จากโลกีย์ ถึง โลกุตระ ชื่อ : นางสาว ชิดตะวัน ชนะกุล เติบโตในแวดวงชาวอโศก อายุสามขวบ คุณแม่พามาฟังธรรมที่สันติอโศก เป็นประจำ และเป็น นักเรียนพุทธธรรมวันอาทิตย์ รุ่นแรก เมื่อโตขึ้นเรียนมัธยม ก็เริ่มห่างวัด เพราะเตรียมสอบ entrance เข้ามหาวิทยาลัย เข้ามหาวิทยาลัยได้ตั้งแต่จบมัธยมศึกษาปีที่๔ ในคณะที่เลือกเป็นอันดับหนึ่ง คือ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งสอบชิงทุนไปเป็น นักเรียนแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่มลรัฐ New Hampshire, U.S.A หนึ่งปี เมื่ออยู่มหาวิทยาลัยปีสอง สอบชิงทุนได้เป็นทูตวัฒนธรรมของสโมสรไลออนส์ ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ... จบมหาวิทยาลัย สอบเข้าทำงานได้ลำดับที่หนึ่ง ของกรมสรรพากร และ บริษัทยักษ์ใหญ่ ข้ามชาติแห่งหนึ่งของไทย ตัดสินใจเลือกบริษัทเอกชน (เนื่องด้วยเห็นว่า นอกจาก เงินเดือนในภาคราชการจะแสนน้อยแล้ว นิสัยอย่างตน คงไม่รุ่งที่จะทำงานในภาครัฐบาล ..ที่ต้อง ประจบประแจง เล่นเส้นเล่นสาย เพื่อความเป็นใหญ่) อนาคตการงานรุ่งโรจน์ เงินเดือนเยี่ยม สวัสดิการยอด เจ้านายรัก นั่นคือ โดยสรุป แม้ว่าจะเติบโต ในแวดวงชาวอโศก ตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่ได้เคยคิด มาก่อนเลยว่า ชีวิตนี้จะมาอยู่กับชาวอโศก เป็นคนทำงานฟรี เงินเดือนศูนย์บาท ขณะนั้น คิดเพียงว่า ชีวิตนี้ก็อยู่ในศีลห้ามาตลอด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องไปเคร่งครัด กับชีวิต มากนักหรอก อยู่สบายๆ หาเงินได้สบายๆ แล้วค่อยเอาเงินมาทำบุญให้อโศก ให้การศึกษา น่าจะเป็นอะไร ที่เหมาะกับตัวเรามากกว่า จุดเปลี่ยน แม้ในที่สุด ผลลัพธ์สุดท้าย จะสรุปว่า มิได้เป็นมะเร็ง หากแต่ความรู้สึกเจ็บปวด ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ แม้จะมิได้เป็นมะเร็ง แต่ก็ต้องผ่าตัดเนื้องอก ก่อนเดินทางไปเรียนต่อ ระดับปริญญาโท ทางด้าน เศรษฐศาสตร์ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี รู้ดีตั้งแต่บัดนั้นว่า ตนเอง มิได้อยากจะมีชิวิตอยู่ เพียงแค่หาเงิน หาความมั่งมี ลาภยศสรรเสริญให้ตนเองอีกต่อไป กระนั้น ก็ยังไม่รู้ว่า ชีวิต ควรเป็นไปเช่นใด ... เมื่อเรียนจบระดับปริญญาโท ขณะที่กำลังรอจดหมาย ตอบรับ ระดับ ปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัย แห่งกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย... คิดได้และบอกกับตนเอง และ คุณพ่อคุณแม่ว่า จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ ราชธานีอโศก จังหวัดอุบลราชธานี คุณแม่นั้น อยากให้ไปมาก คุณพ่อและญาติๆคนอื่นๆ ก็อยากให้ไป ทุกคนต่างกล่าวว่า "ให้รีบไปอยู่ จะได้เข็ด อยู่ข้างใน กับอยู่ข้างนอกน่ะ มันไม่เหมือนกันหรอก เดี๋ยวก็อยู่ไม่ได้ จะได้รีบออกมา ฯลฯ" สำหรับตนเองนั้น เมื่อได้ฟัง ก็มิได้คิดอะไรมาก เพราะใจขณะนั้น ไม่ได้คิดว่า จะอยู่ได้หรือไม่ได้ แค่ต้องการ ทดลองไปอยู่ .. .อยากมีโอกาสใช้ชีวิต อุทิศแรงกาย แรงสมอง และแรงใจ แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกลมหายใจ เท่านั้น หากอยู่แล้วรู้สึกว่า ยากเกินรับไหว จะได้ตัดสินใจถูก ว่าชีวิตของตน ควรเป็นไปเช่นไรดี หากแต่ กลับพบว่า หนึ่งปีที่อุทิศตนเป็นคุณครู อยู่กับเด็กชนบทตัวดำๆ มอมแมม ...หนึ่งปี ที่ทำงาน กรำแดดกรำฝน เท้าเหยียบดินโคลน ....ชีวิตที่ไม่ได้มีความสบายด้านวัตถุเงินทอง... มันช่าง มีความสุข มากมายเหลือเกิน .....เราได้เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามี ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง กำลังกาย กำลังสมอง ในทุกๆวัน เราได้เก็บกำไรคือกรรมดี ได้ให้โดยไม่ได้รับอะไรกลับคืนเลย เพราะฉะนั้น กรรมดีที่เราได้ทำทุกๆวันนั้นมันถูกเก็บเต็มตลอด ไม่ต้องมีอะไรมาแลกคืน มาลบ มาหารออกไป ...