tissaphotos  | กลับไป  

      

  • บุญนิยม
  • พระจันทร์
  • ศีลธรรม
  • ร้อยดาว
  • Tissa



  • สมณะโพธิรักษ์


    หลวงพ่อธรรมชาติ


    สมณะเสียงศีล


    Tissa


    ท่านจันทร์





                                   


        เสรีภาพแห่งความคิด.ตอน ๒ ทุ่มเท..สุดชีวิต..

        Hot News, Monday to Sunday, 3.30 am - 24.00 pm.

    เสรีภาพแห่งความคิด..ที่ทุกๆคนมีสิทธิ์..แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระในการทำสิ่งที่ถูกต้องและงดงามในสังคมไทย..พร้อมทั้งสร้างความสามัคคีธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย..จากวันนั้นจนถึงวันนี้..เสรีภาพแห่งความคิด.ตอนที่ ๒ นั้นเน้นถึงการทุ่มเท..สุดชีวิต คำว่า เสรีสันตาปวุธ หรืออหิงสาวุธ นี่แหละ..ยิ่งใหญ่และมีฤทธิ์สำคัญที่สุด-โดย สมณะเดินดิน ติกขวีโร-เมื่อกล่าวอีกครั้งกับ-ความงดงามทั้งหมด..ก้าวไปสู่ความรุ่นแรง เมื่อทุกๆคน..ถามหาความรับผิดชอบ..ความรับผิดชอบอยู่ที่ไหน..บรรพบุรุษของคนไทยทุกๆคนจะคิดอย่างไร..ย้ำอีกครั้ง..จากเหตุกาณ์ล่าสุดวันที่ 7 ตุลาคม ๒๕๕๑ เป็นสิ่งยืนยันชัดเจนว่าใครใช้ความรุนแรงเมื่อใด ก็จะสูบเสียสถานะทางศีลธรรมทันที..ทาง รัฐบาลหุ่นเชิดและบริวารจะต้องรับผิดชอบการกระทำทั้งหมดโดยไม่มีเงื่อนไข..นั้นคือเสียงร้องจากประชาชนชาวไทยทุกๆคน..ซึ่งทั้งหมดต้องคิด...

    -เสรีภาพแห่งความคิด.ตอนทุ่มเทสุดชีวิต-การชุมนุมอันยาวนานมีสาระสำคัญอะไรบ้าง? -ลุงจำลองบอกว่า เหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ต่อไปจะเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญใน ๑๐๐ ปีน่าจะมีสักครั้งหนึ่ง แต่พ่อท่านบอกว่า ไม่ใช่ ๑๐๐ ปีน่าจะเป็นในรอบ ๑,๐๐๐ ปีถึงจะมีสักครั้งมากกว่า เพราะการจะหาองค์ประกอบความครบพร้อมสมบูรณ์ ต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลกด้วยซ้ำไป และมีผู้คนมาเนืองแน่นกันมากที่สุด และมีองค์ประกอบครบครันอย่างสมบูรณ์ที่สุด มีการบรรยายให้ความรู้กันตลอด ๒๔ ช.ม. มีศิลปินที่มาผ่อนคลาย แต่ก็ให้สาระไปด้วย ให้กำลังใจ ไปด้วยอยู่ตลอด

    มีทั้งการสื่อสารที่สามารถที่จะขยายความรู้ ความเข้าใจออกไปในวงกว้าง ทั้งในและต่างประเทศได้ตลอดเวลา มีทั้งฝ่ายรักษาความปลอดภัยของประชาชนด้วยกันเองอย่างแข็งขัน แทบจะเรียกว่าเอา ชีวิตเข้าแลก จนผู้มาร่วมงานชุมนุมมั่นใจในความปลอดภัย เรื่องที่น่าอัศจรรย์อีกก็คือ มีทั้งกองเสบียงที่หนุนเนื่องกันมาตลอด ๑๐๐ กว่าวันจนจะประกาศอะไรขึ้นมาก็มีฝ่ายพ่อยกแม่ยกส่งมาให้ อย่างอุ่นหนาผาคั่ง แต่ก่อนก็มีเฉพาะโรงบุญกองทัพธรรมอย่างเดียว โรงบุญกองทัพธรรมก็จะมีคนหนุนเนื่องส่งวัตถุดิบ วัตถุแห้ง มาให้อย่างมากมาย อยู่ตลอดเวลา

    และที่สำคัญก็คือ มันเป็นการร่วมคนทุกหมู่กลุ่มทุกเหล่า ทุกชนชั้นมาตั้งแต่ราชนิกูล ทหารพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวนา นิสิต นักศึกษาหรือแม้แต่คนแต่คนต่างศาสนาด้วยกัน พุทธ คริสต์ อิสลาม ก็มาร่วมรวมกันได้ มีทุกหมู่กลุ่มและก็สามารถที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีงาม สวยงามด้วยการยืนยันที่จะใช้ความสงบ อหิงสาปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นการต่อสู้ที่เอาชนะกันด้วยสันติ ซึ่งในประวัติศาสตร์ของโลกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เรียกว่าจะสามารถเปลี่ยนได้ด้วยสันติการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งจะต้องนองเลือดต้องเลือดทาแผ่นดิน แต่ต้องถือว่าในครั้งนี้ สามารถเป็นไปด้วยความสงบสันติ

    แม้จะมีข้อผิดพลาดบางข้อเกิดขึ้นบ้างก็ไม่ใช่เจตนาที่เกิดจากฝ่ายประชาชน แต่เป็นเล่ห์กลของฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการทำให้เกิดความรุนแรงจนกระทั่งเกิดการเสียชีวิตขึ้นมา พ่อท่านย้ำว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ได้เห็นธรรมฤทธิ์ของความสงบ ฤทธิ์เดชของสันติหรือสันตาปวุธ หรืออหิงสาวุธ นี่แหละ ยิ่ง ใหญ่และมีฤทธิ์สำคัญที่สุด มีญาติธรรมของเราที่เป็นอดีตมหาเปรียญ ลุงมหา บุญหนา บุญมี ตอนที่จะถูกสลายการชุมนุมที่สะพานมัฆวานฯ เห็นตำรวจมากันเยอะแยะ ลุงมหาของเราก็คิดว่าตายเป็นตายเพราะถือปืนถืออาวุธมาด้วย จึงนั่งหลับตาทำใจสงบพันเพียบเรียบร้อยอยู่เฉยๆ ปรากฏว่า ภาพข่าวที่ออกมาพวกลูกเต้าที่อยู่ต่างจังหวัดเห็นเข้าถึงกับร้องไห้ไปตามๆกัน เพราะว่า

    เป็นภาพที่ตำรวจเอาปืนมาจ่อหัว ดูแล้วก็น่ากลัว แต่ลุงมหานั่งอย่างสงบสบายและไม่รู้ด้วยว่าตนเองถูกเอาปืนจ่อหัว นี่ก็เห็นถึงฤทธิ์เดชของความสงบ เล่นเอาตำรวจก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน เจตนาที่เอาปืนจ่อหัวก็คงไม่ได้ตั้งใจที่จะยิงแต่เพื่อให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว แตกกระจายกระเจิดกระเจิงกันไป แต่พอเจอความสงบ ตำรวจก็ได้แค่ข่มขู่ให้หวาดกลัวคนอยู่รอบๆ ก็ไม่ได้มีใครตกใจ ก็นั่งกันสงบเรียบร้อย อันนี้ก็คือฤทธิ์เดชของความสงบ ที่แม้จิตใจของคนนั้นจะให้ของคนนั้นจะโหดรุนแรงร้ายกาจขาดไหนนี่ แต่พอเจอความสงบก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่เพียงขู่ และยิ่งแสดงความรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายและเป็นการพ่ายแพ้ของรัฐบาล ที่มุ่งจะใช้ความรุนแรงในการปราบประชาชน

    -พ่อท่านได้ติงเตือนกับชาวอโศกในเรื่องอะไรบ้าง?-เราค่อนข้างจะได้รับการยอมรับ และเมื่อยาวนานออกไปบทบาทของกองทัพธรรม ก็ค่อนข้างได้รับการยอมรับมากขึ้น จนมติชนสุดสัปดาห์เอาไปขึ้นปก พาดตัวใหญ่ว่ากองทัพธรรมกับสถานการณ์ฉุกเฉิน มีรูปพ่อท่านเป็นรูปใหญ่เต็มหน้าของมติชนสุดสัปดาห์ พวกเราก็ค่อนข้างที่จะดีอกดีใจกัน พ่อท่านก็ท้วงติงอย่างสำคัญว่า อย่าเหลิงกันนะ ก็คงจะให้สติพวกเราว่า ต้องชัดเจน ในเป้าหมายการออกมาทำงานของพวกเรา

