>สารอโศก

 
ประดับไว้ในโลกา ตอน...
อาลัย...พ่อทองสุข สุ่มมาตย์
หนังสือพิมพ์สารอโศก
อันดับที่ 232 เดือนมกราคม 2544

ลืมตาดูโลก

ผมเกิด ๑๙ มกราคม ๒๔๕๙ มีพี่น้อง ๔ คน ผมเป็นคนที่ ๒ คนโตเสียชีวิตไปแล้ว พ่อเป็นคนร้อยเอ็ด ชื่อ โส สุ่มมาตย์ แม่ชื่อดำ เป็นคนหนองแค สระบุรี แม่เป็นลูกกำพร้า ญาติพี่น้องเห็นว่า ควรหาคู่ครองให้ แม่ก็เลยมาได้กับพ่อของผม พ่อรับจ้างทำนา เป็นคนขยันทำมาหากิน

ตอนผมอายุได้ ๕ ขวบ ย่าให้คนมาตามพ่อกลับร้อยเอ็ด พ่อเอาผมไปด้วย ตอนแรกว่าจะไปปีเดียว แต่พอไปแล้วก็แต่งงานใหม่ แม่อยู่กับน้องที่สระบุรี พอฝ่ายแม่รู้ว่าพ่อแต่งงานใหม่ ญาติๆก็หาสามีใหม่ให้แม่ ซึ่งก็เป็นเพื่อนพ่อนั่นแหละ เมื่อพ่อรู้ว่าแม่มีคนใหม่แล้ว โดยเฉพาะเป็นพวกเดียวกันด้วย ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไร แล้วก็แล้วกันไป

พ่อเคยพาผมไปเยี่ยมแม่ที่สระบุรี ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ป.๒ ก็เลยต้องหยุดเรียนกลางคัน แล้วก็ไม่ได้เรียนในโรงเรียนอีกเลย ไปอยู่กับแม่ได้ ๒ ปี พ่อกลัวผมจะไม่ถูกกับพ่อเลี้ยง จึงให้กลับไปอยู่ร้อยเอ็ด ผมอยู่ร้อยเอ็ดจนอายุ ๑๕ ก็ไปบวชเณร มาได้เรียนอีกทีตอนเป็นเณร สอบได้นักธรรมตรี แต่ตกนักธรรมโท เป็นเณรรวม ๓ ปี

ชีวิตครอบครัว

อายุ ๒๕ อยู่ขอนแก่น มีภรรยาชื่อนาง แต่ตอนนั้นมีหญิงอื่นมาพัวพันด้วยคนหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ได้คิดจะจริงจังด้วย แล้วก็ไม่คิดจะทิ้งคนเก่า แต่ภรรยาเขารับไม่ได้ เขาก็เลยเอาน้ำกรดมาสาดหน้าผม ทำให้ตาเสียไปข้างหนึ่ง แต่ผมก็ไม่โกรธเขา เพราะผมเองก็มีส่วนผิด ยังให้การกับตำรวจไปว่า เขาไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นเรื่องบังเอิญ สุดท้ายเราก็เลิกรากันไป

มาเจอกับแม่บ้าน(นางน้อย สุ่มมาตย์) ตอนมาขับรถสายหินดาด ผมมีอาชีพขับรถ ทั้งรถโดยสาร รถกุดัง รถลากไม้ ใครจ้างไปไหนไปหมด จนมีคนรู้จักให้มาทำงานที่โคราช ก็ได้ไปเช่าห้องแถวของผู้ปกครองของแม่บ้านอยู่เลยเจอเขาเข้า คนหนุ่มๆก็มองหาแต่สาวๆ แล้วเขาก็หน้าตาดี ยิ่งรู้ประวัติว่าเขาเป็นลูกกำพร้า พ่อแม่เสียชีวิตหมดแล้วก็ยิ่งสงสาร จึงส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอ คิดว่าถ้าไม่รักก็ไม่ว่าอะไร เพราะเราก็ขี้เหร่ เห็นใจเขา แต่เราก็ไม่เลิกร้าง ส่งผู้ใหญ่ไป ๒ ครั้ง เขาจึงยอมแต่งงาน

