ทำไมพ่อท่านทุ่มเทให้ ว.บบบ.? ในรายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อท่านฯ เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ มีผู้ตั้งประเด็น มาถามพ่อท่านว่า... โปรดเมตตาอธิบายให้ลูกฟังทีเถิด ว่าทำไมต้องใช้ทองคำ ในการทำเข็มติดเสื้อ ของ ว.บบบ. เอาเงินไปจ่ายค่าดาวเทียม ไม่ดีกว่าหรือ? พ่อท่านตอบว่า.... จ่ายค่าดาวเทียมก็ต้องทำอยู่แล้ว แต่ว่าอันนี้ก็ต้องทำ เมื่อมีทุนมีแรงเหลืออยู่ พอจะทำได้อีก ก็เอามาเสริมมาทำอันนี้ ถ้าเป็นแต่ก่อนนี้ เป็น ๒๐ ปีที่แล้ว อาตมาทำไม่ได้ เพราะยังไม่มีทุนมาทำถึง ๒ ล้าน เพื่อที่จะทำเข็มนี้ แต่เดี๋ยวนี้มีผู้อุปถัมภ์ค้ำชู ที่พอจะทำได้ อาตมาทำงานศาสนามานี่ จะไม่เรี่ยไร ยังไงให้เป็นตายอย่างไรก็ไม่เรี่ยไร และไม่คิดจะหาเงินด้วย มันเป็นเรื่องที่อาตมาต้องทุ่มต้องทำ พยายามพากเพียรที่จะให้เกิดสิ่งนี้ และวิธีที่ทำนี่ เป็นวิธีของศาสนาพุทธเลย ให้แต่ละคนเกิดสำนึก มุ่งมั่นเตือนตน พากเพียรใฝ่ดีเอง ไม่ต้องมีใครบังคับ เตือนสติกันอยู่ ที่พ่อท่านออกอากาศนี่ ก็เป็นการเตือนสติตลอดเวลาเท่านั้นเอง พอแล้ว ส่วนใครจะปล่อยปะละเลยก็ตัวใครตัวมัน ใครจะขวนขวายเอาก็เป็นบุญของแต่ละคน เพราะฉะนั้น ที่มาท้วงมาเตือน ว่าเงินนี่ไปทำดาวเทียมไม่ดีกว่าหรือ แต่นี่ก็พอเป็นไปได้ จึงมาทำอันนี้เพิ่มเติม คิดว่าอนุญาตนะ! พ่อท่านยังได้สาธยายเรื่อง ว.บบ.ในหลายวาระ...... บรรดา คือเราไม่ได้จำกัดว่าเป็นใคร แม้แต่ศาสนาอื่น จะเข้ามาสอบเป็นบัณฑิตอันนี้ก็ได้ มันเป็นการทดสอบการศึกษา ทดสอบสร้างให้เกิดภาวะบัณฑิตที่แท้จริงแก่คน เรามีใบรับรอง ที่เขาเรียกกันทั่วไปว่า ปริญญาบัตร หรือประกาศนียบัตร แต่ของเราเรียกว่า ปัญญาบัตร และมี บัตรประจำตัวรุ่น ผู้ใดสอบได้ แต่ละรุ่นก็เข้ารุ่นที่สำคัญ คือจะมี เข็มตราพระธรรม ถือว่าเป็นบัณฑิตเลย มีเข็มนี่ติด จะติดเป็นประจำเลยก็ได้ หลังเข็มจะบอกรุ่นไว้ด้วย เป็นทองคำแท้ ไม่ใช่ทองชุบ นำหนักเกือบบาทหนึ่ง หนัก ๑๓.๒๗ กรัม ซึ่งหนึ่งบาท หนัก ๑๕ กรัม เดี๋ยวนี้ ๑ บาท ราคาสองหมื่นห้าพันบาท ตกอันหนึ่งก็เกิน สองหมื่นห้าพันบาท พ่อท่านดำริงานนี้ขึ้นมาเพื่อ สร้างคน ให้คนพัฒนาเป็นชีวิตที่ดี ประเสริฐ ที่เรียกว่า อาริยะ เป็นความเจริญในระดับโลกุตระ ซึ่งเป็นชีวิตที่พ้นทุกข์ ลดทุกข์ได้ ลดได้จริง แล้วก็เป็นคนดีของสังคม ลดกิเลส ตามทฤษฏีของพระพุทธเจ้า ลดกิเลสแล้ว เป็นประโยชน์ต่อสังคม ซึ่งพ่อท่านเห็นว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ในความเป็นมนุษย์ ที่ตั้งใจทำ ตั้งแต่ออกมาจากชีวิตโลกๆ ที่เคยวิ่งไล่ล่าลาภ-ยศ-สรรเสริญ-โลกียสุข ออกมาก็เห็นว่าดี ทำมาได้ตั้งแต่อายุ ๓๖ ปี เราทำได้ผล จนเกิดกลุ่มหมู่อโศก เรียกว่าบุญนิยม เราพยายามให้เป็นหลักเป็นฐาน เป็นกรอบการศึกษา เป็นระบบการศึกษาเปิด ที่ไม่ชื่อว่า อยู่ในกรอบของกระทรวง เราพยายามทำแบบของเราเองโดยตรง จะกำหนดความรู้ขึ้นมา ให้เป็นลักษณะที่เป็นอาริยะ อย่างที่ตั้งใจ เข้าใจ มั่นใจ โดยไม่มีกฎระเบียบทางโลกมาวุ่นวาย ก็เลยคิดโครงสร้างการศึกษานี้ขึ้นมา แล้วตั้งชื่อว่า วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ชื่อย่อว่า ว.บบบ. แล้วก็ร่างโครงร่าง เป็นการเรียนอย่างอิสระ เมื่อทำอันนี้ขึ้นมาแล้ว ก็มาทำรายการโทรทัศน์ว่า เรียนอิสระ(ตามสำนึก) ให้สำนึกเอง มุ่งมั่นเอง พ่อท่านก็ถ่ายทอดทางสื่อสาร เป็นทางอากาศ สื่อออกไปอยู่ตลอดเวลา ใครสำนึกเห็นว่าควรศึกษา ก็ศึกษาเอา ถึงเวลาปีหนึ่งก็มาสอบทีหนึ่ง ซึ่งเปิดกว้างไม่กำหนดอายุ เปิดรุ่นแรก มีอายุ ๗ ขวบ ๘ ขวบ จนถึง ๘๐ กว่า และเรียกผู้มาเรียนว่าเป็น บัณฑิตาราม เป็นการศึกษาที่พัฒนา กายวาจาและเน้นที่จิต ต้องพัฒนาขึ้นให้ได้ โดยมีเกณฑ์ของผู้สมัครเรียน คือ ผู้ที่มีคุณสมบัติอย่างที่ว่า คือเป็นมนุษย์ ไม่มีอบายมุข ถือศีล ๕ กินมังสวิรัติ สามเงื่อนไขนี้ ถ้ามนุษย์มี และปฏิบัติอย่างนี้ได้ ปีหนึ่งไม่ต้องมากมาย ปีหนึ่งได้ซัก ๒๐ คน ถ้าลงทุนไปห้าล้านบาทก็คุ้ม ก็พอแล้ว พ่อท่านกล้าทุ่มเลย ก็ลองดูว่า รุ่นหนึ่ง ก็ลงทุนไม่ถึงห้าล้านบาท ในปีแรก มาสมัครเกือบหนึ่งพันคน เราถือว่าให้เกียรติกัน ในความเป็นคน เขาก็ต้องมีสำนึกของเขา เป็นงานมาปฏิบัติ จรณะ ๑๕ นั่นเอง เป็นหลักการ มีการทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น มีการฟังรายการธรรมะ มีการบำเพ็ญคุณ บำเพ็ญธรรม มีการสังสรรกับนักปฎิบัติด้วยกัน คนทั่วไปที่ยังไม่มีคุณสมบัติถึง แม้ไม่มาสอบก็มาร่วมปฏิบัติได้ จะมีการแบ่งกลุ่ม ก็ไปขอเข้ากลุ่มได้ เพียงแต่ไม่ได้ถูกคิดคะแนน เท่านั้นเอง พ่อท่านสาธยายต่อไปว่า ถ้าชีวิตนี้ได้ช่วยคนให้มีคุณธรรม ให้มีคุณสมบัติดังกล่าว ประเทศก็จะมีอาริยะ ไม่เป็นภาระสังคม จะทำให้สังคมไม่วุ่นว่าย ไม่ได้มักมากหรอก ปีหนึ่งได้ ๑๐-๒๐-๓๐ คน ร้อยคน มาถึงวันนี้ หลายสิบปีแล้ว ก็ได้เป็นโล้เป็นพายอยู่ มาถึงวันนี้ ก็มีหมู่กลุ่มชุมชนทั่วประเทศ เกือบร้อยกลุ่ม มายืนยันปฏิบัติ ศีล-สมาธิ-ปัญญา ขั้นต่ำคือศีล ๕ แต่ก็จะมี ศีล ๘ ศีล ๑๐ ตามฐานะ ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข เมื่อพ่อท่านเห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐ จึงทุ่มเทลงทุนลงแรง จึงเกิดเป็น ว.