นักรบอหิงสา สมรภูมิผ่านฟ้า ๑๘ กุมภาฯ'๕๗ |
เช้ามืดของวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตำรวจหลายพันนาย ปรากฏกายขึ้นที่ บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ส่วนใหญ่แต่งกายครบชุด บางนายสวมหมวกปิดบังใบหน้า บางนายเปิดเผยใบหน้า มาจากหลายหน่วยงาน บางหน่วยมาพร้อมกระบอง, โล่ และปืนลูกซอง และบางส่วน ก็มาพร้อมอาวุธหนักครบมือ ตั้งแต่ปืนพก ปืนกล จนถึงปืนสไนเปอร์!!! มีตั้งแต่ตำรวจปราบจราจล จนถึงหน่วยปฏิบัติการพิเศษ นเรศวร ๒๖๑, หน่วยอรินทราช ๒๖ เป็นสัญญาณว่า วันนี้ตำรวจพร้อมสลายการชุมนุม ที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๕ จุด ที่ศูนย์รักษาความสงบ หรือ ศรส. ประกาศขอคืนพื้นที่
แม้ว่ากองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) และกองทัพธรรม จะมีเพียงมือเปล่า กับหัวใจอหิงสา แต่ก็ไม่ได้หวาดหวั่นต่อกำลังคน และอาวุธของตำรวจแต่อย่างใด ยังคงนำอาหารและน้ำดื่ม ไปบริการแก่พี่น้องตำรวจ ที่มาอย่างมีมิตรไมตรี ซึ่งพี่น้องตำรวจ ก็รับน้ำใจจากผู้ชุมนุมอย่างเป็นมิตร
เวลา ๑๐.๐๐ น. พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บังคับการตำรวจจังหวัดสระแก้ว ได้เจรจากับตัวแทนกองทัพธรรม เพื่อขอพื้นที่การจราจรบริเวณดังกล่าว ผู้ชุมนุมก็ยอมให้เปิดการจราจร ผ่านได้บางส่วน ซึ่งก็เป็นที่พอใจของ พล.ต.ต.ยิ่งยศ ซึ่งท่านก็บอกว่า จะถอยกำลังกลับสระแก้วเลย และขอบคุณที่เราเอาข้าวเอาน้ำ ไปเลี้ยงเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยให้ตำรวจที่เข้าแถว รอการสลายการชุมนุมอยู่ตบมือ ขอบคุณด้วย เสร็จแล้ว ตำรวจจึงรับประทานอาหาร ที่เราเตรียมไปบริการ ดูเป็นมิตรไมตรีกันดี ผู้ชุมนุมและตำรวจ พูดคุยกันอย่างเป็นกันเอง มีการถ่ายรูปร่วมกัน ต่อจากนั้น เจ้าหน้าที่ จึงเริ่มถอนกำลังออกไป
แต่หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้กลับมาขอเจรจา เปิดพื้นที่เพิ่มเติมอีกครั้ง โดยจะเปิดพื้นที่ จากสะพานผ่านฟ้าฯ ไปจนถึงสะพานมัฆวานฯ ซึ่งผู้ชุมนุมไม่ยินยอม เพราะเห็นว่าตำรวจได้คืบจะเอาศอก
เวลา ๑๐.๕๕ น. โดยไม่มีการปฏิบัติตามขั้นตอน การสลายการชุมนุมอย่างสากล เจ้าหน้าที่ตำรวจ ถือกระบองพร้อมโล่ หลายร้อยนายได้ตั้งแถว พยายามรุกฝ่าแผงกั้น บริเวณแยกสะพานผ่านฟ้าฯ ด้านที่อยู่หลังเวที เข้าสู่ที่ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ผู้ชุมนุม ซึ่งมีทั้งฆราวาสและนักบวช รวมทั้งผู้สูงอายุ ต่างพากันนั่งสวดมนต์ อิติปิโสฯ กั้นขวางตำรวจไว้ แต่ตำรวจก็เดินย่ำผ่านผู้ชุมนุม มีการผลักดันด้วยโล่ และใช้กระบองตีผู้ชุมนุม ที่มีแต่สองมือเปล่า โดยไม่ฟังเสียงวิงวอนขอร้องจากผู้ชุมนุม จนมีผู้บาดเจ็บ และบางรายถูกตำรวจจับกุม ส่งเข้ารถคุมขังผู้ต้องหาอีกด้วย
จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ใช้รถแทรคเตอร์ ทำลายแนวกระสอบทราย ของที่ชุมนุมได้สำเร็จ และรุกไล่ประชาชน ถอยร่นเข้าไปเรื่อยๆ ขณะนั้น เวลา ๑๑.๑๑ น. อาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้ถูกจับกุม บริเวณเต็นท์การ์ด หลังเวทีผ่านฟ้าฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รุกเข้ายึดพื้นที่ ทำลายเต็นท์และข้าวของ ของผู้ชุมนุม ขณะที่พ่อครูสมณะโพธิรักษ์ ได้ขึ้นบนเวที พร้อมสมณะและสิกขมาตุ โดยพ่อครูได้ประกาศทางเครื่องขยายเสียง ให้ผู้ชุมนุมอยู่ในความสงบ สันติและอหิงสา อย่างต่อเนื่อง
"เราไม่มีอาวุธ เราไม่มีความเลวร้ายอะไร เราไม่มีความรุนแรงอะไรเลย เขามีสิทธิที่จะตรวจสอบได้ ว่าเรามีความรุนแรง มีอาวุธยุทธภัณฑ์อะไร แม้แต่กระบองอย่างที่เขาใช้ เรายังไม่มีเลย แต่เขาใช้ทุกอย่าง แม้แต่แก๊สน้ำตา นี่เขาก็ยิงปืนลูกยาง ปืนอะไรมาแล้ว ถ้าถูกก็บาดเจ็บได้เหมือนกัน เราไม่ตอบโต้ เราไม่ทำ เขาจะถือสิทธิ์ ถือหน้าที่ทำ เขาจะสามารถตอบโต้เรารุนแรงได้ เมื่อเราตอบโต้เขา แต่เมื่อขณะที่ เราไม่ได้ตอบโต้เขารุนแรงนี่ เขารุนแรงกลับคืนมาอีกเท่าไร นั่นคือ เขาบุกรุกเท่านั้น"
ต่อมา ตำรวจก็ปิดเครื่องปั่นไฟ ไมโครโฟนใช้ไม่ได้ พ่อครูจึงพูดทางโทรโข่งแทน เพื่อให้มานั่งสงบ รวมกันที่หน้าเวที โดยไม่ให้ผู้ชุมนุมตอบโต้ต่อตำรวจ แม้กระทั่ง การยกมือป้องกันก็ไม่กระทำ ก่อนที่จะมีการติดตั้ง เครื่องเสียงใหม่อีกครั้ง
แม้ว่ามวลชนของกองทัพธรรม และกปท.ส่วนใหญ่ จะต่อสู้ด้วยสันติ อหิงสา ไม่ตอบโต้ใดๆ แต่ก็ยังมีการปะทะกัน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กับกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย ซึ่งอยู่ข้างเวที ด้านที่ติดกับวัดปรินายก ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา ใส่ผู้ชุมนุมเป็นระยะ พร้อมกับยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม จนได้รับบาดเจ็บหลายคน โดยผู้ชุมนุมบางคน ก็ได้ขว้างปาสิ่งของใส่ตำรวจ โดยมีพ่อครู สมณะ และญาติธรรม ได้พยายามห้ามปราม ไม่ให้ตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เวลาประมาณ ๑๑.๔๐ น. มีการยิงอาวุธหนัก จากกลุ่มบุคคลไม่ทราบฝ่าย ที่อยู่รอบนอกการชุมนุม ใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีการโยนระเบิด ที่อาจจะเป็นชนิด เอ็ม ๖๗ เข้าไปในพื้นที่ชุมนุม โดยไม่เป็นที่แน่ชัดว่า มาจากทิศทางใด ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บ ๔ นาย ต่อมา มีเจ้าหน้าที่อาสากู้ภัย และ ผู้ชุมนุมที่กล้าหาญ ฝ่ากระสุนปืน นำตำรวจที่บาดเจ็บ ส่งโรงพยาบาลได้สำเร็จ ซึ่งพ่อครูที่อยู่บนเวที ก็บอกให้ผู้ชุมนุม เข้าไปช่วยตำรวจด้วย ส่วนทางฝ่ายผู้ชุมนุม ก็มีผู้บาดเจ็บเช่นกัน โดยตำรวจได้กลับไปตั้งหลัก ที่อาคารเทเวศน์ประกันภัย เป็นการตั้งแนวอยู่ ยังไม่กลับ เตรียมรุกเข้ามาใหม่ แต่ขณะนั้น ได้มีมวลชนจากเวทีอื่นๆ ตามมาสมทบอีกเป็นจำนวนมาก และรุกไล่ตำรวจ ให้ถอยร่นออกไป
