักวิชาการได้เสนอทางออกจากความขัดแย้งเป็นอย่างไร การยุติกลุ่มผลประโยชน์เหล่านี้ ทำอย่างไร อาจเพียงแค ่ต้องการเตือนมวล เหลือง-แดง ทั้งชี้ให้สังคมเห็นต้นตอ ของความขัดแย้ง

ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม พึงมีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ ฟังหูไว้หู พิจารณาตามภูมิ และความจริงที่มี

ทัศนะนานา เกิดจากข้อมูลส่วนหนึ่ง ตรรกะอีกส่วนหนึ่ง หากข้อมูลจริงมากตรรกะน้อย โอกาสถูกต้องเป็นจริง ก็มาก หากตรรกะ มาก ข้อมูลจริงน้อย โอกาสผิดพลาดก็มี

ที่น่าพิจารณายิ่งก็คือใน ข้อมูล+ตรรกะ นั้นๆ เกิดจากประสบการณ์จริงเอง หรือแค่ ฟัง-อ่าน-คาดคะเนเอง ดังนั้น ทัศนะวิจารณ์ ใดๆ จะ ถูก-ผิด, จริง-เท็จ อยู่ที่น้ำหนักของประสบการณ์จริง มากหรือน้อยด้วย

กลุ่ม ๑+๒ ที่นักวิชาการท่านนี้แบ่ง ข้าพเจ้าไม่มีประสบการณ์ ได้แต่ ฟัง-อ่าน ทัศนะเช่นนี้มานาน น้ำหนัก จริง-เท็จ จึงอยู่ที่ ผู้กล่าว มีข้อมูลจริงมาก -ประสบการณ์จริงมาก หรือ ตรรกะมาก

กลุ่ม ๓ นั้นนักวิชาการกล่าวแบบ หลวมๆ จริงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทั้งสองฝ่ายมีทั้งชนชั้นกลาง และ รากหญ้า อีกทั้งการอ้างผลประโยชน์ ที่ขัดแย้งกันดูจะรวบรัดไป ข้ามผ่านส่วนที่ร่วม คัดค้าน-สนับสนุน โดยไร้ ผลประโยชน์ใดๆ แฝง ซึ่งมีเป็นจำนวน ปริมาณที่มากกว่า กลุ่มผลประโยชน์ด้วยซ้ำ

หลายเรื่องราวบนโลกใบนี้ ลึกลับ ซับซ้อน เกินกว่าที่ปรากฏเป็นข่าวสาร จริง-เท็จ จึงไม่ได้อยู่ที่ ผู้มีอำนาจกล่าว นักวิชาการ วิจารณ์ สื่อเจาะข่าว คู่ขัดแย้งกล่าว เพราะโอกาส จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น ตามอคติ ที่แต่ละท่านมี น้อยมาก อย่างไร

กองทัพธรรม เข้าร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ อย่างเปิดเผย จริงใจ ไม่ลึกลับ ไม่ซับซ้อน ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ แอบแฝง ด้วยเห็นจริงว่า รัฐบาลหุ่นเชิดขาดความชอบธรรม ใช้อำนาจมิชอบ มุ่งแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อฟอกผิดของนายใหญ่ และบริวาร แม้จะ สุ่มเสี่ยง กับภัยร้ายนานา ทั้งภัยรัฐ และภัยพาล แต่เพื่อธำรงความถูกต้องเป็นธรรมให้คงอยู่ นี่เป็น หนทางเดียว ที่ประชาชน จะสามารถทำได้ แม้พันธมิตรฯ จะมีหลายสิ่งที่ตรรกะ มีอคติ บกพร่อง ผิดพลาด แต่ค่ารวมๆ ยังมีความเป็นธรรมมากกว่า

การมองว่า เหลือง-แดง กลายเป็นเหยื่อความขัดแย้ง ของกลุ่ม ๑+๒ หรือไปเข้าทาง ผลประโยชน์ของ อำมาตยาธิปไตย + กลุ่มทุนชาติเดิม นี้ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่กองทัพธรรม จะถอนการร่วมกับ พันธมิตรฯ แม้จะเข้าทาง ผลประโยชน์ ของ ๒ กลุ่มนั้น จริงก็ตาม เพราะไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน ที่ต้องรีบแก้ไขก่อน

ปัญหาเร่งด่วนคืออะไร

"บ้านเมืองใกล้ล่มจมแล้ว" พระบรมราโชวาทแก่ผู้ว่าฯธปท.และคณะฯ ๒๐ส.ค.๕๑

การใช้จ่ายเงินตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย-พลังประชาชน ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าทุจริตอย่างกว้างขวาง การส่งเสียงขู่ ปลดผู้ว่า ธปท. ของรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง ที่ไม่สนองนโยบายการเงินของตน ส่อว่าจะใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบธรรม ดังกรณีอื่นๆอีก

พระบรมราโชวาทนี้สะท้อนถึงความห่วงใยบ้านเมืองที่พระองค์ทรงรับรู้มาตลอด สอดรับกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ออกมาต้าน การใช้อำนาจ โดยมิชอบ และการทุจริตนานา ทั้งรัฐบาลไทยรักไทย -พลังประชาชน

หากเปรียบประเทศเป็นเรือที่กำลังจะจม การแก้ปัญหาเร่งด่วน คือ อุดรูรั่ว วิดน้ำในเรือออก

ไม่ใช่นิ่งเฉย โดยอ้างว่าในเรือมีโจร ๓ กลุ่มแฝง หากอุดรูรั่ว วิดน้ำออก จะไปเข้าทางผลประโยชน์ของโจร ทำให้โจรรอด และเติบโต

ทัศนะนักวิชาการนี้ดูราวกับจะให้กำจัดโจรก่อน หรืออาจจะให้กำจัดโจรพร้อมกันด้วย ข่าวไม่ได้ระบุชัด เป็นปกติของ นักวิชาการ ที่มักแสดงภูมิสะท้อนปัญหา แต่ไม่ได้บอก แนวทางแก้ปัญหาเป็นอย่างไร วางท่าดุจ ผู้ทรงภูมิ ลึกซึ้ง จริงๆ ก็ยังคิดไม่ออก เหมือนกัน ให้ผู้อ่านผู้ฟังคิดกันเอง หรือแม้จะบอกแนวทางแก้ปัญหา ก็เป็นเรื่องคิดได้ หลายเรื่อง ชาวบ้านเอง ก็คิดได้ แต่ถึงขั้นทำได้นั้น ยังเป็นเรื่องยากกว่าคิด สำคัญยิ่ง คือ นักวิชาการ ไม่ได้ทำให้เห็น เป็นตัวอย่าง เช่น ปัญหา ความไม่เท่าเทียม ทั้งทางเศรษฐกิจ, สังคม, การเมืองและวัฒนธรรม ระหว่าง คนชั้นกลาง ระดับกลางและบน กับคนระดับล่าง และคนชั้นกลาง ระดับต่ำ เป็นต้น นานาเหล่านี้ การแก้ปัญหา จะทำกันอย่างไร

หรือนักวิชาการอาจมองว่า การคิด-พูด-เขียน ของตนเป็นการช่วยไม่ให้เรือจม ทั้งกำจัดโจรไปในตัว นี่คือสุดยอด ที่จะได้ ไม่ตกเป็น เครื่องมือ ของกลุ่มผลประโยชน์ใด อาจคิดเช่นนี้ได้

กองทัพธรรม เห็นว่า ต้องรีบอุดรูรั่ว วิดน้ำออกก่อนกำจัดโจร การร่วมกับพันธมิตรฯ คัดค้านการใช้อำนาจ ที่ไม่ชอบธรรม ของรัฐบาล หุ่นเชิด เป็นการแก้ปัญหาเร่งด่วน ก่อนชาติจะล่มจมยาวนาน

ไม่ใช่นิ่งเฉย ดุจฤๅษีดาบสในป่า หิมพานต์ สันโดษ สงบในถ้ำ ไม่รับรู้ใดๆ บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร ฉันไม่เกี่ยว

หรือ รู้-นิ่ง-เฉย อุเบกขาอยู่ในอาศรม ไม่ยึดมั่นถือมั่น เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป ตถตา มันเป็นเช่นนั้นเอง อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ศาสนาไม่เกี่ยวกับการเมือง สารพัดที่จะอ้างเอ่ย จึงลอยตัวเหนือความขัดแย้ง ฉวยจังหวะ รอเป็นพระเอก เข้าฉากสุดท้าย

เฉกเช่นที่คนส่วนใหญ่มักอ้าง "เป็นกลาง" อย่างอวิชชา ไร้ปัญญาเห็น ผิด-ถูก ดี-ชั่ว สุจริต-ทุจริต กุศล-อกุศล

แค่การคิด-พูด-เขียน ของนักวิชาการ แม้จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มโจรผลประโยชน์ใดๆ แต่มันไม่สามารถ หยุดยั้ง การกอบโกย ผลประโยชน์ ของกลุ่มโจรใดๆได้ ที่สำคัญไม่สามารถกู้ชาติ กู้เรือที่กำลังจะล่มจมได้ อย่างตาเห็น ไม่มีพฤติกรรมใดๆ เป็นรูปธรรม ช่วยได้แค่แสดงภูมิในวาทะ ตรรกะ

ในบางกาละ วาทะ ตรรกะเหล่านั้น กลายเป็นตัวถ่วงผู้กำลังช่วยกันอุดรูรั่ว วิดน้ำออก ให้ชะงัก พะวักพะวงกับ วาทะลอยฟ้า ที่ทำให้ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก กลับตาลปัตรไปเลย

