บทเรียนของวิชา “รัฐพุทธศาสนศาสตร์”
(การเมืองการปกครองแบบพุทธ)


ช่วงเตรียมงาน......

วันที่22 พ.ย.55 พวกเราประชุมเตรียมการชุมนุม  พูดถึงงานต่างๆ ที่รับผิดชอบ กันมากมาย ตั้งแต่อาหาร พยาบาล เต็นท์ ห้องน้ำ ห้องส้วม ฯลฯ แต่จะใช้เพียง วัน 2 วัน มันจะคุ้มไหม? ที่จะต้อง ไปก่อไปสร้าง กับงานแป๊บเดียวเลิก!
---มักเป็นคำถามที่พวกเรา สายประหยัด จะต้องหยิบยก ขึ้นมาพิจารณา อยู่เสมอ

คุณไทยแท้ (มั่นแม่น) อธิบายเปรียบเทียบให้ฟังว่า ขนาดเขากางเต็นท์ เตรียมเวที จัดงานคอนเสิร์ต แค่คืนเดียว เขายังทำเลย นี่พวกเรา ทำเพื่อชาติ ซึ่งสำคัญยิ่งใหญ่กว่า หลายเท่า ทำไมจะทำไม่ได้..

ส่วนพ่อท่าน ก็ให้สัมมาทิฐิว่า ครั้งนี้เป็นการเรียนรู้ ประชาธิปไตย บทที่ 1 หน้า 2 (หน้า 1 คือ การชุมนุมเมื่อ 24 ต.ค.55 ที่สนามม้า นางเลิ้ง)  ซึ่งหัวใจของ พระโพธิสัตว์นั้น ท่านจะคิดเผื่อเหลือ ให้มากกว่าเผื่อขาดอยู่แล้ว

 

 

 

ดังนั้นงานนี้จึงได้เห็นเต็นท์ขนาดใหญ่ ค่อย ๆ กางขึ้นไป ตามจำนวนคน อยู่ตลอดเวลา จากเดิม ที่เรามีเพียง ๓ เต็นท์ (ขนาด 17 x 20 เมตร) แต่เมื่อทีม ศิษย์เก่า และเด็กอาชีวะ มีไฟ ที่จะทำกัน พ่อท่านฯ ก็อนุมัติให้ทำให้เต็มที่ ไปเลย สุดท้าย ผลงานที่ลุยกัน ทั้งวันทั้งคืน จึงได้เต็นท์ออกมาทั้งหมด 15 เต็นท์

ฝ่ายจัดอาหารพ่อท่านถามว่า พ่อท่านจะฉันที่ไหน? เมื่อใด? หมู่สมณะ ส่วนใหญ่ เห็นว่า ควรฉันให้เรียบร้อยไปก่อน ที่จะเข้าสู่ ลานพระบรมรูป ทรงม้า เพราะไม่แน่ใจว่า ถ้าคนมามาก จะออกมาลำบาก หรือ เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น จะไปนั่งฉันอยู่ คงไม่ได้  พ่อท่านฟังแล้ว ก็เห็นด้วย แต่พอได้รับทราบ กำหนดการว่า พ่อท่านเทศน์ 9.20 – 9.45น. แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่มีอะไร ที่พ่อท่าน จะต้องทำอีก จึงน่าจะมีเวลาไปฉันได้ พ่อท่าน ก็กลับมาเห็นด้วย กับข้อเสนอหลังนี้ แถมบอกด้วยว่า ไม่ฉันสักวัน ก็ไม่เป็นไร

 

 

 

ดูพ่อท่านสบายๆไม่คิดห่วงตัวเองเลย! จึงก็ทำให้เรารู้สึก คลายความวิตกไป โดยไม่คิดว่า จะเกิดเหตุการณ์ ทำให้ต้องพากัน อดจริง ๆ....  ก่อนวันสุกดิบของงาน พ่อท่านก็เร่ง เขียนต้นฉบับ ให้กับ “เราคิดอะไร?” ที่รอปิดเล่ม จนเที่ยงคืน กว่าจะได้จำวัด  แม้จะมีงานรัดตัว อยู่หลายด้าน แต่ท่านก็เดิน ไปให้กำลังใจ พวกเรา ที่เตรียมงานกัน อย่างจ้าละหวั่น เป็นระยะ ๆ เป็นสุดยอด กระบวนท่า ที่ “ทำเมื่อไหร่ ก็สนุก - หยุดเมื่อไหร่ก็สบาย” จะหยุด เมื่อไหร่ จะทำเมื่อไหร่ ก็ไม่ติดไม่ขัดอะไร (ภาวะมุทุ , กัมมัญญา)