บบบ.ขึ้นมา รุ่นแรก ในต้นปี ๒๕๕๕ รุ่นที่สอง ที่กำลังจะจัด เป็นรุ่นปี ๒๕๕๖ จะมีรุ่นสาม รุ่นสี่ ตามมาในปีต่อไป ซึ่งในปีแรก จะใช้วันโพชฌังคาริยสัจจายุ คือ เกิดจากวันที่พ่อท่าน อายุ ๗๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน เป็นวันที่มีเลข ๗ สี่ตัว และกำหนด จะจัดในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ถึงวันที่ ๓ มกราคม ของทุกปี นี่คือ ที่ไปที่มาของ วิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม ผู้ที่จะมาร่วมศึกษา ตั้งใจมาเป็นนิสิตวิชชาลัยนี้ มาสมัครได้ตั้งแต่ ๕-๖-๗ ขวบ เขียนหนังสือไม่เป็น ก็มาสมัครได้ จะต้องหาผู้ช่วยมาเขียนให้ ก็บอกเขาให้เขียนให้สอบให้ นอกนั้น ไม่ตอบข้อสอบ ก็ปฏิบัติประพฤติ มีหลักคือ ศีลเต็ม-เข้มงาน-สืบสานวิชชา อย่างพระอรหันต์ ถือว่าเป็นศีลบุคคล หรือผู้ใดปฏิบัติศีลได้เต็มระดับโสดาบัน ก็มีศีล ๕ เต็มเป็นปกติ ไม่ละเมิด มันมีขีดหยุดขีดพอ ศีลนี่ มีคุณสมบัติ ให้จิตดับกิเลสจนเต็ม ตัดอบายต่างๆ ไปตามลำดับ ในการสมัคร จะเปิดตั้งแต่ ๑-๒๕ ธ.ค. ๕๕ สมัครได้ที่สมณะ ที่รับสมัครตามพุทธสถาน หรือสังฆสถานทั้ง ๙ แห่ง ของชาวอโศก ถ้ามาตามเวลาก็จะไม่ตกหล่น ถ้ามาสายใกล้เวลา ก็อาจตกหล่นได้ ผู้ที่จะสมัคร ไม่เสียเงินเสียทองอะไร ในปีหนึ่ง จะมีการมาสอบไล่ทั้งหมด 7 วัน โดยแบ่งเป็นสองส่วน คือ ๔ วันแรก เรียกว่าการ บำเพ็ญคุณ ๓ วันหลัง (๒๘-๓๐ธค ๕๕) เป็นการ บำเพ็ญธรรม(๓๑ธค-๓มค.๕๖) จะมีคุรุ มีอาจารย์ มีพี่มีน้องพาทำ แล้วให้คะแนน นอกไปจาก ๗ วัน ที่มาสอบไล่แล้ว ก็สำนึกเอาเอง เป็นการเรียนอิสระตามสำนึก จะมีการจับกลุ่มกันทำเป็นระยะ ตามสำนึก มากน้อยแล้วแต่ ศาสนาพุทธไม่บังคับ ให้เป็นไปตามสำนึก มีญาณปัญญา มีอุตสาหะวิริยะ ให้รู้ว่าดีก็ควรทำ เพราะการปฏิบัติธรรม มรรคองค์ ๘ ทำที่ไหนก็ได้ พระพุทธเจ้า ไม่เกี่ยงเวลาสถานที่ ไม่เกี่ยงบรรยากาศ หากมุ่งมั่นลดละกิเลสจริงๆ จนเกิดมรรคผลได้ทุกขณะ ไม่ใช่ว่าต้องไปแต่หาที่สงบ แล้วก็นั่งหลับตา สะกดจิตเข้าไป แต่สงบก็เป็นเพียงอุปการะ ผู้ที่ปฏิบัติธรรม อยู่ในวิชชาลัยบรรดาบัณฑิตบุญนิยม เข้าง่ายออกง่าย ไม่มีสัญญาอะไร เข้ามาแล้วก็ตั้งใจเอา ให้ขยันอุตสาหะ พากเพียรเอา ให้อิสระเต็มที่ สำนึกเอง แล้วไม่ได้บังคับ ขอให้ได้ผล พ่อท่านเน้นที่ผลจริง ไม่เน้นปริมาณ ปีหนึ่งรุ่นหนึ่ง ร้อยคนมาสอบ พันคนมาสอบ รุ่นหนึ่ง สมัคร ๘๐๐ กว่าคน ไม่ได้เสียค่าสมัครอะไร เขาก็ไม่เสียดาย แต่มาสอบ ๗๐๐ กว่าคน ถือว่าเป็นผลสำเร็จ สอบผ่านกันได้แล้ว ๕๐๐ กว่าคน สอบผ่านนี่ ไม่ได้เข็มทั้งหมด ผู้ได้เข็มตราพระธรรม และปัญญาบัตร จะได้อยู่แค่ ๑๕๔ คน แบ่งเป็นสองแผนก คือ แผนกวิชญ์ ๗๗ คน กับ แผนกชาญ ๗๗ คน ผู้ที่เคยเรียนจบป.