โลกียทัศน์ โลกียสุข คือเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น

การกำจัดกลุ่มโจรผลประโยชน์ คือ การทำลายโลกียทัศน์ โลกียสุข โดยการทำตนเองก่อน ให้ตนพ้นจาก โลกียทัศน์ โลกียสุข ให้ได้ มากที่สุด (ยถาวาที ตถาการี) แล้วเผยแพร่ พูด-เขียน-ทำ ความจริงที่ตนเป็นตนมี คือ คนจน ที่ไม่เป็นทาส ผลประโยชน์ใด มีความสุขกว่า กลุ่มผลประโยชน์เหล่านั้น ให้สังคมเห็นประจักษ์ แล้วเปลี่ยน ทัศนคติ เปลี่ยนโลกียทัศน์ มาเป็นโลกุตรทัศน์เอง ไม่ใช่การใช้อำนาจ -ทุน-กำลัง ล้มล้างเปลี่ยนแปลง กลุ่มผลประโยชน์อื่น อย่างที่กระทำกันอยู่ทั่วโลก

หรือ การใช้แค่วาทะ ตรรกะของนักคิด นักวิชาการ ก็ไม่อาจเปลี่ยนโลกียทัศน์ โลกียสุข ของเหล่ากลุ่ม ผลประโยชน์ ใดๆ ได้ยั่งยืน อาจจะเปลี่ยนได้ แค่ระยะหนึ่ง ตราบใดที่ ตนเองยังไม่ปฏิบัติให้เห็น เป็นตัวอย่าง ยืนยันชี้ชวนว่า ชีวิตที่ปราศจาก ผลประโยชน์ ใดๆ มีความสุขกว่าชีวิตที่มุ่ง กอบโกยผลประโยชน์ เป็นเช่นนี้ ตราบนั้นวาทะ ตรรกะของ นักวิชาการ ย่อมพร่ามัว ไม่ชัดเจน เปลี่ยนไปได้เรื่อยๆ เพราะไร้หลักความเป็นจริงในตน

อีกนัยหนึ่ง หากเปรียบ นักวิชาการหลงตำราหลงตรรกะดังนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาจากตำราอย่างเดียว ไม่เคยปฏิบัติ ทดลอง ไม่เคยค้นคว้า วิจัย ความคิดจะวนจำกัดอยู่แค่ตำรา เป็นความรู้ที่หยุดนิ่ง ไม่พัฒนา ย่อมต่างจาก นักวิทยาศาสตร์ ที่ปฏิบัติทดลอง ทำวิจัย ด้วยตนเอง อาศัยข้อบกพร่องผิดพลาดเป็นบทเรียน แล้วพากเพียร ปรับปรุง แก้ไข ข้อบกพร่อง ไปเรื่อยๆ จนประสบ ความสำเร็จ หลายๆกรณี กลายเป็นทฤษฎีใหม่ ตำราใหม่

พ่อท่านฯเป็นนักการศาสนาที่นำพาชาวอโศก ปฏิบัติธรรมตามหลักมรรคองค์ ๘ กับวิถีชีวิตจริง ดุจเดียวกับ นักวิทยาศาสตร์ ที่ปฏิบัติทดลอง ทำวิจัยด้วยตนเอง

ลดละ เสียสละ ขยัน กล้าจน(อัปปิจฉะ) พรหมวิหาร โพธิปักขิยธรรม และหมวดธรรมต่างๆ ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แม้ใน การเข้าร่วม ชุมนุม ก็เห็นเป็นประจักษ์ว่า ลดโลภ โกรธ หลง กันจริงๆ

เมื่อเห็นว่าสังคมไทยวิกฤตหนัก ผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่ทำหน้าที่อย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อระงับความขัดแย้ง กลับลอยตัว เหนือความขัดแย้ง อ้างเป็นกลาง อ้างไม่ใช่หน้าที่ อ้างเป็นเรื่องการเมือง ปัดความรับผิดชอบ ไร้สำนึกผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี

ชาติล่มจม เพราะคนทุจริตมีมากแล้ว คนเห็นแก่ตัว ไร้สำนึกผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ลอยตัวเหนือความขัดแย้ง ก็มีมาก เกินไปด้วย พ่อท่านฯ จึงต้องนำพาชาวอโศก แสดงออก เลือกข้างความถูกต้อง เลือกข้างที่มีความเป็นธรรมมากกว่า

๑. เพื่อหยุดยั้งข้างอธรรม กระตุ้นเตือนสำนึก ผิด-ชอบ-ชั่ว-ดี ให้เกิดหิริโอตัปปะ หยุดก่อบาปสร้างเวร หยุดหลอกลวง สังคมได้แล้ว

๒. นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ข่มคนที่ควรข่ม ชมคนที่ควรชม

๓. เพื่อเป็นหลักนำให้กับสังคมที่ยังสับสน ไม่ชัดเจนว่าคู่ความขัดแย้งนี้ ฝ่ายใดแน่ที่เป็นธรรม ถูกต้องมากกว่า

๔. เพื่อกระตุ้นเร้าให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ กล้าที่จะใช้อำนาจที่เป็นธรรม หยุดยั้งฝ่ายอธรรม ก่อนที่ความขัดแย้ง จะลุกลาม บานปลาย นำไปสู่ ความรุนแรง

๕. เพื่อเป็นแบบอย่างให้อาริยชนรุ่นหลังๆได้เรียนรู้เป็นกรณีศึกษา จากเหตุการณ์จริงที่เกิดว่า การใช้ธรรม กับ ความขัดแย้ง ทางการเมือง เป็นอย่างไร

การเลือกข้างความถูกต้องนี้ แม้จะสุ่มเสี่ยงกับภัยพาล-ภัยรัฐ แต่ก็จำต้องเสี่ยง เพื่อ พิทักษ์ความเป็นธรรมในสังคม ด้วยเชื่อมั่น ในหลักกรรม เชื่อมั่นในหลักคำสอน

พึงชนะความโกรธด้วยความไม่โกรธ
พึงเอาชนะความร้ายด้วยความดี
พึงเสียสละชีวิต เพื่อรักษาธรรม

เมื่อสังคมมีปัญหา ชาวอโศกเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จึงเป็นหน้าที่หนึ่ง ที่ต้อง ช่วยกันยุติปัญหา เท่าที่สามารถ ไม่ใช่หลบเลี่ยง หนีปัญหา เกี่ยง โยนกลอง ปัดภาระ ลอยตัวเหนือความขัดแย้งอย่างเห็นแก่ตัว

ปล่อยวาง ไม่ใช่การปล่อยปละละเลย เฉยเมย ใจดำ ฉันเป็นกลาง ไม่เกี่ยว นี่คือโลกียวิสัยธรรมดา

ปฏิบัติธรรมอยู่กับโลกของความเป็นจริง ไม่ใช่โลกในอุดมคติ ฝันเฟื่อง อ้างตำราตามภูมิตน หลงภาษา หลงตรรกะ วาทะ ของ อาจาริยวาท ทั้งโบราณาจารย์ และปัจจุบัน แต่ตนไร้ความเป็นจริง ไร้รูปธรรมไร้พฤติกรรมจริง จึงหลงผิด ถือมั่นวาทะว่า เป็นตน อัตตวาทุปาทาน แล้วหลงยึดมั่นในความรู้ ความเห็นของตน เป็นทิฏฐุปาทาน

ชาวพุทธส่วนใหญ่หลงยึดว่า การปฏิบัติธรรมคือการนั่งหลับตา เดินจงกรม ในถิ่นวิเวก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสังคม เท่านั้น จึงจะ บรรลุผล พระนิพพานได้ ไม่รู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ปฏิเสธการมีส่วนร่วมกับสังคม สัมผัสสัมพันธ์กับ สังคม ด้วยถือเป็น การคลุกคลีด้วยหมู่คณะ อันเป็นความเข้าใจที่ตื้นเขิน ขัดแย้งกับหลักธรรมหลายๆหมวด เพราะ ศาสนาพุทธ เป็นศาสนา ของสังคม พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ การมีมิตรดี สหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์

พ่อท่านฯอธิบายหลักธรรมและปฏิบัติแตกต่างจากโบราณาจารย์ อาจาริยวาททั้งหลาย เปรียบกับนักวิทยาศาสตร์ รุ่นใหม่ ที่อธิบาย ปรากฏการณ์ต่างจากนักวิทยาศาสตร์รุ่นเก่า การโต้เถียง การอธิบายหลักธรรมต่างๆ มีทุกยุคสมัย มีทุกศาสนา และ เป็นธรรมดาที่ พ่อท่านฯ จะถูกกล่าวหาให้ร้าย ว่าวิปริตไปจากธรรมวินัย

อาริยะในโลกของความเป็นจริง ต่างจากอาริยะในโลกของอุดมคติ ต่างจากโลกของจินตนาการ และต่างจาก โลกของ โบราณาจารย์ ที่ไม่กล้ายืนยันมรรคผลในตน

สิ่งสำคัญสุดที่พ่อท่านฯต่างจากโบราณาจารย์ทั้งหลายคือ พ่อท่านฯสร้างคน สร้างชุมชน สร้างสังคมที่เป็นจริง รองรับ ความเป็นไปได้ ในคำอธิบายต่างๆ แม้จะไม่ใช่สังคมพระศรีอาริย์(ที่ชาวพุทธถวิลหา) ไม่ใช่สังคม ยูโทเปีย (ตามจินตนาการ ของโทมัส มอร์ Thomas More) แต่ก็เป็นสังคมพึ่งพากัน อย่างพี่น้อง ทุกคนมีศีล ๕ เป็นอย่างต่ำ มีระบบ สาธารณโภคี พึ่งเกิด -แก่-เจ็บ -ตาย กันได้

ไม่ใช่มีแต่ภาษา-วาทะ-ปรัชญา -คารมหรู แต่ไร้ผลจริง ดังที่เป็นกันอยู่ดาษดื่น แต่นี่ มีโรงเรียน มีร้านค้า มีบริษัท มีโรงงาน มี โรงสี ที่เป็นแบบอย่าง ของสัมมาอาชีวะ มี กสิกรรมไร้สารพิษ มีชุมชนเข้มแข็ง ชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง เป็นที่ประจักษ์

ทุกกิจกรรมเป็นไปเพื่อการลดละ เสียสละ เป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า ๒๐ ปีแล้ว จนเป็นปกติของวิถีชีวิต เป็นวัฒนธรรม เป็นสังคมที่มีระบบสาธารณโภคี เอื้อเฟื้อเกื้อกูลพึ่งพากัน อย่างครอบครัวใหญ่ เป็นสังคม ที่มี พุทธบริษัท ๔ ครบ สมณะ สิกขมาตุ อุบาสก อุบาสิกา

ทุกชนชั้น (นักบริหาร กษัตริย์, นักบวช พราหมณ์, นักบริการ แพศย์, นักผลิต ศูทร) เท่าเทียมกัน ในการบรรลุ มรรคผล และ อยู่ภายใต้ กฎแห่งกรรม อันเดียวกัน (นี่คือความเป็นธรรม ความเท่าเทียมกัน ที่นักวิชาการนิยมมาร์ก - เหมา ไม่สนใจ ไม่มีภูมิ ที่จะตระหนักคิด)

แม้จะปรากฏรูปธรรมชัดเจนถึงการลดละ เสียสละอย่างไร แต่สังคมก็ยังข้องใจ ยัง ไม่ไว้ใจ กิจกรรมทางการเมือง ศูนย์พิทักษ์ พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ก็ยังปั้นป้ายให้ร้ายว่า ต้องการมีอำนาจทางการเมือง ต้องการเป็นศาสดา ต้องการเป็นนิกาย ฯลฯ

จริง-เท็จ เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์

๑๕ ธ.ค.๕๑
นปช. ๒๐๐ คนปิดล้อมรัฐสภาฯ ขว้างอิฐ ทุบรถ สาดน้ำกรด ปาขวดน้ำมัน ใส่รถ ส.ส. หลายคัน ขู่ปาดคอนักข่าว เอพี ที่เคยขึ้น เวทีพันธมิตรฯ

๑๖ ธ.ค.๕๑
หน้าร้านอุทยานบุญนิยม นปช. อุบลฯ ๑๐๐ คน ก่นด่า และเผาหุ่นฟาง พลตรีจำลอง เป็นการแสดงความหยาบต่ำ ตามอารมณ์ ที่ทุรชน การเมืองท้องถิ่น ยุแหย่ อย่างไร้ปัญญา ปทปรมะเกินกว่าที่จะรู้ ผิด-ถูก ดี-ชั่ว ครั้งนี้มีตำรวจ ช่วยกัน ไม่ให้ทำลาย ข้าวของ เช่นคราวที่แล้ว

ปิดล้อมสภา-ทุบรถส.ส. เสื้อแดงคลั่ง ฉุนพ่ายปชป.ตั้งรัฐบาล (แนวหน้า)

๑๗ ธ.ค.๕๑
ข่าวรอยเตอร์ รายงานการทุจริตในเอเชีย พม่า เขมร ฟิลิปปินส์ ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับไทยรอยเตอร์ ยกตัวอย่าง กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ (ไทยรัฐ)

๑๘ ธ.ค.๕๑
ที่ศีรษะอโศก พ่อท่านฯ เดินทางมาให้กำลังใจ และรับฟังข้อมูล การเจรจากับประธาน อบต.ที่มีนักการเมืองท้องถิ่น และ ผู้ยิ่งใหญ่ แห่งบุรีรัมย์หนุนหลัง ให้เคลื่อนไหวขับไล่ออกจากป่าช้าสาธารณะ

มันเป็นโจทย์ที่ดีของเรา เราอย่าแสดงความขี้หวงขี้แหน เราไปจากตรงนี้เราก็สร้างขึ้นใหม่ได้... พ่อท่านฯ แนะให้ชาว ศีรษะอโศก ได้คิด สู่การลดละความติดยึด เป็นเราเป็นของของเรา ให้มองอุปสรรคเป็นโอกาส ได้สร้างบารมีเพิ่ม พึงเข้าใจ ความจริงว่า คนชั่วร้าย ย่อมทำสิ่งเลวร้ายได้ เลี่ยงได้เลี่ยง อย่าประมาท สุ่มเสี่ยงกับคนเช่นนี้

๑๙ ธ.ค.๕๑
พรรคร่วม-ทหาร-ทุน-พธม. ครอบปชป.! ก๊กเนวินคว้า มท.-คมนาคม (มติชน)

นักข่าวตั้งข้อสังเกต การตั้ง ครม.นี้ แบ่งผลประโยชน์ ๔ กลุ่ม พรรคร่วม-ทหาร-ทุน-พันธมิตรฯ เอาใจพรรคร่วม โดยการให้ กระทรวงสำคัญ (อำนาจ-เงิน) นั้นไม่แปลก ที่ต้องอิงอาศัย ตามวงจรอุบาทว์ของ การเมืองน้ำเน่าเดิมๆ แต่การเอาใจทหาร เอาใจทุนนี่สิ มันเกี่ยวอะไรกับการบริหารประเทศ มันส่อให้เห็นเส้นทางผลประโยชน์

กมส.สรุปเหตุ ๗ ตุลา ส่ง ป.ป.ช.ฟันสมชาย-ชวลิต-พัชรวาท (กรุงเทพธุรกิจ) ประธานอนุกรรมการสิทธิฯ ส่ง สรุปผลสอบ เหตุ "๗ ตุลาเลือด" ส่ง ป.ป.ช. ชี้ "จงรัก-สุชาติ-อำนวย" หนักสุด ส่วน"สมชาย-ชวลิต" มีส่วน ระบุ แจ้งข้อหาฆ่า และพยายามฆ่าผู้อื่น พร้อมแนบ หนังสือ ถึง "อภิสิทธิ์" และประธาน กมส. ดำเนินการเอาผิด เผย "พล.ต.ต.อำนวย" แถลงข่าวบิดเบือนต่อสาธารณชน เข้าข่าย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเพื่อกลั่นแกล้ง บุคคลใด ให้ได้รับโทษทางอาญา

๒๐ ธ.ค.๕๑
ข่าวไทยโพสต์ ลูกพรรคประชาธิปัตย์ พลาดตำแหน่ง โวย เขยธุรกิจใหญ่บริจาค ๘๐ ล้านแลกตำแหน่ง (ภายหลัง เรื่องนี้เงียบไป)

๒๖ ธ.ค.๕๑
หนังสือพิมพ์สเตรท ไทมส์ ของสิงคโปร์ รายงานข่าวว่า สถานะ การเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เหลือเงินแค่ ๕๐๐ ล้าน ดอลลาร์ (๑๗,๕๐๐ ล้านบาท) หดจาก ๕ พันล้านดอลลาร์ (๑๗๕,๐๐๐ ล้านบาท) เพราะเจอผลกระทบ เศรษฐกิจโลก จากการลงทุน ต่างๆ แถมถูกรัฐบาล "อังกฤษ-สวิส" ยึดทรัพย์ สื่อสิงคโปร์ วิเคราะห์ว่า เบื้องหลัง สาเหตุที่ "พจมาน ชินวัตร" กลับไทย เพราะต้องการปกป้อง รักษาทรัพย์สินที่เหลืออยู่

ปลายเดือนธันวาคม นปช.ยังเคลื่อนไหวขัดขวางการทำงานของรัฐบาลใหม่ ปิดล้อมสภาฯ การชุมนุมที่สนามหลวง มีการนำ พระบรมสาทิสลักษณ์ ในหลวง -ราชินี ประดับบนฉากเวที พร้อมคำไม่เหมาะ เมื่อเป็นข่าว แกนนำแดง ปัดความรับผิดชอบ อ้าง ไม่รู้-ไม่เห็น ต่อมาจึงปลดเปลี่ยน แก้คำความใหม่

ขณะที่การข่มขู่คุกคามตุลาการมีต่อเนื่อง ๒๑ ต.ค. ระเบิดบ้าน นายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด ๒๙ ธ.ค. ระเบิดบ้าน นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

นโยบายรัฐบาลอภิสิทธิ์ ได้รับการวิจารณ์ว่า ใช้ประชานิยมยิ่งกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา "เรียนฟรี รักษาฟรี กองทุน เศรษฐกิจ พอเพียง ทุกหมู่บ้าน" ขณะที่นายกฯอภิสิทธิ์กล่าวถึง งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ ๓ แสนล้านบาท เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัวในแดนบวกให้ได้ เพราะมีบางฝ่ายบอกว่าอาจติดลบหรือ ๐%

นายอัมมาร์ นักวิชาการทีดีอาร์ไอ แนะ ต้องใช้เงินเข้าถึงระบบเศรษฐกิจได้เร็ว และต้องเป็นนโยบายที่ยกเลิกได้ ไม่ใช่นโยบาย หว่านเงินหรือเสพติดจนเกินไป ควรเป็น โครงการในระยะสั้น เมกะโปรเจ็กต์ไม่เหมาะ เพราะใช้เวลานาน

เปลว สีเงิน นักเขียนชื่อดัง (ไทยโพสต์ ๒๗ ธ.ค.) ได้ถ่ายทอดพระราชดำรัส ปี ๒๕๑๗ ที่ทรงตรัสถึงทฤษฎี เศรษฐกิจ พอเพียง และ สรุปในท้าย บทความว่า ถ้าเริ่มทำตามทฤษฎีนี้ กันเสียแต่ตอนนี้ วิกฤติเศรษฐกิจโลก จะกลายเป็น "โอกาสคนไทย" สู่สังคมโลก ศตวรรษใหม่ และจะอยู่กับโลกได้โดยไม่เป็นทาสอีก

รีบร้อนถอนทุน อวสานเร็ว (ไทยรัฐ วิเคราะห์การเมือง ๒๑ ธ.ค.) เป็นเสียงเตือนจากสื่อที่ค่ำหวอดกับการเมือง การทุจริต ที่มากับ นโยบาย แฝงงบประมาณ ซ่อนในโครงการต่างๆ เป็นที่รู้กันโดยทั่ว ประชาชนชาวบ้านก็รู้ ดังผล เอแบคโพลล์ ปี ๒๕๕๑ ประชาชนถึง ๖๓.๒ % "ทุกรัฐบาลมีการทุจริตคอร์รัปชันด้วยกันทั้งนั้น แต่ถ้าทุจริต คอร์รัปชัน แล้วทำให้ประเทศชาติ รุ่งเรือง ประชาชน กินดีอยู่ดี ก็ยอมรับได้" เป็นทัศนะที่เลวร้าย ผู้รักความเป็นธรรม ยังต้องเหนื่อยหนัก กันไปอีกนาน