 

 

 

 

เนื่องจากวันสุกดิบเจ้าหน้าที่ FMTV ต้องเตรียมติดตั้ง อุปกรณ์ กันที่ลาน พระรูปก่อน  จึงขอนิมนต์ พ่อท่าน ให้ย้าย มาจัด รายการสด “เรียนอิสระ ตามสำนึก” ที่ลานพระรูป   และ จะได้ทดสอบ ความพร้อม ไปในตัว แม้จะยัง ไม่ถึงวันงาน  แต่ญาติธรรม และ ผู้มาร่วมชุมนุม ก็เริ่มหนาตา มีการเปิด ประเด็น “สิบแสนกระพือปีก” ขึ้นมาใน การบรรยาย  พ่อท่านก็รับลูก มาขยายความ อย่างสบาย ๆ จนครบ ๒ ชั่วโมง  จากนั้น จึงได้ไป หาที่พัก จำวัดกัน บนอัฒจันทร์สนามม้า  คืนนี้จึงเป็นคืนที่ พ่อท่าน มีเวลาได้พัก ยาวนานกว่าทุก ๆวัน  เพราะงานการทั้งหมด ได้วางไว้ที่ สันติอโศก เรียบร้อยแล้ว

ขบวนธรรมยาตรา เริ่มเคลื่อนเวลา ๐๗.๐๙น.
และแล้ว พอถึงวันที่ 24 พ.ย.หมู่สมณะ สิกขมาตุเกือบ ทั้งหมด รีบฉันแต่เช้า ตี 5 การเดินธรรมยาตรา ครั้งนี้ มีสมณะ และ พระอาคันตุกะ ทั้งหมด ๑๐๙ รูป มีสิกขมาตุ ๑๙ รูป  และกรัก ปะอีก ๙ คน เริ่มออกเดินกัน เวลา ๐๗.๐๙ น.  พ่อท่านนำขบวน ธรรมยาตรามา ถึงลานพระรูป ประมาณ ๐๗.๔๕ น. เป็นการเดิน ที่มีประชาชน ถือธงเหลือง และธงชาติ ยาวมากกว่าครั้งใด ๆ ๐๘.๑๓ น. แซมดิน พาอาสาสมัครส่วนหนึ่ง ไปรับประชาชน ที่ถูกตำรวจ บล็อคไว้ ที่สะพานมัฆวาน ไม่สามารถเข้ามา ร่วมชุมนุมได้ ด้วยความพาซื่อว่า ผู้ใหญ่ประสานกันไว้ เรียบร้อยแล้ว จึงไม่ได้ เตรียมพร้อมอะไร คิดว่า พาประชาชน ไปดันพอเป็นพิธี ก็จะนำพี่น้องเข้ามาได้ แต่พอดันกัน หน่อยเดียว ตำรวจก็ใช้ แก็สน้ำตา กับประชาชนทันที แล้วยังแถมจับ เอาไปอีก เป็นร้อย  ซึ่งชี้ให้เห็น การส่อเจตนา ที่จะยั่วยุประชาชน ให้ปั่นป่วน วุ่นวายขึ้นมา แถมยังมีข่าวออกมา ว่าถูกจับเอาไป ไว้ในทำเนียบ  จนเวทีกลาง ต้องรีบประกาศ ห้ามประชาชน ไปทำเนียบ เด็ดขาด  ไม่ตกเข้าไป ตามแผน ที่คาดว่า ตำรวจขุดล่อเอาไว้

