งานสาราณียกุศล
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สู่ปัจฉิมวัย (อย่านึกว่าแก่นะ)

เช้าวันอาทิตย์ที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ชุมชนบุญนิยมสันติอโศก ดูแคบลงไปถนัดตา เมื่อบรรดาสื่อมวลชน และผู้คนที่รักเคารพ ศรัทธา ชื่นชอบ และรู้จัก พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ต่างเดินทางมาร่วมงาน "สาราณียกุศล พลตรีจำลอง ศรีเมือง สู่..ปัจฉิมวัย (อย่านึกว่าแก่นะ)" อย่างคับคั่ง ญาติธรรมและพันธมิตรฯ เปิดโรงบุญมังสวิรัติ เลี้ยงอาหารฟรี แก่ผู้มาร่วมงานกันอย่างเต็มที่ อาหารหลากหลายเมนู รอให้บริการอยู่บริเวณลานทราย หน้าน้ำตก สามารถนั่งรับประทานอาหารได้ ทั้งบริเวณลานหินนั่ง และรอบๆ น้ำตก บรรยากาศเป็นธรรมชาติ อบอุ่นเป็นกันเอง ด้านข้างศาลาฟังธรรม มีซุ้มเย็บกระทงใบตอง เพื่อระลึกถึง ครั้งที่ พลตรีจำลอง ช่วยคุณแม่เย็บกระทงในวัยเด็ก จนมีฝีมือเย็บกระทงที่หาตัวจับยาก บริเวณศาลาฟังธรรม มีรายการบนเวทีมากมาย ถ่ายทอดสดตลอดงานผ่าน FMTV ทุกบรรยากาศ คือการรายงานความจริง

บริเวณใต้โบสถ์ มีนิทรรศการประวัติ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และโต๊ะกองอำนวยการ คอยบริการให้ทุกท่านที่มาร่วมงาน เขียนใบสาราณียกุศล แด่ฅนของแผ่นดิน เนื่องในวาระครบรอบวันเกิด ๗๕ ปี วันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓ ก้าวสู่ปัจฉิมวัยของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง โดยทุกท่านสามารถถ่ายทอดความรู้สึก ที่มีต่อพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ผ่านใบสาราณียกุศล เพื่อรวบรวมทำเป็นหนังสือ และจะได้รับของที่ระลึก ในการมาร่วมงานด้วย

ก่อน ๙ นาฬิกา บริเวณศาลาฟังธรรม คราคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ผิดจากวันอาทิตย์ก่อนๆ ที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้จัดขึ้นเป็นพิเศษ เพื่อระลึกถึง คุณงามความดีของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่ได้ทำคุณูปการ นานัปการ ให้ประเทศชาติ

หลังจากให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนแล้ว พล.ต.จำลองได้เข้าร่วมรายการวิถีอาริยะธรรม ในเวลา ๙.๐๐ น. ซึ่งวันนี้เป็นรายการปุจฉาวิปัสสนา ในหัวข้อ "สาราณียกุศล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สู่ปัจฉิมวัย (อย่านึกว่า แก่นะ)" ผู้ร่วมรายการประกอบด้วย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ (ท่านจันทร์) อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ดำเนินรายการโดย คุณอัญชะลี ไพรีรัก

อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ได้มอบของขวัญให้พล.ต.จำลอง ก่อนเริ่มรายการ พ่อท่านนำสวดมนต์ไหว้พระ เสร็จแล้วท่านจันทร์ได้กล่าวถึง ผู้ที่เกิดในวันที่ ๕ ก.ค.เช่นเดียวกับพล.ต.จำลอง แต่ต่างพ.ศ. เช่น พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), จอร์ช ดับเบิ้ลยู บุช, คุณปวีณา หงสกุล ส่วนผู้เกิดในวันและปีเดียวกัน คือคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา สำหรับองค์ทะไล ลามะ แห่งทิเบต ก็ประสูติในวันและปีเดียวกับ พล.ต.จำลอง เช่นกัน มีผู้กล่าวว่า ผู้ที่เกิดในวันนี้ จะมีบุคคลิกที่เหมือนกัน คือ ถ้าจะทำอะไรแล้ว ใครขวางไม่ได้เลย รายการเริ่มขึ้น เมื่อคุณอัญชะลี ส่งไมค์ให้อาจารย์ ส. ซึ่งอยู่ในวัย ๗๗ ปี กล่าวเป็นท่านแรกว่า