ช่างมีความสุขเหลือเกินที่ได้รับรู้ความรู้สึกที่ว่า แม้เราจะตายลงในวินาทีนี้ ในวันนี้ เราก็จะไม่เสียใจ อีกต่อไปแล้ว เพราะวันเวลาที่ผ่านมา เราได้สั่งสมความดี ที่จะเป็นทรัพย์แท้ ที่จะติดตัวเราไป (บ้าง) แล้ว เพราะฉะนั้น สำหรับตนเอง ไม่ว่าจะทำงานอะไร ก็จะมีแต่ความซาบซึ้ง ไม่ว่าจะล้างหาง ทำสวน ขนปุ๋ย ขัดส้วม แม้จะเป็นงานเล็กงานน้อย จะให้ทำอะไรก็ได้ หากเป็นงานของหมู่กลุ่มส่วนรวมนี้ แต่ในบางครั้ง...ก็ต้องยอมรับว่า ไปทำสวนบ่ายสองบ่ายสาม แดดแรง งานหนัก (มาก) บางที ก็อยากจะหนี ไปทำงานที่มันง่าย มันสบายกว่านี้....แต่การที่ได้เห็นอาปะไฟพร คนที่เรารู้ว่า ท่านช่างเสียสละเหลือเกิน เสียสละทำงานในสิ่งที่หลายคนพยายามหลีกเลี่ยง เพราะฉะนั้น แม้เราจะเหนื่อย แม้อยากจะหนี แต่ก็รู้ว่า เรายังหนีไปไม่ได้หรอก เพราะ.. ถ้าเรายังช่วยอยู่ตรงนี้ เราก็คงลด ความหนัก ความเหนื่อย ของผู้ที่เรามั่นใจว่า เป็นเนื้อนาบุญของโลก ลงไปได้บ้าง วันนี้จบการศึกษาระดับปริญญาเอกมาแล้ว ปณิธานที่ตั้งใจไว้ใน วันที่จากบ้านราชฯไป เมื่อสามปีก่อน เพื่อไปทำหน้าที่ให้จบสิ้น ผ่านไปสามปี ความตั้งใจ ยังไม่เปลี่ยนแปลง ชาตินี้ มั่นใจว่า จะอยู่และตาย กับชาวอโศก จะใช้เวลาที่ยังมีลมหายใจนี้ เร่งสร้างความดี สั่งสมบุญ ให้ตนเอง และตอบแทนบุญคุณ พระโพธิสัตว์ ผู้เหนื่อยยาก เพื่อมวลมนุษยชาติ ตลอดมา ปัญหาและอุปสรรคในการงาน : เนื่องจากตนเองมีสักกายะใหญ่ ที่ค่อนข้างขี้รำคาญ ฉะนั้น การเป็นคน ที่มีผู้คนรู้จัก มากมาย ทำให้ต้องพูดมากขึ้น มีคำถามมาก อยู่ในความสนใจของผู้คน บางครั้งบางคราว ก็จะเกิดความรำคาญ แต่ก็ถือว่าเป็นแบบฝึกหัดที่ดีมาก สำหรับตนเอง ในชาตินี้ คติประจำใจ : หลับไปคืนนี้อาจจะไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาอีก ตื่นขึ้นมา ในเช้านี้ อาจจะเป็นเช้าสุดท้าย ของชีวิต เพราะฉะนั้น พึงเร่งทำความเพียร สั่งสมกรรมดี อย่าผัดในการทำความดี แม้แต่หนึ่งครั้ง เป้าหมายชีวิต : ร่วมสร้างงาน สั่งสมความดีกับพระโพธิสัตว์และหมู่กลุ่มตลอดไป สุดท้ายนี้ ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่เหน็ดเหนื่อย ทนยากลำบาก อยู่บ้านหลังเล็กๆ ขับรถเก่าๆ ไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ เก็บหอมรอมริบ เพื่อสร้างลูกสาวคนนี้ จนเรียนจบดอกเตอร์ แม้จบแล้ว ก็มิเคยคิดที่จะ ให้ใช้วิชาความรู้ ใช้ปริญญาตรีโทเอก จากมหาวิทยาลัย ชั้นนำของโลก ความสามารถ หลากหลาย เพื่อแสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุข (จอมปลอม) ให้ตนเอง หรือ ครอบครัว หากแต่ตั้งใจ ถวายลูกสาวคนนี้ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลืองาน พระโพธิสัตว์ เข็นกงล้อพระธรรมจักร เพื่อประโยชน์แก่คน ทั้งหลายในวงกว้าง .... ฉะนั้นลูกสาวคนนี้ จึงขอให้คำมั่น สัญญาว่า ความเสียสละอันยิ่งใหญ่ ของคุณพ่อ และคุณแม่ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน เหนื่อยยาก เพื่อลูกสาว หรือความเสียสละเพื่อสังคม (ซึ่งมั่นใจว่า หากไม่มีตัวอย่างที่ดี จากคุณพ่อ คุณแม่ ตนเองก็คงไม่มีแบบอย่างที่ดี และไม่มีวันที่จะมีจิตใจ นึกถึงผู้อื่น นึกถึงส่วนรวม ก่อนส่วนตัวได้) จะไม่สูญเปล่า ชีวิตนี้ทั้งชีวิต จะพยายามพัฒนาตน ให้มีความดีมากขึ้นเรื่อยๆ ให้จงได้ เพื่อจักนำความเป็นคนที่ได้รับ การพัฒนาแล้วนั้น อุทิศคืนให้แก่สังคม และประเทศ ตลอดไป ตราบจนกว่า จะสิ้นลมหายใจ กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ (สารอโศก อันดับ ๓๑๗ หน้า ๕๘-๖๐ เดือน มีนา-พฤษภา ๒๕๕๓) |