เหตุที่พ่อท่านเข้าไปรับแก็สน้ำตากับเขาเต็ม ๆ
๐๙.๒๑น. พ่อท่านเริ่มแสดงธรรมต่อจากพิธีบวงสรวง ของพราหมณ์ จวบจน กระทั่ง พ่อท่านเทศน์จบ พ่อท่าน ปวดถ่าย จึงเดินไป เข้าส้วม ที่พวกเราทำไว้ สำหรับผู้ชุมนุม แต่เพราะอยู่ ไม่ห่างจาก จุดที่ปะทะกับตำรวจ มากนัก (แยกมิสกวัน) พ่อท่าน ก็เลยเดินไป ดูเหตุการณ์ และได้พากันเข้าไป ถึงหน้าแนวกั้น ของตำรวจเลย ทีเดียว คนบน รถเครื่องขยายเสียง ก็พูดว่า พ่อท่าน จะมาเจรจาแล้ว ให้ฝ่ายตำรวจ ส่งคนออกมา เจรจาด้วย พ่อท่าน ก็เลยตามเลย ที่จะเข้าไปเจรจา ตามที่เขาประกาศ แต่หัวหน้า ของเขาไม่มา พ่อท่านก็พูดว่า “ถ้าตำรวจ ไม่เปิดทางให้ อาตมา ก็จะนั่งอยู่ตรงนี้ล่ะ” แต่รออยู่ครู่หนึ่ง เสธ.อู๊ด (พล.อ. กิตติศักดิ์ ) ก็เดินฝ่าตำรวจ ขอเข้าไปเจรจากับ ผู้บังคับบัญชา ตำรวจแทน

 

 

 

 

พ่อท่านรอฟังอยู่พักหนึ่งเสธ.อู๊ดไม่ออกมา จึงถอยมานั่ง ที่ด้านหลัง รถเครื่อง ขยายเสียง รออยู่นาน เหตุการณ์ก็ไม่ได้ คลี่คลายลง ต่างฝ่าย ก็ยังประจันกันอยู่ คุณแซมดิน มาสมทบ และเล่าว่า ช่วงเช้า ก็ได้รับคำสั่งมา ให้นำผู้ชุมนุม ไปผลักดันตำรวจ คิดว่า ไม่มีอะไร รุนแรง เพราะผู้ใหญ่ เขาตกลงกัน กับตำรวจก่อนแล้ว แต่เมื่อเช้า กลับได้รับ แก๊สน้ำตา และยังถูกจับ กันไปด้วย ตั้ง 100 กว่าคน ซึ่งมีคุณมั่นแม่นด้วย จึงทำให้งานต่างๆ ต้องชะงัก และ ตอนนี้ คุณแซมดิน ทำหน้าที่เป็นแกนตาม ไม่ใช่แกนนำ เมื่อไม่มี คำสั่งใด ก็คงได้แต่ นั่งรอ และ พยายามติดต่อ คุณมั่นแม่น ซึ่งส่งข่าวมา เป็นระยะๆว่า ถูกกักขังอยู่บนรถ ที่วิ่งไปเรื่อยๆ ...สร้างความกังวลใจ ให้มากทีเดียว

คนเตรียมถวายอาหาร ก็โทร.มาถาม.. พ่อท่านไม่ลังเล ให้ตอบ ปฏิเสธ ทันทีว่า วันนี้ จะงด ฉันอาหาร แต่อีกไม่นาน เขาก็ติดต่อ จะนำน้ำซุปมาถวาย และ สุดท้าย ก็หิ้วมาเองเลย.. พ่อท่าน ก็ไม่ได้รับ เนื่องจากเห็นสถานการณ์ ขณะนั้น คงลุกออก ไปไหน ไม่ได้แล้ว แต่ต้องอยู่ เพื่อยังความสงบไว้ และช่วงนี้ การติดต่อ ทางโทรศัพท์ ยากลำบากมาก ติดๆ ดับๆ (เพื่อนสมณะ และพวกเรา บอกว่า คงจะถูก บล็อคสัญญาณ)

 

 

 

ต่อมาหมู่สมณะสิกขมาตุ และญาติธรรม เมื่อทราบว่าพ่อท่าน อยู่ที่นั่น ก็ติดตามมานั่งด้วย มีคนส่งหน้ากากปิดปาก ปิดจมูก กันฝุ่น และถุงพลาสติก มาให้เตรียมพร้อม สักพักใหญ่ๆ ประมาณ 14.00 น. ตำรวจก็ทั้งโยนและยิง แก๊สน้ำตาเข้ามา ทำให้รถ เครื่องขยายเสียง ของผู้ชุมนุม ที่อยู่ด้านหน้า ต้องถอยร่นเข้ามา เกือบจะถึง ที่พ่อท่านแล้ว พวกเรา จึงรีบพา พ่อท่านออกมา ด้วยความทุลักทุเล โดยพ่อท่านเอง ก็ไม่เข้าใจ เทคนิค การใส่ถุง พลาสติก ครอบศีรษะ.. ไม่ได้เปิดให้อากาศดี เข้าไปก่อน (จะเตรียม ก็ไม่ทัน) ดังนั้น พอแก๊สน้ำตาเข้ามา ท่านก็สวมถุง จึงทำให้แก๊ส เข้าไปในถุงเต็มๆ พ่อท่านเล่า ภายหลังว่า มีอาการอึดอัดมาก หายใจไม่ออก .. คิดถึงความตายเลย แต่พยายาม อดทนฝืนสู้