"คุณจำลองมีความเป็นเลิศ มีความเรียบร้อย อ่อนน้อมถ่อมตัว เสียสละเพื่อบ้านเพื่อเมืองมาโดยตลอด เมืองไทยไม่ได้ยกย่อง คนดี ที่มีความสามารถ แต่กลับยกย่องคนกึ่งดิบกึ่งดี"

คุณอัญชะลีได้กราบเรียนถามพ่อท่าน เกี่ยวกับพล.ต.จำลอง แต่พ่อท่านกลับให้พล.ต.จำลอง เล่าเองว่า มาคบคุ้นกับสันติอโศก ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ แล้วมีคนว่า พล.ต.จำลอง เป็นคนฉลาด เรียนเก่ง เป็นผู้นำ แต่ทำไมโง่ ไปรับสันติอโศก ทำไมไม่ขยับออกไปซะที

พล.ต.จำลองได้ไขข้อข้องใจว่า มาปฏิบัติธรรมที่สันติอโศก เพราะคุณศิริลักษณ์ได้ข่าวว่า พ่อท่านอยู่ที่สันติอโศก น่าสนใจมาก เพราะท่านบวชเพื่อตัดกิเลส ออกมาบวช (ปี ๒๕๑๓) ในขณะที่เป็นพิธีกรรายการต่างๆ ทางโทรทัศน์ช่อง ๔ บางขุนพรหม มีรายได้เดือนละสองหมื่น ในขณะที่นายกรัฐมนตรี เงินเดือนแปดพันห้า และหนังโทน ซึ่งท่านเป็นผู้แต่งเพลงประกอบ ทำเงินล้าน กำลังดัง ก็เลยมา และ พล.ต.จำลองได้เห็นทุกข์ จากการหอบหวงทรัพย์สมบัติ ยิ่งมีมากยิ่งทุกข์มาก ต่างจากพระที่สันติอโศก ที่มีบาตรเพียงใบเดียว กลับมีความสุขมากกว่า เมื่อมาวัด บ่อยๆ ก็เกิดปัญญา เมื่อปฏิบัติลดละก็เกิดความจริง และพบความสุข ที่ยิ่งกว่ามีเงินทองมากมาย จากคนขี้เหนียว ชนิดที่เผลอให้เงินใครไปยี่สิบบาท เสียดายอยู่สองอาทิตย์ มาเป็นคนที่หัดให้ หัดเสียสละ จนทุกวันนี้ ไม่มีบ้าน-ที่ดินเป็นของตนเอง มีเพียงรถเก่าๆ ๑ คัน เพราะได้ ความคิด ย้ำยืนยันจากที่นี่ และพระที่นี่ฉันมังสวิรัติ ซึ่ง พล.ต.จำลอง ก็รับประทานมังสวิรัติเหมือนกัน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗

พล.ต.จำลองได้ตอบคำถามคุณอัญชะลีต่อว่า "เวลาออกไปข้างนอก เมื่อได้ฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวกับสันติอโศก ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ ไม่เสียใจ กลับดีใจ ว่าได้ทำตามมาหลายปี สามารถลดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ทำประโยชน์ให้สังคมได้มากมาย และกำลังพยายามทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะเชื่อเรื่องตายแล้วเกิด"