ตรี เป็นต้นไป มาสมัคร เราให้สมัครใน สายวิชญ์ ส่วนผู้ที่ไม่จบป.ตรีมาสมัคร เราเรียกว่า สายชาญ ส่วนผู้ที่สอบผ่าน คือได้คะแนนตั้งแต่ ๕๐ % ขึ้นไป แต่คะแนนต่ำกว่า ผู้ที่สอบได้เข็มตราพระรรม จะได้บัตรประจำตัวนิสิต ซึ่งบอกรุ่นที่มาสอบ ให้เป็นเครื่องหมาย และจะได้เสื้อตราพระธรรม ที่มีตราของ ว.บบบ. ทุกคน แต่คน ๑๕๔ คนแรก จะได้เสื้อสีเข้ม (สีกรมท่า) ส่วนนอกนั้น ทุกคนที่สอบได้ จะได้เสื้อสีอ่อน ผู้ที่สอบได้แล้ว หรือสอบตก ก็มาสอบซ้ำได้ มาสอบได้ทุกปี ผู้ที่สอบได้เข็มแล้ว ในปีต่อไปก็จะสอบอีกก็ได้ ถ้าสอบได้อีก ก็จะได้เข็มตราพระธรรมอีก แต่จะได้จำกัด รวมแล้วไม่เกิน ๔ เข็ม เมื่อสอบได้ครบ ๔ เข็ม จะได้ตำแหน่ง เรียกว่า บูรณ์บุญบัณฑิต ส่วนปัญญาบัตรนั้น จะแจกในปีแรกที่สอบได้ และ จะแจกปีสุดท้ายที่สอบได้ คือแจกตอนได้เข็มที่ ๔ รวมปัญญาบัตรทั้งหมดสองใบ สำหรับตำแหน่ง บูรณ์บุญบัณฑิต ผู้ผ่านการสอบได้รุ่นที่ ๑ หากจะมาสอบเอาเข็มที่สอง จะต้องได้คะแนน ๗๐% ขึ้นไป ส่วนผู้ที่จะได้เข็มที่สาม ต้องได้คะแนนตั้งแต่ ๘๐% ขึ้นไป ส่วนผู้ที่จะได้เข็มที่สี่ ต้องได้คะแนนตั้งแต่ ๙๐% ขึ้นไป มีเกียรตินิยมด้วยในแต่ละปี ถ้าคะแนนตั้งแต่ ๙๐ % ขึ้นไป เทียบได้กับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เรียกว่า บุญบัณฑิต ถ้าคะแนนตั้งแต่ ๘๐ % แต่ไม่ถึง ๙๐ % เรียกว่า คุณนิยม ผู้ที่เป็นคุรุ ทั้งสมณะ สิกขมาตุ ก็ช่วยกันอยู่ ต่อไปในอนาคต มีบูรณ์บุญบัณฑิตขึ้นมา หรือเป็นบัณฑิตที่สูงขึ้นมา ก็จะมาเป็นพี่เลี้ยง หรือผู้ช่วย มารับผิดชอบช่วยงาน มาขอใบสมัครไปกรอกได้ หรือจะโหลดเอาได้จากเว็บ จะไปสมัครโดยตนเอง หรือทางไปรษณีย์ก็ได้ สมัครได้ ๙ แห่ง (พุทธสถาน ๗ แห่ง สังฆสถานอีก ๒ แห่ง) ส่วนเวลาที่จะสอบ ให้ไปที่ราชธานีอโศก เริ่มการสอบปีนี้ กำหนดตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๖ รวม ๗ วัน สอบเสร็จแล้ว ต้องรีบทำบัตร พร้อมกันกับแจกเลย ในวันท้ายของงาน เป็นงานจุลกฐิน ผู้ใดมีน้ำใจ ก็มาช่วยกันทางธุรการ ก็ขอบคุณล่วงหน้า ผู้จะมาช่วยให้แจ้งไปที่ราชธานีอโศก และจะมีหนังสือ ที่จะอ่านประกอบในการเรียนการสอบ ในแต่ละปี ซึ่งในปี ๒๕๕๖ กำหนดให้เป็นหนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ หนา ๓๐๐หน้า ใครมาสมัครจะได้รับแจก ได้ฟรีเลย 551212- |