บทฝึกในแดนขัง
หลายครั้งหลายครา ที่มีโอกาสเข้าไปร่วมชุมนุม ตั้งแต่พฤษภาทมิฬ, ต่อต้านเบียร์-เหล้า เข้าตลาดหลักทรัพย์, พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนกระทั่งถึง กปปส. ไปด้วยความจำเป็นทุกครั้ง อันเนื่องมาจาก พบกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อสังคมในวงกว้าง กองทัพธรรม จึงได้ออกมาสู่ท้องถนน เพราะเห็นว่า โดยบุคลิกของชาวกองทัพธรรม พอช่วยให้ความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ในช่วงเวลาที่ชุมนุมลดลงได้ และการชุมนุม สามารถดำเนินไปได้โดยสะดวก เนื่องจาก กองทัพธรรม มีแผนกต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง เช่น แผนกอาหาร ขยะวิทยา น้ำดื่ม สถานีโทรทัศน์สถานีวิทยุ ขนส่ง กองอำนวยการ การ์ด(ผู้รับใช้) พยาบาล ฯลฯ
แม้จะมีความปรารถนาดี ตั้งใจทำเพื่อให้สิ่งดีๆเกิดขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม ในบางครั้ง อาจต้องฝ่าฝืนกฎหมายเล็กๆน้อยๆบ้าง แต่รัฐบาลมักจะให้ข้อหา ที่เกินความจริงไปมาก เช่น ก่อการร้าย กบฏ ทั้งๆที่ระหว่างการชุมนุม ก็ถูกกระทำหลายรูปแบบ ตั้งแต่เอางูมาปล่อยในที่ชุมนุม, ตัดการส่งน้ำและอาหาร, วางตะปูเรือใบผู้ที่จะมาร่วมชุมนุม, ตรวจตรารถที่จะมาชุมนุม จนไม่สามารถมาร่วมชุมนุมได้ทันเวลา, ใช้อาวุธส่งครามแก่ผู้ชุมนุม จนมีการบาดเจ็บล้มตาย, อายัดบัญชีธนาคารของแกนนำ และผู้สนับสนุน, เผารถที่บ้าน, ยิงอาวุธส่งครามใส่บ้านแกนนำ และอื่นๆ อีกมากมาย ยิ่งเรื่องที่แถมสุดท้าย หลังชุมนุมเสร็จแล้ว ก็คือ คดีต่างๆ ที่ติดตัวแกนนำ จนต้องเดินทางไปขึ้นศาล หรือไปติดคุกบ้างก็มี
ผมเป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับประสบการณ์หลายอย่างที่กล่าว ยกเว้นตาย ดังนั้นการติดคุก จึงเป็นประสบการณ์หนึ่ง ที่น่านำมากล่าวถึง เนื่องจากหลายคน ไม่มีโอกาสเข้าไป และไม่อยากเข้าไป ตั้งแต่ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน เป็นเวลา ๓ วัน ตอนพฤษภาทมิฬ คุกเปรซอร์ ประเทศกัมพูชา ๑๘ วัน และสุดท้าย ที่เรือนจำกลางพิเศษ -กรุงเทพมหานคร เป็นเวลา ๑๐ วัน ขอยืนยันอีกครั้ง มิได้แสวงหา หรือมีความปรารถนา จะหาประสบการณ์ในคุก แต่เข้าเพราะความจำเป็น และจำนนทุกครั้ง และก็ไม่สบายทั้งกายและใจที่เข้าไปอยู่ เพราะต้องสร้างความลำบากให้คนจำนวนมาก ที่เข้ามาเยี่ยม มาค้ำประกัน มาทำคดีให้ และมาเป็นห่วง ยิ่งพออายุมากเข้า ร่างกายก็เริ่มประท้วง ข้อเข่าเสื่อม ระบบขับถ่ายเริ่มไม่เป็นเวลา ตา หู และสมอง เริ่มใช้งานไม่เต็มประสิทธิภาพ สร้างความลำบากกาย เพิ่มมากขึ้น อันเนื่องจากนักโทษมีจำนวนมาก ครั้งนี้จะขอเล่า ที่ไปติดคุกครั้งสุดท้าย ที่เรือนจำกลางพิเศษ กรุงเทพฯ ซึ่งยังพอจำได้ ไว้เป็นความรู้ความเข้าใจ เพราะหลายคนคงไม่มีโอกาสเข้าไป
