เครือข่ายกสิกรรมไร้สารพิษ
แห่งประเทศไทย :
คกร.
Organic Farming Network of
Thailand : OFNT
 

กลับไปหน้าสารบัญ

บทสัมภาษณ์ ถอดจากเท็ป

อาจารย์อุดม ศรีเชียงสา

โทษภัยของมูลสัตว์ อันดับแรกที่เป็นอันตรายที่สุดเดี๋ยวนี้คือขี้ไก่ โดยเฉพาะไก่พันธุ์เนื้อ ผมได้ไปรู้จักกับคนเลี้ยงไก่ จึงเห็นโทษภัยของไก่ พวกเรายังไปหลงใหลกับขี้ไก่กันมาก

เมื่อก่อนเขาเลี้ยงไก่ ๔๕ วัน ต่อมาก็คิดสูตรให้เหลือ ๔๐ วัน เขาจะต้องเร่งเนื้อไก่ให้มีไขมันน้อย เอาสารเร่งใส่กับหัวอาหารเข้าไปให้ไก่กิน เมื่อเราเอาขี้ไก่มาใส่พืชผักอะไรจะเกิดขึ้น นอกจากสารเร่งแล้ว ไก่บางตัวก็แค่ ๓๕ วันเท่านั้น และเมื่อไก่เป็นหวัดเขาก็จะฉีดวัคซีนเข้าไป บางครั้งไก่เขาจะเอาออกมาขายไก่ไม่สบาย เขาก็ฉีดยาเข้าไป เพราะฉะนั้นคนฆ่าไก่นี่เขาจะไม่กินตับ ไต ของมันเลย มีแต่พวกเราเท่านั้นที่ไปกิน หัวไก่เขาตัดทิ้งไปเลยเพราะยาฉีดมาก นี่คือเรื่องจริง

เมื่อเราเอาขี้ไก่พวกนี้มาใส่ผัก ผักจึงงาม มันกลายเป็นสิ่งเสพย์ติดของพวกทำเกษตรกรรม เพราะพอใส่ผักก็จะงาม เราก็คิดว่าขี้ไก่ดี

เมื่อก่อนผมก็เคยใส่ ผักก็จะงามแต่ใส่ไปสักระยะหนึ่งผักก็จะเปื่อย นอกจากเปื่อยแล้วจะเกิดราเน่าขึ้นมา แสดงว่ามันไม่ใช่ของแท้ หากเอาขี้ไก่มาใส่พืชผัก ๔-๕ วัน เพลี้ยก็จะขึ้นเลยครับ จะขึ้นใบผักหมด มูลวัว-ควายหากเอามาใส่พืชผักโดยตรงจะเป็นสื่อให้แมลงต่างๆ ทำให้เกิดโรคราเน่า พวกแมลงเพลี้ยต่างๆจะมากินผัก เมื่อมันมากินผักของเรา หากเราไม่รู้จักวิธีกำจัดมัน มีทางเดียวคือเราเดินเข้าไปหาร้านขายสารเคมี สุดท้ายเราก็เอาสารเคมีมา บางคนปลูกข้าว หญ้าขึ้นไปเอายาฆ่าหญ้ามาฉีด หญ้าตา แต่ข้าวไม่ตาย แต่คนฉีดตายไปหลายคนแล้ว เพราะฉะนั้นข้าวตามท้องตลาดจึงไม่ใช่ข้าวไร้สารพิษ แม้แต่พี่น้องของผมปลูกข้าวก็ฉีดกาม็อกโซนไปฉีดหญ้าเหมือนกัน เป็นมาทุกปี แต่ต่อมาเขาก็ตาย เพราะฉะนั้นขอให้หลีกเลี่ยงขี้ไก่ ครั้นจะเอาขี้ไก่ก็ให้เอาไก่ที่เราเลี้ยง

ต่อมาขี้หมู หมูที่เขาเลี้ยงทุกวันนี้ก็เหมือนกันกับไก่มีสารเร่งให้หมูเจริญเติบโต และสารไปเร่งสกัดให้หมูเป็นเนื้อแดง สามฉีดยาเข้าไปอีก หากเราไปหลงกับมูลสัตว์