พ่อท่านได้ตอบคำถามคุณอัญชะลี ถึงความรู้สึกที่เห็นพล.ต.จำลอง เข้ามาในสันติอโศก

ตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ ว่า "อาตมามองอย่างศึกษา วันเดือนปีก็บอกความจริงมาเรื่อยๆ ว่าคุณจำลองเกิดปัญญา ได้ความจริง แล้วจะจากที่นี่ไปทำไม จากที่เคยหลงเงินหลงทอง ก็สละออก เบาสบาย ที่คุณจำลองเล่ามา ก็เป็นคำตอบที่เกิดความจริง ทำให้อาตมามั่นใจในศาสนาพุทธ ที่นำพา ได้เรียนรู้กัน ประพฤติกันอย่างนี้ เป็นไปได้จริง ยุคนี้ก็พิสูจน์ได้ผลจริง ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งขั้นปรมัตถ์ ศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่รู้ตามได้ยาก เห็นตามได้ยาก คุณจำลอง ก็เป็นคนมีปัญญาคนหนึ่ง ที่มีธัมมจักษุ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาอิสรเสรีภาพ ไม่บังคับ ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้คนมานับถือ มาเป็นบริวาร เพื่อแลกลาภยศ หรือเพื่อล้มล้างคนอื่น หรือให้เขาเห็นว่า เราเก่งเราวิเศษ แต่พูดให้จริงให้ตรง แล้วให้คนใช้ปัญญาตัดสินเอา ไม่ไปประเล้าประโลม หรือหลอกล่อมาเป็นบริวาร ซึ่งอาตมาเคยใช้ศัพท์ ที่คนหาว่า พูดแรง คือ อาตมาทำงานนี้ ต้องการคนที่มีปัญญา ไม่ได้ทำงานให้ได้หมู่ควายมาเยอะๆ แล้วดีใจ คุณจำลองก็เป็นคนหนึ่ง ที่เห็นต่างจากควาย"

ท่านจันทร์ได้กล่าวว่า "วันลอยกระทงปี ๒๕๒๒ คุณจำลองตั้งใจถือศีล ๘ จนถึงปัจจุบันนี้ คุณศิริลักษณ์ เป็นอรธางคิณี แปลว่า เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิต ของคุณจำลอง ที่คุณจำลองทำการงาน เสียสละได้อย่างมากมาย เพราะมีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาเสมอกัน ข้อสำคัญคือคุณจำลองไม่มีลูก จิตของมนุษย์เปลี่ยนได้ จากที่เป็นคนตระหนี่หวงแหน กลับมาเป็นคนเสียสละแจกจ่าย จนตัวเองไม่มีแม้กระทั่งบ้านและที่ดิน"

พล.ต.จำลองได้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงตัวเอง หลังจากมาปฏิบัติธรรมต่อว่า เป็น ส.ว.แต่งตั้ง เมื่อปี ๒๕๒๐ ใช้สิทธิ์ของ ส.ว. เดินทางโดยเครื่องบินฟรี เมื่อมาปฏิบัติธรรมกับอโศก ก็นึกถึงคำสอนของแม่ว่า "ฝึกอย่างไรได้อย่างนั้น" ฝึกให้ก็ให้ได้ ฝึกเสียสละก็เสียสละได้ พอเป็น ส.ส. เป็นรองนายกฯ เป็น สนช. ก็ไม่ใช้สิทธิ์ขึ้นเครื่องบินฟรีอีกเลย หากไม่รีบด่วน ก็จะเลือกเดินทางถูกที่สุด เช่น รถไฟชั้น ๓ ถ้ารีบด่วน ก็เดินทางโดยเครื่องบิน โดยใช้เงินส่วนตัว

จากคนขี้เหนียวก็ฝึกให้ไปเรื่อยๆ พอหัดให้จนชิน ก็มอบรถเก๋งที่รักมาก ให้กองอำนวยการงานกาชาด สวนอัมพร เอาไปประกวดราคา ได้เงินมาก็มอบให้กาชาดหมด