 

 

 

ในที่สุดเมื่อพาพ่อท่านมาถึงด้านหลังเวทีใหญ่ คุณต้นกล้า (พยาบาล กองทัพธรรม) เลือกรถตู้ ที่ใช้งาน ของทีมถ่ายทำวิดีโอ ซึ่งพอจะเคลียร์ ของได้ มาใช้เป็นที่ ปฐมพยาบาล พ่อท่าน... ประมาณ 30 นาที พ่อท่านก็ดีขึ้น จนเกือบเป็นปกติ ขณะที่เสียง โทรศัพท์ถามถึง อาการพ่อท่าน เข้ามาไม่ขาดสาย พอๆ กับ หยูกยา อีกหลายขนาน..ฯลฯ

ประมาณ ๑๖.๐๐น. มีการประเมินสถานการณ์ กันอีกครั้ง จึงนำไปสู่ จุดตัดสินใจ ที่จะยุติการชุมนุม โดยกำหนดให้ พ่อท่าน ขึ้นอธิบาย นำร่องไปก่อน แล้วให้เสธ.อ้าย ขึ้นมา ประกาศอีกที  การประกาศเลิก อย่างกะทันหัน ทำให้เสธ.อ้าย ถูกวิจารณ์ว่า เป็นคนไม่มีแผน ไม่มีท่า... แต่นี่แหละ คือสุดยอด กระบวนท่า ของนักรบ ทั้งที่บนเวที ประกาศว่า ไม่ชนะไม่เลิก ตายเป็นตายกัน แต่ว่าภายในไม่กี่วินาที สถานการณ์ก็พลิกกลับ ประกาศยุติ การชุมนุมทันที นี่คือ สุดยอดกระบวนท่า อันเกิดจาก การที่แกนนำ ไม่พยายาม ยึดติด ความคิดความเห็น ตามแผนของตัวเอง แม้ลึกๆ เสธ.อ้าย อยากพา ประชาชนลุย แต่เมื่อได้มาประชุม ต่างคน ต่างรับฟัง ซึ่งกันและกัน และเสธ.อ้าย ให้ความเคารพ ต่อความคิดเห็น ของพ่อท่านด้วย น้ำหนัก เลยมาจบกันที่ว่า เราควรจะรักษา ความปลอดภัย ของชีวิตประชาชน ดีกว่าลุยต่อ นับเป็น การเสียสละ ของแกนนำของเสธ.อ้าย ที่ยอมตายแทน ประชาชน

ในเวลาประมาณ ๑๗.๐๐น. แม้พื้นที่จะเต็มจนล้น... มวลชน ก็ยังหลั่งไหลมา อย่างไม่ขาดสาย ... พ่อท่านได้ขึ้น แสดงธรรม บนเวที และได้เล่าประสบการณ์ ในการเจอกับ แก๊สน้ำตา พ่อท่านได้แสดง ให้เห็นถึงจิตใจ ที่ไม่ได้หวั่นไหว แม้แก๊สน้ำตา จะทำเอาพ่อท่าน หายใจไม่ออก เหมือนจะขาดใจก็ตาม

พ่อท่านกล่าวถึงการมาชุมนุมครั้งนี้ คือการแสดง พลังวิถีประชาธิปไตย ที่สวยงามที่สุด เพราะมวลชนครั้งนี้ มากกว่า การชุมนุม ครั้งก่อน ที่สนามม้านางเลิ้ง 