อยากให้หลีกเลี้ยงขี้ไก่ ขี้หมู แต่มูลวัว มูลควาย ก็อันตรายเพราะมันไปกินหญ้าที่เขาฉีดยา แสดงว่าอันตรายมันรอบด้าน แม้แต่ผมปลูกผัก น้ำที่ไหลมาจากภูเขามันก็ไม่ปลอดสารร้อยเปอร์เซ็นต์ หากเราจำเป็นต้องเอามูลสัตว์ไปใส่ผัก ก็ให้หมักเสียก่อน อย่าใส่สดๆ มิฉะนั้นเพลี้ยจะขึ้น แต่หากเอาไปหมักแล้วจะปลอดภัยกว่า แม้แต่ผักของผมก็ไม่มีรา แมลงก็ไม่มี

นาของผม ผมใช้สูตรเอาฟาง เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้ว ก็โน้มฟางลงดิน แล้วปล่อยน้ำเข้าประมาณ ๓ เดือน ฟางก็จะใส่เน่า นาของผมปีแรกได้ข้าว ๑๐๐ กว่า ปีต่อมาได้ ๒๐๐ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ แค่ผมมีฟาง

ฟางให้ธาตุฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ไนโตรเจน ฟางที่เน่าย่อยสลายอยู่กับดินไปเรื่อยๆมันจะไปปรับดินจากดินที่เค็มเป็นดินที่มีความสมดุล นาของผมเมื่อก่อนพ่อตาเผาฟาง ข้าวก็ไม่ดี ต่อมาผมบอกให้ทำอย่างที่ผมทำ เดี๋ยวนี้ได้ข้าว ๒๐๐ กว่า ถ้าหากเราอยากให้มันดีต่อไปอีก เรามาดูพืชตระกูลถั่วทุกอย่าง ถั่วที่ดีที่สุดคือต้นก้ามปู ต้นจามจุรี ต้นบก ต้นอะไรก็ได้ที่เป็นฝัก เราพยายามปลูกไว้ตามไร่ตามนา มันจะให้แร่ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม หากเรามีฟางและถั่วมันจะรวมกัน มันก็จะให้แร่ธาตุ NPK ซึ่งอยู่ในปุ๋ยเคมีที่เราไปซื้อตามท้องตลาด

แล้วทำไมผมจึงไม่ให้ซื้อปุ๋ยเคมี เพราะมันเป็นสารเคมี เมื่อเป็นมันเป็นสารเคมี ดินเป็นธรรมชาติ เมื่อเอาสารเคมีไปใส่ผสมกับธรรมชาติ ต่อไปพวกสัตว์ต่างๆที่อยู่ในดินจะตายหมด ดินก็จะกลายเป็นกรด โดยเฉพาะดินในเมืองไทยมีแนวโน้มจะเป็นกรดหมด ส่วนด่างไม่ค่อยมี ส่วนมากอยู่ทางลพบุรีเท่านั้น ดินเป็นกรดเกิดจากเราไปใส่ปุ๋ยเคมีเป็นจำนวนมาก ปุ๋ยเคมีที่เราใส่ไปปุ๊บ ๑๐๐ % จะไปทำหน้าที่ช่วยพืชเพียง ๔๐% อีก ๖๐ % จะละลายไปกับน้ำหมด แล้วไปตกค้างที่พื้นดินหมด ในปุ๋ยเคมีครั้นเราเอาไปใส่ในพืชผักบ่อยๆจะทำให้ดินเราเสื่อม หลังจากดินเสื่อมดินก็จะป่วย คือดินเป็นดินแข็งดินด้านดินดาน ปีต่อไปเราใส่เพิ่มไปเรื่อย สุดท้ายดินก็จะเกิดอาการน็อค แถวบ้านผมปลูกอ้อยจนมีอยู่มีกิน ปัจจุบันปลูกอ้อยไม่เกิดเลย เอาปุ๋ยเคมีมาใส่ก็ไม่เกิด สุดท้ายก็ต้องขายที่ให้เจ๊กไป เจ๊กเขาเอาตามผม ช่วงเดือน ๖ เขาหว่านถั่วมะแฮะและโสนลงไป หว่านถี่ๆหมดทุกปี พอเดือน ๑๐ ก็ไถกลบ ดินที่เคยเป็นดินกลาย เขาก็ปรับฟื้นขึ้นมา เราเคยขายให้เขาไร่ละ ๒๐๐๐ บาท แต่ตอนนี้ ๔ หมื่นเขาก็ไม่ขายให้ ต่อมาก็กลายเป็นลูกน้องเจ๊กอยู่แถวนั้น