การเมืองโดยระบบพรรคการเมืองที่ เป็นอยู่ ยังคงวนอยู่กับการแย่งชิงอำนาจ ผลประโยชน์ ตำแหน่ง เต็มไปด้วย กลเกม แม้สีกากี สีเขียว ยังคงลับ ลวง พราง กับกลเกม อำนาจ และผลประโยชน์เช่นกัน

พ่อท่านฯ ยังคงอธิบาย ธรรมะกับการเมือง ที่ถูกต้องแท้จริงเป็นอย่างไร ต่างจากธรรมะและการเมืองที่เป็นอยู่ อย่างไร ขณะที่ คนส่วนใหญ่ ในสังคมไม่ได้สนใจรับฟัง แม้ผู้ที่รับฟังจากสื่อโทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ หรือวิทยุชุมชน หลายคน ยังไม่เห็นด้วยกับ ท่าทีการแสดงออก กับปัญหาบ้านเมือง เหลือง-แดง ในขณะนี้ ส่วนที่ต้านด่าทอ แม้จะลด การเคลื่อนไหว ทางสื่อต่างๆ แต่ยังคงมีอยู่

ขณะเดียวกัน การตอบรับจากคนใหม่ๆที่รับชมทางสื่อต่างๆ หลังยุติการชุมนุม มีมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จาก คำถาม ที่ถามมา ในรายการ สงครามสังคม ธรรมะการเมือง เช่นมีคำถามหนึ่ง

ถาม : อยากจะทราบว่าสมมุติสงฆ์กับพระสงฆ์ต่างกันอย่างไรคะ ช่วงที่ชุมนุมมี พระสุราษฎร์วิจารณ์ว่า ไม่ใช่กิจ ของสงฆ์ อยากจะทราบว่า กิจของสงฆ์มีอะไรบ้าง

พ่อท่านฯ : สมมุติสงฆ์ ที่จริงก็คือ พระสงฆ์ แต่ในที่นี้ขออธิบาย พระสงฆ์คือ อาริยบุคคล ฆราวาสก็เป็นอาริยสงฆ์ได้ คือ เป็น..โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ ส่วนสมมุติสงฆ์นั้น ยังเป็นสงฆ์เพียงสมมุติ ไม่ได้อาริยคุณของพุทธ แม้จะโกนหัว ห่มไตรจีวร ผ่านพิธีบวชจริง ก็ตาม หากยังไม่มีอาริยคุณ เป็น..โสดาบันขึ้นไป ก็ยังเป็นสมมุติสงฆ์

สมมุติสงฆ์ คือผู้ยังไม่บรรลุธรรม แม้จะเรียนมาก กล่าวพุทธพจน์ก็มาก สอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่ได้บรรลุธรรม ในชาตินั้นเลย ก็เป็นเพียง ปทปรมบุคคล รู้มากแต่ไม่ได้บรรลุธรรม

พุทธบริษัท ๔ คือผู้บรรลุธรรม ไม่ว่าอุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุณี "พุทธบริษัท" คือ ผู้ที่เป็นสาวกสังโฆแท้ ได้แก่ "บุคคล ๔ หรือ บุคคล ๘" โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์

ส่วน"พุทธศาสนิกชน" นั้น คือคนที่นับถือพุทธทั่วไป นับถือตามตระกูล ตามสำมะโนครัว ไม่ประสาอะไร กับศาสนาเลย ไม่รู้เรื่อง อะไรเลย ในความเป็นพุทธ แถมเข้าใจผิด ไปเอาอะไรผิดๆ มาคิดว่าเป็นพุทธ เยอะแยะ แล้วก็ปฏิบัติผิดๆ กัน ให้ศาสนาพุทธ ย่ำแย่ลงไป เต็มบ้านเต็มเมือง ทั้งผู้ที่เป็นฆราวาส ทั้งที่ นุ่งห่มจีวร โกนหัว ผ่านพิธีบวชแล้ว

และอีกคำคือ "พุทธมามกะ" คำนี้ หมายถึง ผู้ที่พยายามที่จะทำตนให้เป็นพุทธ อย่างน้อย ก็ตั้งใจที่จะขอได้ ขอมี ขอเป็น ตามคุณสมบัติ ที่เป็นพุทธ เท่าทีมีปัญญา จะพยายามศึกษา หาทางปฏิบัติ แต่ยังไม่บรรลุธรรม จึงยังเป็นแค่ พุทธมามกะ

ส่วนเรื่องที่ถูกติงใน..ช่วงที่มีการชุมนุม สันติอโศกไปร่วมชุมนุม แต่ท่านถือว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ก็ถูกของท่าน ที่ท่านถืออย่างนั้น

คำว่า กิจของสงฆ์นี้ คือหน้าที่ของสงฆ์ที่ต้องช่วยเหลือมนุษยชาติให้พ้นทุกข์ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ตามพระอนุสาสนี ของพระพุทธเจ้า

ท่านที่เห็นว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ท่านก็ไม่ไป ก็ถูกของท่าน ท่านที่ยังมีอินทรีย์พละไม่พอจะไม่ไปก็ไม่ผิด ถ้าไปแล้ว จะเสียประโยชน์

ถ้าผู้ที่มีการประมาณแล้วตามสัปปุริส-ธรรม อัตถัญญุตา ธัมมัญญุตา อัตตัญญุตา มัตตัญญุตา กาลัญญุตา ปริสัญญุตา ปุคคลปโรปรัญญุตา ดีแล้ว เห็นว่าควรไปก็ไป เพื่อช่วยให้เกิดความสงบเรียบร้อย นี่เป็น เป้าหมาย เราไปได้เราก็ไป คนที่ไม่สามารถกว่าเรา เขายังไปเลย เราจะดูดายได้อย่างไร

อาตมาเคยอธิบายว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักการเมืองชั้นยอด เป็นนักประชาธิปไตยชั้นยอด เป็นนักปลดแอก ชั้นยอด เป็นนักบริหาร ที่ทำงาน เพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นยอดสุดแห่งอิสระเสรีภาพ

งานปีใหม่ ปีนี้จัดเล็กๆ ไม่มีออกร้านตลาดอาริยะมากเหมือนปีก่อนๆ เหตุสำคัญเพิ่งผ่านภาระที่เหนื่อยหนัก มาจาก การชุมนุม ๑๙๓ วัน เพื่อให้ญาติธรรมได้มีเวลาสังสรรค์กันเองมากกว่าการบริการขายสินค้าให้ชาวบ้าน ญาติธรรม มาร่วมงาน น้อยกว่าทุกปี อาจเป็นเพราะ อ่อนล้ากับการชุมนุมหนึ่ง อีกหนึ่งอาจเกรงภัยจาก แดงถ่อยอุบลฯ งานปีนี้ จึงมีอาสาสมัคร รักษาความปลอดภัย ที่เข้าร่วมกับ กองทัพธรรม ในการชุมนุมที่ผ่านมา ขออาสา มาช่วยดูแล ป้องกันให้ ประมาณ ๑๕-๒๐ คน ดีที่ไม่มีเหตุร้าย ไม่มีบริวารหางแดง มาก่อกวนแต่อย่างใด

งานเข้าค่ายยุวชนอโศกสัมพันธ์ ยอส. และงานคืนสู่เหย้าเข้าคืนถ้ำ ของศิษย์เก่า สัมมาสิกขา ปีนี้เป็นไป อย่างเรียบๆ ไม่กิจกรรม อะไรมาก ศิษย์เก่าฯมาร่วมงานน้อย

การแสดงธรรมของพ่อท่านฯทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นการแจกขวัญธรรมกับลูกหลานระดับ อนุบาล ประถม มัธยม ทั้ง ยอส. และ นิสิต สัมมาสิกขาลัยวังชีวิต รวมถึงการพบนักเรียน ม.๖ ที่จะจบ พบศิษย์เก่าสัมมาสิกขา แม้การแสดงธรรม ทำวัตรเช้า กับชาวอโศก ทั้งหมด ประเด็นประจำ ที่พ่อท่านฯเสริมทุกครั้งคือ การผนึกรวมเข้ามาในชุมชน และ การเชื่อมต่อ การศึกษา คณะบริหารศาสตร์ สาขาเศรษฐกิจพอเพียง ม.อุบลฯ

การลาออกจากคณบดีคณะบริหารศาสตร์ ของ ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ไม่ทราบชัดว่ามาจากเหตุใด เท่าที่พอทราบ บ้างว่า คณาจารย์ของ ม.อุบลฯ หลายท่าน ต้านอาจารย์อภิชัย หลายท่านต้านพ่อท่านฯ และชาวอโศก 

ที่ชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง ม.อุบลฯ ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน แวะมา นมัสการพ่อท่านฯ กล่าวถึง คณบดี คนใหม่ ที่จะมาแทน ถ้าเป็นศิษย์ ของอาจารย์อภิชัย ก็ไม่มีปัญหาในแนวคิดและวิธีการต่างๆ แต่ถ้าทางสภา มหาวิทยาลัย และ อาจารย์คณะฯ เลือกท่านอื่น ก็อาจจะมีปัญหา กับการ ต่อเนื่องโครงการ เศรษฐกิจพอเพียง เพราะได้ทำสัญญากับ ทางมหาวิทยาลัยไว้ ๕ ปี การจะต่อโครงการ หรือไม่ อยู่ที่สภามหาวิทยาลัย และอาจารย์ คณะบริหารศาสตร์

ก่อนจาก ข้าพเจ้าเล่าถึงฝรั่งที่วิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงว่าทำให้ประเทศไม่พัฒนาบ้าง เป็นปรัชญา เพ้อฝันบ้าง