พ่อท่านชี้ว่า การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งมีหน้าที่ตาม รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐ ม.๗๐ “บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และ การปกครอง ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญนี้” แม้การชุมนุม ครั้งนี้ ไม่อาจทำให้คนพาล ยอมรับได้ ต้องอาศัย สถาบันตุลาการ ประชาชน มีสิทธิเป็น เจ้าของบ้านเมือง การชุมนุมนี้ จึงถือเป็นการแสดง ประชาธิปไตย อย่าง "อันดับ๑" เลย เพราะกระทำตาม กฎหมาย รธน. (อำนาจ ลำดับหนึ่ง) ดังนั้น ประชาชน ถือเป็นอำนาจที่ ๑ ในทางการเมือง และ แม้แต่ พระมหากษัตริย์ ก็ยังทรงอยู่ภายใต้ รัฐธรรมนูญ... ลักษณะ ประชาธิปไตยแท้ๆ จึงเป็นการ "แสดงมวล อำนาจ อธิปไตย ของเราเอง แท้ๆ เป็นเสียงจากเรา... ไม่ใช่ไปเลือกตั้ง หาผู้แทน"

สรุป ขอให้ผู้ชุมนุมเข้าใจว่า เราเดินทางในครรลอง ประชาธิปไตย อย่างถูกที่สุด แล้ว อย่าได้ละเมิด ไปเอาชนะคะคาน แม้จะถูก มองว่า ชุมนุม ไม่สัมฤทธิ์ผล ตามที่ได้ประกาศไว้ ก็ตาม เราไม่ได้แพ้... เราชนะอย่างสวยงาม เพราะเรา ไม่ได้ละเมิดอะไร

ก่อนการชุมนุม ศาลรธน.ได้ตัดสินแล้วว่า การชุมนุมครั้งนี้ สามารถ กระทำได้ อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งทางองค์การพิทักษ์สยาม ก็ได้ประกาศว่า จะชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ สันติ อหิงสา ไม่เคลื่อน ไม่ยึดสถานที่ใดๆ แต่รัฐบาล ก็ได้ประกาศ ใช้ พรบ. ความมั่นคง ในราชอาณาจักร อย่างไม่สมเหตุสมผล เป็นการออก พรบ. มาปกป้องรัฐบาล แต่ไม่ใช่ ปกป้องประเทศชาติ แต่อย่างใด เป็นการกระทำ เกินกว่าเหตุ

ก่อนหน้าการชุมนุม รัฐบาลก็นำวิชามาร มาสกัดมวลชน เช่น กักรถ ตรวจปัสสาวะ ข่มขู่ทำร้าย ปล่อยงู วางตะปูเรือใบ และสารพัด วิชามาร ซึ่งการกระทำของรัฐตำรวจ เช่นนี้ ถือว่า เป็นการ แพ้ฟาล์ว ของรัฐบาล ที่ทำผิดกติกา ข้อสำคัญคือ ตำรวจไม่ได้ ปฏิบัติ ตามขั้นตอน จากเบาไปหาหนัก แม้จะมี การเตือนก่อน ก็มีเพียงป้ายบอกว่า จะใช้แก๊สน้ำตา เป็นการเลี่ยง กฎหมาย เท่านั้น ไม่ได้แสดงเจตนา จะเตือนอย่างจริงใจ การฉีดน้ำไล่ ซึ่งเป็นขั้นตอน ก่อนการยิงแก๊สน้ำตา ท่านก็ทำ เพียงเป็นพิธี ถือว่า ตำรวจกระทำ แบบหนักไปหาเบา ดังนั้น โดยความจริง ตำรวจและรัฐบาล พ่ายแพ้แล้ว ตามวิถี ประชาธิปไตย

หลังจากที่พ่อท่านได้แสดงธรรม ในเวลาประมาณ ๑๗.๒๒ น. พล.อ. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การ พิทักษ์สยาม ผู้นำการชุมนุม ก็ได้ออกมา ประกาศ ยุติการชุมนุม โดยได้กล่าว แสดงความเสียใจ และขอบคุณประชาชน ผู้รักชาติ ที่เสียสละ มาร่วมชุมนุม และเพื่อไม่ให้เกิด การสูญเสีย เลือดเนื้อ และ ชีวิตของ ผู้ชุมนุม จึงประกาศ ยุติการชุมนุม

 

 

 

 

 

 

 

