|
||||
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 328 ฉบับ เดือน พ.ย.-ธ.ค.2556 |
||||
|
||||
.โพชฌังคาริยสัจจายุ ๒๕๕๖ ครั้งที่ ๒ บทนำ ในงานโพชฌังคาริยสัจจายุ ครั้งที่สอง ที่ผ่านไป จึงคือประจักษ์พยาน ที่ลูกๆได้รู้ชัด ถึงน้ำใจ พระโพธิสัตว์ ที่มีต่อมวลมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็น การเปิดรับสมัคร ผู้เข้าสอบ ทุกรูปแบบ เช่น การยอมลดหย่อน กฎเกณฑ์ลง เพื่อเอื้อต่อผู้ใหม่ ที่มีใจใฝ่ธรรม ก็ตาม อีกทั้งงานเทศน์ ทำวัตรเช้า และภาคเย็น งานตรวจ และเร่ง การซ่อมเรือ เอี้ยมจุ๊นใหญ่ สามลำ เพื่อให้อยู่ในสภาพ ที่ใช้การได้ ทันธรรมยาตราทางเรือ ของพวกเรา ในวันขึ้นปีใหม่ และงานจุกจิกอื่นๆ ในช่วงกลางของงาน จากการตรากตรำ อย่างหนัก พ่อท่าน จึงอาพาธ ต้องหยุดพัก เพื่อรักษาตัว โดยมีนายแพทย์ ที่มาบวชเป็นสมณะ ดูแลอย่างใกล้ชิด และคอยแจ้งข่าว ให้รับรู้ เป็นระยะๆ เพื่อคลายความกังวล ห่วงใยของพวกเรา เมื่ออาการดีขึ้น ท่านก็กลับมา ทำงานต่อทันที แถมบ่น เสียดายเวลา ที่สูญไป เพราะเวลา สำหรับท่าน มีคุณค่าสูง ซึ่งท่านเปรยเสมอว่า อยากมีเวลา มากกว่านี้ เพื่อแจกจ่าย สมบัติล้ำค่า ซึ่งเปรียบเหมือนเพชร ที่ท่านมีอยู่มากมาย ให้แก่มนุษยชาติ ภาพที่เห็นชัดเจนสว่างโพลง ในหัวใจของ ลูกทุกคน จึงมีของขวัญ เพียงสิ่งเดียว ที่สมควร มอบถวายพ่อท่าน เนื่องในโอกาสปีใหม่ และปีต่อๆไป จนกว่า ลูกจะบรรลุธรรม สมดังเจตนารมณ์ ของพ่อท่าน นั่นคือ การปฏิบัติบูชา ปฏิบัติธรรม อย่างพากเพียร เดินตามรอยเท้า พระโพธิสัตว์เจ้า เชิญพบกับบทสัมภาษณ์ของพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์ได้ ณ บัดนี้
การจัดงานโพชฌังคาริยสัจจายุ หลายคนสงสัยว่า ทำไมพ่อท่าน ให้ค่ากับงาน การศึกษา ว.บบบ. มาก ถึงขนาดใช้ทองคำ ทำเข็มติดเสื้อ สำหรับผู้สอบผ่าน ในทุกปี ซึ่งเป็นการลงทุน ที่ค่อนข้างสูง จุดประสงค์จริงๆ คืออะไรคะ อาตมาดำริงานนี้ขึ้นมาเพื่อ สร้างคน ให้พัฒนา เป็นชีวิตที่ดีประเสริฐ เรียกว่า อาริยะ เป็นความเจริญ ในระดับโลกุตระ ซึ่งเป็นชีวิต ที่พ้นทุกข์ ลดทุกข์ได้จริง ลดกิเลส ตามทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า ลดกิเลสแล้ว เป็นประโยชน์ ต่อสังคม เป็นคนดี ของสังคม ซึ่งอาตมาเห็นว่า เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ในความเป็นมนุษย์ จึงตั้งใจทำ ตั้งแต่ออกมาจาก ชีวิตโลกๆ ที่เคยวิ่งล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เมื่ออายุ ๓๖ ปี จนกระทั่ง ปัจจุบันนี้ ก็ได้ผล