ที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากคดีพันธมิตรฯ ชุมนุมปิดท่าอากาศยานดอนเมือง และสุวรรณภูมิ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๑ ซึ่งได้รับการประกันตัวแล้ว เมื่อมาร่วมชุมนุมประท้วงกับ กปปส. ได้มีการไปชุมนุม ที่หน้ากระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทางพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ จึงยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ศาลจึงมีหมายเรียก เมื่อมารายงานตัวแล้ว จะขอประกันอีก แต่ศาลไม่อนุญาต จึงต้องติดคุก ในเย็นวันจันทร์ที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ พร้อมกับนายพิชิต ไชยมงคล หรือตั้ม ในข้อหาเดียวกัน จึงมีเพื่อน ร่วมชะตากรรมด้วยกัน
วันแรกที่เข้าไปอยู่ที่แดนหนึ่ง ต้องใช้วิชาอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างมาก ต้องทิ้งตำแหน่งต่างๆ ที่อยู่ภายนอกออกทั้งหมด เพราะเพื่อนนักโทษไม่ทราบหรอกว่า เราเป็นใคร รู้เพียงว่าเราเป็นนักโทษใหม่ เพิ่งเข้ามา เปรียบเสมือนเป็นเด็กใหม่ ดังนั้น การตรวจ ก็จะใช้คำสั่ง แม้แต่กางเกงขายาวของเรา ก็ถูกตัดเป็นขาสั้น ด้วยมีดคัตเตอร์ เราก็ต้องกล่าวว่า “เชิญตัดเลยครับ” ในใจยังนึกว่า น่าจะใช้กรรไกร จะได้เรียบร้อยหน่อย ทุกคนต้องตัดผมเกรียน ซึ่งเราก็ตัดเป็นปกติอยู่แล้ว จึงสบายไม่มีปัญหา แต่ตั้มต้องโดนกร้อนผมอันหล่อเหลา ให้เป็นผมเกรียน เมื่อเข้าไปอยู่ในห้องขัง
วันแรกอยู่แดนหนึ่ง ห้อง ๑๓ มี ๒๐ กว่าคน กำลังพอดีพอดี ไม่เบียดกันมาก ห้อง ๑๓ จะเหมือนกับห้องอื่นๆ เพียงแต่ขนาดที่แตกต่างกัน มีลูกกรงด้านหน้า ด้านหลัง ซ้ายขวา เป็นปูนทึบ มีกล้องวงจรปิด ๒ ตัว มีห้องส้วม ๒ ห้อง ที่จริงไม่น่าเรียกว่าห้อง เพราะมีแต่โถนั่ง มีประตูไม้บานเตี้ยๆ ฝาเตี้ยๆ เห็นได้โดยรอบ คงเป็นมาตรการรักษาความปลอดภัย ที่ผู้คุมจะเห็นในทุกอิริยาบทของนักโทษ หัวหน้าห้องนิสัยดี คอยดูแลเอาใจใส่ บอกรายละเอียดต่างๆ อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เราถูกกำหนดให้มานอนกลางห้อง ๓ คน มีอดีตพระท่านหนึ่งอายุมากแล้ว ถูกจับมาด้วย นอนเป็นเพื่อนกัน วันแรกไม่มีอะไร ทุกสิ่งทุกอย่างดูราบรื่น
เช้าต้องตื่นก่อน ๖ โมงเช้า เพื่อทำกิจส่วนตัวให้เสร็จ ความจริงก็เคยติดคุก ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนแล้ว แต่ก็ไม่ชินกับการนั่งถ่ายในส้วม ที่โผล่มาครึ่งตัว มีผู้ชมโดยรอบ เช้าจึงไม่ได้ขับถ่ายในห้อง ถึงตอน ๖ โมงกว่าๆ คิดว่า เดี๋ยวมาเปิดห้อง ทุกคนคงได้ออกไป ผิดคาด ทุกคนได้ออกไป ยกเว้น แซมดินกับพิชิต ไม่ให้ออก ก็งง ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราจึงไม่ได้ออก