หากเราใช้ปุ๋ยเคมีเราก็มีโอกาสทำกินแค่ในยุคของเราเท่านั้น รุ่นลูกรุ่นหลานเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ เมื่อลูกเราเรียนจบแล้วส่งลูกไปอยู่ในเมือง ไม่เคยสอนให้ลูกลำบาสักครั้ง เมื่อลูกเราไม่เคยลำบาก ต่อไปเขาจะต้องลำบาก วันนี้น้ำตาเขาไม่ออก วันหน้าน้ำตาเขาจะออก

เพราะฉะนั้นหากเราสอนลูกให้ลำบาก ให้หัดปลูกผัก สอนให้พึ่งตัวเอง มีอัตตาหิอัตตโนนาโถ แต่เราไม่เคยสอน แต่อยากให้ลูกเป็นเจ้าเป็นนาย แข่งกัน

ผมดีใจที่มีโอกาสพูดให้พี่น้องฟังว่า ปุ๋ยเคมีให้เลิก หากไม่เลิกตอนนี้ลูกหลานเราจ้างเขาก็ไม่ทำนาให้เรา ตั้งแต่ตอนนี้เขาก็ไม่ทำนาให้เรา ต่อไปเมื่อดินเสื่อมลงเขาก็จะขายหมด ขายให้เจ๊ก เจ๊กก็ฉลาดกว่าก็ปรับปรุงดินเอา ซื้อถั่วซื้องามาปรับปรุงดิน ปัจจุบันนี้เจ๊กเขาขายเมล็ดพืชให้ชาวนาแล้ว เขาเร็วมาก ผมอยากให้เราเลียนแบบเขา เขาปลูกถั่วแล้วเก็บไว้ขายให้เรา นี่คือคนจีน ไม่มีความจนในคนขยัน

ส.ติกขวีโร สูตรอาจารย์อุดมเป็นสูตรพืชสด คนจีนสร้างดินโดยวิธีปลูกพืชตระกูลถั่ว ไถกลบ มันจะเป็นปุ๋ยในตัว นอกจากนั้นจะมีสูตรจากหมอเขียว อยากจะให้ฟังภาพรวมของสูตรทั้งหมด

หมอเขียว

จากประสบการณ์ในการทำเรื่องไร้สารพิษ ผมเริ่มทำตั้งแต่ปี ๓๘ ความจริงก็แอบทำมาเรื่อยๆ เพราะว่าเจอทางตันเรื่องของสุขภาพเหมือนกัน ตอนนั้นอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วเจอคนเป็นมะเร็งแล้วก็รักษาไม่หาย ทีนี้ตัวเองก็ตัดสินมาเป็นนักวิชาการอยู่ที่สถานีอนามัย สาธารณสุข ออกมาเพื่อที่จะทำเรื่องนี้ได้ง่ายขึ้น อยู่โรงพยาบาลทำยากเหมือนกัน แล้วเรียนรู้มาเรื่อยๆ

ทุกวันนี้เรื่องปลูกผักไร้สารพิษนี่ไม่ยากแล้ว ทำง่ายมากถ้าเรารู้ว่าจะทำอย่างไร การปลูกผักไร้สารพิษ หัวใจอยู่ที่ดินดีเท่านั้น มีส่วนประกอบที่สำคัญมากๆอยู่ ๒ ประการเท่านั้นที่ทำให้ดินดี คือ จุลินทรีย์ และอินทรีย์วัตถุ

อินทรียวัตถุ คือเศษซากพืชซากสัตว์ ที่มันย่อยสลายได้ง่าย อินทรีย์คือสิ่งที่มีชีวิต อินทรีย์วัตถุคือเศษของสิ่งมีชีวิต คือซากพืชซากสัตว์ เมื่อเราใช้ดินไปจนเสื่อมหมดแล้ว แล้วก็ใส่เคมีลงไป อินทรีย์วัตถุก็ไม่เหลือ วิธีแก้ไขก็ง่าย เอาแค่เอาจุลินทรีย์ไปใส่เอาอินทรีย์วัตถุใส่ลงไป จะต้องใส่ทั้งสองอย่าง ที่ผ่านๆมา จุลินทรีย์ถูกปั่นหุ้นให้เป็นยาวิเศษ จนลืมอินทรีย์วัตถุ จนใช้จุลินทรีย์อย่างเดียวก็พอ จริงๆไม่พอ แล้วที่ๆใช้จุลินทรีย์ได้ผล มันงาม มีจริงแต่ที่ตรงนั้นมีอินทรีย์วัตถุอยู่มากแล้ว มันก็ได้ผล แต่ในที่ๆไม่มีอินทรีย์วัตถุ คือดินก้นสระแล้วใส่จุลินทรีย์ยังไงจ้างก็ไม่เกิด แม้จะใส่ปุ๋ยเคมีก็ไม่งามเลย เพราะฉะนั้นจะต้องครบองค์ประกอบ ครบองค์รวม