เกิดกลุ่ม หมู่อโศก ที่ดำเนินชีวิต ด้วยทฤษฎีบุญนิยม อาตมาพยายามทำให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นระบบ การศึกษาเปิด ที่ไม่ชื่อว่า อยู่ภายใต้ กรอบความคิดเต็มรูป ของกระทรวง แต่อาตมา จะกำหนดความรู้ เป็นลักษณะอาริยะ อย่างที่เราตั้งใจ โดยไม่ให้ กฎระเบียบข้างนอก เข้ามาทำให้ แกนความคิดที่เรารู้ชัด และมั่นใจของเรา เพี้ยนไป แต่เราก็ต้องอยู่ ภายใต้นิตินัย ของสังคมนั่น แน่นอนอยู่แล้ว เราไม่ใช่คนเถื่อน ไม่ใช่คน ไร้เหตุผล เรารู้และทำตามสังคม ของโลกอยู่แน่นอน โครงสร้างการศึกษานี้ ตั้งชื่อว่า วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ชื่อย่อว่า ว.บบบ. เป็นโครงร่าง การเรียนอย่างอิสระ ตามมาด้วย รายการ เรียนอิสระ(ตามสำนึก) ถ่ายทอดสื่อสาร ออกอากาศ อยู่ตลอดเวลา ใครสำนึก เห็นควรศึกษา ก็ติดตาม ศึกษาเอง ออกอากาศ เป็นการบรรยาย อยู่ทุกวัน ถ่ายทอดให้ศึกษา ถึงเวลาปีหนึ่ง ก็มาสอบ ซึ่งเปิดกว้างไม่เฉพาะชาวอโศก ไม่กำหนดอายุ เป็นการศึกษาที่พัฒนากาย วาจา จิตใจ แม้แต่อาชีพ และวิถีการดำเนินชีวิต โดยเน้นที่จิต เป็นประธาน ให้จิตใจ เปลี่ยนแปลง ข้ามเขต เข้ากระแสอาริยะ ที่เรียกว่าโลกุตระ ต้องพัฒนาขึ้นให้ได้ อาตมาจึงเห็นว่า เป็นสิ่งประเสริฐ ที่ควรลงทุน ลงแรง ให้เกิด ว.บบบ.นี้ขึ้นมาให้ได้ ถ้าชีวิตนี้ อาตมาได้ช่วยคนให้มีคุณธรรม ประเทศ จะมีอาริยะ ไม่เป็นภาระสังคม ไม่ทำให้ สังคมวุ่นวาย ปีหนึ่ง ขอให้ได้ ๑๐-๒๐-๓๐ คน ๑๐๐ คน หรือมากกว่านั้น เท่าไหร่ได้ มันก็ยิ่งดี อาตมา ไม่มักมากหรอก หลายสิบปีมานี้ ก็ได้เป็นโล้ เป็นพายอยู่ มีหมู่กลุ่มชุมชน ทั่วประเทศ มายืนยัน ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อมุ่งวิมุตินิพพาน กันจริงๆจังๆ ไม่ใช่งมงาย ขั้นต่ำคือ ศีล ๕ งดเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข ซึ่งเราทำได้ อย่างมีผล เป็นพฤติภาพ ชัดเจนแล้ว ในทุกวันนี้ เอหิปัสสิโก ตามธรรมพระพุทธเจ้า เชิญมาดู มาชม มาตรวจสอบ ความจริงได้ นี่คือ ธรรมอันประเสริฐ ของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ นำมาประกาศแก่โลก เมื่ออาตมาเห็นว่า เป็นสิ่งประเสริฐ จึงทุ่มเท ลงทุนลงแรง รุ่นแรก ในต้นปี ๒๕๕๕ รุ่นที่สอง ที่กำลังจะจัด เป็นรุ่นปี ๒๕๕๖ และจะมีรุ่นสาม รุ่นสี่ ตามมา ในปีต่อไป ซึ่งในปีแรก ใช้วันโพชฌังคาริยสัจจายุ คือเกิดจาก วันที่อาตมา อายุ ครบ ๗๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เป็นวันที่มีเลข ๗ สี่ตัว และกำหนด จะจัดประจำ ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ถึงวันที่ ๓ มกราคม ของทุกปี ดูเหมือนว่าชาวอโศก จะว่างเว้น จากการถูกโจมตี มายาวนาน การที่ทั้งพระ และฆราวาส กลุ่มเก่าๆ ที่เคยโจมตีเรา เมื่อ ๒๐ กว่าปีที่แล้ว หันกลับมา โจมตีเราใหม่ พ่อท่าน มองเรื่องนี้อย่างไร และเราจะเก็บเอาประโยชน์ จากเรื่องนี้ อย่างไรคะ พ่อท่าน : เขามาโจมตีเราใหม่ ทั้งที่เขาเคย โจมตีเรามาแล้ว จนกระทั่ง ว่างเว้นไป ก็อาจเพราะ เขาเห็นบทบาท พฤติกรรมของเรา ที่ไปทำงานกับสังคม ถ้าจะให้อาตมา พิจารณาไปตามหลักเหตุผล หรือว่าตรรกะ ธรรมดา มันก็เป็นไปได้ว่า ที่เขาเห็นว่า เราทำงานอยู่นี้ ตามหลักธรรมของเรา กับสังคม แล้วมีพฤติกรรม ที่เป็นประโยชน์ หรือเป็นโทษต่อสังคม ก็ได้ทั้งสองอย่าง ซึ่งเขาก็จะเห็น ตามภูมิรู้ของเขา เมื่อเราปฏิบัติตน ตามธรรมพระพุทธเจ้า มาตามลำดับ พอทำไปๆ ตามจริง ธรรมะของ พระพุทธเจ้า มันต้องมีผลต่อสังคม ผลนั้นเกิดจริง เขาจึงรู้จึงเห็น ซึ่งเขาก็จะตัดสินเรา ตามภูมิรู้ของเขา นั่นเอง ทีนี้ถ้าเขายอมรับว่า เราออกไปทำนี้ดี ก็ต้องพิจารณาว่า ทำไมเขาจึง มาว่าเราอีก ก็แสดงว่า เขาริษยา ถ้าดีนะ ก็พิจารณาได้ว่า เอ้าก็เป็นผลดี เขาตีเรา ก็ถูกแล้ว ถ้าเขาตี ก็แสดงว่า เขาริษยา เพราะเขายังมีจิตใจ ที่ริษยาอยู่ แต่ก็ดีนี่นา ที่เขาตีเรา มันก็เป็นอื่นไม่ได้ มันก็บอกความจริง ให้เรารู้อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นผลไม่ดี เขาก็ต้องตีเรา เพราะเราไปทำให้ สังคมเสียหาย เขาเจตนาดี ต่อสังคม เขาก็ต้องตีเรา เพราะเราไปท ำผิดซ้ำผิดซาก เขาว่าเรา ปราบปรามเรา มาทีหนึ่งแล้ว เราก็ควร จะเงียบสงบไป แต่นี่เราโผล่มาทำงาน กับสังคมอีกทำไม มาทำให้ สังคมเสียหาย ผิดพลาด เราก็ต้อง ตรวจดูตนเอง อย่าลำเอียง เข้าข้างตนเอง หากตรวจสอบ เห็นว่าเราทำให้สังคม เสียหายจริง เราก็ต้องแก้ไข ปรับปรุง เหตุที่ทำให้ เสียหาย นั้นๆ แล้วก็ทำให้ดีใหม่ แก่สังคมต่อไป ให้ได้ แต่ถ้าตรวจแล้ว มันก็ไม่ใช่ ไม่ได้ทำให้สังคมเสียหาย เราก็ทำต่อ ดังที่เราได้ทำเช่นนี้ เสมอมา นี่เป็นหลักตรรกะ ถ้าให้วิจารณ์ ก็เป็นเช่นนั้น เว้นเสียแต่ว่า เขาไม่รู้อย่างถูกต้อง หรืออย่างสัมมาทิฏฐิ ตามพระพุทธเจ้า นั่นเอง เขาก็ต้อง ตีเราแน่ จะริษยาหรือไม่ก็ตาม เพราะเขายึด ตามทิฏฐิของเขา อันตรงกันข้าม กับเราเสียแล้ว สรุปแล้วก็คือ เขาออกมาตีเรา เราก็เอาประโยชน์ จากการตีนั้นให้ได้ อาตมา ก็เคยบอกแล้ว ว่า ใครขว้างเพชรนิลจินดา หรือขว้างก้อนหิน แม้อุจจาระ มาใส่เรา เราก็เอามา ทำประโยชน์ ให้ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องไปโกรธ แค้นเคืองใคร ใครยังโกรธ ยังแค้น ยังเคือง คนอื่นอยู่ ก็ทุกข์เอง ก็ยังอวิชชาอยู่จริง หมายความว่า สิ่งที่เราทำลงไป หลายปีนี้ เขามองไม่ออกจริงๆ เขาไม่เห็นจริงๆ เลยหรือคะ พ่อท่าน : อันนี้นำมาเป็นเหตุผลประกอบ ในการพิจารณา ซ้ำซ้อนไปอีก ก็น่าจะพอ พิจารณาได้ว่า เราทำงานกับสังคม มาตลอด เขาก็เงียบอยู่นะ เขาว่างเว้น การโจมตี เราออกมาชุมนุม ตั้งหลายครั้ง เขาก็ไม่ออกมาทำอะไร แต่คราวนี้ ทำไมเขาออกมา โจมตีเรา จะเอาเหตุผลนี้ มาประกอบอีกทีก็ได้ว่า มันจะทำให้เรา เข้าใจอะไร เพิ่มขึ้นมั้ย ทุกที เขาไม่มา โจมตีเรา เขาไม่มาว่า อะไรเรา แต่คราวนี้เขาโจมตี ก็อีกนั่นแหละ เราก็ต้องตรวจสอบ หาความจริง เขาจะมองว่า เราทำคราวนี้ ว่ามันเสียหายเยอะ และ ถ้าเขามีเจตนาดี เขาเห็นแก่สังคม เขาก็ต้องออกมาโจมตีเรา แต่ถ้ามันดี เขาก็ไม่น่า จะมาตีเรา เขาก็น่าจะดีด้วย เพราะมันดี ต่อสังคม ก็มีเหตุผล เท่านี้เอง ไม่สับสนนะ เข้าใจนะ เราจะเก็บเอาประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างไรคะ พ่อท่าน : อันนี้ก็เป็นหลักเกณฑ์สำคัญอยู่แล้ว ว่าใครมาด่าเรา มาว่าเรา มาตีเรา ก็เอามา พิจารณาความจริง ดูความจริง อย่าอคติ เอ๊ะ เขาด่าเรามา เขาว่าเรามา ด้วยเหตุนั้น ผลนี้ มีเหตุมีผล มีหลักฐาน อะไรขึ้นมา เราก็เอาเหตุผล หลักฐานต่างๆนั้น มาตรวจสอบ ความจริง ในตัวเรา ถ้าตรวจสอบแล้ว มันไม่จริง มันไม่ถูกต้อง ก็แล้วไป เพราะเขา เข้าใจไม่ได้ เขาเข้าใจไม่ถูก หรือเขามีข้อมูล ไม่ครบ เขาเข้าใจผิด เขาก็ว่าเรา แต่ถ้าเขา เข้าใจเรา อย่างนั้นแหละ แล้วเรามา ตรวจสอบตัวเอง เอ้า! เราผิดอย่างที่เขาว่า เราก็แก้ไข เราก็ปรับปรุงสิ แต่ถ้าเราไม่ได้ผิด อย่างที่เขาว่า ก็จบ เขาเข้าใจเรา อย่างที่เขาเข้าใจจริงๆ หรือเขามี ข้อมูลเราไม่พอ แม้พอ เขาก็เข้าใจเราไม่ได้ เขาก็ว่าเรา เป็นธรรมดา เราก็วางไป ไม่ต้องไป ตอบโต้อะไรเขา เขาก็ตีเราได้ คนเรามันก็มี เป็นธรรมดา ธรรมชาติ เขาไม่ชอบใจเรา เขาก็ตีเรา อยากหาเรื่อง เขาก็ตีเราได้ เราก็ไปเดาเขาไม่ได้ ว่าเขาจะหาเรื่อง หรือเขาจะไม่ชอบ หรือ เขาจะอะไร อย่างที่วิจัยไปแล้ว ที่จริงแล้ว มันสงบมาได้ และปล่อยให้เรา ทำงานมาได้ ปานนี้นั้น ก็เพราะว่า มีคนเข้าใจ มีท่านผู้รู้ มีคนมีปัญญา รู้สัจธรรม ในการทำงานของเรา ในการเผยแพร่ความจริง ตามทิฏฐิของเรา แม้แต่ในสงฆ์หมู่ใหญ่ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ในหมู่สงฆ์ จริงๆนั้น ถ้าเราทำงาน ที่ไม่เป็นธรรม ธรรมไม่รักษาเราหรอก