ปฏิบัติธรรมต่างแดน
๓ มิถุนายน ๒๕๕๓
กราบนมัสการพ่อท่านด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ

สืบเนื่องจากวันอโศกรำลึกเวียนมาอีกครั้ง ก็เป็นวาระอันดี ให้ได้มีโอกาส มานั่งรำลึก ถึงชีวิต ของตนเอง อีกครา ตอนนี้ได้ hand in วิทยานิพนธ์ แบบเป็นทางการแล้ว รอแต่ reports จาก examiners และรอวัน dissertation defense ซึ่งคาดว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คงจะมีการ defense จบในเดือน กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ ช่วงหนึ่งปี ที่จากเมืองไทยมาในครั้งนี้ จึงถือว่า เป็นปีแห่ง การเก็บเกี่ยว หาประสบการณ์ ในที่ต่างๆ ไม่ค่อยได้วุ่นวาย เรื่องเรียน เรื่องงานมากเท่าไหร่นัก

ได้มีโอกาสเจอเพื่อนเก่าๆสมัยเรียนด้วยกันตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมเป็นสาวมหา'ลัย ทุกคนก็จะบอก เป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมชิดตะวัน ยิ่งโต ยิ่งสวย ยิ่งโตหน้ายิ่งใส หน้าเหมือนพึ่งจะเป็นวัยรุ่น อายุยี่สิบ บางคน บอกอีกว่า ตาสวยมาก ใสมาก แสดงว่า ชีวิตต้องมีอะไรดีๆ แน่นอน (คนส่วนใหญ่ ก็จะชอบแซว ชอบคิดไปว่า กำลัง in love หัวใจสีชมพู) ฟังแล้ว ก็ได้กลับมา มองหน้าตัวเอง ก็เห็นว่าจริง ดังที่เพื่อนพูด (คาดว่าสายตา คงไม่ได้เฉ ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง) แต่พอถึงคำถามว่า ทำไมถึงดูดีขึ้น ทำไมถึงใส มากมาย ก็เลยได้กลับมาคิด ทบทวน และในที่สุด ก็ได้คำตอบว่า วันๆ ก็ไม่ค่อยมีเรื่องอะไรให้ทุกข์ ให้คิดมาก มันก็เลยคงทำให้ดูผ่อง ดูดีขึ้นกระมัง

สำหรับชีวิตเพื่อนๆ หรือคนอื่นๆ ก็ต้องทุกข์เรื่องหาเงิน เรื่องความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เรื่องสามี เรื่องแฟน เรื่องลูก ฯลฯ... สำหรับตัวหนู มันก็แทบไม่มีเรื่องต้องทุกข์เลย เพราะ หนึ่ง ไม่ได้คิดจะหางาน (เพราะงานมีไว้รออยู่แล้ว อยู่ที่บ้านราชฯ แถมเป็นคนไม่ค่อยเรื่องมาก เกี่ยงงานด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ตกงาน แน่นอน ถ้าไม่มีใครให้ทำงานด้วย ก็ไปล้างหางทั้งวันก็ได้ ของชอบ เพราะฉะนั้น มั่นใจว่า ไม่ตกงานแน่ๆ.. ชาตินี้รับรองว่า ไม่มีเวลาว่าง ให้ต้องทุกข์ ให้ต้องคิดมาก) สอง ไม่ได้คิดจะหาเงิน..... เพื่อนบางคน เนื่องด้วย สนิทกัน ก็เปิดใจเล่าให้ฟังว่า ตอนนี้สุขภาพไม่ดี กลัวหาเงินไม่ได้ ไม่รู้จะอยู่ ต่างประเทศต่อ หรือ กลับเมืองไทยดี แต่ถ้ากลับเมืองไทย ก็คงไม่มีใครมาจ้างได้เดือนละแสนเหมือนอยู่ที่ต่างประเทศ บางคนก็ต้อง หน้าดำ คร่ำเครียด ต้องหางานที่มีชื่อเสียง เกียรติยศให้มากที่สุด (ต้องทำงานที่ The World Bank ให้ได้ ที่อื่นไม่เอา ฯลฯ).... ทุกข์ว่า อยากต้องมี กระเป๋าแพงๆ มีเสื้อผ้า แบรนด์ดังๆใส่... สิบใบ ไม่พอ.... ต้องมีรุ่นใหม่ แบบใหม่เรื่อยไป.. .กลัวว่าตนเอง จะไม่เด่น ไม่เริ่ด เท่าคนอื่น....