มีคนให้รถโรลสลอยซ์มือสอง เอาไปขายได้เงินสองล้านห้า ก็คืนเงินให้เขาไปหมด มาปฏิบัติธรรม นอกจากไม่โกงแล้ว ถ้าไม่ควรจะรับ ก็ไม่รับ แม้แต่ข้าว มื้อที่สองที่สาม ยังไม่กินเลย แล้วจะไปโกงทำไม

อาจารย์ ส.ศิวรักษ์ ได้ตอบคำถามคุณอัญชะลี ถึงภาพที่น่าสนใจที่สุด ที่มองเห็นพล.ต.จำลองว่า "เวลามีเรื่องทุกข์ร้อน คุณจำลองจะช่วยตลอดเวลา เป็นคนปิดทองหลังพระ สู้ตลอด ไม่ยอมถอย กล้าตัดสินใจ กล้าทำ ในสิ่งที่คนอื่นไม่กล้า บางเรื่อง ที่ทำไม่สำเร็จ มาขอคุณจำลองช่วย สำเร็จ"

ท่านจันทร์ได้อ่านข้อความจากอินเทอร์เน็ต ที่ส่งมาว่า "กทม. เคยติดอันดับสกปรก กลายเป็นเมืองที่สะอาด และนักท่องเที่ยว อยากมาเที่ยว ติดอันดับโลก นั่นเพราะว่า พล.ต.จำลอง เห็นคุณค่าของคนกวาดถนน เอาเสื้อสีสะท้อนแสงไปแจก ทำประกันภัย และพาไปอบรมคุณภาพชีวิต จนชีวิตของเขาดีขึ้น ส่วนการอบรมคุณภาพชีวิต ก็พัฒนาไปเป็นโรงเรียนผู้นำ (สถาบันฝึกอบรมผู้นำในปัจจุบัน) สร้างผู้น ในสังคมไทย ซึ่งกำลังขาดแคลนมาก เพิ่มขึ้นมากมาย อย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้

เรื่องการเมืองใหม่ พล.ต.จำลองทำมาก่อนแล้วคือพรรคพลังธรรม ไม่มีการซื้อเสียง ประชาชนมีส่วนร่วม ช่วยกันอย่างแท้จริง ช่วยกันบริจาคเงินสร้างพรรค แม้ทำไม่ได้ต่อเนื่อง เพราะสังคมไทยยังไม่พร้อม แต่ก็ให้บทเรียน สังคมไทยได้ต่อยอดต่อไป

คุณความดีของพล.ต.จำลองมีอีกมากมาย สมควรที่สังคมไทย ควรเห็นคุณค่าให้มากกว่านี้ เพื่อเป็นแบบอย่าง ให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ เพื่อพัฒนาสังคมไทย เพื่อคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม อย่างแท้จริง"

พ่อท่านได้กล่าวสุดท้ายว่า "คุณจำลองมาสันติอโศก ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๒๒ ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย ทำอะไรออกไป เขาจะแปะชื่อ คุณจำลองอยู่กับสันติอโศก คุณจำลองเป็นที่ยอมรับนับถือ ในประเทศไทยมิใช่น้อย สันติอโศกก็ได้อาศัยคุณจำลอง นำพาสันติอโศก ก้าวไปได้บ้าง ก็เป็นพระคุณอย่างมาก ในเรื่องนี้ แต่ที่อาตมาซาบซึ้งก็คือ สิ่งที่เป็นสัจธรรมในตัวคุณจำลอง เป็นความดีงามที่มีคุณค่าอันประเสริฐ ที่ต้องเคารพนับถือ ขอบคุณ ที่คุณจำลองกรุยทางมา จนถึงวันนี้ คุณจำลองช่วยได้มากจริงๆ โดยไม่รู้ตัวหรอกว่าช่วย"