เชื่อสิว่า ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม ที่เป็นธรรมจริง ธรรมแท้จริง ไม่มีความลำเอียงหรอก จริงๆ ที่เกิดบรรยากาศ สังคมไทย แม้ในเรื่องของเรา อย่างที่เห็น ที่เป็นอยู่นี้ มันชี้บ่งความจริงได้ชัด ถึงความเป็นธรรม เขาตีเราเรื่องไร้เหตุผล ทำให้เขาเสียมากกว่า พ่อท่าน : คนที่ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจไม่ได้ ก็เป็นธรรมดา เขาก็ทำไป ตามที่เขายังเข้าใจ ฝังใจ ยึดติดอยู่ ก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้น แปลกอะไร จะว่าไป เขาก็มีเหตุผลนะ จะไปว่า เขาไม่มีเหตุผล ก็ไม่ได้ เหตุผลเก่าๆ ซึ่งข้อมูล มันเปลี่ยนไปแล้ว พ่อท่าน : เขาก็มีเหตุผล อาตมาจะลองตอบ ต่อไปอีก เรามองว่า ทำไปแล้ว เราวัดผลของเรา อย่างไร ถ้ามองส่วนของเรา ที่ออกไปคราวนี้ อาตมาว่า เราทำได้ผล ไปอีกก้าวหนึ่ง ซึ่งคนในโลก เขาไม่มองในแนวลึก เขามองในแนวหยาบ เป็นแต่เพียงว่า เราออกไปทำงาน และเมื่อเสธ.อ้าย ยอมรับความพ่ายแพ้ สู้เขาไม่ได้ เราก็หยุดเสีย ด้วยเหตุผลว่า ถ้าทำต่อไป อาจจะเกิดความเสียหาย ถึงขั้นเสียชีวิต ของประชาชน เราไม่ดันทุรังดีกว่า ก็เลิก เพราะงั้น เขาจะเข้าใจว่าเราแพ้ เพราะเราพูดไปแล้ว ว่ารัฐบาลต้องยุติ ความรุนแรง แต่เขาไม่หยุด เราก็ถอย เราก็แพ้ แพ้ได้ จนเสธ.อ้ายบอกว่า ไม่เป็นไร แพ้ก็แพ้ เสธ.อ้าย ตายแล้ว ก็เท่านั้นเอง ก็ไม่แป็นไร แต่อาตมากลับมองว่า การแพ้นั้น ยังสามัญ แต่ที่เรา ทำงานแล้ว เราได้ผล นี่แนวลึกนะ เราเองไม่ได้ไปทำงาน โดยมีเจตนาว่า เราจะเอาแพ้ เอาชนะ อะไรกับใคร เราไปทำงาน งานของเรา ที่เป็นเป้าหมาย หลักจริงๆ คือเราไปช่วยเขา ให้เขาทำงานสำเร็จ เพราะเราเห็นด้วย ในกิจกรรมครั้งนี้ โดยทีมของเรา เข้าไปสมทบ เพื่อให้สังคม เรียบร้อย สงบสุข อย่าให้เกิด ความเสียหาย จะประท้วงกัน หรือว่าจะออกไป ทำอะไรกัน ส่วนมาก ที่เขาออกไป ประท้วงกัน แล้วมันเสียหาย มันรุนแรง มันถึงเจ็บ ถึงตายกัน มันไม่เกิด ความสงบเรียบร้อย ทีนี้เราออกไปคราวนี้ เราไปร่วมด้วย จะว่าจริงๆ เราก็มีส่วน ไปช่วยให้มัน เป็นรูป เป็นร่าง ของการชุมนุม ประท้วงเต็มที่ แล้วเขาก็พอใจ เหมือนกัน แต่ว่า ไม่ประสบ ผลสำเร็จ เพราะว่า ประชาชนมาไม่พอ ไม่ถึงขีด ถึงเกณฑ์เขา ที่สำคัญคือ ทางโน้น ทำเกินไป ใช้วิชามารมาก หนักจริงๆ เราไม่ประสงค์ ให้ปรากฏการณ์ อย่างนี้ เกิดในสังคมไทย ยิ่งการกระทำนี้ เป็นฝ่ายรัฐบาล ยิ่งแย่ใหญ่ นอกจากไม่ซื่อ อย่างมากแล้ว ที่ร้ายหนัก อีกอย่าง ก็คือ ถูกทางโน้น ทำรุนแรงเกินไป ไม่น่าใจร้าย ขนาดนี้ มันเสียหาย อย่างที่กล่าวแล้ว ทางเสธ.