ด้วย ตอน พ.ศ.๒๔๙๙ ตอนนั้นผมอายุประมาณ ๓๕ ปี แต่งงานแล้วมีลูกสาวคนหนึ่ง ชื่อณัฐวรรณ เป็นพยาบาล มีครอบครัวไปแล้ว มีหลานชายให้ผมคนหนึ่ง ชื่อเอก หรือโสภณ ตันสูงเนิน

สร้างฐานะ

อาศัยความขยันหมั่นเพียร แม่บ้านก็เป็นคนขยัน ปลูกผัก เลี้ยงหมู ผมขับรถ ก็สะสมเงินเดือน เงินเดือนตอนนั้นมากหน่อย เขาจ้างคนอื่น ๕๐๐-๖๐๐ บาท แต่ผมได้พันกว่า เพราะขับเองซ่อมเอง ผมรับแต่เงินพิเศษและส่วนที่เขาให้เป็นรางวัลบ้าง เงินเดือนฝากไว้ ตอนจะลาออกมีเหลือสองหมื่นกว่าบาท สร้างบ้านได้หลังหนึ่ง

หลังจากนั้นก็ยังขับรถอยู่ตามเดิม ทีนี้ก็มีคนมาขอให้ช่วยซื้อที่ดิน ส่วนใหญ่คนที่เอามาขายมีเรื่องต้องใช้เงิน ผมก็รับซื้อไว้ ถ้าต่อมาเขาต้องการซื้อคืน ก็จะถามเขาว่าจะซื้อคืนเท่าไร เจ้าของที่ดินคนเดิมจะเป็นคนตั้งราคาเอง ว่าราคาปัจจุบันควรเป็นเท่าไหร่ ก็ค่อยๆสะสมที่นี่บ้าง ที่นั่นบ้าง เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ มีศีล ๕ ตรวจศีลแล้วก็ตรงกับการปฏิบัติตัวของเรามาตลอด แล้วก็มีคุณสมบัติเพิ่ม แต่ผมพูดไม่คล่องเหมือนท่านจันทร์ที่ว่า ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน ผมก็เอามาต่ออีกว่า อ่อนน้อมถ่อมตน ถือศีล ๕ ละอบายมุข เหล่านี้ผมทำมาก่อนตั้งแต่ยังไม่รู้ธรรมะ และตั้งแต่เริ่มทำงาน

จากการเป็นลูกจ้าง เงินเดือนๆละ ๒ บาท เพิ่มเป็น ๖ บาท ต่อมาเขาเห็นเราเป็นคนซื่อสัตย์ ก็ให้ไปเป็นพนักงานเก็บเงินค่ารถโดยสาร แล้วขึ้นเงินเดือนเป็น ๑๐ บาท เบี้ยเลี้ยงอีกวันละ ๕ บาท ตอนนั้นพ่อมาเยี่ยมบ่อย นายจ้างก็ให้เงินพ่อไปเรื่อยๆ ตอนพ่อขอให้ผมไปบวชพระ เถ้าแก่ก็คิดเงินเดือนให้หมด ผมยังแปลกใจว่ามีเหลือด้วยหรือ พ่อเบิกไปตั้งเยอะ ปรากฏว่าเหลืออยู่ ๔๐ กว่าบาท เครื่องบวชเถ้าแก่ก็ซื้อให้หมด ผมบวชได้เดือนเดียว เป็นห่วงงาน ประกอบกับเถ้าแก่ก็อยากให้กลับไปทำงานด้วย สุดท้ายก็สึกออกมาช่วยงานเขาอีก

มีธรรมะเป็นทุนเดิม

แม้จะมีศีล ๕ เป็นปกติอยู่เดิม แต่ผมก็เสียใจว่ามาพบอโศกช้าไป ผมรู้จักอโศก .ศ.๒๕๒๖ (อายุ ๖๗) จากการอ่านหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นพระอนันต์ เสนาขันธ์ โจมตีพระโพธิรักษ์ว่าทำไม่ถูก

ไม่ชอบ เช่น ไม่โกนคิ้ว พระอนันต์ล้มหุบผาสวรรค์ สำเร็จแล้วจะมาล้มสันติอโศกต่อ

ผมอ่านหนังสือพิมพ์แล้วก็สงสัยว่าพระโพธิรักษ์ ผิดจริงหรือเปล่า จึงเปิดพระไตรปิฎกดู ปรากฏว่า สิ่งที่พระโพธิรักษ์ และคณะสันติอโศกทำถูกต้อง ตรงตามพระไตรปิฎก ผมจึงเกิดศรัทธา ขณะเดียวกัน ก็เป็นห่วง กลัวจะสู้พระอนันต์ไม่ได้ เพราะแกแรงจริงๆ อธิบดีกรมตำรวจแกก็ด่ามาแล้ว