พ่อท่านได้มอบหยาดน้ำใจทองคำ ให้แก่พล.ต.จำลอง ซึ่งนับเป็นคนที่สองที่ได้รับ คนแรกคือ คุณป้าส้มจีน พรหมพิทักษ์ ซึ่งเป็นโยมป้า ที่เลี้ยงพ่อท่านมาตั้งแต่เล็กๆ

คุณอัญชะลีจบรายการลง ด้วยประโยคที่ว่า "สังคมไทยโชคดีที่มีสันติอโศก แล้วสันติอโศกมีสถานภาพที่ดีขึ้น ต้องยอมรับว่า เมื่อมีพล.ต.จำลอง ที่เป็นเหมือนผู้ที่นำใบเบิกทาง เอาไปบอก เอาไปพูดข้างนอกว่า สันติอโศกเป็นอย่างไร สันติอโศกและพล.ต.จำลอง ต่างดีซึ่งกันและกัน

แต่ที่สำคัญก็คือว่า ประเทศไทยโชคดีที่มีสันติอโศก และพล.ต.จำลอง ไปเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรฯ นั่นเป็นความมีโชคอันมหาศาล ของประเทศไทย ไม่มีกองทัพธรรมของสันติอโศก ไม่มีญาติธรรม ในนามนักรบกองทัพธรรมของสันติอโศก ไม่มีแม่ทัพอย่างพล.ต.จำลอง ไม่มีขวัญกำลังใจ อย่างพ่อท่านโพธิรักษ์ ไม่มีความอบอุ่นใจจากสมณะต่างๆ ที่มาร่วมรวมกับเราทุกๆเช้า คิดว่าเราคงไม่ผ่าน ๑๙๓ วันมาด้วยดี ไม่มีญาติธรรมที่ทำหน้าที่เหมือนมดงาน ในกองทัพประชาชนในพันธมิตรฯ พันธมิตรฯไม่สามารถเดินทางมาด้วยดี จนตลอดจนครบ ๑๙๓ วัน ต้องกราบขอบพระคุณสันติอโศก พล.ต.จำลอง และกราบขอบพระคุณ ญาติธรรม"

หลังจากนั้นเรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์ เป็นตัวแทนของนักปฏิบัติธรรมชาวอโศก และกองทัพธรรม ขึ้นกล่าวระลึก ถึงคุณงามความดีของพล.ต.จำลอง ที่ได้ทำมาจนเป็นแบบอย่าง ที่หาได้ยากในสังคมไทย ที่ประชุมชุมชนฯ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ ให้จัดงานนี้ขึ้น ในวาระที่ท่านมีอายุครบ ๗๕ ปี ซึ่งท่านไม่ทราบ แต่เมื่อมีมติออกไปแล้ว ท่านก็เต็มใจมา ท่านประกาศตลอดเวลาว่า ไม่จัดงานวันเกิด วันนี้ก็ไม่ได้จัดงานวันเกิดให้ท่าน แต่เป็นงานที่แสดงมุทิตาจิต แสดงความกตัญญู อยากจะบอกท่านว่า สิ่งที่ท่านทำ ไม่สูญเปล่าเลย เป็นต้นแบบของผู้มีบุญคุณ ต่อสังคม ศาสนา และแผ่นดิน ที่งดงาม ให้แก่ลูกหลานในสังคมไทย อยู่ตลอดเวลา ที่หาได้ยากยิ่งในปัจจุบัน

หลังจากนั้น เป็นการรำอวยพร โดย นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก เสร็จแล้ว คุณหมี ยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที, พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ, คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ได้ขึ้นพูดถึงคุณงามความดีที่ พล.ต.จำลองได้ทำมา มีการแสดงดนตรีไทย พร้อมรำไทยเพลงขวัญ ของผู้ปกครอง และนักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก สลับกับ การแสดงดนตรีจาก วงคีตาญชลี