อ้าย ก็หยุด แต่ว่าเราเองทำงาน ไม่ได้เอาแพ้ เอาชนะตรงนั้น แต่เราดูใน รายละเอียด มันเกิดความสงบ มันชัดเจน ในส่วนที่ เราทำให้มันเกิดเรียบร้อย สงบได้ อย่างน่าพอใจ ส่วนที่มันเกิดไม่สงบ มันมีการโฉ่งฉ่าง เพราะทางโน้น เขาก่อขึ้นทั้งสิ้น หรือเป็นตัวการ ทำขึ้นจริงๆ ความรุนแรงทั้งหมด ในคราวนี้ ที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่เราทำ ความรุนแรงทั้งหลาย ที่เกิดในงานครั้งนี้ เขาทำโดยแท้ เราไม่ได้เป็นตัวการ อาตมาได้ข้อมูลมาว่า แม้แต่ตำรวจ ที่มีมากมายนั้น ก็เป็นการปลอมแปลง ตำรวจกันด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น เราก็เห็นได้ว่า เราไม่ได้เป็นคนที่ไป ก่อความวุ่นวาย ก่อความไม่สงบ เราเป็นผู้ก่อ ความสงบสำเร็จ อันนี้ต่างหากหละ ที่เราบอกว่าได้ผล เราก่อความสงบ สำเร็จ เพราะเราทำได้ผล และคนออกมา ก็มาพอสมควร ไม่ใช่น้อยเลย มากกว่า คราวโน้น มันก็เป็น การก้าวหน้า ระดับหนึ่ง อันนี้ก็เป็นผล ที่เราวัดของเราเอง ว่า เออ ประชาชน ก็มามากกว่า ปกติอยู่ มากกว่าเก่าอยู่ ไม่ใช่น้อย แต่ทีนี้ เราจะไปเอาถึงขั้น มีผลสำเร็จ ชนะเด็ดขาด ตามความมุ่งหมายเลย มันคงไม่ได้ เราเอง ก็ไม่ได้เชื่อว่า จะเป็นเช่นนั้น ทีเดียว แต่ต้องทำ เช่นที่ทำนั้น มันต้องทำ เราจึงทำ อย่างที่เห็น การชุมนุมกับ เสธ.อ้าย กองทัพธรรมได้ลงทุนอะไรไปเยอะ ทั้งทำห้องน้ำ -ห้องส้วม โรงครัว กางเต็นท์ อะไรต่างๆ แต่สุดท้าย ก็โดนแก๊สน้ำตา แล้วก็พ่ายแพ้กลับมา พ่อท่าน : การลงทุนเราถือว่า เป็นเรื่องเล็ก แม้เราต้องลงทุน ทั้งแรงงาน วัตถุ เราก็พอทำได้ โดยที่เราไม่ได้ไปเป็นหนี้ เราเสียสละ ชัดเจน เราเสียสละแรงงาน ไม่ได้เบี้ยเลี้ยง ไม่ได้เงินทอง ตำรวจก็ยังได้เบี้ยเลี้ยง นอกจากไม่เป็นหนี้แล้ว เราก็ได้เสียสละ อย่างแท้จริง ประชาชนมากมาย เขาไม่ทำอย่างเรา แต่เราเต็มใจ และตั้งใจทำ แม้จะหนัก จะเหน็ดเหนื่อย ก็เห็นๆ มันก็พอไปได้อยู่ นี่คือ การเสียสละ ให้สังคม โดยเจตนาเลย ซึ่งในความเป็นจริง เราควรจะต้องเสียมั้ย? มันควรจะต้อง ไม่เสีย ด้วยความเห็นแก่ได้ ที่มีอยู่ทุกคน ด้วยความหวงแหน ที่มีอยู่ทุกคน มันก็ไม่ควร จะเสีย แต่เราเองไปเสีย เราตั้งใจ จะไปเสียสละ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องเสีย เมื่อมันเสีย มันก็เป็น การที่เราจะสละ ให้เกิดผล ต่อการทำงาน กับสังคม ซึ่งก็ต้องลง ทั้งทุน ทั้งแรง ทั้งเวลา ต้องสละลงไป ทั้งนั้นแหละ จ่ายไปแล้ว ก็ได้ผลอย่างที่ว่า ส่วนใครจะว่าไม่คุ้ม เราว่าคุ้ม