อาจารย์อภิชัย ก็รับทราบ แต่ไม่อยากจะเสียเวลาโต้แย้งกับผู้ที่ไม่รู้วัฒนธรรม ไม่รู้ เศรษฐกิจพอเพียงดีพอ เรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง มี ๓ ส่วน หนึ่ง คือองค์ในหลวงเอง อันนี้ ไม่มีปัญหา ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างอยู่แล้ว สอง คือ หลักปฏิบัติ เศรษฐกิจพอเพียง สาม คือ ส่วนแวดล้อม สถาบันกษัตริย์ ที่เป็นปัญหาก็คือส่วนนี้ ไม่ได้ปฏิบัติ แต่นำเอาหลัก เศรษฐกิจ พอเพียง ไปพูดอธิบาย ไปยกย่อง

๓๐ ธ.ค.๕๑
นักศึกษาอเมริกัน ๒ คน จากแมรี่แลนด์ กำลังทำวิทยานิพนธ์ ศาสนากับเศรษฐศาสตร์ ได้สนทนาสัมภาษณ์ สมณะ และ ชาวศีรษะอโศก บ้างแล้ว และขอสนทนาสัมภาษณ์พ่อท่านฯ เพิ่มเติม ดังข้อความการสนทนาที่น่าสนใจ ดังนี้

ถาม : ชาวอโศกที่ทำงานโดยไม่เอาเงินตอบแทน แตกต่างจากสังคมทั่วไปอย่างไร

พ่อท่านฯ : ที่อื่นเขาก็มีอาสาทำงานไม่เอาเงินเหมือนกัน มีทั้งครั้งคราวบ้าง ยาวนาน บ้าง แต่ชาวอโศก ที่ทำงาน ไม่เอาเงิน ตอบแทนตลอด เพราะเขาเข้าใจว่า ทำงานไม่เอาเงิน นี่คืออาชีพชั้นดีสูงสุด 

ถาม : การพัฒนาชาวอโศกให้เป็นเช่นนี้ ท่านมีเป้าหมายอย่างไร

พ่อท่านฯ : มุ่งหมายให้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีกิเลสที่อยากจะได้มาให้กับตัวเอง

ถาม : มีหลายคนคิดว่า ศาสนาไม่ควรเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องอาชีพ เรื่องเศรษฐศาสตร์ เรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคน

พ่อท่านฯ : นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิดจากพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้มีสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ ต้องทำงาน

ถาม : อโศกนี่เป็นพุทธศาสนาที่ถูกที่สุดหรือ

พ่อท่านฯ : ตอบไม่ได้ว่าถูกที่สุด แต่เราว่าเราทำถูก เราเชื่อมั่นว่าเราพยายามทำให้ถูกที่สุด

ถาม : มีหลายคนมองว่าอโศกนี่เป็นพวกอนุรักษ์ ช่วยอธิบายพวกรากฐานเดิม Fundamental กับพวกก้าวหน้า Progress

พ่อท่านฯ : คือ progress หมายความว่าล้ำหน้าไปเป็นการทำงานให้แก่สังคม เสียสละให้แก่สังคมอย่างไม่เห็นแก่ตัว ตามที่โลก ต้องการ นำหน้าเขาเลย ทำงานเสียสละสร้างสรร ขยัน สร้างสรรเสียสละ แต่อนุรักษ์คือไม่เอามา ให้แก่ตัว ไม่รวย ไม่ไปแย่งชิง เป็นคนรับใช้ที่แท้จริง ลักษณะที่ไม่เอาไม่ไปแย่งความรวย ไม่ไปแย่งความหรูหรา ไม่ไปแย่งความฟุ้งเฟ้อ... นั่นคือ conservative

พุทธศาสนาทั่วไปเขาก็จะไปเหมือนกับชาวโลกเขาเป็นฝ่าย conservative ก็ออก... หนี จากสังคมไปเลย เขาหลงสุดโต่ง ไปทางนั้น มากไป ส่วนฝ่ายที่ไปกับสังคมก็ก้าวหน้าสุดโต่งไปกับสังคมเขา ทุนนิยมไปเลย บริโภคนิยมไปเลย เป็นชาวโลกีย์ มากไป เช่นกัน แต่ของเรานี้ conservative ด้วย แต่เราก็ทันสมัย progress ด้วย ไม่หนีจากสังคม ช่วยสังคม อยู่อย่างเต็มไม้เต็มมือ

และชาวอโศกนี่แหละ ยึดถือคัมภีร์เดิมของพระพุทธเจ้า Fundamentalism ตัวจริงเพราะเราเข้าใจว่า ศาสนาพุทธ ไม่สุดโต่ง ไม่ว่าข้างไหน ไม่ว่า conservative หรือ progressive 

ถาม : เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเนี่ยทันสมัย ทันกับสังคม แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า นั่นน่ะทุนนิยมเกิน

พ่อท่านฯ : ก็เราเห็นอยู่ เราอยู่กับสังคม เราก็เห็นอยู่นี่ว่าเขาเป็นอย่างไง เขาหลง เขาเฟ้อ เขาแย่งกันขนาดไหน เราก็รู้จาก ข่าว สื่อสาร ทุกอย่าง เราก็สัมผัสอยู่ทุกวัน เทคโนโลยีเราก็มีตามอัตภาพของเรา 

ถาม : แล้วเทคโนโลยีนี่ดีสำหรับ ทุนนิยมไหม

พ่อท่านฯ : ทุนนิยมเอาไปใช้เป็น เครื่องมือในการเอาเปรียบ ในการบำเรอกิเลส มอมเมาสังคม ส่งเสริมความเห็น แก่ตัว แต่ เราใช้เพื่อ ลดกิเลส ทำเพื่อรับใช้สังคม รังสรรค์สังคม 

ถาม : บุญนิยมที่ท่านสร้างขึ้นมานี่ ได้ปฏิบัติ หรือเพียงแต่เห็นหรือคิด

พ่อท่านฯ : ไม่ใช่แค่คิด แต่ปฏิบัติกันจริงๆ จนเกิดผลแล้วนี่ไง จนเป็นสังคม บุญนิยม จนถึงขั้นสาธารณโภคี คนอยู่ใน หมู่บ้านนี้ ทั้งหมู่บ้าน ทำงานฟรีหมด ทุกคน ทำงานให้แก่ส่วนกลาง สมบัติทั้งหมดเป็นของทุกคน สมบัติเป็นของ สาธารณะ กินใช้ ร่วมกัน เป็นเจ้าของร่วมกัน 

ถาม : สัมพันธภาพระหว่างบุญนิยมกับทุนนิยมเป็นอย่างไร

พ่อท่านฯ : ทุนนิยมเขา"เอา" แต่ บุญนิยมเรา"ให้"

คือคนทุนนิยมนั้นยัง"เอาๆๆๆ" ยังเห็นแก่ตัว ไม่ได้ล้างความโลภ จึงไม่หมดความอยากได้ ยัง"เอา" มาให้ตน ไม่จบสิ้น นี่คือ โดยทั่วไป ซึ่งก็คือ ทุนนิยมนั่นแหละ ส่วน บุญนิยมนั้น มาเรียนรู้กิเลส แล้วก็ฆ่ากิเลส จริงๆ จึงลด ความเห็นแก่ตัว ลดความอยากได้ มาเป็นของตน ถึงขั้นไม่สะสม ไม่ต้องกอบโกย หยุด พอ รู้ความจริงว่าชีวิตนี้ กินนิดเดียว ใช้นิดเดียว เพราะงั้น เราไม่ต้องใช้มาก เราไม่ต้องกินมาก แต่เราขยัน เราสร้างสรรได้ เรามีสมรรถนะสูงได้ แล้วเราก็เห็น คนทุกข์ยาก อดอยาก เมื่อเราทำ ขยันทุกวันเราพอกินพอใช้ ก็จะมีส่วนเกิน ที่เหลือเราก็สละ ช่วยสังคม ออกไป เรามีปัญญาเข้าใจจริงๆว่า การได้"ให้" นี่เป็นคุณค่า ของเรา เป็นสิ่งที่ดีทุกคนยอมรับ เราเต็มใจ และดีใจ ที่เราได้ให้ เราจึงอยู่อย่างเป็นสุข มีความสุข ทั้งๆที่เราไม่ต้องรวย เราก็จนๆ นี่แหละ 

ถาม : ทำไมอโศกถึงเข้าไปเกี่ยวข้อง กับการเมือง

พ่อท่านฯ : ศาสนาคือสิ่งที่ทำประโยชน์กับสังคมอย่างยิ่ง การเมืองก็คืองานทำประโยชน์กับสังคมอย่างยิ่ง อันเดียวกัน  ศาสนากับการเมือง จึงคืองานเช่นเดียวกัน การเมืองกับศาสนาจึงทำงานเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน แยกกันไม่ได้  ไม่เกี่ยวข้องกันสิ ผิด

ถาม : แล้วเราจะอยู่ท่ามกลางโลกซึ่งเป็นทุนนิยมได้อย่างไร

พ่อท่านฯ : เรานี่แหละอยู่กับทุนนิยมได้อย่างดียิ่ง เพราะเราเป็นคนให้ Give เขาเป็นคนเอา Take ก็อยู่ด้วยกันได้ สงบ ถ้าต่างคน ต่างเอา ก็แย่งกัน ชกกัน ฆ่ากัน เห็นสังคมที่เขาเป็นโลกทุนนิยมด้วยกันไหมล่ะ ต่างคนก็จะ"เอาๆๆๆๆ" จึงแย่งกันเอง อยู่ด้วยกัน อย่างทุกข์ร้อน ทรมาน แต่เราอยู่กับทุนนิยมเขาสบาย เขาก็สบาย ที่มีคนอย่างเรา  เราก็ไม่ทุกข์ร้อน