หลังจากนั้น ผู้ที่เคยทำงานใกล้ชิดกับ พล.ต.จำลอง ในตำแหน่งต่างๆ เช่น เลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, เลขานุการรองผู้ว่าฯ ฝ่ายการศึกษา ดูแลเรื่องการอบรมคุณภาพชีวิต, รองเลขาธิการพรรคพลังธรรม สมัยพล.ต.จำลองเป็นหัวหน้าพรรค, เลขานุการกองทัพธรรมมูลนิธิ, นายทหารคนสนิท และผู้ติดตาม ได้ขึ้นพูดถึงความรู้สึกและประโยชน์ ที่ได้จากการทำงานกับท่าน ประกอบด้วย คุณภาณุ พิทักษ์เผ่า, เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์, คุณธำรงค์ แสงสุริยจันทร์, คุณสงกรานต์ ภาคโชคดี, คุณขวัญดิน สิงห์คำ และคุณกลาง ดำเนินรายการโดย คุณแห่งไท กมลรัตน์ ซึ่งแต่ละท่าน ได้พูดถึงความเป็นคนตรง สมถะ มักน้อย สันโดษ เปิดเผย มีน้ำใจ สะอาด ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ เสียสละ ให้โอกาส กตัญญู และอื่นๆ ที่ได้สัมผัส ต่างเกิดความประทับใจ และเป็นแรงบันดาลใจ ให้แต่ละคนแต่ละท่าน กลับไปทำงานรับใช้สังคม โดยตลอดรายการ พล.ต.จำลอง ได้ขึ้นมาพูดเสริมเป็นระยะๆ ถึงที่มาที่ไป ในรายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ แต่ละช่วง ที่ผู้ร่วมรายการได้กล่าวถึงตัวอย่าง ความประทับใจ ที่ผู้ร่วมรายการกล่าวถึง พล.ต.จำลอง เช่น

- ตื่นแต่เช้า นำข้าวสารอาหารแห้ง ไปมอบให้กับพนักงานกวาดถนน ก่อนไปทำงานทุกวัน จนคนในครอบครัวของพนักงาน ซาบซึ้ง ออกมาช่วยกวาดกัน ทั้งครอบครัว

- เมื่อได้รับแจ้งว่า มีโรงงานปล่อยควันพิษ จนทำให้เด็กนักเรียนเป็นลม คุณลุงก็สั่งปิดโรงงานทันที และรีบรุดไปเยี่ยมเด็กนักเรียนที่โรงพยาบาล

- เขตใดมีขยะให้เห็นตามท้องถนน ก็ให้เลขาฯ ประสานไปยังผู้อำนวยการเขต จัดการให้ทำความสะอาดทันที

- รู้ว่าที่ปรึกษาผู้ว่าฯ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่าน รับของขวัญ เพราะตำแหน่งหน้าที่ ก็ให้เขียนใบลาออกทันที

- โดยตำแหน่งผู้ว่าฯ สามารถได้รับเงินปากถุง จากเงินฝากของกทม. หลายร้อยล้าน แต่กลับนำเงินเหล่านั้น มาทำประโยชน์ให้กทม. และตลอดระยะเวลา ๖ ปี เงินเดือนของท่าน ได้โอนเข้ามูลนิธิ กรุงเทพมหานคร เอาไปทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม ไม่เคยนำมาใช้จ่ายส่วนตัวเลย

- พอคนรู้ว่า ผู้ว่าฯหาเสื้อสะท้อนแสง ให้คนกวาดถนน เขาก็พร้อมที่จะมาลงขัน ช่วยด้วยกับผู้ว่าฯ ก็จะเป็นการร่วมมือของคนกรุงเทพฯ

- ตอนที่ท่านคัดค้าน เรื่องน้ำเมาเข้าตลาดหลักทรัพย์ พ่อค้าใหญ่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ก็โอนเงินไปเข้าบัญชีมูลนิธิฯให้ เพราะรู้ว่า ให้ส่วนตัวท่านก็ไม่เอา ท่านเรียกประชุมกรรมการทันที ไม่ยอมรับ เอาเงินคืนไป