คุ้มอย่างมากจริงๆ เพราะเป็นคุณค่า ของมนุษย์ ที่ควรทำ อย่างยิ่ง ในสังคมที่เต็มไปด้วย ความเห็นแก่ตัว จัดจ้านยุคนี้ เพราะมันหายากขึ้น ยิ่งแล้ว ดีใจเถอะ ที่ได้ทำ แถมอีกหน่อยหนึ่ง ว่าเรามีประสบการณ์ โดยที่เราได้ละกิเลสด้วย อันนี้เป็นแนวลึก เป็นปรมัตถ์เลย แต่ละคนพวกเรา ถามซิว่า ได้มั้ยล่ะ อย่างน้อย เราก็ได้อดทน จิตเกิดมี การสัมผัส มีการกระทบ กระแทก สัมผัสนี้ และเราไม่ได้เกิดอาการ จิตมีกิเลส โกรธเคือง หรืออาฆาต อะไรต่ออะไร พวกนี้ มันก็ทั้งได้เช็คผล ทั้งได้คนที่ไม่เช็คผล ไปต่อสู้ แล้วก็สำเร็จ ชนะ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ส่วนใครจะแพ้ ก็แล้วไปเถอะ ก็อาจ จะมีบ้าง มันเกิดโกรธ นิดหน่อย เกิดโกรธพอสมควร อะไรก็แล้วแต่ ก็ได้ปฏิบัติธรรมไง เพราะงั้น ตัวใครตัวมัน นี่คือ การปฏิบัติธรรม ของพุทธ คือมีการผัสสะ ที่แท้จริง ซึ่งเป็นเหตุปัจจัย ที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมา เหมือนสร้างกสิณ หรือสร้างอะไร เป็นตุ๊กตา ทดลอง มันไม่ใช่การทดลอง นี่มันเรื่องจริง เพราะฉะนั้น มีผลมาก มีผลสูง ประโยคที่ว่า เมื่อสิ้นชาติจะสิ้นชั่ว จนทำชั่วไม่ได้ คำว่าชาติ มีความหมาย ลึกซึ้ง อย่างไรคะ พ่อท่าน : คำว่าชาติ ตัวนี้คือชาติของปรมัตถธรรม ของปฏิจจสมุปบาท เป็นการเกิด ทางจิตวิญญาณ แล้วจิตวิญญาณที่ว่านี้ ต้องศึกษาลึก เข้าไปใน จิตวิญญาณ มีเจตสิก ต่างๆ ทั้งจิตที่ เป็นกุศล และจิตที่ เป็นอกุศล หรือกิเลส เราก็ต้องเรียนรู้กิเลส หรือเรียนรู้ จิตอกุศลนั้นๆ ให้ได้ เมื่อเรียนรู้ตัวจิต ที่เป็นอกุศล หรือเป็นตัวกิเลสได้ เราก็กำจัดตัวนี้ ให้มันตาย กิเลส หรือตัวจิตอกุศล ตาย นี่แหละคือ การเกิดของจิต ที่หมายถึงชาติ ในที่นี้ เป็นการเกิด ที่พระพุทธเจ้า ทรงเรียกว่า โอปปาติกโยนิ นั่นก็คือ มี การดับชาติ หรือดับการเกิดของมัน อกุศลจิต มันตายไง ดับไม่ให้มันเกิด จนมันไม่เกิดอีก เรียกว่า สิ้นชาติ สิ้นจริงๆ ไม่เกิดอีกเลย สิ้นตลอดกาล เป็นนิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง สำเร็จจบ อย่างเด็ดขาด เรียบร้อย เมื่อกิเลส มันไม่เกิดอีก มันก็สิ้นชั่ว สิ้นกิเลสพาชั่ว เมื่อกิเลสตัวเหตุ แห่งการพาชั่ว ตายไปแล้ว ก็ไม่มีเหตุในใจ เราพาชั่วอีก ตกลงเราก็จะมีชีวิตอยู่อีก มีชาติตามธรรมชาติ มีชาติตามร่างกาย ชีวิตของเรา ก็ยังเกิดอยู่ ยังดำเนินไปอยู่ แต่ตัว เหตุ (สุมทัย) ที่จะทำชั่ว ไม่มีแล้ว มันก็สิ้นชั่ว ไม่ทำชั่ว ถ้าเรายิ่งสิ้นชาติ คือสิ้นกิเลสหมดเลย ชาติของกิเลส หมดไปในจิตเราเลย เราก็ยิ่ง