จะประท้วงก็ใช่ที่ เดี๋ยวคงทราบเหตุผล ก็ดีเหมือนกัน อยู่ ๒ คน เลยขับถ่ายสะดวก ห้องส้วมมี ๒ ห้อง สบายเลย มีเวลามากมาย ไม่นานเจ้าหน้าที่นำอาหารมาให้ เป็นข้าวกับผักกาดดอง ต้มกระดูกหมู เอาละซิ จะกินยังไง เพื่อเอาตัวรอด ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เจเขี่ยก็แล้วกัน
หลังจากกินข้าวเสร็จ หัวหน้าแดนหนึ่ง ก็ให้เจ้าหน้าที่มาเรียกเราสองคนไปพบ ให้ไปคุยในห้องทำงาน คุยเสร็จแล้วก็ยังไม่ให้ออกไปไหน เกรงว่า จะเกิดอันตรายแก่เรา เพราะแดนหนึ่ง มีนักโทษหลายฝ่าย เข้ามาอยู่รวมกัน จึงเข้าใจได้ว่า ทำไมไม่ให้เราออกมาเดินปะปนกับคนอื่นๆ ในตอนเช้า
หลังจากที่อยู่แดนหนึ่ง ๒ คืน ก็มีข่าวว่าจะย้ายเราสองคน จากแดนหนึ่งไปแดนอื่น ถือว่าเป็นข่าวร้าย สำหรับเราอย่างมาก เนื่องจากว่า เรากำลังทำความคุ้นเคยกับผู้คน และสถานที่ได้แล้ว มาย้ายไปแดนใหม่ ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ ยังไม่รู้จะเจออะไรบ้าง ในที่สุดก็เป็นจริง เราถูกย้ายไปอยู่แดน ๓ ห้อง ๒ ซึ่งมีอยู่แล้ว ๔๓ คน เราสองคนเข้าไปอีก จึงเป็น ๔๕ คน มีห้องส้วมอยู่ห้องเดียว เมื่อเข้าไป หัวหน้าห้องก็เข้ามาคุยด้วย แล้วจัดให้เรานอนอยู่ตรงกลาง ช่องทางเดิน ระหว่างปลายเท้าของนักโทษ ที่นอนเบียดกันอยู่ทั้งสองฝั่ง พอเวลานอน หันซ้ายก็เห็นเท้า หันขวาก็เห็นเท้า ต้องนอนตะแคง เกรงว่า จะไปโดนเท้าเพื่อน แต่ยังดี ที่เพื่อนนักโทษทุกคนล้างเท้า เมื่อเข้ามาในห้องนอนวันแรก นอนไม่ค่อยหลับ เพราะใครจะเข้าห้องน้ำ ต้องเดินผ่านเรา เท้าจะต้องมาผ่านหน้าเราทุกคน จริงอยู่ แม้จะเปิดไฟนอน แต่ก็ระแวง กลัวจะเหยียบพลาด พลิกตัวก็เกรงว่า แขนเราจะไปรบกวนเท้าเพื่อน เดี๋ยวจะตื่น เราเอง ก็ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ตอนกลางคืน เกรงว่าจะรบกวนเพื่อน แต่ก็จำเป็น เสียงกรนเสียงไอ เสียงจามและอื่นๆ ปะปนอยู่ในบรรยากาศยามค่ำคืน แต่อย่างไรก็ตาม ในที่สุดก็หลับ ไปตื่นตอนตีห้า ก็เลยไม่เพลียมาก พอไปได้ เช้าได้ออกไปพร้อมเพื่อนๆ ตอนหกโมงกว่าๆ โดยจะไปใช้ห้องส้วมรวม นอกห้อง ซึ่งมีจำนวนมาก และไม่ต้องรอกันนาน ก็สะดวกหน่อย แต่ที่แย่กว่าก็คือ เป็นที่เปิดเผย ใครห้องไหนผ่านไปผ่านมา ก็เห็นได้ เราเองเข่าเจ็บ นั่งยองๆไม่ได้ จึงเลือกโถนั่ง ยิ่งสูงเด่นเป็นสง่า ใครผ่านไปผ่านมา เห็นได้ชัดเจน แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็นั่งๆไปเถอะ ไม่มีใครสนใจหรอก นึกเช่นนั้น ก็สบายใจขึ้นมาบ้าง