- ท่านใช้รถตู้สีน้ำตาล เป็นรถเก่า เปลี่ยนเครื่องแล้ว เวลาฝนตกต้องกางร่มในรถ เพราะมันรั่ว หากต้องไปไกลๆ ก็ไปเปลี่ยนล้อ เปลี่ยนยาง แอร์ก็ไม่เย็น มีคนบอกซื้อให้ ท่านก็ไม่เอา

- ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ เมื่อก่อนก็ไม่มีใครอยากโทร.ไปบอก เพราะโทร.ไปก็แค่นั้น แต่ปรากฏว่า พอตั้งศูนย์ฯ ทุกคนโทร.มาบอกปัญหาหมด ผู้ว่าฯก็จะรู้ว่า ปัญหาอยู่ตรงไหน ใครโกง ใครคอร์รัปชั่น ใครมีปัญหา ผู้ว่าฯมีหูมีตาทั่วกรุงเทพฯ

- ที่ท่านสามารถยืนหยัดยืนยัน ไม่รับเงินส่วนต่างส่วนเกินเลย เพราะหลังบ้านท่านไม่เปิด แล้วยังใส่กุญแจสองชั้น เรื่องนี้จะต้องยกความดี ไปให้คุณป้าศิริลักษณ์ ภรรยาของท่าน

- ตอนเป็นรองนายกฯ ทำความดีให้แก่ประเทศชาติ โดยไม่คำนึงถึงชีวิตตัวเอง

- เป็นสุภาพบุรุษ ไม่เคยโกรธเพื่อน ที่ท่านเคยช่วยเหลือยามตกยาก แต่กลับมาด่าท่าน

- สมัยก่อนประชุมสภาบ่ายโมงครึ่ง ท่านจะไปถึงก่อนบ่ายโมงครึ่งทุกครั้ง เข้าประชุมสภาก่อนทุกๆคน เข้าไปนั่งรอ ส.ส. บางทีสองชั่วโมง ยังไม่ได้ประชุม

- ไม่ใช้เวลาราชการในการไปเยี่ยมคุณแม่ โดยจะไปเยี่ยมแม่ตอนตีสามกับคนขับรถ แล้วกลับมาตอนตีสี่ เตรียมขึ้นรถไปแจกอาหาร ให้กับพนักงานกวาดถนน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ว่าท่านจะเบี้ยว

- เมื่อมีผู้ถามว่า ทำไมถึงยกกำไรขายปุ๋ยให้เอเอสทีวี หมด พล.ต.จำลองตอบว่า "นึกถึงบุญคุณ และเห็นความดีของเอเอสทีวี แต่หนหลัง เป็นเรื่องที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตอนที่เราชุมนุมเมื่อคราวที่แล้ว หากไม่มีเอเอสทีวี เราชุมนุมไม่ได้

ปัจจุบัน อนาคต เอเอสทีวีจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญที่แล้วมา เขาลงทุนลงแรงเยอะเหลือเกิน เขาเจ๊งเป็นเจ๊ง แล้วเจ๊งจริงๆ เจ๊งมาเยอะแล้ว คุณศิริลักษณ์ จึงแนะนำให้ขายปุ๋ยให้เอเอสทีวี โดยตกลงกันว่า หนึ่ง เอเอสทีวี รับเป็นเจ้าของ ขายปุ๋ยอินทรีย์ตราขวัญดิน (เขามีบริษัทเถ้าแก่อยู่แล้ว ไม่ต้องไปจดทะเบียนใหม่) สองโฆษณา สามรับกำไรร้อยเปอร์เซ็นต์ และที่ปุ๋ยตราขวัญดิน ขายดีเพราะ หนึ่งถูก สองดี สามช่วยเอเอสทีวีอย่างเต็มที่ ใครๆ ก็นึกถึงผลงานของเอเอสทีวี ถึงขนาดต้องขายโน่นขายนี่ ไปเยอะแยะ ไปหมดเลย ก็เลยช่วยกัน"