ทำชั่วไม่เป็น สักอย่าง เราก็ทำชั่วอันนั้น ไม่เป็นอีก ถ้าเราหมด กิเลสทุกตัว ในจิตเราเลย กิเลสตาย ไม่เกิดอีกทุกตัว เราก็ทำชั่ว ไม่เป็นสักอย่าง นี่คือ สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว ถ้าเราสิ้นกิเลส เป็นบางตัวล่ะคะ พ่อท่าน : ถ้าเราสิ้นกิเลสตัวไหน ตัวนั้นก็ไม่พา ทำชั่วอีก ตัวไหนที่มัน ยังไม่สิ้น มันก็พา เราทำอยู่ กิเลสตัวใหญ่ ก็ทำหนักทำมาก เหลือน้อยก็ยังทำน้อย เพราะงั้น ก็ต้องทำให้ กิเลส หมดสิ้นเกลี้ยงทุกตัว เมื่อสิ้นชาติ ไม่มีกิเลสเกิด อยู่ในใจเรา หมดทุกตัว ก็สิ้นชั่ว หมดทุกตัว ก็ทำชั่วไม่เป็น สักอย่าง ชาติ ที่เหลือคือร่างกายที่เหลือ และจิตใจที่เหลือ หรือว่าธรรมชาติ สิ่งที่สังเคราะห์ กันขึ้นมา เป็นร่างเป็นกาย และจิตใจ เป็นมนุษย์ในโลก จึงเป็นมนุษย์ คือผู้มีจิตสูง แท้จริง ถือว่าเป็นมนุษย์ สุดยอดแล้ว เป็นมนุษย์อรหันต์ หรือมนุษย์ ที่ตัวเหตุแห่งทุกข์ หรือตัวเหตุแห่งชั่ว ตายสิ้นหมดเกลี้ยงเลย เรียกว่า ทำชั่วไม่เป็นเลย สัพพปาปัสสะ อกรณัง ชั่วทั้งหลายไม่ทำ กุสลัสสูปสัมปทา ทำเป็นแต่ดีให้ถึงพร้อม สจิตตปริโยทปนัง เพราะเราได้ชำระกิเลส สิ้นเกลี้ยง จิตใจ ใสสะอาดหมดแล้ว ตามคำสอน พระพุทธเจ้า ในวาระสิ้นปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ลูกๆขอพร จากพ่อท่านค่ะ พ่อท่าน : สั้นๆ ปฏิบัติธรรม ตั้งใจปฏิบัติธรรม พากเพียรจริงๆ อาตมาไม่มีอะไรอื่น เป็นเรื่องสำคัญ ของชีวิต เรื่องอื่นก็เท่านั้นแหละ เพราะธรรมะ พระพุทธเจ้านั้น เมื่อนำไปปฏิบัติแล้ว มันเลี้ยงชีวิต ไปได้ด้วย มันยังชีพไปได้ อย่างดีด้วย มันทำอะไร ต่ออะไรก็ดี สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ มันจะหมดความข้องใจ มันจะหมด ความกังขา หมดอาชีวิตภัย ความเกรงกลัว ในการจะยังชีพ ในการดำเนินชีวิต ไปนั้น ไม่มีอีกเลย สมบูรณ์ด้วยพลัง ๔ ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ พ่อท่านให้พรพวกเรา แล้วคนข้างนอกล่ะคะ พ่อท่าน : คนข้างนอกก็เหมือนกัน อาตมาอธิบายธรรมะ ตอนหลังนี่ ก็ชัดเจน ก็ย้ำอยู่แล้วว่า จะคนข้างไหนก็ตาม ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ไม่มีศีล ๕ ยังละเมิดศีล ๕ อยู่ ก็เกิดมา เสียชาติเกิดทั้งสิ้น คุณก็ยังเป็นผู้มี อบายอยู่ทั้งนั้น ยังเป็นคนเจริญไม่ได้ หรือยังเป็นมนุษย์ สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น คนข้างนอกก็ตาม เป็นเบื้องต้น ต้องละอบาย คือ ถือศีล ๕ บริสุทธิ์ ให้ได้ก่อน จึงจะได้ชื่อว่า เป็นมนุษย์สมบูรณ์ บทสรุป
|
||||
|
||||