พอดีได้พบคนรู้จักที่เป็นคนโคราช ที่มาเป็นญาติธรรมชาวอโศก แต่ตอนนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นญาติธรรม ก็ถามเขาว่ารู้จักพระโพธิรักษ์ไหม รู้จักสันติอโศกไหม เขาก็เอาเท็ปธรรมะกับหนังสือของอโศกมาให้ ที่จริงช่วงเวลานั้นผมกำลัง เตรียมตัวตาย จะว่าปวดหัวก็ไม่ปวด ไม่สบาย เจ็บเนื้อเจ็บตัว ไปให้หมอตรวจ หมอเอ็กซเรย์แล้วบอกว่ากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลว รักษาไม่ได้ จะตายภายใน ๓ เดือน หมอก็พยายามรักษาให้ หายก็ไม่เอาเงิน ไม่หายก็ไม่เอาเงิน เพราะผมเคยบริจาคเงินสร้างโรงพยาบาล ขณะที่เตรียมตัวตายก็คิดจะเลิกทำบาป พอฟังเท็ปฟังเทศน์แล้วก็เลิกกินเนื้อสัตว์เด็ดขาด

เชื่อมั่นเต็มร้อย

เลิกกินเนื้อสัตว์ทันที ไม่สงสัยเลย อาการต่างๆก็หายไป ปี’๒๖ ไปงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ที่ศีรษะอโศกกับญาติธรรม ทุกวันนี้แกก็ไปเล่าให้ใครๆฟังว่า แกได้บวชพระรูปหนึ่ง บวชผมนี่แหละ แกดีใจมาก ตั้งแต่นั้นมาผมก็ไปๆมาๆ เชื่อมั่นว่าสันติอโศกเป็นฝ่ายถูกต้อง น่าเคารพนับถือ แล้วก็เอาใจช่วยตลอด ช่วงที่ขึ้นศาล ผมก็พยายามเปิดพระไตรปิฎกฉบับประชาชน บางคนที่พูดเข้าข้างผมหน่อยก็ว่า คนอย่างลุงสุขนี่ไม่บ้าบุญหรอก ถ้าไม่ดีจริงแกไม่พูด ไม่หลงแน่ นอกนั้นเขาว่าผมหลง ผมก็ปฏิบัติศีล ๕ มาตลอด ความเจ็บป่วยก็ไม่มารบกวน สบายใจ

ทานบารมี

เมื่อวันอังคารที่ ๔ ก.ค.๒๕๔๓ ได้ทราบข่าวว่าสันติอโศกจะซื้อที่ดินติดกันกับสันติอโศก แต่ยังหาเงินได้ไม่พอ ผมก็เลยมีเจตนาบริจาคเงินสองล้านบาท โอนเงินเข้าธนาคารวันนี้ให้แก่บริษัทฟ้าอภัยไปเลย

ที่กล้าบริจาคก็เพราะเชื่อในผลงาน และอีกอย่างหนึ่งก็คือทั้งผมและแม่บ้านก็แก่แล้ว เงินทองก็สะสมมาได้เอง ไม่ได้เอามรดกของใครมา แล้วส่วนที่แบ่งให้ลูก เราก็ให้เขาแล้ว คราวนี้เป็นส่วนของพ่อแม่จะเอาไปด้วย(เอาไปเป็นบุญ) ลูกเขาก็เข้าใจ

แล้วส่วนที่เคยซื้อหุ้นไว้(ซื้อหุ้นบริษัทฟ้าอภัยไว้อีกหนึ่งล้านบาท) ถ้าหากไม่ได้เบิกเงินมาใช้เลย ก็ถือว่ายกให้สันติอโศกไปเลย

ผมพร้อมทั้งครอบครัว มีแต่คนขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน อ่อนน้อมถ่อมตน ถือศีล ๕