การประกาศยุติการชุมนุมอย่างกะทันหัน ท่ามกลาง บรรยากาศ ผู้ชุมนุม เนืองแน่น และ ยังคงหลั่งไหลกันมา อย่างไม่ขาดสาย ทำเอาทั้งผู้ชุมนุม หน้าเวที และหน้าจอ ต่างเกิดอาการ “งง” ไปตามๆกัน แต่ด้วยธรรมฤทธิ์ ผู้ร่วมชุมนุม ต่างพร้อมใจกัน ปรบมือ ให้กับ ความกล้าหาญ ในการตัดสินใจ ของเสธ.อ้าย ที่ยอมเสียหน้า แต่ไม่ยอมเสียชีวิต ของพี่น้องผู้ร่วมชุมนุม แม้แต่คนเดียว

การได้มีผัสสะจริง ในเหตุการณ์จริง เป็นปรากฏการจริง เอากาย ไปสัมผัส ทั้งแก๊สน้ำตา และ ฝ่ามือฝ่าเท้า รวมทั้ง กระบอง ของตำรวจ ทำให้ นักปฏิบัติธรรม ได้เห็นอาการจิตโกรธ โมโห มีความหวั่นไหว กังวล กลัวบาดเจ็บ กลัวตาย แม้แต่มีความทุกข์ ใดๆเกิด แล้วได้รู้ได้เห็น เป็นปัจจุบันธรรม นั่นคือเราได้ “เห็นเป้าหมาย” ของการไปชุมนุม และ ยิ่งเรา ได้ทนอยู่กับ อารมณ์ทุกข์ ในขณะนั้น โดยไม่หลุด แสดงความโกรธ เกลียด เคียดแค้น ชิงชัง ทางกาย วาจาออกไป แม้จะมีอาการอารมณ์ อยู่ในใจ แต่ก็ไม่หนีผัสสะ ถือว่าได้ปฏิบัติธรรม “เข้าเป้า” แล้ว และจะเป็น การปฏิบัติธรรมได้ทะลุเป้า เมื่อเรามีปัญญา พิจารณา จนจิตสงบ จากอาการกิเลส อดทนกับทุกข์นั้น ได้อย่างไม่ยาก ไม่ลำบาก สามารถมีเมตตา และ ให้อภัยได้ นั่นก็คือ ได้ปฏิบัติธรรม มีผลจริง แบบ “ทะลุเป้า”

ภาพรวมของการชุมนุมครั้งนี้ ประชาชนผู้รักชาติ ส่วนใหญ่ รวมทั้ง นักปฏิบัติธรรม ของกองทัพธรรม ล้วนปฏิบัติ ได้อย่าง “เข้าเป้า” เห็นได้อย่างชัดเจน แม้จะถูกสกัดกั้น ข่มขู่คุกคาม ตั้งแต่เริ่ม เดินทางออกจากบ้าน ก็ไม่ได้ย่อท้อ หวั่นไหวกัน รถบัสมาไม่ได้ ก็ใช้รถเล็ก รถไฟ แยกย้ายกันมา  เมื่อมาถึงแล้ว ก็ยังมาเจอ กองกำลังตำรวจฝ่ายเสื้อแดง ใช้สารพัดวิชามาร เล่นงาน ทุกรูปแบบ 

ฝ่ายประชาชน แม้จะโกรธแค้น  เพราะทั้งถูกกระทืบ ทั้งโดน ทุบตี ด้วยกระบอง เพื่อนฝูง พี่น้อง ถูกจับตัวไปเป็นร้อย โดนแก็สน้ำ แบบหมดอายุ ทำให้รู้สึก แบบจะขาดใจไปตาม ๆ กัน ถึงกระนั้น ก็พยายามรักษา ความชอบธรรมกันไว้ ไม่ไปละเมิด จนเกิด ความรุนแรง ขึ้นมา จวบจน ได้ยุติการชุมนุม แม้ขณะการชุมนุม ถูก “จุดติด” อารมณ์สู้ของผู้คน ไม่คิดถอยกันแล้ว แต่เมื่อได้ฟัง เหตุผล ที่จะต้องหยุดกัน คนส่วนใหญ่ ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนได้ แบบ ๑๘๐ องศา เป็นการยุติการชุมนุม อย่างสงบเย็น ท่านกลางสายฝน ที่ตกลงมา ในเวลาที่ เสธ.อ้าย ได้ประกาศ ยุติการชุมนุม ทำให้บรรยากาศ ยิ่งผ่อนคลาย ทั้ง จนท. ตำรวจ และผู้ร่วมชุมนุม ที่ได้ทยอย เดินทางกลับ ด้วยความสงบเรียบร้อย