ถาม : ท่านมีวิธีเปลี่ยนการปฏิบัติของสังคมได้อย่างไร

พ่อท่านฯ : เราเสนอทฤษฎีบุญนิยม เสนอตัวอย่างบุญนิยม เสนอความจริงไป ใครเห็นว่าทฤษฎีนี้ดี ความจริงนี้ดี เขายินดี เขาสนใจ เขาก็มาเอา เราไม่โฆษณา เราเปิดเผยความจริง ชี้ความจริงให้แก่สังคมเท่านั้น เพราะงั้น ใครเห็น ความจริงนี้ แล้วสนใจ ก็มาเอา นี่เป็นวิธีของเรา

ถาม : เราอยู่ในสังคมเล็กๆน้อยๆ อย่างนี้ก็ดูง่าย แต่ถ้าไปในสังคมทุนนิยม วงกว้างข้างนอกมันไม่ง่าย

พ่อท่านฯ : ทำได้แล้วต่างหากที่ง่าย ถ้าทำยังไม่ได้มันก็ยาก ทุนนิยมต่างหากที่ไม่ง่าย ยิ่งวงกว้างยิ่งจะง่าย เราอยู่กับ ทุนนิยม วงกว้างก็ได้ เราก็ไม่ได้ไปเอาอะไรของเขา เราก็มีแต่ให้ เรา ช่วยเขาอยู่แล้ว แล้วเราก็ช่วยตัวเราเอง เราไม่ได้ไป เบียดเบียนใครนี่ เราไม่ได้ไป เอาของใคร เช่นเราออกไปชุมนุมพันธมิตรฯก็วงกว้าง อยู่กันมาตั้ง ๖-๗ เดือน ไม่เห็นมีใครรังเกียจเราเลย เรา รับใช้ทุกอย่าง อยู่แล้ว ขนาดที่เราไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้จัดตั้ง แต่เรา ก็เข้าไป ทำงานทันที ทุกอย่าง ยิ่งวงกว้างจึงยิ่งดี เป็นแต่เพียง คนยัง ไม่เข้าใจทฤษฎี นี้ และยังไม่เคยเป็นอย่างนี้ ถ้าเขาเริ่มเห็น จริง เขาจะเห็นดี  ดังนั้นในวงกว้าง ก็ต้องเป็นไปได้  ที่ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะคนยังเห็นแบบนี้ไม่มาก

ถาม : ท่านคิดว่าสังคมแบบนี้จะเป็นไปได้ไหมในทางตะวันตก ซึ่งเป็นทุนนิยมมากๆ

พ่อท่านฯ : คนเหมือนกัน คนรู้ว่าคนดี คนไม่เอาเปรียบเขา มันดี สอดคล้องกันหมดทั้งโลก คนที่ดี คนที่ไม่เอาเปรียบเขา คนที่ ช่วยเหลือคนอื่น ที่ไหนๆ ก็เหมือนกัน

ถาม : คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าทุนนิยมจะเป็นปัญหาอะไร

พ่อท่านฯ : ที่ไหนได้ ทุนนิยมเขาเป็นอยู่นั่นแหละเขาเป็นปัญหากันตลอดและเป็นปัญหามากขึ้นๆ เขาไม่รู้เอง บุญนิยม ต่างหาก ที่ลดปัญหา จนที่สุดไม่มีปัญหา เรามาปฏิบัติทำตนให้กิเลสลดแล้วจริง เราจึงเกิดปัญญา เห็นความจริง ลดปัญหา ไปได้เรื่อยๆ ทุนนิยม เขาแย่งชิงกันข้ามโลกเลยเนี่ย แย่งกันเอาชนะกัน แทนที่เขาจะช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็น การพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรทั้งสิ้น เพราะจิตของเรา ไม่มีความรู้สึก เหมือนกับ จิตของ คนที่เขาไม่ได้ ลดกิเลส เราจึงเห็น ที่เขาเป็น แต่คนทุนนิยม เหมือนกัน เขาก็ไม่รู้สึกว่า มันมีความยุ่งยาก มันมีความแตกต่างอะไร เพราะเขากลมกลืนกัน เป็นพวกเดียวกัน ไม่เห็นความต่างกัน เขาเห็น เหมือนกัน จึงไม่เห็นทุกข์ โทษภัยที่เกิดขึ้นกับตน และสังคม จนกว่า เขาจะรู้ความจริง ของบุญนิยม

ถาม : ทำไมการเมืองกับบุญนิยมจึงยังไม่ Work ไม่ค่อยจะเป็นไปได้

พ่อท่านฯ : ไม่จริงหรอก คนที่ไปทำการเมืองนี่ ยังไม่มีคนบุญนิยมเลยนี่ ยัง... ยังไม่มี ขอโอกาส รออีกสักหน่อย คงไม่นานนัก เพราะเราเห็น ความต้องการของสังคมชัด และเราได้ไปแสดงออก ได้ไปพิสูจน์ให้สังคม เห็นบ้างแล้ว  เหตุปัจจัย ยังไม่เพียงพอ เท่านั้น

มโนน้อมมนัสนอบ มนุญยอบมนูไทย

มโนน้อมมนัสนอบ มนุญยอบมนูไทย
ผคมเทิดผชุมใจ ไผทเจ้าผจงจาร
ลิขิตถ้อยลออถ้วน ละล้วนสุดสดุติสาร
ลุวันห้าธันวาวาร ผสานซ้องชโยชัย
แด่พระผู้ภูภุชราช ผดุงชาติระบือสมัย
พระคุณล้นทะท้นไทย กฤดิไกลกระเดื่องการ
ดำนานนี้จิรังราชย์ ประดับชาติประกาศฉาน
พระยศก้องผกายนาน สราญทิพย์วิญญาณเทอญ.

ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ๕ ธันวาคม ๒๕๕๑ พ่อท่านฯ ประพันธ ์อาศิรพจน์ ข้างต้นนี้ ลงพิมพ์ใน น.ส.พ.เราคิดอะไร

นอกจากนี้ชาวอโศกยังตั้งโรงบุญฯแจก อาหารมังสวิรัติ ร่วมถวายเป็นพระราชกุศล ทั่วทุกภาค ตั้งแต่ปี ๒๕๒๕ จนถึงปีนี้ แต่ละปี ทำกันหลายร้อยแห่ง

ขณะที่กระบวนการ "ล้มเจ้า" ปรากฏเป็นกลุ่มก้อนมากขึ้น สื่อแสดงกันออกมาอย่างโจ่งแจ้ง แพร่กระจายกันไป ในหลาย วงการ

มี นักวิชาการ ที่ฝังจมอยู่กับความเชื่อในสังคมนิยมและทิฐิของตนเป็นเชื้อ ขาดๆเกินๆ กับตะวันตกนิยม วัตถุนิยม ปนมาร์ก-เลนิน-เหมา

มี ทุนนิยมสามานย์ และ นักการเมืองโสมม เป็นตัวเร่งขยายผลไปสู่มวลชนรากหญ้า อาศัยอิทธิพลการเมืองท้องถิ่น วิทยุชุมชน ของนักการเมือง จัดตั้งกองกำลัง "สีแดง" หลายจังหวัดในภาคอีสานและเหนือ 

พ่อท่านฯวิจารณ์ ทั้งทุนนิยมและสังคมนิยมตื้นเขินสำคัญแค่วัตถุรูป ขาดความลึกซึ้งทางนามธรรม หรือ จิตนิยม ไร้มิติทางจิต-วิญญาณ -วัฒนธรรมและสังคม จึงไร้ปัญญาที่จะเห็นคุณค่าทางจิตวิญญาณ

ทั้งคนและสัตว์มีจิตวิญญาณ ซึ่งจิต-วิญญาณนี่แหละเป็นประธานของสิ่งทั้งปวง

นั่นคือ จิตวิญญาณ หรือ จิตนิยม จะต้องนำเหนือวัตถุนิยม

สถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์รวมใจ ที่ทรงคุณค่าคู่กับวัฒนธรรมและสังคมไทยมายาวนาน

ยิ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์นี้ ทรงมีคุณูปการต่อสังคมไทยอย่างยิ่ง นอกจากจะทรงงานตลอด ระยะ ๖๐ ปี ที่ทรงครองราชย์

ทรงสร้างงานสร้างโครงการช่วยเหลือสังคมมากกว่า ๓,๐๐๐ โครงการ ทั้งโครงการหลวงนานา โครงการ พระราชดำริ เกี่ยวกับป่า -ดิน -น้ำ ในถิ่นทุรกันดาร โครงการทางด้านวิศวกรรม ฯลฯ ที่เป็นข่าวมากกว่าโครงการอื่น ก็คือ แนวพระราชดำริ ทฤษฎีใหม่ และเศรษฐกิจพอเพียง

ที่สำคัญยิ่ง ทรงหยุดความรุนแรงจาก วิกฤตการเมืองถึง ๓ ครั้ง กรณี ๑๔ ต.ค.๒๕๑๖, ๖ ตุลาฯ ๒๕๑๙, ๑๗ พ.ค. ๒๕๓๕ เพราะ พระบารมี ที่ทรงเป็นศูนย์รวมใจ ของคนไทย

โครงการทั้งหลายเหล่านี้ แทบไม่ปรากฏเป็นข่าว ทั้งๆที่เป็นคุณประโยชน์ต่อสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง หลายโครงการ เพิ่งทราบว่ามี เมื่อได้ค้นหาคำว่า "โครงการหลวง" ทางอินเทอร์เน็ต สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า พระองค์ทรงงานแบบ ปิดทองหลังพระ มุ่งงานที่เป็นประโยชน์ต่อ ประชาราษฎร อย่างแท้จริง มิใช่ทำเพื่อเป็นข่าว หรือเพื่อชื่อเสียง

แต่นักการเมืองไทยจำนวนมาก ถนัดสร้างข่าวสร้างภาพมากกว่าสร้างงาน ตีฝีปากโต้วาที โฆษณาตนเอง มากกว่า งานที่ทำ สร้างภาพ จ้างวานสื่อท้องถิ่น หรือสื่อในประเทศ เป็นเรื่องปกติพื้นๆ เมื่อเล่ห์เหลี่ยม การสร้างภาพ จัดจ้านขึ้น การจ้างวาน สื่อต่างประเทศ โฆษณาให้ตนเป็นข่าว ก็มีให้เห็น ประเทศนั้น ประเทศนี้ ขอให้ไปช่วยแก้ปัญหา ความยากจน...