    พ่อท่านย้ำอยู่เสนมอว่า เรามาทำงานกันนี่เราไม่ได้หวังที่จะได้ประโยชน์อะไร ไม่ว่าหวังวัตถุ หวังได้รับการสรรเสริญ หรือว่าหวังที่จะได้รับการยอมรับ ในมติชนสุดสัปดาห์ก็ได้เน้นคำพูดของพ่อท่านที่บอกว่า เมื่อเสร็จการต่อสู้ครั้งนี้ ชาวอโศกคนไหนไปรับตำแหน่ง ได้เป็นผู้บริหาร โดยได้อานิสงส์จากการต่อสู้ในครั้งนี้ คนนั้นยังเลวอยู่ แสดงว่าที่ทำมาทั้งหมด ทำเพื่อตนเอง สิ่งที่พ่อท่านย้ำกับพวกเราอยู่เสมอก็คือ รายได้ของเราที่แท้จริง คือ การที่ได้มาสร้างบารมี ได้มาใช้หนี้แผ่นดิน ได้มาสั่งสมบุญ อย่างที่ลุงจำลองบอก บุญนี้ก็เกิด จากการทำเราได้ ที่การพัฒนา เปลี่ยนแปลงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราได้ทำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราได้ทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราให้ดีขึ้น

    นี่เป็นรายได้โดยตรงเรา ถ้าใครไปทำงานแล้วไม่ได้เปลี่ยนแหลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้นเลยนี่ คนนั้นก็จะไม่ได้อะไรจากการทำงานเหมือนกัน เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องทบทวนว่าเรามาทำงานลุยกันหนักหนาขนาดนี้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา มันมีอะไรดีขึ้นบ้างได้ พัฒนาอะไรขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยเราก็เห็นได้ว่าอดทนขึ้น เราก็ได้เสียสละมากขึ้นเราก็ต้องคอยดูจิตใจเราด้วยว่า เขามายกย่อง ยกยอก็ดี เขามาด่าว่าก็ดี ทั้งสองสิ่งนี้ใจเรากระเพื่อมไหวขึ้นมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องอ่านเรียนรู้ว่า เรามีพัฒนาการดีขึ้นหรือเลวลงไปอย่างไร ก็ต้องชัดเจนว่านี่คือ รายได้ที่สำคัญของชาวอโศก นอกนั้นเราจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้มีการพัฒนากายกรรม วจีกรรมมโนกรรมของเราให้ดีขึ้น

    มีคนตั้ง ข้อสังเกตว่า งานนี้ลุงจำลอง คอนข้างที่จะหนักทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าสังเกตดูหน้าตาจะดูหนุ่มกว่า ตอนที่อยู่โรงเรียนผู้นำด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่คอนข้างจะประสาทกินอยู่ตลอดเวลา กับข่าวลือมากมาย แต่หลายคนก็มองว่า ดูลุงจำลองหนุ่มขึ้น และมีความสุขมากกว่าอยู่โรงเรียนผู้นำด้วยซ้ำไป นี่ก็น่าจะเป็นข้อคิดให้แก่ญาติธรรมได้อย่างดีว่า ถ้าทุกคนออกจากภพ ออกจากโลกของตัวเองได้แล้วมาอยู่กับปัจจุบัน มาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

    แล้วมาพิจารณาว่าสังคมประเทศชาติตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออะไร แล้วเราก็ออกจากโลกส่วนตัวเอง มาทุมเททำปัจจุบัน ทำให้สุดชีวิต ซึ่งตรงนี้เราจะเห็นพิธีกรของเอเอสทีวีว่า แต่ละคนสามารถเพิ่มเพดานบิน อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ ปี๒๕๔๙และปี๒๕๕๑ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะว่าจะเห็นถึงความทุ่มเทเอาชีวิตเข้าแลกมันมากกว่าปี๒๕๔๙ เพราะการตั้งตนอยู่บนความลำบาก การทุ่มเทสุดชีวิต เราจะเห็นถึงแต่ละคนมีพัฒนาการ มีความชัดเจน กลายเป็นดาวขึ้นมาอยู่ในจิตใจของผู้คน ก็เนื่องจากทุกคนต้องทุ่มกันสุดชีวิต

    สรุปแล้ว ประโยชน์ของชาวอโศกที่ได้โดยตรงก็คือ เราจะไม่เอาอะไร เรามาทำงานโดยที่เราไม่เอาอะไร สิ่งที่เราจะได้อย่างสำคัญก็คือได้พัฒนา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา ที่จะเป็นประโยชน์กับโลก ให้มีคุณค่าให้ได้มากที่สุด เราก็จะหนุ่มขึ้นสุขภาพของตัวเอง และใช้ชีวิตได้อย่างมีประโยชน์ คุ้มค่ามาที่สุดได้มีพัฒนาการที่เติบโตแข็งกล้าทางจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วยิ่งในช่วงนี้ชาวอโศกก็คงต้องพบกับโลกธรรม

