ข่าวอโศกรายปักษ์
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน 2551 สัมภาษณ์ สมณะเดินดิน ติกขวีโร

การชุมนุมอันยาวนานมีสาระสำคัญอะไรบ้าง ?

ลุงจำลองบอกว่า เหตุการณ์ชุมนุมครั้งนี้ ต่อไปจะเป็นประวัติศาสตร์ที่สำคัญใน ๑๐๐ ปี น่าจะมีสักครั้งหนึ่ง แต่พ่อท่านบอกว่า ไม่ใช่ ๑๐๐ ปี น่าจะเป็น ในรอบ ๑,๐๐๐ ปี ถึงจะมีสักครั้งมากกว่า เพราะการจะหาองค์ประกอบ ความครบพร้อม สมบูรณ์ ต่อเนื่อง ยาวนานอย่างนี้ คิดว่า น่าจะเป็น ยาวนานที่สุดในโลก ด้วยซ้ำไป และมีผู้คนมาเนืองแน่น กันมากที่สุด และมีองค์ประกอบครบครัน อย่างสมบูรณ์ที่สุด มีการบรรยาย ให้ความรู้กัน ตลอด ๒๔ ช.ม. มีศิลปิน ที่มาผ่อนคลาย แต่ก็ให้สาระไปด้วย ให้กำลังใจไปด้วย อยู่ตลอด มีทั้งการสื่อสาร ที่สามารถ ที่จะขยายความรู้ ความเข้าใจออกไป ในวงกว้าง ทั้งในและต่างประเทศ ได้ตลอดเวลา มีทั้งฝ่ายรักษา ความปลอดภัย ของประชาชน ด้วยกันเอ งอย่างแข็งขัน แทบจะ เรียกว่า เอาชีวิตเข้าแลก จนผู้มาร่วมงานชุมนุมมั่นใจ ในความปลอดภัย

เรื่องที่น่าอัศจรรย์อีกก็คือ มีทั้งกองเสบียงที่หนุนเนื่องกันมาตลอด ๑๐๐ กว่าวัน จนจะประกาศอะไรขึ้นมา ก็มีฝ่ายพ่อยกแม่ยก ส่งมาให้ อย่าง อุ่นหนาฝาคั่ง แต่ก่อนก็มีเฉพาะโรงบุญกองทัพธรรมอย่างเดียว โรงบุญกองทัพธรรม ก็จะมีคนหนุนเนื่อง ส่งวัตถุดิบ วัตถุแห้ง มาให้ อย่างมากมาย อยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญก็คือ มันเป็นการรวมคน ทุกหมู่กลุ่ม ทุกเหล่า ทุกชนชั้น มาตั้งแต่ ราชนิกูล ทหาร พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวนา นิสิต นักศึกษา หรือแม้แต่ คนต่างศาสนาด้วยกัน พุทธ คริสต์ อิสลาม ก็มาร่วมรวมกันได้ มีทุกหมู่กลุ่ม และก็สามารถ ที่จะนำเสนอ สิ่งที่ดีงาม สวยงาม ด้วยการยืนยัน ที่จะใช้ความสงบ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นการต่อสู้ ที่เอาชนะกัน ด้วยสันติ ซึ่งในประวัติศาสตร์ของโลก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เรียกว่า จะสามารถเปลี่ยนได้ ด้วยสันติ การเปลี่ยนแปลง ทุกครั้ง จะต้องนองเลือด ต้องเลือดทาแผ่นดิน แต่ต้องถือว่าในครั้งนี้ สามารถเป็นไป ด้วยความสงบสันติ แม้จะเออเร่อ เกิดขึ้นบ้าง ก็ไม่ใช่เจตนา ที่เกิดจาก ฝ่ายประชาชน แต่เป็นเล่ห์กล ของฝ่ายรัฐบาล ที่ต้องการทำให้เกิด ความรุนแรง จนกระทั่ง เกิดการเสียชีวิตขึ้นมา