อิทธิพลของการสร้างภาพสร้างข่าว ทำให้ประชาชนหลงเชื่อมายาภาพเหล่านั้น ผลการสำรวจของ เอแบคโพล เมื่อปลายปีที่แล้ว ๕๓.๒ % ยอมรับได้หากรัฐบาลโกงกินแล้วทำให้ตนเองอยู่ดีมีสุข (เป็นประโยคเท่ๆ ดูคมคาย แต่ธาตุแท้ คือใจที่เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัว)

สถาบันกษัตริย์กับพระพุทธศาสนา อาจกล่าวได้ว่าสถาบันกษัตริย์มีควบคู่มากับการเกิดขึ้นของพระพุทธศาสนา

มิใช่แค่เจ้าชายสิทธัตถะออกบวชแล้วตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้น ในพระไตรปิฎก ชาดกต่างๆ กล่าวถึง การเกี่ยวข้อง กับ สถาบันกษัตริย์ ในอดีตชาติพระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นมหาอำมาตย์ของพระราชาบ้าง เป็นปุโรหิต ของพระราชาบ้าง หรือ เคยเกิดเป็น พระราชามาหลายชาติแล้ว มิใช่แค่ชาติสิทธัตถะ เท่านั้น

พุทธศาสนาเป็นกรรมนิยม เชื่อว่าคนเราแต่ละคนเกิดมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ไม่ได้เกิดในชาตินี้ชาติเดียว จึงเชื่อเรื่อง วาสนา บารมี เชื่อการสั่งสมกุศลกรรม -อกุศลกรรมในอดีตชาติ ส่งผลมาถึงปัจจุบันชาติ เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ สืบต่อ

หากชาวพุทธไม่เชื่อสิ่งเหล่านี้ ดูแคลนพระไตรปิฎก เปรียบวัดคนดุจวัตถุ เฉกเช่น ทุนนิยมและสังคมนิยม อย่างนี้ ถือเป็น ทัศนะ ที่อันตราย ต่อจิตใจของตนเอง อบายทุคติเป็นที่ไป 

"ทศพิธราชธรรม" เป็นคุณธรรมของพระราชา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ การเจริญหรือเสื่อมของพระราชา ก็อยู่ที่ กุศลกรรม - อกุศลกรรม เช่นกัน

พระราชาเหล่าใด ทรงยินดีแล้วใน ทศพิธราชธรรม อันพระอริยเจ้าประกาศไว้ พระราชา เหล่านั้น เป็นผู้ประเสริฐ ด้วยกาย วาจา และใจ หากพระราชาเหล่าใด ปราศจากซึ่ง ทศพิธราชธรรม พระราชาเหล่านั้น ประกอบด้วย โทษน่าติเตียน ละทิ้งชีวิต พ้นไปจาก โลกนี้แล้ว ก็ย่อมไปสู่ทุคติ (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๗ ข้อ ๑๑๔๙-๑๑๕๐)

นั่นคือ ความมีอยู่ และ ความเป็นไป ของสถาบันกษัตริย์ ก็อยู่ที่กรรมของแต่ละ พระองค์เอง

การปฏิเสธสถาบันกษัตริย์ และ พยายามล้มล้าง ถือเป็นอันตราย ที่ร้ายยิ่ง ต่อความเชื่อทางศาสนาพุทธ หรือเป็น มิจฉาทิฐิ ที่เลวร้าย ในศาสนาพุทธ

ขณะที่โลกทุนนิยม กำลังเผชิญกับ ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ อย่างหนัก การล้มลง ของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก การปลด คนงาน นับหมื่น นับแสน ปีหน้า ผลกระทบจะมาถึงไทยอย่างรุนแรงกว่าปี" ๔๐ เป็นความหวั่นเกรงของ นักธุรกิจ ทุนนิยม

"ประเทศชาติใกล้จะล่มจมแล้ว" พระเจ้าอยู่หัวทรงเตือนรัฐบาลหุ่นเชิดที่แล้ว ที่มี ความพยายาม จะใช้นโยบายการเงิน การคลัง ตามทฤษฎี ตะวันตก อย่างน่าสงสัย ในผลประโยชน์

ปรัชญา "เศรษฐกิจพอเพียง" ถูก ปรามาสโดยทุนนิยมสามานย์ และบริวาร ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน ไม่สอดคล้องกับยุคทุน โลกาภิวัตน์ ...ทุนนิยมก้าวหน้า ดีกว่าศักดินาล้าหลัง ...จารีตนิยม ...อำมาตยาธิปไตย ...ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นคำเหน็บแนม ที่ใช้กัน ในหลายที่ หลายแห่ง

แต่พ่อท่านฯมองว่ าเป็นความลึกซึ้ง เป็นพระปรีชาญาณขององค์ในหลวง "เศรษฐกิจพอเพียง" สอดคล้องกับ อัปปิจฉะ มักน้อย สันตุฏฐิ สันโดษ เป็นหนทางรอดทางเดียว ที่จะปลอดจากพิษภัย เศรษฐกิจทุนนิยม โลกาภิวัตน์

ตั้งแต่ครั้งที่ พระองค์ ทรงตรัส Our loss is our gain ขาดทุนคือกำไร เมื่อหลายปีมาแล้ว พ่อท่านฯก็กล่าวยกย่องว่า ในหลวง ทรงมีภูมิธรรม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เห็นและตรัสเช่นนี้ได้ นอกจากนี้พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี ของความประหยัด มัธยัสถ์ ใครๆ ก็คงจะเห็น ในการดำรงพระชนม์ชีพ แม้แต่การใช้ รองพระบาท (รองเท้า) ก็ทรงซ่อม ทรงปะ ยาสีฟัน ก็ทรงใช้จนหลอด แบนแล้ว แบนอีก ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย ที่คนระดับ พระเจ้าแผ่นดิน จะต้องประหยัด ถึงขนาดนั้น แต่มันเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะ "อัตวิสัย" ในพระองค์เอง คือ ความเป็นผู้ประหยัด เป็นผู้มักน้อย เป็นผู้สันโดษ ที่พระองค์ ทรงเป็นเอง เช่นนั้นเอง (ตถตา)

ในสังคมที่มีความหลากหลาย แตกต่าง เป็นธรรมดาที่ภูมิปัญญา ภูมิจิต ภูมิธรรมไม่เท่ากัน ผู้ผิวเผิน ก็ย่อมสำคัญ แต่สิ่งตื้นเขิน ผู้ลึกซึ้ง ย่อมเห็นส่วนดี ที่ลึกซึ้งกว่า ละเอียดประณีตกว่าได้

ลักษณะธรรมของพระพุทธเจ้า ที่พ่อท่านฯ นำมายกอ้าง อธิบายบ่อยๆ คัมภีรา (ลึกซึ้ง) ทุททสา (เห็นได้ยาก) ทุรนุโพธา (รู้ตามได้ยาก) สันตา (สงบ) ปณีตา (ประณีต) อตักกาวจรา (จะคาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียด) ปัณฑิตเวทนียา (รู้ได้เฉพาะบัณฑิต) 

"มังสวิรัติ" พ่อท่านฯเห็นเป็นความลึกซึ้งของศีลข้อ ๑ แต่ถูกสงฆ์กระแสหลักเสียดสีว่าเป็น "เทวทัต" เพราะเป็น วัตรปฏิบัติ ของพระเทวทัต ทั้งๆที่เป็นวัตรปฏิบัติที่ดี ที่ภิกษุส่วนใหญ่ทั้งหลาย ในศาสนาพุทธยุคนั้น แม้แต่ นักบวช ในศาสนาต่างๆ ล้วนรับประทาน มังสวิรัติกันทั้งนั้น อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นอะไร ที่จะต้องไปออกกฎ ขึ้นบังคับ  และที่จริง มังสวิรัติ เป็นวัตรปฏิบัติ ของปราชญ์ ของศาสนาแท้ๆ ที่รู้กันดีอยู่ ถ้วนทั่ว พระเทวทัต เสนอให้ พระพุทธเจ้า บังคับใช้... ภิกษุทุกรูป พึงปฏิบัตินั้น ก็เพียงทำเคร่งข่มพระพุทธเจ้า เท่านั้น เพื่อหาเสียง ให้แก่ตน

แต่พระพุทธเจ้าให้อิสระไม่บังคับ เพราะในยุคนั้นคนยังไม่ถูกครอบงำมอมเมาหนักเหมือนยุคนี้ ผู้มีภูมิธรรม ละเอียด ลึกซึ้ง ย่อมเลือกปฏิบัติ กันเองอยู่แล้ว แม้ผู้ยังไม่กินมังสวิรัติเขาก็มีปัญญารู้ดี และยอมรับอยู่แล้วว่า เขายัง ทำไม่ได้ เพราะเขายัง ไม่เจริญพอ ผู้ประเสริฐต้องกินมังสวิรัติ เขารู้ดี แต่เขายังมีกิเลส เขาก็ต้องพากเพียร เพื่อทำให้ได้ ต่อไป เขามีปัญญาพอที่จะ ไม่เห็นแย้งเลย ในเรื่องนี้ ส่วนผู้ไม่มีปัญญาพอ ก็แน่นอน ก็ต้องปล่อยเขาไป ตามทิฏฐิ ของเขา 