ถึงเวลารับประทานอาหาร จะรับประทานเป็นรอบๆ เช้ากับบ่าย รอบละประมาณ ๔๐ นาที ตอนเช้า คณะของเราจะไปนั่งที่ศาลาริมน้ำ ข้างๆร้านค้า ไม่ได้เข้าไปรับประทานอาหารในโรงเลี้ยง รับประทานอาหาร ที่เพื่อนๆ เอามาเยี่ยมตอนบ่าย จะถูกเก็บมาไว้กินตอนเช้า หลังกินข้าวเช้า ก็จะไปเข้าแถว แล้วแบ่งงานกัน ตามหน้าที่ที่รับผิดชอบ ของเราสองคน ไม่ได้ถูกกำหนดให้ไปอยู่งานใดๆที่มี เช่น งานเชื่อมเหล็ก ทำกรงนก พับถุงกระดาษ ทำรองเท้า ฯลฯ จึงเข้าไปอยู่ห้องสมุด อ่านหนังสือ
บ่ายๆ ก็จะมีญาติมาเยี่ยม ค่อนข้างจะได้รับความผ่อนปรนตามสมควร เนื่องจากการเยี่ยมแต่ละครั้ง จะให้เวลาประมาณ ๒๐ นาที แต่เราสองคน มีคนมาเยี่ยม ครั้งละมากๆ เลยได้รับความกรุณา ให้ต่อเวลาได้ ๒ รอบบ้าง ๓ รอบบ้าง หลังจากเยี่ยมเสร็จ ก็จะรอรับของกินของใช้ ซึ่งแต่ละวันจะซื้อกันมากมาย แต่เราก็เลยเวลากินแล้ว จึงแบ่งเพื่อนๆ กินกันตอนเย็น เมื่อขึ้นไปเตรียมตัวนอน และเก็บอาหารบางส่วนไว้กินตอนเช้า
หลังจากอาบน้ำ กินข้าวแล้ว ประมาณบ่ายสาม ทุกคนจะถูกเรียกมาเข้าแถว เพื่อไปห้องของตน โดยห้องข้างบน ซึ่งมีนักโทษจำนวนมาก จะถูกเรียกขึ้นไปก่อน หลังจากเข้าไปแล้ว ก็ต้องนับกันอีกครั้ง ก่อนปิดประตู หลังจากนั้น ก็เป็นเวลาพักผ่อน บ้างก็จับกลุ่มรับประทานอาหาร บ้างก็ดูโทรทัศน์ บ้างก็คุยกัน บ้างก็อ่านหนังสือ หลังสามทุ่มก็นอน ก่อนนอนทางเรือนจำ จัดให้มีการสวดมนต์ ก็ทำให้บรรยากาศสงบลงบ้าง
พอคืนที่สอง คิดว่าจะได้นอนตรงกลาง ระหว่างเท้าเพื่อนอีก หัวหน้ามาบอกให้ไปนอนริมได้ เป็นคนที่สองติดห้องส้วม เนื่องจาก เพื่อนนักโทษทะเลาะกัน อีกคนจึงหนีออกมา เราจึงได้เข้าไปอยู่แทน ดีขึ้นมาหน่อย คราวนี้ใครจะเข้าห้องส้วม จะได้ไม่ผ่านเรา แต่เราอยู่เฝ้าห้องส้วม เลยได้บรรยากาศไปอีกแบบ ใครจะใช้ห้องส้วมเวลาไหน ใช้อย่างไร เสียงดังเสียงค่อย กลิ่นเป็นอย่างไร เรารู้หมดเลย
ชีวิตในเรือนจำ ซ้ำๆทุกวัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ บุหรี่สามารถใช้แทนเงินได้ ไปอยู่วันแรกๆ ยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวนักโทษ พวกนักโทษ ต้องให้เพื่อนที่มาเยี่ยม ซื้อบุหรี่มาให้ เพราะเขาห้ามใช้เงินสด การซื้อของที่ร้านค้า สามารถซื้อได้ โดยต้องมีบัตรประจำตัวนักโทษ และมีเงินฝากในบัญชี
ในแต่ละวัน มีข่าวส่งมา บอกเราว่าศาลท่านกำลังพิจารณา จะปล่อยตัวชั่วคราว ตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๗ แล้ว แซมดินกับพิชิต จึงดูไม่เครียดอะไรมาก ทุกๆวันตอนสองทุ่ม ก็จะรอว่า ผู้คุมจะมาเรียก พอเลยสองทุ่มแล้วก็หมดหวัง เป็นอย่างนี้ทุกวัน จนถึงวันพฤหัสที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๗ วันแห่งอิสรภาพชั่วคราวก็มาถึง เรารอ ยังไม่ทันถึงสองทุ่ม ผู้คุมก็มาเรียกตัว แล้วเปิดประตู ให้เราเก็บข้าวของ ความจริงเราเตรียมพร้อมไว้บ้างแล้ว หลังจากเก็บข้าวของไม่นาน ก็เดินออกไป คืนบัตร ตรวจของ ตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง จึงได้ออกมา รู้สึกดีใจ ที่ได้มาสู่อิสรภาพอีกครั้ง แม้จะเป็นการ ปล่อยตัวชั่วคราวก็ตาม มีญาติๆ และเพื่อนๆ ไปรับหลายคน ทุกคนต่างก็ดีใจ งานนี้ต้องกราบขอบพระคุณหลายๆท่าน ที่มีส่วนช่วยในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทีมทนายและผู้ใหญ่อีกหลายคน ที่พยายามให้ความช่วยเหลือ