ละอบายมุข (ดูได้จากหนังสือ ”พุทธศาสตร์แก้จน” ที่ทำแจก) การถือศีล ๕ ละอบายมุขนี้ เป็นต้นเหตุที่ทำให้สะสมเงินจำนวนน้อยนิด ให้กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ในที่สุด ด้วยวิธีการมีเงินเหลือก็ซื้อที่ดินเอาไว้ เริ่มตั้งแต่ ๘๐ ตารางวาเป็นครั้งแรก ต่อมาก็อาศัยความขยันประหยัด ก็สะสมทรัพย์ได้ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเมื่ออายุมากแล้ว หาไม่ไหว ก็ขายของเก่าที่ซื้อสะสมไว้ ก็มีเงินเป็นกอบเป็นกำขึ้นมา

ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๖ ผมและบุคคลในครอบครัว ได้พร้อมใจกันบริจาคเงินจำนวนหนึ่ง (๑ ล้านบาท) เข้าร่วมกับคณะผู้จัดรายการ ”ทุกข์ปัญหาชีวิต” ร่วมกันก่อตั้ง ”มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน”

จุดประสงค์ใหญ่ต้องการให้เพื่อนๆ ที่มีคุณธรรมขั้นต่ำสุดระดับถือศีล ๕ ละอบายมุขได้แล้ว ให้ชักชวน เพื่อนๆที่ยังได้รับทุกข์อยู่ เพราะยังหลงมั่วสุมอยู่กับอบายมุข ให้รู้จักและเปิดรับฟังวิทยุตามที่กล่าวไว้ข้างต้น บางทีก็อาจจะช่วยให้เพื่อนๆที่ยังได้รับทุกข์อยู่ ก็อาจจะพ้นจากทุกข์ได้

ส่วนหลักวิชาที่จะประกอบกับการงานและการเลี้ยงชีพของแต่ละครอบครัว ผมและคณะผู้จัดรายการทุกข์ปัญหาชีวิตจะแจกหนังสือทุกข์ปัญหาชีวิต และแจกหนังสือคำสอน ”พระพุทธองค์ตรัส” ให้แก่สมาชิกผู้ที่ถือศีล ๕ ละอบายมุข ได้คนละ ๑ เล่ม โดยไม่ขอสิ่งตอบแทนใดๆ หนังสือนี้จะเป็นผู้ชี้แนะแนวทางให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจง่ายๆ มีอยู่ ๒ ทางคือ ทางไปนรก(ทุกข์) และไปสวรรค์(สุข) อย่างชัดเจน ถ้าให้พิสูจน์ได้ไม่ต้องรอชาติหน้า

พระพุทธองค์ตรัสว่า อบายมุขเป็นบ่อเกิดแห่งความฉิบหาย ถ้าใครมั่วสุมอยู่ ก็จะฉิบหายในชาตินี้ ถ้าใครละเลิกได้ ก็จะได้รับความสุขใจในชาตินี้เช่นเดียวกัน

ทองสุข สุ่มมาตย์ (เกิดใหม่ พรมโสดำ)
(ชาตะ ๑๙ มกราคม ๒๔๕๙ มรณะ ๓ มกราคม ๒๕๔๔ รวมอายุ ๘๓ ปี)

เพื่อพ่อ

พ่อทองสุข สุ่มมาตย์ พ่อถึงฆาต ถึงคราว พ่ออายุ ยืนยาว แปดสิบกว่า
พ่อเป็นพ่อของเรา พ่อสร้างเหย้าสร้างเรือน สร้างมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน แปดปีกว่า
พ่อจงรู้เถอะว่าลูก จะเดินให้ถูกเข็มทิศ ทางที่พ่อเพ่งพิศ และนำพา
คือขยันและประหยัด ซื่อสัตย์และอดทน ทั้งอ่อนน้อมและถ่อมตน มีศีลห้า
อบายมุขทุกชนิด ลูกไม่คิดเกี่ยวข้อง เหล้าบุหรี่ทั้งผอง ไม่นำพา
พ่อช่วยเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อนก็จักช่วยพ่อ ให้ความดีสืบต่อ ไม่มรณา

(ประพันธ์โดย สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ [ท่านจันทร์] เมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๔๔)

 

อาลัย…พ่อทองสุข สุ่มมาตย์ บิดาแห่งมูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน (สารอโศก อันดับ ๒๓๒ หน้า ๒๓ - ๒๗ เดือน มกราคม ๒๕๔๔)