"สัมมาสมาธิ" พ่อท่านฯเห็นความลึกซึ้งของมหาจัตตารีสกสูตร พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒-๒๘๑ ที่ยืนยันชัดว่า "สัมมาสมาธิ" ของพระพุทธเจ้าเกิดจากการปฏิบัติ มรรคทั้ง ๗ องค์ แล้วสั่งสมผลเป็น"สัมมาสมาธิ" (มรรคองค์ที่ ๘) ไม่ใช่แค่ ปฏิบัต ินั่งหลับตา บริกรรมภาวนา ซึ่งสงฆ์กระแสหลักสอนและเชื่อกันมานานว่านี่คือการปฏิบัติ "สัมมาสมาธิ" ของศาสนาพุทธ ซึ่งที่จริงไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงการปฏิบัติ"สมาธิ" แบบสากลทั่วไป ยังไม่ใช่ "สัมมาสมาธิ" ของพระพุทธเจ้า

พ่อท่านฯนำ "มหาจัตตารีสกสูตร" มายืนยันอย่างชัดเจน ว่า อย่าหลงผิด"สมาธิ" ทั่วไป หรือ ที่นักบวชฤๅษีดาบส ทั้งหลาย ปฏิบัติกันนั้น ว่าเป็น"สัมมาสมาธิ" ของพุทธ "สมาธิ" ทั่วไปนั้นเป็นเพียง การสะกดจิตตนเอง โดยอาศัย กสิณต่างๆ จิตสงบ ได้ชั่วคราว ไม่ถาวร ได้เฉพาะตอนนั่งหลับตา แม้จะทำ ให้จิตสงบ ได้แข็งแรงโดยปริยายบ้าง แต่ไม่ได้ ละล้างกิเลส ออกจากจิตจริง ตามแบบ "สัมมาสมาธิ" ของพุทธ "สมาธิ" ทั่วไป ยังไม่ใช่การปฏิบัติ "มรรค อันมีองค์ ๘" ของพระพุทธเจ้า

หลักธรรมต่างๆของพระพุทธเจ้า พ่อท่านฯนำมาอธิบายสอดคล้องกับวิถีชีวิตจริงของทุกอาชีพ ไม่ใช่แค่พูดตามตำรา พระ ไตรปิฎก แต่มีรูปธรรมปฏิบัติกันได้จริงเป็น หมู่บ้าน เป็นชุมชน ไม่ใช่แค่งานกสิกรรม มีโรงเรียน มีร้านอาหาร มีร้านค้า มีบริษัท มีโรงพิมพ์ ฯลฯ ล้วนมีพฤติกรรมที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นผู้มีธรรม มักน้อย สันโดษ ขยัน ลดละ เสียสละ วรรณะ ๙

แม้การไปร่วมช่วยงานชุมนุมกับพันธมิตรฯ ก็ยังคงปฏิบัติธรรมร่วมไปกับ การทำงาน งานบริการทุกด้าน ในการกิน อยู่ หลับ นอน พฤติกรรมของ ชาวกองทัพธรรม ก็เห็นได้ว่า มักน้อย สันโดษ และชักนำให้ผู้อื่น สันติ อหิงสา เมื่อต้อง เคลื่อน มวลชนเข้า ประจันหน้า กับตำรวจ การ์ดของกองทัพธรรมแสดงออกให้เห็นได้ว่าสันติ อหิงสา (ทั้งๆที่ ส่วนใหญ่ ไม่ใช่ญาติธรรม ชาวอโศก)

หลังยุติการชุมนุม ตึกสันติไมตรี และตึกไทยคู่ฟ้า ซึ่งอยู่ในความดูแลของ การ์ดกองทัพธรรม เสียหายเล็กน้อย ต่างจาก ตึกอื่น ที่การ์ดคณะอื่น ดูแล ได้รับความเสียหายมาก

แม้ภาพลบของการ์ดพันธมิตรฯจะถูกรายงานออกมาเป็นข่าวบ้าง แต่ผู้รู้ย่อมเข้าใจได้ว่า นี่เป็นผลข้างเคียงจากเหตุ คือ ทุนนิยมสามานย์ และนักการเมืองโสมม จัดตั้งกองกำลังสีแดง โดยมีสีกากี และสีเขียวบางส่วน ให้ความร่วมมือ ในการทำร้าย พันธมิตรฯ มาตลอด

ศาสนากับการเมือง มีการกล่าวอธิบายกัน หลายนัย ส่วนใหญ่ กล่าวเป็นหลักการกว้างๆ และมุ่งไปที่ นักการเมือง ควรจะนำไปปฏิบัติ

พ่อท่านฯ ก็เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่อธิบายศาสนากับการเมือง แต่มีนัยะเชื่อมโยงสัมพันธ์ กัน การเมือง ก็ต้องมุ่งไปสู่ การลดละ กิเลส และ ช่วยเหลือผู้อื่น เช่นเดียวกับศาสนา ที่นับว่าใหม่มากก็คือ ผู้อาสาทำงานการเมือง ควรมี คุณธรรม ตั้งแต่ สกิทาคามีขึ้นไป ยิ่งผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ควรมีอนาคามีคุณขึ้นไป

ผู้มีปัญญามีศรัทธา จะเห็นเป็นความลุ่มลึก ผู้ไม่มีศรัทธา จะเห็นเป็นเพ้อฝัน ผิดเพี้ยน

การร่วมช่วยงานชุมนุม กับพันธมิตรฯ ก็เป็นการเชื่อมโยง ศาสนากับการเมือง มาสู่ การปฏิบัติจริง ปนเปื้อนกับ ความพยายาม แก้ปัญหา ที่ผู้อื่นก่อ ไม่ใช่แค่หลักการเลิศลอย วาทะตรรกะ เลิศหรู บริสุทธิ์เพริศพริ้งอยู่ใน อาศรม

คุณโสภณ สุภาพงษ์ กล่าวอย่างเข้าใจ และเคารพว่า พ่อท่านฯไม่ติดในสมมุติ

๑๙๓ วัน ของการชุมนุม สรรพวิธี ที่จะกดดัน ให้ทั้งผู้มีอำนาจ และสังคม เกิดสำนึก ร่วมกันในการแก้ปัญหาของชาติ การบุก ทำเนียบฯ และ สนามบิน ถือเป็นที่สุดของการต่อสู้ ภาคประชาชนแล้ว ขณะที่รัฐบาล ไร้สำนึกดีละอายชั่ว แม้น้อย กลับอำมหิต โหดเหี้ยม เป็นใจกับ สมุนบริวาร ที่ใช้อาวุธสงคราม เข่นฆ่าประชาชน อย่างเลือดเย็น

พ่อท่านฯ นำเอาหลักอธิกรณสมถะ ๗ มาอธิบาย สอดคล้องกับ สถานการณ์บ้านเมือง ได้อย่างน่าสนใจ พร้อมกับ ชี้ทางออก อยู่ที่ ประชาภิวัตน์ และตุลาการภิวัตน์ แต่น่าเสียดาย ที่ประชาชน ส่วนใหญ่ ยังนิ่งดูดาย อาจกล่าวได้ว่า สังคมเลว ไม่ใช่แค่ คนดีท้อแท้ เท่านั้น แต่เพราะคนกลางกลวง และกลางลวง มีมากเกินไปด้วย

สงคราม เหลือง-แดง ที่ยังไม่เสร็จสิ้น เด็ดขาด ทุนนิยมสามานย์ และนักการเมืองโสมม ยังพยายาม ทุกวิถีทาง ที่จะกลับมา มีอำนาจ กองกำลังสีแดง ยังคงถูกปลุกเร้า กระพือโหม วิทยุชุมชนของนักการเมืองโสมม ทั้งอุดรฯ อุบลฯ เชียงใหม่ เชียงราย ฯลฯ ยังคงปลุกเร้า ความแค้น และความเกลียดชัง ทุกวัน

การเผากุฏิ และเอาเอ็ม ๑๖ กราดยิง ที่ชุมชน ดอยรายปลายฟ้า (๘ ธ.ค.)

การคุกคามข่มขู่ จะเผา จะทำร้าย หมู่บ้านศีรษะอโศก โดยสมุนนักการเมืองโสมม แกล้งหาเรื่อง จะใช้ที่ป่าช้า สร้างสนามกีฬา แม้ทางศีรษะอโศก จะเสนอ ยกที่อื่น ที่ว่างโล่ง ไม่มีป่าไม้ แลกให้ใช้สร้างสนามกีฬาแทน แต่ คนพาล ก็ยังแสดง ความเป็นพาล ดึงดัน จะสร้างในที่ป่าช้า เมื่อศีรษะอโศก ยอมถอยให้ จะตัดต้นไม้ จะสร้างอะไร ก็ให้อยู่ใน การพิจารณา ของจังหวัด วัดใจผู้ใหญ่ ของจังหวัด ด้วยว่า จะเห็นอย่างไร (๑๐ ธ.ค.)

เดือนที่แล้ว กองกำลังสีแดง บุกไปที่ร้านอุทยานบุญนิยม ขว้างปาอุจจาระ และของเสียของสัตว์ ชกหน้า คุณถึงดิน และ เผาทำลาย รูปภาพของพ่อท่านฯ

เมื่อคนชั่วพร้อมทำชั่วได้ทุกวินาที คนดีควรรวมตัวกันสร้างรังสีแห่งธรรม เอาชนะ ความเลวร้าย ด้วยความดี

เฮ้อ...ปฏิบัติธรรมในยุคที่สิ่งยั่วกิเลสกามก็มาก คนบาปก็เยอะ คงต้องเหนื่อยหนักอีกโข กว่าจะถึงยุคที่ บุญนิยม อุดมสมบูรณ์ ในอีก ๕๐๐ ปีข้างหน้าโน้น อาจจะต้องโชกเลือดกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้

อุปสรรคสร้างคน ทำให้เราแข็งแกร่ง
อุปสรรค ทำให้เรามีประสบการณ์ชีวิตอันล้ำค่า
และอุปสรรคนี้แหละ จะพาเราก้าวสู่ความสำเร็จ

สมณะ โพธิรักษ์ (๙ ธ.ค.๕๑)

รักษ์ราม
๑๔ ต.ค. ๒๕๕๒

สารอโศก อันดับ๓๑๔ มิ.ย. - ส.ค. ๒๕๕๒ หน้า ๔๕-๗๒