    ทั้งในแง่ที่คนว่าร้าย ทั้งในแง่ที่คนยกย่องชมเชย เราก็คงต้องอ่านจิตใจของเราไม่ให้มันกระเพื่อมเหลิงลอย จนหลงสำคัญตนเหมือนที่เขาเคยประชดเราว่า ชาวอโศกที่กร่างดูได้จากชอบชูหาง กางเงี่ยง ทั้งๆที่อุตส่าห์นุ่งเจียมห่มเจียม น่าจะทำให้เราต้องยิ่งเจียม เนื้อเจียมตัว และก็คิดถึงสิ่งที่เรายังบกพร่อง เพื่อพัฒนา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเราให้เจริญในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาสิ่งนี้จะเป็นทรัพย์แท้ เป็นอริยทรัพย์ที่ชาวอโศกทุกคน จะต้องเก็บเกี่ยวรายได้นี้ให้ได้กันอย่างสำคัญ

    ท่านอยากจะฝากอะไรให้กับญาติธรรมในปักษ์นี้บ้าง? -ก็คงจะฝากข้อคิดจากลุงหมัก ที่ทำให้คนที่ชมรายการทีวีบางคนพอเห็นหน้าลุงหมักก็จะออกอาการลำไส้ปั่นป่วนเจ็บท้องขึ้นมาทันที่เลยแต่จริงๆ แล้ว เราสามารถเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสได้เหมือนกับ แกนนำถูกหมายจับข้อหากบฏ ก็กลายเป็นโอกาสดี ทำให้แกนนำทั้ง๕ ต้องเป็นเลือดสุพรรณ มาด้วย กันไปด้วยกัน อยู่ตลอดเวลาเพราะว่า ถ้าแยกกันจะเสี่ยงถูกตำรวจชาร์จได้ อันนี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ดี หรือแต่ก่อนเรา มีน้าเหลิมมีลุงหมักช่วยเรียกแขก ให้คนมาเนืองแน่นได้อยู่ตลอดเวลา ขยายแนวร่วมให้พันธมิตรฯ ได้เพิ่มมาขึ้น ถ้าไม่มีน้าเหลิมลุงหมัก พันธมิตรฯก็คงจะเหี่ยวแห้ง หมดเรี่ยวหมดแรง อยู่ได้ไม่อึดถึงขนาดนี้ จะเห็นได้ว่าทุกอย่างที่ เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ดีทั้งนั้น แม้จะต้องอยู่กันมายาวนานถึง ๑๒๐กว่าวัน ถ้าไม่ได้ถึง ๑๒๐กว่าวันจริงๆ

    นี่เราคงไม่ได้ วิญญาณของเยาวชนคนรุ่นใหม่ นักเรียนนิสิต นักศึกษาออกมา และเกิดการตื่นตัวในการเมืองใหม่ตามที่พันธมิตรฯมุ่งหมาย ก็คงจะไปไม่ได้ แม้จะต้องเป็นเรื่องยาวนาน สุดท้ายก็พลิกผันให้เกิดสิ่งที่ดีดีงามทั้งนั้น ข้อคิดที่สำคัญที่พวกเราน่าจะได้จากลุงหมักก็คือเราจะเห็นได้ว่า ลุงหมักเอง ค่อนข้างที่จะงงว่า ตนเองทำผิดอะไร ไม่ดีอะไร ทำไมคนถึงเกลียดชังนักเกลียดชังหนาซึ่งจริงๆ ก็ต้องน่าเห็นใจลุงหมักอย่างมาก เพราะว่าบริวารคนรอบข้างพากันเชียร์จนเลิศลอยอย่าง ส.ส.กรุงเทพฯ โฆษกพรรคถึงกับ ยกย่องลุงหมักว่าเป็นผู้นำที่มีทศพิธราชธรรม จนถูกประท้วงในสภาคือมีแต่คนยกย่องเลิศเลอก็ทำให้ลุงหมักเกิดการหลงตัวเอง