แล้วงานวันนี้ก็จบลง ด้วยความสมถะ เรียบง่าย แต่ยิ่งใหญ่ ไม่มีการเป่าเทียนตัดเค้กวันเกิด ไม่มีของขวัญมากมาย มีเพียงพวงมาลัยมามอบให้ ด้วยความรักเคารพ

๓๑ ปีที่พล.ต.จำลอง ได้พิสูจน์ธรรมะของพระพุทธองค์ว่า แม้จะผ่านกาลเวลา ล่วงมาถึง ๒๕๕๓ ปี แต่ธรรมะก็ยังเป็นอกาลิโก สามารถพิสูจน์ได้ทุกยุคทุกสมัย เป็นเอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาพิสูจน์ว่า ธรรมะสามารถเปลี่ยนแปลงคนได้ถึงจิตวิญญาณ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่พล.ต.จำลอง ได้บอกเล่า รวมทั้งบุคคลต่างๆ ได้กล่าวถึงท่านในวันนี้ คือคำตอบว่า การปฏิบัติธรรมนั้น สามารถทำงานทางโลก คู่ขนานไปด้วยกันได้ ดุจน้ำบนใบบอน ที่อยู่ด้วยกัน แต่ไม่ติดกัน

กับคติประจำใจที่ว่า "กินน้อย ใช้น้อย ทำงานให้มาก ที่เหลือจุนเจือสังคม" จึงคือคำตอบที่ถึงพร้อม ทั้งประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน

"ชีวิตนี้เป็นของผม ผมขอยืนยันว่า จะซื่อสัตย์และเสียสละตลอดชีวิต ซึ่งได้ปฏิบัติตนเช่นนี้ มานานแล้ว แม้จะมีอะไรมาข่มขู่ กดดัน บีบคั้น ก็ไม่มีวันที่ผมจะยอมสยบ โอนอ่อนผ่อนตามให้กับความไม่ถูกต้อง ถ้ายอมก็เท่ากับ ผมทรยศต่อตัวเอง และสังคมประเทศชาติ

ชีวิตนี้เป็นของผม ผมจะเป็นคนซื่อสัตย์ เสียสละตลอดไป โดยไม่หวั่นไหว ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผม เป็นไรเป็นกัน เพราะผมคือผม จำลอง ศรีเมือง"

ขอคารวะ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นักรบ นักการเมือง นักการศาสนา และนักปฏิบัติธรรม ผู้มีคุณูปการ ที่หาได้ยากยิ่ง ใน พ.ศ. ๒๕๕๓ นี้

...ทึ่งตะลึงที่เขากล้าฟัน ยืนหยัดหยันฝืนสังคมล่มจมนั้นได้ ใจเขาซื่อ ใจยิ่งใหญ่ ฝึกใจอย่างไร ถึงจริงทึ่งจัง ทึ่งจริงๆ...

นาวาบุญนิยม รายงาน


แด่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
จากเด็กน้อยยอดขยันหมั่นศึกษา
เติบโตเป็นทหารกล้าน่าเลื่อมใส
รักหญิงหนึ่งนางเดียวในดวงใจ
รักยิ่งใหญ่ชาติศาสนาสถาบัน
กินน้อยใช้น้อยมีส่วนเหลือ
จุนเจือสังคมมนุษย์สุดสร้างสรรค์
แม้เหนื่อยยากตรากตรำไม่สำคัญ
มุ่งมั่นทำหน้าที่ใช้หนี้แผ่นดิน
เจ็ดสิบห้าปีทองยิ่งผ่องใส
ปฏิบัติใจหนักแน่นดุจแผ่นดิน
ปฏิบัติธรรมล้ำค่าไร้ราคิน
จบสิ้นพันธะชนะอธรรม

อิสรา

(สารอโศก อันดับ ๓๑๗ มีนา-พฤษภาคม ๕๓ หน้า ๑๕-๒๒)