สำหรับหนูนั้น ไม่ค่อยทุกข์ ว่าจะไม่มีเงินใช้ เพราะไม่สนใจ อยากมีบ้านหลังใหญ่ (เพราะขี้เกียจ ทำความสะอาด) ไม่สนใจอยากมีรถ (เพราะไม่ชอบขับ และขับไม่เป็นด้วย) ไม่สนใจ มีมือถือรุ่นใหม่ (จริงๆ ในชีวิตนี้ ไม่เคยมีมือถือเป็นของตนเองด้วย เพราะนอกจาก จะขี้เกียจคุยแล้ว ก็ขี้เกียจรักษา) ไม่สนใจกระเป๋า เสื้อผ้าแบรนด์ดัง....สืบเนื่องจาก เรื่องกระเป๋า ก็ต้องขอเล่าค่ะว่า จริงๆ เคยซื้อ ของปลอม ใบละสองสามร้อย จากเมืองไทยไปใช้ มีแต่คนชมค่ะว่าสวยจัง ไม่มีใครบอกว่า เป็นของปลอมเลย จนต้อง บอกเองว่า "อย่างเรา ไม่ใช้หรอกจ้ะ ของแพงขนาดนั้นน่ะ ของปลอม ของจริง มันก็สวยไม่ต่างกันหรอก เราว่า คนจะดูดี ดูไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กระเป๋าใบละแสน หรอกจ้ะที่รัก.. เงินมากมายขนาดนั้น เราอยากเก็บไว้ เอาไปทำบุญกับเด็กๆ ที่ยากจน หรือ เรื่องการศึกษามากกว่า" ... .....สำหรับเสื้อผ้านั้น เวลาอยู่ต่างประเทศ อยู่ในตู้มีหกตัว เท่านั้นค่ะ (ไม่รวม overcoat) ...ตัวละ ไม่เคยเกิน ห้าร้อยบาท แต่ก็แปลกนะคะ ใส่ตัวไหน ก็จะมีแต่คนชม ว่าดูดีดูดี อยากได้บ้าง งงมากเหมือนกันค่ะ.... จริงๆสำหรับหนูนั้น จะใช้เสื้อผ้าเก่าๆ หรือจะใส่ เสื้อผ้าสวยๆ (ตามที่โลก มองว่าสวย) มันก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ หรือสุขต่างกัน มีอะไรให้ใส่ ก็ใส่อันนั้น แล้วแต่สถานการณ์, ความเหมาะสม และ จุดประสงค์ที่ต้องการ......

ผู้หญิงต่อไปก็ทุกข์เรื่องอยากสวย อยากได้เงินมาซื้อของแต่งหน้า มาทำดั้งให้ดูว่าดีขึ้น (ตามที่หลอกกัน) หน้าตา ต้องมี make up ไม่งั้นไม่เดิ้นไม่เริ่ด ส่วนหนูไม่ต้องใช้ ก็สวยเสมอค่ะ นั่นคือ สวยเท่ากันทุกวัน.... เพราะไม่ได้แต่ง สักวัน.... คนก็จะมาชื่นชมว่า หน้าใส... หนูได้ที ก็เลยบอกว่า ไม่ใช้เครื่องสำอาง หน้ามันก็เลยใสจ้า เพราะมันไม่โดนสารเคมี เราว่าเราน่ะ หน้าไม่มีเครื่องสำอาง ดูดีกว่า เราเลย ไม่ใช้จ้ะ...กินมังสวิรัติ กินผักเยอะด้วย หน้ามันเลยผ่อง ไม่ค่อยมีริ้วรอย ... ก็มีคนเห็นดี ทำตามกันอยู่บ้างนะคะ เพื่อนๆ ก็พยายามลด การใช้เครื่องสำอาง ลดการกินเนื้อ ลงบ้าง) ...ส่วนเรื่องที่สาม ที่คนทุกข์ๆกัน ในวัยขนาดนี้ ก็คงหนีไม่พ้น เรื่องคู่ครอง สำหรับตนเอง เนื่องด้วยไม่มีสามี ไม่มีแฟน ไม่มีกิ๊ก ไม่มีคนมาจีบ เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีเรื่องอะไร ให้ต้องไปหึงหวง ไปหน้าหงิก หน้างอใส่แฟน แบบที่ใครๆเป็นกัน เพราะฉะนั้น หน้ามันก็เลย ใสขึ้นใสขึ้น ตามลำดับ เพราะวันๆ ก็อารมณ์ดี ไม่มีเรื่องอะไร ต้องให้คิด ให้ปวดหัว (ส่วนเพื่อน คนอื่นๆ นี่หน้าแก่มาก โดยเฉพาะ พวกที่แต่งงาน เกินสามปีขึ้นไป และมีลูกด้วย สงสัยจะทุกข์ หนักจริงๆ)