เวลาประมาณ ๑๒.๐๐ น. ฝ่ายผู้ชุมนุม พยายามรุกเอาพื้นที่การชุมนุมคืน ไปถึงบริเวณ หน้าลานเจษฎามหาบดินทร์ ส่วนตำรวจ ยังตั้งแนวอยู่ที่บริเวณกองสลากฯ และมีเสียงปืนดังขึ้น บริเวณแนวปะทะกัน ระหว่าง ผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้มีผู้บาดเจ็บเพิ่มเติมอีก
ในเวลา ๑๒.๒๕ น. ก็ได้มีชายนิรนาม ไปช่วยอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กลับมาที่เวทีสะพานผ่านฟ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ผู้ชุมนุม พยายามรุกเข้าไปยึดพื้นที่คืน โดยช่วยกันผลักดัน ด้วยสองมือสองเท้า ขณะที่ตำรวจยิงปืนตอบโต้ ด้วยกระสุนจริง จึงทำให้ผู้ชุมนุมถูกยิง ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิตอีกด้วย จนเวลาประมาณ ๑๓.๒๐ น. เหตุการณ์จึงเริ่มสงบลง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ถอนกำลังกลับไปทั้งหมด ทิ้งรถแทรคเตอร์ ๒ คัน และรถกระบะไว้อีกนับสิบคัน
ต่อมา ศูนย์เอราวัณ กรุงเทพมหานคร รายงานยอดผู้บาดเจ็บ จากเหตุ ศรส. สั่งการให้ตำรวจ ขอคืนพื้นที่ แยกสะพานผ่านฟ้าฯว่า มียอดรวม ผู้บาดเจ็บ ๖๘ คน เสียชีวิต ๕ คน เป็นผู้ชุมนุม ๔ ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจ ๑ ราย นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญ ที่ต้องจดจำ ในความกล้าหาญ ของเหล่านักรบอหิงสา ในสมรภูมิผ่านฟ้าฯแห่งนี้
แม้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะมาสลายการชุมนุมด้วยความรุนแรง อาวุธครบมือ แต่ก็ต้องประสพ ความล้มเหลวกลับไป เพราะผู้ชุมนุมที่กปท. และกองทัพธรรม ล้วนเป็น "นักรบอหิงสา" ตั้งมั่นในอหิงสธรรม และเมตตาธรรม ไม่ได้ทำร้ายเจ้าหน้าที่ตอบ จึงทำให้การสูญเสียเกิดขึ้นไม่มาก เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชุมนุม หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากกระทำด้วยจิตใจที่มีเมตตาธรรม แม้ประท้วง ก็กระทำด้วยสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ก็ย่อมได้รับการตอบแทน ด้วยเมตตาธรรม แต่หากกระทำด้วยจิตใจ ที่ไร้เมตตาธรรม เบียนเบียนเข่นฆ่า ทำร้ายทำลายกัน ด้วยประการทั้งปวง ก็ย่อมจะประสพความเดือดเนื้อร้อนใจ ในภายหลัง ดังนั้น ชาวไทยทุกหมู่เหล่า พึงกระทำกรรมต่อกัน ด้วยเมตตาธรรม อันเป็นธรรมค้ำจุนโลก เหตุการณ์การสลาย การชุมนุมที่ผ่านฟ้าฯ ครั้งนี้ เป็นการยืนยันสัจธรรมที่ว่า "ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม"
ทีมงานข่าวอโศก
สารอโศก อันดับ ๓๓๓ หน้า ๐๔๗