จากโลกียะสู่โลกุตระ น.ส.ปานปั้น ศรัญยกูล ปี ๒๕๒๖ เมื่อไปชมรมมังสวิรัติฯ ที่สวนจตุจักร และถามพี่สาวว่า นั่นพันเอกจำลอง ศรีเมือง (ยศในตอนนั้น) ใช่ไหม ที่กำลังจัดหนังสืออยู่ บังเอิญท่านได้ยินก็หันมายิ้ม ถามว่ารู้จักผมหรือ แล้วก็เรียกคุณศิริลักษณ์ ภรรยาของท่าน มาแนะนำให้รู้จักด้วย หลังจากนั้น ท่านมอบหนังสือของชาวอโศก ให้หลายเล่ม รู้สึกประทับใจในอัธยาศัย และความกรุณาของท่านมาก กลับไปอ่านหนังสือเหล่านั้นอยู่ ๖-๗ เดือน ก็ตัดสินใจเป็นนักมังสวิรัติ ตลอดชีวิต ต่อมา เมื่อมาเรียนต่อ และย้ายมาทำงานที่กรุงเทพฯ ก็แวะเวียนมาสันติอโศก เพื่อฟังธรรม และซื้อเท็ป ซื้อหนังสือ ไปศึกษาธรรมะ และพยายามถือศีลห้าให้เคร่งครัดขึ้น ไปร่วมงานพุทธาภิเษกฯ และงานปลุกเสกฯ บ้างเท่าที่จะจัดสรรเวลาได้ ประทับใจคำสอนของพ่อท่าน ที่ไม่เหมือนใคร เพราะท่านพูดจากสภาวะจริง ที่ท่านมี แม้จะฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็คลายสงสัยได้หลายเรื่อง และเมื่อฟังซ้ำหลายครั้งๆ ก็เข้าใจมากขึ้น จนเกิดความมั่นใจว่า พุทธธรรมอย่างนี้เท่านั้น ที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ พ้นวัฏสงสารได้ ถ้าเราปฏิบัติได้ถูกตรง และจริงจัง ปี ๒๕๔๔ ได้รับการอนุมัติ ให้ลาออกจากราชการได้ หลังจากยื่นใบลาออก เป็นครั้งที่ ๓ ที่ลาออก ก็เพราะกลัวว่า ตนเองจะตายก่อน ที่จะได้เข้ามาปฏิบัติธรรมกับชาวอโศก จากนั้น ก็มาสมัครทำงาน ที่บริษัทฟ้าอภัย ได้ช่วยพิสูจน์อักษรอยู่ไม่กี่วัน ก็เจอศิษย์เก่าที่เคยสอน ตอนอยู่ที่สตรีภูเก็ต มาขอร้อง ให้ไปช่วยงานของเขา ซึ่งเป็นงานสะสางบัญชีที่บ้านราชฯ เมืองอุบล เขาบอกว่า เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำ จึงไปกับเขา จำได้ว่าช่วงนั้น ไปช่วยงานบัญชีเป็นหลัก ตั้งแต่เช้ายันดึก และสอนภาษาอังกฤษ ใหันักเรียนบ้าง ไม่ได้เน้นเรื่องการศึกษา ปฏิบัติธรรม อย่างที่คิดหวังเลย ปี ๒๕๔๕ ได้ไปสังฆสถานทักษิณอโศก (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็น ทะเลธรรม) ที่จ.ตรัง พี่น้อง ญาติธรรม ขอร้องให้ไปอยู่ประจำที่นั่น เพราะเป็นช่วงที่กำลังอบรม เกษตรกรของ ธ.ก.ส. นับเป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ต้องลุยงานหนัก กับสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน ทั้งขุดดิน ขนทราย ดำนา เกี่ยวข้าว ล้างส้วม ฯลฯ และงานเป็นวิทยากร เป็นพิธีกร ที่ต้องทั้งพูด ทั้งร้อง ทั้งรำ ซึ่งไม่เคยคิดว่า ตัวเองจะทำได้ เพราะไม่เคยกล้าแสดงออกขนาดนี้ แต่คิดว่าน่าจะเป็นอานิสงส์ จากการฟังธรรม และการปฏิบัติธรรม ท่ามกลางหมู่มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ที่ทำให้สามารถพัฒนาตน เพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวม ได้มากขึ้น ปี ๒๕๔๘ งานอบรมต่างๆ เริ่มน้อยลง จึงย้ายมาทำงานที่ศูนย์ข้อมูล ที่สันติอโศก งานที่ทำ มีทั้งงาน พิสูจน์อักษร แปลเอกสาร ที่ใช้ในงานวิจัย เก็บประวัติชาวอโศก สอนภาษาอังกฤษนักเรียนสัมมาสิกขา กลุ่มพิเศษ และรับโทรศัพท์ รวมทั้งช่วยกันทำหลักสูตร ที่จะใช้ในระดับอุดมศึกษา ที่กำลังดำเนินการก่อตั้ง ต่อมาคณะทำงานศูนย์ข้อมูล เริ่มลดจำนวนลงเรื่อยๆ จาก ๕ คน เป็น ๓ เป็น ๒ ตามลำดับ เพราะความจำเป็นของครอบครัว และปัญหาสุขภาพ และสุดท้าย ก็เหลือคนเดียว จึงมีบ่อยครั้ง ที่ต้องทั้งสอน ถอดเท็ป เรียบเรียงบทความ และรับโทรศัพท์ไปด้วย หรือทำงานเก็บประวัติ ชาวอโศกไปด้วย รวมทั้งแปลเอกสารให้ด้วย เท่าที่เวลาอำนวย วันนี้ ยังมีความผาสุกดีกับการช่วยทำงานฟรี และเชื่อว่าการมีงานหลายอย่าง มีข้อดีตรงที่ ช่วยให้ ไม่ค่อยรู้จักกับความเหงา และอาการวัยทองก็ไม่มายุ่งกับเรา ตอนเช้า หลังจากสวดมนต์เสร็จ ก็ไปช่วยงาน จัดเตรียมผักให้แม่ครัวที่ ชมร. หรือช่วยจัดผัก เพื่อเตรียมขายที่ร้านกู้ดินฟ้า และถ้ามีโอกาส ก็จะไปช่วยงานแยกขยะ ที่ สขจ. (สถาบันขยะวิทยา ด้วยหัวใจ)ด้วย เพราะงานเหล่านี้ ช่วยให้มีโอกาส พบปะพูดคุย เพิ่มพูนมิตรภาพกับญาติธรรม ทั้งเก่าและใหม่ และได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ ในการปฏิบัติธรรม ปัญหาและอุปสรรค ในการปฏิบัติธรรม แนวทางแก้ไข ข้อปฏิบัติที่คิดว่ายากที่สุด คติประจำใจ เป้าหมายชีวิต ข้อคิดข้อฝากให้หมู่กลุ่ม
สารอโศก อันดับ ๓๓๖ ต.ค.-พ.ย.๒๕๕๗ หน้า ๖๒-๖๔ |