จริงๆแล้วเรื่องจะทุกข์ ไม่ทุกข์ มันขึ้นอยู่กับจิตใจของเราจริงๆ ถ้าเป็นสมัยก่อน(สองปีที่แล้ว) หนูก็จะทุกข์มาก ที่ต้องไป present อะไรในเรื่องที่เราไม่ถนัด.... ทุกข์ ตื่นเต้น กลัวจนขาสั่น เสียงสั่น หน้าบูด หน้าเบี้ยวไปหมด แต่ตอนนี้ มันไม่ทุกข์แล้วค่ะ (จริงๆก็ยังหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ถือว่าน้อย ในระดับที่ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์มากนัก) แต่ที่ไม่ทุกข์นั้น ไม่ใช่ว่า เพราะคนหันมา ชื่นชมงานเรา นะคะ (มันก็มีทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ เป็นธรรมดา) แต่ที่ว่าไม่ทุกข์ ก็คงเป็นเพราะว่า เราก็ไม่ได้ไป คาดหวัง อะไรกับมัน ว่าต้องออกมา ดีเลิศ คือก็แค่ทำให้เต็มที่ ตื่นเต้น ก็รู้ว่าตื่นเต้น ยิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ดีที่สุดไป (แต่จริงๆคิดว่า ตอนนี้ ที่มันไม่ค่อย คิดอะไรมาก ก็เนื่องมาจาก ในสมัยก่อน เคยขึ้นไป present หลายครั้ง แล้วออกมาแย่มากๆ หลายๆครั้ง เคยได้ลิ้มลอง รสชาติแห่ง ความหน้าแตก เคยได้ลิ้มลอง รสชาติความรู้สึก จากการที่โดนคน หัวเราะเยาะ ถากถางมาแล้ว คือมันเคยรับรู้ ความรู้สึก ตรงนั้น เพราะฉะนั้น มันก็เลย ไม่ซีเรียสมากแล้วน่ะค่ะ หาก present แล้วจะได้รับ negative feedback อีก เพราะว่า เราเคยได้ผ่านอะไร ที่มันแย่ๆมาแล้ว เพราะฉะนั้น ก็รู้สึกว่า คงไม่มีอะไร แย่ไปกว่านั้นแล้วล่ะ มันก็เลยไม่ตื่นเต้น ไม่ทุกข์น่ะค่ะ คิดว่าขึ้นไป ทำหน้าที่ก็พอ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา....)