ในเรื่องของน้ำหมักขยะมีอยู่หลายสูตร หนึ่งน้ำแม่จากผักหมักจะไปบำรุงต้นอ่อน อันที่สองน้ำผลไม้หมักหรือน้ำพ่อ ส่วนนี้บำรุงต้น ดอก ช่วงหลังมีการประยุกต์จากผลไม้มาเป็นถั่วเหลืองด้วย ใช้ถั่วเหลืองแทนผลไม้ได้ผลดี(ของอจ.สมหมาย) เร่งได้ประสิทธิภาพดี เมื่อข้าวเฝือใบ ก่อนที่ข้าวจะตั้งท้องเอาไปพ่นใส่ แต่ถ้าเอาน้ำแม่ไปใส่ก็จะยิ่งเฝือใบไปใหญ่ ก็ต้องรู้หลักการใช้

สูตรดินหมักใช้ได้ผลดีทีเดียว เอาดินดีที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีซากพืชซากสัตว์ คือใบทับถมกันมาหลายปี ส่วนมากเอาจากต้นไผ่ ๑ กก. ผสมกับรำอ่อน ๑ กก. คลุกเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาลทรายแดง ๒ ช้อน เอาไปคลุก พรมน้ำให้ได้ความชื้นพอหมาดๆ แล้วคลุมผ้าทิ้งไว้ใต้ต้นไม้ที่เอามา ในที่ร่ม ๓ วัน เสร็จแล้วมาผสมกับน้ำ ๒๐ ลิตร น้ำตาล ๑ กก. อันนี้เป็นสูตรของดินหมัก หมักไว้ ๗ วันก็ใช้ได้

น้ำหมักขยะ ก็คือใช้ขยะ ๓ กก. น้ำตาล ๑ กก. น้ำ ๑๐ ลิตร ทำเหมือนกัน สูตรน้ำหมักขยะใช้ได้ พวกผมก็ทดลองทุกสูตร ก็ใช้ได้ทุกสูตร อยู่ที่ว่าทำหรือเปล่า

ในเรื่องของการป้องกัน และการไล่แมลง มันทำได้ ๓ ลักษณะ

สูตรไล่แมลงแบบหมัก ของอาจารย์อุดม หากเราไม่มีครบก็ตัดออกก็ได้ ไปผสมกับตัวอื่นที่แมลงไม่กิน ก็เอามาแทน ไม่มียูคาลิปตัส สาบเสือ ดาวเรือง หญ้าที่ไม่มีกลิ่นฉุน ก็เอามา

อีกแบบหนึ่ง คือ แช๋ ๑-๓ วัน ที่สวนของผมใช้ส่วนใหญ่ถ้าหมักไม่ทันก็ไม่ได้ใช้ครับ ใช้แช่พืชที่ไล่แมลงได้ ไม่ว่าจะเป็นบอระเพ็ด แช่ ๑-๓ คืน บางทีก็แค่ ๑-๒ ชม.มาทุบๆ แช่แบบมีเทคนิคพิเศษก็คือ แช่เสร็จแล้วเราจะแช่ใส่น้ำซาวข้าว เสร็จแล้วก็เอาไปพ่นเลย เหมือนน้ำนม พืชจะออกดอกออกผลได้ดี อันนี้ก็เป็นเทคนิค หรือจะแช่ใส่น้ำธรรมดาก็ได้ ๑-๓ วันก็เอาใส่พ่นแมลงได้ สูตรนี้ไม่ต้องรอนาน ยิ่งจะให้ใช้เร็วก็เอาไปต้ม เอาตัวที่ไล่แมลงได้ทั้งหมดไปต้มแล้วไปพ่นไล่แมลง ก็ใช้ได้เหมือนกัน เป็นทิศทางอยู่ ๓ ลักษณะที่เราจะใช้แบบไร้สารพิษ