ชาวกองทัพธรรมได้แสดงถึงสัมมาอาชีวะ ว่าเรามาจัดการชุมนุม แสดงมวลประชาธิปไตย อันดับ ๑ เป็นงานการเมือง ที่แท้จริง คือ การได้มาเสียสละ ได้อย่าง มีประสิทธิภาพ สามารถระดม สรรพกำลัง ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเพรียง ทั้งกำลังคน ที่แม้มี ไม่มาก แต่มีเอกีภาวะ มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน มีวินัย มีความศรัทธา ประกอบด้วย ความอ่อนน้อมถ่อมตน จะเห็นภาพของ โรงบุญมังสวิรัติ พร้อมแม่ครัว และวัตถุดิบ ที่พร้อมบริการ ให้ฟรี ด้วยน้ำใจ มีเต็นท์ใหญ่ ให้บังแดดบังฝน กางให้ในชั่วข้ามคืน รวมถึง เวที มีแสง สีเสียง พร้อมถ่ายทอด สดทาง FMTV ด้วยเทคโนโลยี แบบคนจนมหัศจรรย์ แต่ครบครันด้วย เนื้อหาสาระที่ “ทุกบรรยากาศ คือการรายงาน ความจริง” และ ที่ขาดไม่ได้ คือ มีให้แม้แต่ส้วม หลากสีสัน พร้อมสร้าง พร้อมเก็บ ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง

สาธารณูปโภคที่จำเป็นสำหรับการชุมนุม และการอยู่อาศัย เหล่านี้ เป็นการประกาศ ระบบสาธารณโภคี ที่ล้วนเนรมิต มาจาก กำลังสมอง และ สองมือเปล่า ของชาวอโศก ไม่มีเงิน ของนายทุน หนุนหลัง แม้แต่สัก ๖ พันล้านบาท แต่อย่างใด เป็นการทำตาม ปรัชญาในหลวง การเสียสละ คือ การได้ “Our loss in Our gain” เราทำอย่าง ไม่ได้หวังว่า จะได้อะไร นอกจาก การมาลดละ เสียสละ ไม่หวังความช่วยเหลือ จากมือที่สอง สาม สี่ หรือ มือสี ใดๆ เสร็จจากการชุมนุม เราก็มาเก็บกวาด ทำความสะอาด อย่างเบิกบาน มีพี่น้อง จากหลากหลายกลุ่ม ที่ไม่ใช่ชาวอโศก มาร่วมเก็บงานด้วย นี่คือ การได้มา ทำงานการเมือง เป็นประชาธิปไตย แบบพุทธ ที่มีความยิ่งใหญ่ ในโลก เป็นการศึกษา “รัฐพุทธศาสนศาสตร์” ที่ว่าด้วย ประชาธิปไตย บทแรก ของโลก ตามองค์พระศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงทำ เพื่อประโยชน์สุข ของมหาชน เป็นอันมาก

พ่อท่านกลับมาสรุปงาน ที่สันติอโศกอีกครั้งว่า.......
“อาตมา ยืนยัน ชัดเจนว่า เราไม่ได้แพ้ พูดย้ำยืนยัน อยู่หลายท ีว่า.. เราไม่ได้แพ้ ใครเขา จะมองว่าแพ้ ก็เรื่องของเขามอง เพราะเรา ไม่ได้แพ้ “ในเรื่องของ ประชาธิปไตย” คนแพ้นั่น คือ “คนผิด!” คนแพ้ไม่ใช่เรา เราไม่ได้เป็นผู้ผิด เราไม่ได้เป็นผู้แพ้ ก็พูดชัดเจน คนมีปัญญา เขาก็จะฟังรู้

เพราะฉะนั้น เรื่องที่มันเกิดขึ้นนี้ มันเป็นการศึกษา อย่างแท้จริง ซึ่งอาตมา มองไกลไปว่า ประเทศไทย มีการศึกษา ประชาธิปไตย ที่งดงาม ไม่รู้นะ.. อาตมา ก็อาจจะไม่ได้เป็นคน กว้างขวางอะไร ก็ดูพฤติกรรมการเมือง ของต่างประเทศ แต่ละประเทศ เท่าที่อาตมา จะกว้างขวาง มีภูมิ มีปัญญา ที่จะรับรู้จาก ของต่างประเทศเขา