    เป็นความโชคร้ายตรงที่มีแต่คนยกย่องบอกว่าดีๆ บริวารช่วยกันเชลียจนลุงหมักคิดว่าตนเองก็ดีอยู่นี่ ไม่เห็นมีอะไรผิด ก็เลยไม่สามารถรับรู้ว่าผู้คนในแผ่นดินเขาสาปแช่งเขาเกลียดชัง เขาขยะแขยง มีความรู้สึกที่เลวร้ายต่อตนอย่างไร นักปฏิบัติธรรมของเราเองก็มีสิทธโอกาสซวยแบบลุงหมัก ลุงหมม ลุงหมักที่ชอบหมักอนุสัย อาสวะกิเลสมือเปื้อยเลือดมาตั้งแต่ ๖ ตุลาฯ ๑๙ กระทั่งถึง ๒๕๕๑ มันหมักหมมกันมายาวนาน แม้แต่นักปฏิบัติธรรมของเราก็เหมือนกัน หลายๆ คนที่ไม่สามารถเจาะไชกิเลสเข้าไปได้ หรือใครเตือนติงไม่ได้ กับสิ่งที่เราหมักหมมของเรา บางที่ไม่เฉพาะชาตินี้ อาจจะหลายชาติใครๆ ก็เจาะไม่เข้า ทั้งๆ ที่ไม่มีใครๆ ก็เจาะไม่เข้า ทั้งๆ ที่ไม่มีใครก็เจาะไม่เข้า ทั้งๆ ที่ไม่มีใครเชลียด้วย

    ถ้าตัวเองหลงตัวเองมากขนาดนี้ เราเองก็จะบอกซ้ำเจ็บหนัก เหมือนลุงหมักเช่นกัน ซึ่งเมื่อเจาะไม่เข้าๆ ก็มีแต่จะทำให้เราบอบซ้ำสาหัสสากรรหนักขึ้นออก อาการสาหัสแบบลุงหมักนั่นแหละ พ่อท่านจึงย้ำว่าในการที่จะล้างกิเลสนั้น จะต้องรีดแล้วรีดอีกๆ จนกว่ากิเลสมันจะหมดไปให้ได้ เหมือนกับลุงหมักถูกเขารีดแล้วรีดอีก รีดไปถึงพ่อแม่ปู่ย่าตายายต้นตระกูลรีดไปทุกซอกทุกมุม

    เขาเจียระไนหมดเลยทำอะไรร้ายๆ เขาก็เอามารีดอีก ซึงพ่อท่านก็เอาตัวอย่างนี้ให้พวกเราได้เห็นชัดว่า กิเกลสในตัวเราก็เหมือนกันมันจะต้องรีดแล้วรีดอีกเหมือนอย่างลุงหมักเขาถูกประชาชนรีดกิเลสเขาแล้วรีดกิเลสเขาอีก จนกว่ากิเลส จนกว่ากิเลสจะหมดไปให้ได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าจะต้อง อาเสวนา-ภาวนา-พหุลีกัมมัง การจะทำกิเลสให้หมด เราเองจะต้องมีซ้ำอีก ล้างอีกรีดแล้วรีดอีก

    แต่ถ้าเราเป็นประเภทที่ เจาะไม่เข้า นอกจากจะไม่รีดตัวของเราแล้ว กัลยาณมิตรก็ยังเจาะไม่เข้าอีกกิเลสแข็งโป้ก หนาเหมือนกับถนนคอนกรีตอะไรอย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันมันคงจะบอกซ้ำ อย่างหนัก เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสของเรามันเป็นประเภทยางมะตอยหรือ คอนกรีต ก็คงต้องอ่านใจของเราว่า เวลาได้ถูกคำตำหนิติงเตือนบอกกล่าวเนี่ย ใจเรามันน้อมรับยินดี หรือว่าใจมันแข็งโป้ก

    มันออกอาการคอแข็งตัวแข็งใจแข็งรีบต่อต้านค้านแย้ง หาเหตุผลสวนกลับหรือว่าแก้ตัวทันที อันนี้มันคือ การเริ่มจะพัฒนาจากถนนลูกรัง ไปหาถนนยางมะตอย ไปหาถนนคอนกรีตแล้วมันจะเกิดความหมักหมมกิเกลสตัณหาแล้ว ซึ่งตรงนี้มันจะห่างไกลจากการพ้นทุกข์ เอ๊ะขนาดคนอื่นมาช่วยรีดให้เราแล้วเขายังเจาะไม่เข้าเลย แล้วเราจะเอาแรงที่ไหนมารีดให้กับตัวเองได้ เราคงจะต้องสังวรกันอย่างสำคัญทีเดียวว่าถ้ามาเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เจาะไม่เข้าอย่างลุงหมัก กิเลสมันจะหมักหมมสะสมไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนที่ซ้ำจนตายอย่างน่าสมเพชเวทนา นี่ก็เป็นข้อที่น่าเตือนใจสำหรับพวกเราที่มาปฏิบัติธรรมกัน -จากกข่าวอโศกรายปักษ์ -



    พล.ต.จำลอง ศรีเมือง


    Statue of Samana Bhodhirak when he was young in the old days  | tissaphotos


     ไปด้านบน  | กลับไป  

    Copyright © 2006-2008 Bunniyom Thailand. All rights reserved.

    Terms of service us at E-mail: spirit_bunniyom