จริงๆก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอายุมากขึ้น เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วยหรือไม่ แต่ในปัจจุบัน มันก็ไม่ค่อย จะมีอะไร ให้ทุกข์จริงๆ ไม่ค่อยรู้สึกว่า มีใครมาโกรธ มาเกลียด มาไม่ชอบ (จริงๆ จะมีหรือไม่ ก็ไม่ทราบ แต่มัน ไม่ค่อยรู้สึก หรือจริงๆ ก็คือ ตนเองอาจจะ ไม่ค่อยสนใจ ไม่ได้เก็บเอามา ค้างคาไว้ในใจน่ะค่ะ) แต่ที่รับรู้ก็คือ เราไม่เกลียด ไม่โกรธ ไม่ไม่ชอบใคร ชีวิตมันก็เลยมีความสุข (จริงๆ มันก็ไม่ได้สุขอะไร มากมายนะคะ เรียกว่า มันไม่มีอะไรให้ทุกข์ จะถูกต้องมากกว่า) มีคนเคยกล่าวกับหนูว่า "เธอ ไม่มีอะไร ให้ทุกข์ เพราะเธอมีทุกอย่าง มีพ่อแม่ดูแล มีปริญญาเอก ...." แต่สำหรับหนูเห็นว่า ที่ไม่ทุกข์นั้น ไม่ได้สืบเนื่องมาจาก มีพ่อแม่ หรือ มีปริญญาเอก หรอกค่ะ สมัยก่อน มีคนมาดูแล เอาใจใส่ ยกย่อง มากมาย มากกว่านี้นัก... สมัยก่อน เก่งมากกว่านี้ หลายเท่า แต่มันก็ไม่ใช่ จะไม่ทุกข์ จริงๆ ถ้าจะให้พูดตามใจจริง เห็นว่า ตอนนี้ตนเอง ไม่ค่อยเก่ง เท่าแต่ก่อน ด้วยซ้ำ (ในเรื่องทางโลก ส่วนเรื่องปริญญาเอก ก็ทำไปอย่างงั้นค่ะ ไม่ได้เก่งเลย ถูๆไถๆ จริงๆค่ะ ไม่ได้ถ่อมตัวนะคะ พูดความจริง) แต่มันไม่ค่อยทุกข์ เพราะจริงๆรู้สึกด้วยว่า ถ้าไม่ได้ ก็จะกลับแล้ว ทำดีที่สุดแล้ว ... คือ มันไม่ทุกข์น่ะค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น เห็นว่า อาจจะเป็นเพราะตนเอง หาความสุข ในตนเอง เจอแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้น ความสุขที่เกิดขึ้น มันจึงไม่ได้สืบเนื่องมาจาก สิ่งภายนอก แล้วน่ะค่ะ (ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งอยู่ค่ะ) ....ไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์ เพราะว่าใคร จะคิดอย่างไรกับเรา ....ไม่ได้สุข ไม่ได้ทุกข์ เพราะว่า เราไม่ได้เก่ง ไม่ได้กล้า... แต่ก็รู้ดีว่า เมื่อยังมีชีวิต มีลมหายใจ หลงเหลืออยู่ ก็ทำหน้าที่ ในชีวิตนี้ต่อไป ทำสิ่งดีๆ เพื่อเป็นประโยชน์ ต่อทั้งจิตวิญญาณตนเอง และ ทั้งต่อโลกนี้ จนกว่า จะสิ้นสุด ลมหายใจ ในชาตินี้ ก็เท่านั้นเอง

ชีวิตนี้มีวันนี้ได้ มีความมหัศจรรย์แห่งความสุขเกิดขึ้นได้ ก็เพราะหนูไม่เคยทิ้งธรรม แม้ว่าตัวจะไป อยู่ห่างไกล เพียงใด ขนาดวันนี้ ปฏิบัติได้เพียงแค่นี้ ชีวิตก็ยังมีความสุขเท่านี้ ...เพราะฉะนั้น จึงมั่นใจว่า เส้นทางนี้ เป็นเส้นทางที่ตรง และถูกต้องที่สุด ที่จะนำพาเรา ไปสู่ ความพ้นทุกข์ได้ อย่างแท้จริง แม้วันนี้ตนเอง ยังมีความเขลาอยู่ แต่ก็จะพยายาม พากเพียรพัฒนา จิตวิญญาณ ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ขึ้นไปให้จงได้ เพื่อถือเป็น การปฏิบัติบูชา ทดแทนบุญคุณ พระพุทธศาสนา บุญคุณพ่อท่าน ที่เหนื่อยยากตลอดมา

ท้ายที่สุดนี้ขอกราบอาราธนาพ่อท่านมีสุขภาพแข็งแรงเพื่อมวลมนุษยชาติตลอดไป กราบขอบพระคุณค่ะ

กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูง
ชิดตะวัน ชนะกุล
Universitaet Wien, Oesterreich

(สารอโศก อันดับ ๓๑๗ หน้า ๕๕-๕๗ เดือนมีนา-พฤษภา๕๓)