เมื่อเราทำหมักเป็น ก็เป็นสูตรปุ๋ยหมักสูตรต่างๆ มี ๒ สูตรหลักๆที่เราเรียนรู้กัน คือสูตรใช้ทั่วๆไปสำหรับคนมีเงิน ก็จะมีแกลบดิบ หรือแกลบเผา ๑ ส่วน มีรำอ่อน ๑ ส่วน มูลสัตว์ หรือกากถั่ว ๑ ส่วน มาคลุกเข้าด้วยกัน ผสมจุลินทรีย์รดเข้าไปให้ได้ความชื้น ๔๐-๖๐ % ที่เราเรียนรู้กัน มูลสัตว์หรือกากถั่วอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ใครจะใส่ทั้งสองอย่างก็ได้ โดยสูตรเดิมของเขานี่จะมีเฉพาะแกลบดิบ รำอ่อน มูลสัตว์ พอเรามาประยุกต์ก็จะมีกากถั่ว แกลบเผาด้วยถ้ามี ก็จะใช้ได้ผลดี อัตราส่วน ๒๕-๒๐๐ กก.ต่อไร่ถ้าใส่นาข้าว

ถ้าถามว่าใส่มากใส่น้อยอยู่ที่ดินของเรา ดินดีก็ใส่มาก หากดินไม่ดีก็ใส่มากหน่อย

สูตรที่ ๒ เป็นสูตรที่คิดค้นขึ้นมาและทดลองมามาก แล้วชาวบ้านเอาไปทดลองใช้ แล้วได้ผลดีมาก แล้วที่สวนเองก็ใช้สูตรนี้ เพราะไม่ต้องซื้อรำอ่อน แต่ใครสามารถซื้อมาใส่ก็ดี แต่มันค่อนข้างแพง ก็มาใช้สูตรนี้ ต้องใช้ความขยัน ก็มีแกลบเผาหรือขี้เถ้า ๑ ส่วน มันจะทำหน้าที่เป็นด่างที่ไปล้างสภาพความเป็นกรดที่เราใส่ปุ๋ยเคมีมาก ใช้แค่ส่วนเดียว ที่ใช้น้อยเพราะว่าถ้าใส่มากจะเค็มมาก จะไปกัดพืชทำให้พืชเสียหาย ถ้าเราสังเกตุภูมิปัญญาโบราณ ถ้าเขาเผากองเศษพืชต่างๆ ถ้าเราต้นไม้ไปปลูกตรงกลางมันจะไม่งาม แต่ถ้าปลูกรอบๆมันจะงาม แสดงว่ามันไม่ต้องการขี้เถ้ามาก แกลบเผาพืชไม่ต้องการมากหรอก นิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องถึง ๑ ส่วนก็พอ ไม่มีก็ไม่ต้องใช้ เพราะในป่าจริงๆไม่มีขี้เถ้า ไม่มีแกลบเผา ในป่าจะมีแต่พืชสด แกลบดิบ ๓ ส่วนเพื่อจะให้โครงสร้างของดินหลวมๆ เวลามันเปื่อยก็จะกลายเป็นปุ๋ย แต่เราไม่ได้หวังปุ๋ยจากมันเร็ว เพราะมันเปื่อยช้า ใช้แค่ไม่ให้โครงสร้างของดินแน่นเกินไป ให้ได้ระบายอากาศได้ดีขึ้น อัตราส่วนนี้เป็นอัตราส่วนที่ใช้ทั่วๆไป ได้ผลดี ปรับเปลี่ยนได้ตลอด ที่สำคัญคือพืชสดสับละเอียด ๑๐ ส่วน เพราะผมจะเน้นในเรื่องของสาบเสือ มาทดลองแล้วหมักปุ๋ย (ต้นสาบเสือภาษาอีสานต้นร้องห้าง ต้นเทิน) เวลาเรามีบาดแผลมาเคี้ยวแล้วแปะ ต้นฝรั่งก็ใช่ ใช้พวกนี้สับละเอียด

เฉพาะสาบเสือตัวเดียวมาปั่นละเอียด ทิ้งไว้ ๔ วันจุลินทรีย์จะเดินเต็ม แล้วจะเปื่อยเน่า โดยไม่ต้องใช้น้ำหมักก็ได้

พืชสดที่ดีก็จะมีสาบเสือ ถั่ว งา แล้วก็พืชอื่นๆที่เน่าเปื่อยไว แต่หญ้าคาจะแห้ง ไม่เปื่อย ชาวบ้านจึงเอามามุงเฉียงนา สรุปแล้วเราต้องเลือกใช้ ช่วงที่จำเป็นต้องใช้ปุ๋ยไว ต้องเลือกที่มันเปื่อยไว ที่ผมทดลองแล้วใช้สาบเสือ ทดลองปลูกคะน้าได้ยอดดอกแค่คอ ใบได้แค่เข่า ใบเท่าใบบอน ไม่เท่าของอาจารย์อุดมได้เท่าหัว