ประชาธิปไตย ของเขานี่แหละ อาตมาก็ว่า ของเขาไม่ได้งดงาม เท่ากับ ของไทยหรอก ใครจะเป็นคนสนใจ การเมืองต่างประเทศ ก็ลองๆ แย้งอาตมา ดูก็ได้ หรือ ยกตัวอย่าง ให้อาตมาฟังก็ได้ ว่าประเทศไหน ที่เขามีพฤติกรรม การเมือง ประชาธิปไตย ที่เขางดงาม เท่าที่เรากำลังเป็น อยู่ทุกวันนี้

อาตมาว่า ไม่ได้หลงนะ ไม่ได้หลงตนเอง หรือหลงละเมอ เพ้อพก มันเป็นความเห็นของอาตมา อย่างจริงใจ มันเป็นความบริสุทธิ์ใจ ที่ได้ประชาธิปไตย อย่างนี้ แล้วก็พาพวกเรา ทำประชาธิปไตย โดยพาพวกเราเป็นแกน ที่ไปประพฤติ ร่วมมือกับคนอื่นๆ ที่เขาจะเห็นด้วย หรือร่วมด้วยบ้าง อย่างที่เป็น นี่แหละ

 

 

 

 

สังเกตไหมว่า พออาตมาพูดจบ คนหลายๆ คน ก็จะเข้าใจ ไปขั้นหนึ่ง แล้วว่า นี่เราไม่ได้แพ้นะ เขาก็พากันเงียบลง ใช่ไหม? เพราะอาตมา ยังไม่ได้กล่าวปิด ยังไม่ได้ยกเลิก อาตมายกให้ เสธ.อ้ายเป็นคนกล่าว แทนที่จะมีคลื่น หรือมีอะไร ขึ้นมาก็ไม่มี... สุดท้าย เสธ.อ้าย กล่าวอีกทีหนึ่ง จึงได้มีเสียงปรบมือ กันขึ้นมา ถ้าเผื่อว่า มันไม่มีธรรมฤทธิ์พอ คนที่อารมณ์ค้าง.. อะไรว่ะ ลงทุน ลงแรง กันขนาดนี้ เลิกง่าย ๆ เกินไป   คนอย่างนี้ ยังมีอีกเยอะ อยู่ในนั้น อะไรว่ะ นี่จบแล้วหรือ นี่แพ้นะ.. นี่แพ้นะ!

แน่นอน แต่ทุกอย่าง เหตุผล หลักฐาน ทุกอย่าง ชี้บ่ง จึงทำให้เกิด การระงับ ด้วยธรรม นี่คือ เชิงปัญญา เมื่อเขากลับ ก็จะไปคุย กับคนโน้น คนนี้ เขาก็จะวินิจฉัย วิจัยกันไปอีก คนก็จะตามเห็น มันเป็นสิ่งที่ ปรากฏขึ้น ในสังคมแล้ว คนที่สนใจ เขาก็จะถกกัน เขาก็จะวิจัย วิจารณ์กัน มันก็เกิดการ กระจายความรู้ ไปทันที”

มันคือบทเรียนของวิชา “รัฐพุทธศาสนศาสตร์” (การเมือง การปกครอง แบบพุทธ) ที่ทุกคนสามารถ ใช้วิจารณญานของตัวเอง ตัดสินได้ มีความเสียสละ กล้าหาญ ที่จะรักษา ชาติบ้านเมือง และรักษาความชอบธรรม ได้ทุก ๆ สถานการณ์ ซึ่งเป็นไป ตามเป้าหมาย หรือเจตนารมณ์ ที่ชาวอโศก หรือ กองทัพธรรม มุ่งหมายต้องการ  นั่นก็คือ....

“มีบุคคลในสังคมในประเทศนี้  ได้เกิดสติ  ปัญญา มีความ ชอบธรรม เพิ่มจำนวนขึ้น ให้แก่ประเทศ ก็เพียงพอแล้ว”

บันทึกโดย ...กองงานปัจฉาสมณะ

สารอโศก อันดับ ๓๒๘ พ.ย. - ธ.ค. ๒๕๕๕ หน้า ๙๓-๑๐๑