ความทุกข์ที่เกิดขึ้น จากการเข้าไปอยู่ในคุก มีสารพัดเรื่อง เหมือนได้เข้าไปทดสอบจิตใจ เช่น ความทุกข์ที่เกิดขึ้น เพราะต้องอยู่กับคนจำนวนมาก ที่ไม่คุ้นเคย หลายคนหลายจริตหลายนิสัย โดยเฉพาะ คนที่มาอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ก็คือ คนที่เคยทำผิดมา ความหยาบ จึงมีหลากหลายรูปแบบ จากที่เราเคยเป็นผู้จัดการบริษัท ดูแลบริหารคนได้ เคยเป็นแกนนำ สามารถแสดงความเห็น แนะนำผู้คนได้ แต่มาอยู่ที่นี่ มันไม่ใช่ฐานะที่เราจะทำได้ เจอการกระทำผิด เจอการเบียดเบียนกดขี่กัน สาระพัดปัญหา ก็ไปทำอะไรเขาไม่ได้ ได้แต่มอง และพยายามยุ่งกับเขาให้น้อยที่สุด เพื่อตัดปัญหา ทำตัวแค่ให้มีชีวิตอยู่ให้ได้เป็นปกติ ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ปล่อยวางให้เก่ง จะมีเรื่องให้ต้องปรับจิตใจทุกวัน แค่เรื่องห้องไปอยู่ ๑๐ วัน ย้ายห้องถึง ๓ ครั้ง ย้ายทีก็ต้องปรับตัวที กับสภาพห้อง สภาพคน สภาพจิตใจเรา พบความบกพร่อง ความไม่ถูกต้อง ความอยุติธรรม ที่พบเจออยู่ในนั้น เยอะมาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยวาง อันไหนพอช่วยได้ก็จะช่วย เช่น ห้องสมุด ขาดหนังสืออย่างมาก ก็แจ้งมาทางกองทัพธรรม ทางเราก็จัดหนังสือธรรมะไปให้ ๑๒ ลัง ห้องสมุดขาดพัดลม และไฟไม่พอ ก็บอกให้ญาติมาช่วยทำบุญ เขาก็จัดมาให้ ก็พยายามช่วย แต่หลายๆเรื่อง ต้องปล่อยวาง การไปอยู่ที่นั่น เป็นการได้ไปปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น
สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ที่ผู้คนจำนวนมาก ต้องมาได้รับความเดือดร้อน จากคนโลภไม่กี่คน ความจริงต่างๆ เปิดเผยออกมา จนชัดเจนแล้ว ใครเป็นผู้กระทำ ใครเป็นผู้ถูกกระทำ ประชาชนเสียเวลาเสียแรง เสียเงินเสียชีวิต ทั้งบาดเจ็บพิการอีกมากมาย ถึงเวลาแล้วที่คสช. จะทำความจริง ให้กระจ่าง ให้ความถูกต้องดีงามเกิดขึ้น ไม่เคยมีครั้งใด ที่ประชาชนทุ่มเท ทำให้การเมืองไทยมากมายขนาดนี้ เมื่อถึงโอกาสนี้ อย่าให้ความไม่ถูกต้อง มาต่อรอง เพื่อไม่ให้สิ่งที่ประชาชนทำไป เสียเปล่า ต้องทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนกู้ชาติ กับคนทำลายชาติ คุณค่านั้นห่างไกลกัน ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะได้รับการปฏิบัติจาก คสช. เหมือนๆกัน
เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์
สารอโศก อันดับ ๓๓๕ หน้า ๕๐ .