ผมทดลองในถั่ว พริก มะเขือ ข้าว ปรากฏว่างามทั้งหมดเลย ปลูกในมะเขือมันแตกิ่งตั้งแต่ขึ้นมาเลย แตกกิ่งไปทั่วเลย แตกตั้งแต่ขึ้นมา ปลูกประมาณไร่หนึ่ง หลังจากใช้พืชสดสับละเอียด มันจะมีข้อดี ถ้าเป็นสาบเสือหรืออะไรฉุนๆ มันจะไล่แมลงได้ด้วย แล้วเปื่อยไวด้วย แล้วจะมีมูลสัตว์ ๑๐ ส่วนถ้ามี ส่วนของสวนผมไม่ได้ใช้ แต่ชาวบ้านที่มาเรียนรู้เขาจะมีมูลสัตว์อยู่แล้ว ทดลองคลุกสูตรนี้ใช้จุลินทรีย์รดไปใช้กับข้าว งามมากเลย ไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมี ชาวบ้านเขารวมตัว ๘ คนผลิตวันหนึ่งได้เป็นตัน มันจะมีเครื่องปั่นตัวอย่างอยู่ที่นี่ อยู่ที่โรงปุ๋ย เครื่องละ ๔๐๐๐ บาท ใช้ทั้งหมู่บ้านเลย

ถ้าจะให้ได้ผลมากขึ้น สูตรนี้จะไม่มีรำอ่อน แต่ถ้าใครมีรำอ่อนจะใส่ก็ดี ที่ไม่มีรำอ่อนเพราะผมจะใช้น้ำซาวข้าวหรือน้ำแช่ถั่วรดกองปุ๋ยแทนรำอ่อน เพราะน้ำซาวข้าวทั้งคืนวิตามินอะไรก็ออกมาเยอะพอสมควรแทนรำอ่อน ต่อไปกลับไปทำธนาคารน้ำซาวข้าวได้แล้ว เก็บทุกวันๆ ผมก็เอาถังไปที่บ้านชาวบ้าน เพราะเขาทิ้งทุกวันอยู่แล้ว ก็มารดกองปุ๋ยตลอดเวลา

แต่ถ้าไม่มีน้ำซาวข้าว ไม่มีรำอ่อน ก็ไม่เป็นไร ก็ใช้น้ำธรรมดาได้ เพราะประสิทธิภาพเขาสูงอยู่แล้ว ถ้าเกิดมีปัญหาว่าพืชที่เราปลูกลงไปมันโตช้า วิธีแก้คือเอาน้ำซาวข้าวหรือน้ำแช่ถั่วไปรดเลย หรือเอาน้ำยูเรียไม่ใช่แบบซื้อ ยูเรียแบบในตัวเรา คือปัสสาวะผสมเลยใส่สัก ๑-๒ แก้วต่อน้ำ ๒๐ ลิตรไปรด จะงามมาก ผมทดลองทั้งน้ำซาวข้าว น้ำแช่ถั่ว และน้ำยูเรีย ใช้ได้ผลทั้ง ๓ อย่าง ในการเพิ่มประสิทธิภาพ

ปุ๋ยพืชสดที่ดี มีทั้งสาบเสือ ถั่ว งา และพืชอื่นๆที่เน่าเปื่อยเลย จะมีวิธีสังเกตว่ากองปุ๋ยที่ใช้ได้ดีหรือไม่ได้ดีเมื่อคลุกน้ำซาวข้าวเข้าไปแล้ว กี่วันถึงจะใช้ได้ ๔ วันถึงจะใช้ได้ โดยดูตรงที่ว่ามันเย็นแล้ว เพราะเราต้องพลิกกลับกองได้ แต่ถ้ามันร้อนจนต้องกระชากมือออกมายังใช้ไม่ได้ ไปลงในพืชจะเฉาหมด เชื้อราจะขึ้นหรือไม่ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ราสีขาวจะขึ้นเต็ม ใช้ได้ ถ้าจะให้ดีเอามือไปล้วงดู อุ่นๆก็ใช้ได้ แต่ร้อนใช้ไม่ได้

พืชสดจะดีกว่ามูลสัตว์ ตรงที่ว่าไม่ต้องผ่านาลำไส้สัตว์ เพียงแต่ว่าจะมีวิธีใดให้เขาละเอียดได้ไวขึ้น เขาจะมีสารอาหารเยอะ แล้วใส่จุลินทรีย์ลงไป ที่จริงมูลสัตว์ สัตว์ก็กินพืชเข้าไป ส่วนหนึ่งไปเป็นตัวสัตว์ กากก็จะออกมาพร้อมกับจุลินทรีย์ที่อยู่ในลำไส้ เราก็ผลิตจุลินทรีย์ไปใส่ซะเลย จริงๆเรานั่นแหละทำมูลสัตว์เอง เอาจุลินทรีย์ไปใส่แทน ไม่ต้องผ่านท้องสัตว์ก็จะได้ปุ๋ยสะอาดมีประสิทธิภาพสูง เหมือนกับอจ.อุดมว่า ที่น่ากลัวตอนนี้คือมูลไก่กับมูลหมูหลายที่ไปทำเริ่มประสบกับปัญหามูลไก่กับมูลหมูมาก ช่วงหลังมาพืชเริ่มเป็นโรค เราจึงพยายามไม่ใช้พวกนี้ ถ้าใช้ก็เป็นมูลวัวมูลควายจะดีกว่า แต่ถ้าไม่ใช้ได้เลยดีกว่าที่สุด และปลอดภัยกว่าที่สุด แต่ใครมีก็ใช้ไปเถอะในส่วนมูลวัวมูลควาย

ในส่วนวิธีใช้ที่ให้มีประสิทธิภาพเร็วจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ ๑.เอาไปชงไว้ก่อนในที่ๆเราอยากจะปลูกอะไรลงไป ชงไว้แล้วก็รดน้ำ ๑ สัปดาห์ แล้วก็เอาไปใช้ อีกวิธีหนึ่ง คือเมื่อเราไปปลูกเอาไว้แล้วเราจะไปใส่เพิ่ม ควรจะมีการพรวนดินรอบใบๆสักนิดหนึ่ง แล้วใส่พวกนี้ลงไปเอาดินกลบ เรียกว่ายังไงก็ได้ ให้ดินเปื่อยไวลงไปสู่พื้นดินได้ไว ให้ดินกลบเอาวัชพืชคลุม จะเอาฟางคลุมก็ได้ ในเรื่องนี้จะช่วยให้ประสิทธิภาพของปุ๋ยเร็วขึ้น ดีกว่าที่เราจะไปวางไว้เฉยๆแล้วให้เขาซึมลงเอง เพราะสังเกตใบไม้ที่ดินกลบจะเปื่อยไว ก็จะลงรากพืชได้ไวในส่วนนั้น

อาจารย์นักบุญ

ผมขอเสริมนิดหนึ่ง แต่ก่อนผมมีปัญหาว่าจะปลูกพืชจะทำยังไงถึงจะมีปุ๋ย ตอนนี้คำตอบมาแล้ว ไม่ยาก แต่ก่อนจะทำปุ๋ยได้ ต้องทำจุลินทรีย์ก่อน หมักจุลินทรีย์ทำยังไง มีปัญหาเรื่องน้ำตาล เดี๋ยวนี้ไม่ต้องใช้น้ำตาลแล้ว เพราะผมทดลองไปครั้งแรกใช้น้ำตาลทรายแดง ๑ กก. ขยะ ๓ ส่วน แล้วก็น้ำ ๑๐ ส่วน แต่ขณะนี้พอทำไปๆ ผมเอาน้ำซาวข้าวใส่ลงไป แล้วก็ข้าวแห้ง ที่เรากินเหลือ ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า เพราะข้าวจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล แป้งจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล ตอนนี้เจอคำตอบแล้ว ต่อมาผมไม่ใช้น้ำตาลเลยเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ผมทำทุกอาทิตย์ แต่น้ำซาวข้าวเทลงไปทุกวัน ข้าวที่เหลือในหม้อขูดลงไป มันจะเปลี่ยนจากแป้งเป็นน้ำตาลทันที จากคาร์โบไฮเดรทมันจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาล เพราะฉะนั้นมันจะขึ้นฝ้าทันทีเป็นกลูโคลส เป็นอะไรก็แล้วแต่ขอให้เป็นจุลินทรีย์ก็แล้วกัน

ได้คำตอบแล้ว หลายเดือนแล้วที่ผมไม่ได้ใช้น้ำตาลเลย ทำครั้งๆแรก แต่อยากตักหมด ให้มันขึ้นมาเกือบเต็มแล้วช้อนใส่ถังที่เตรียมไว้ที่จะทำจุลินทรีย์ คราวนี้เชื้อมันยังมีอยู่ เราก็เอาเศษผักต่างๆลงไปๆ เอาน้ำซาวข้าวใส่ลงไป พอมันเต็มเราก็ตักออกใส่อันใหม่ แต่อย่าเทหมด เพราะเชื้อมันยังอยู่ ไม่ได้ใส่น้ำตาลเลย เจอคำตอบแล้ว อาทิตย์หนึ่งเต็มหมด เศษอาหาร เปลือกผลไม้เราเอาลงถังหมด แล้วอะไรก็แล้วแต่ คนเข้าด้วยกัน ไม่มีกลิ่นเหม็นเลย ไม่ต้องใส่น้ำตาลเลย ไม่มีหนอน เสร็จแล้วเอาไปทำปุ๋ย ไม่ยาก แต่ก่อนมีปัญหาต้องขี้วัวขี้ควาย ใบไม้ร่วงลงมา ได้หญ้ามา ผมเอาสับๆใส่เข้าด้วยกัน แต่ดีที่สุดคือใบสาบเสือกับสาบแร้งสาบกา เพียง ๓ วันเดินเชื้อขาวเลย คนไปเป็นปุ๋ย ผมใส่แกลบดำ ๑ ส่วน แกลบขาว ๒ ส่วน เอาดินมาช่วย ๑ ส่วน เสร็จแล้วเอาขยะ เกี่ยวอะไรมาได้ไม่ว่าจะเป็นสาบเสืออะไรก็ได้มาหมด ใส่ลงไป ชงใส่กัน ไม่เกินอาทิตย์หนึ่งได้ใช้เลย โดยเฉพาะสาบเสือกับสาบแร้งสาบกา ชั้นยอดเลย

เพราะฉะนั้นไม่ต้องใส่น้ำตาลแล้ว ขอให้มีข้าว โดยเฉพาะวัดใดที่มีข้าวแห้ง ยอด น้ำมวกบ้านเราทุกหลังคาขอเขา เวลาทำปุ๋ยไม่ยาก มีปัสสาวะก็ใส่ลงไป แต่ผมไม่ผสมสองต่อหนึ่งบัว ผมผสมน้ำมวกปนขยะ ชั้นยอดเลยครับ เพราะฉะนั้นสวนเราเกิดหญ้าก็เกี่ยวๆก็เอามาสับใส่เลย

ไม่ต้องไปซื้อที่ไหน ในสวนของเรานี่แหละ หญ้าขึ้นก็ตัดมาสับใส่เลย รถไถที่ไถหญ้าเราก็เอามาชงใส่กันเลย เรียบร้อยนี่คือคำตอบ ทดลองทำพืชผักงามมาก ผักบุ้งตอนนี้กำลังงาม ชั้นยอด

เพราฉะนั้น รสจะเปรี้ยว ไม่เหม็น เหมือนทำเหล้าเลย ข้าวไม่ต้องใส่มากหรอกครับ ข้าวแห้หงเป็นตัวเชื้อ ข้าวเหนียวจะดีกว่าข้าวเจ้า ไม่ได้กำหนดเลยครับเศษอาหารที่เหลือใส่ลงไปเลยครับ ไม่ต้องทิ้งอะไรเลย ยกเว้นถุงพลาสติก ไม่ต้องมีสูตร คือมีอะไรใส่ลงไปหมดเลย เพราะมันย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยหมดเลย ไร้กระบวนท่า แต่ดีที่สุดคือสาบเสือ เพราะมันย่อยเร็วที่สุด นอกนั้นก็ตามมีตามเกิด สาบเสือย่อยเร็วมันก็จะเป็นอาหารก่อน พวกแกลบย่อยที่หลังก็กินทีหลังจะกินได้นาน ก็คิดว่าไม่ต้องใส่น้ำตาลก็ได้ ขอให้มีข้าวเท่านั้น

สาบเสื้อเอามาสับก็จะเปื้อนมือ เล็บจะเปื้อน ตามถนนมีมากมาย เราไปเกี่ยวเอามาเลย ใบเป็นขน ไม่เกิน ๓ วันย่อยหมดเลยครับ ถ้าหากมีกลิ่นเหม็นก็เติมน้ำตาลลงไปได้ แต่ถ้าไม่มีกลิ่นก็ไม่ต้องเติมน้ำตาลเลย

กลับไปหน้าสารบัญ

   Asoke Network Thailand
asoke information | asoke community | fhae party | คกร. | ชาวอโศก | ผลิตภัณฑ์ | แนะนำ | ถาม-ตอบ | ข่าว