พ่อท่านย้ำว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้ ได้เห็นธรรมฤทธิ์ของความสงบ ฤทธิ์เดชของสันติ หรือ สันตาปวุธ หรือ อหิงสาวุธ นี่แหละ ยิ่งใหญ่ และมีฤทธิ์ สำคัญที่สุด มีญาติธรรมของเรา ที่เป็นอดีต มหาเปรียญ ลุงมหา บุญหนา บุญมี ตอนที่จะถูกสลายการชุมนุม ที่สะพานมัฆวาน เห็นตำรวจ มากันเยอะแยะ ลุงมหาของเรา ก็คิดว่า ตายเป็นตาย เพราะถือปืน ถืออาวุธมาด้วย จึงนั่งหลับตา ทำใจสงบ พับเพียบเรียบร้อย อยู่เฉยๆ ปรากฏว่า ภาพข่าวที่ออกมา พวกลูกเต้า ที่อยู่ต่างจังหวัด เห็นเข้าถึงกับ ร้องไห้ไปตามๆ กัน เพราะว่า เป็นภาพ ที่ตำรวจเอาปืน มาจ่อหัว ดูแล้วก็น่ากลัว แต่ลุงมหา นั่งอย่างสงบสบาย และไม่รู้ด้วยว่า ตนเองถูกเอาปืน จ่อหัว นี่ก็เห็นถึงฤทธิ์เดช ของความสงบ เล่นเอาตำรวจ ก็ทำอะไร ไม่ถูกเหมือนกัน เจตนาที่เอาปืนจ่อหัว ก็คงไม่ได้ตั้งใจ ที่จะยิง แต่เพื่อให้ประชาชน เกิดความหวาดกลัว แตกกระจาย กระเจิดกระเจิงกันไป แต่พอเจอความสงบ ตำรวจก็ได้แค่ข่มขู่ ให้หวาดกลัว คนอยู่รอบ ๆ ก็ไม่ได้มีใครตกใจ ก็นั่งกัน สงบเรียบร้อย อันนี้ก็คือ ฤทธิ์เดชของความสงบ ที่แม้จิตใจของคนนั้น จะโหดรุนแรง ร้ายกาจขนาดไหนนี่ แต่พอเจอ ความสงบ ก็ทำอะไร ไม่ถูกเหมือนกัน ได้แต่เพียงขู่ และยิ่งแสดง ความรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิด ความเสียหาย และเป็นการพ่ายแพ้ ของรัฐบาล ที่มุ่งจะใช้ ความรุนแรง ในการปราบประชาชน


พ่อท่านได้ติงเตือนกับชาวอโศกในเรื่องอะไรบ้าง?

เราค่อนข้างจะได้รับการยอมรับ และ เมื่อยาวนานออกไปบทบาทของกองทัพธรรม ก็ค่อนข้างได้รับ การยอมรับ มากขึ้น จนมติชน สุดสัปดาห์ เอาไปขึ้นปก พาดตัวใหญ่ว่า กองทัพธรรม กับสถานการณ์ฉุกเฉิน มีรูปพ่อท่าน เป็นรูปใหญ่เต็มหน้า ของมติชน สุดสัปดาห์ พวกเราก็ค่อนข้าง ที่จะดีอก ดีใจกัน พ่อท่านก็ท้วงติง อย่างสำคัญว่า อย่าเหลิงกันนะ ก็คงจะให้สติพวกเราว่า ต้องชัดเจน ในเป้าหมาย การออกมาทำงาน ของพวกเรา

พ่อท่านย้ำอยู่เสมอว่า เรามาทำงานกันนี่ เราไม่ได้หวังที่จะได้ประโยชน์อะไร ไม่ว่าหวังวัตถุ หวังได้รับการสรรเสริญ หรือว่า หวังที่จะ ได้รับ การยอมรับ ในมติชนสุดสัปดาห์ ก็ได้โค้ด คำพูดของพ่อท่าน ที่บอกว่า เมื่อเสร็จการต่อสู้ครั้งนี้ ชาวอโศก คนไหน ไปรับตำแหน่ง ได้เป็นผู้บริหาร โดยได้อานิสงส์ จากการต่อสู้ในครั้งนี้ คนนั้น ยังเลวอยู่ แสดงว่าที่ทำมาทั้งหมด ทำเพื่อตนเอง สิ่งที่พ่อท่าน ย้ำกับพวกเรา อยู่เสมอ ก็คือ รายได้ของเรา ที่แท้จริง คือการที่เราได้มา สร้างบารมี ได้มาใช้หนี้แผ่นดิน ได้มาสั่งสมบุญ อย่างที่ ลุงจำลองบอก บุญนี้ ก็เกิดจาก การที่เราได้ มีการพัฒนา เปลี่ยนแปลงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราได้ทำกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา ให้ดีขึ้น นี่เป็นรายได้ โดยตรงของเรา ถ้าใครไปทำงานแล้ว ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตนเอง ไปในทางที่ดีขึ้นเลยนี่ คนนั้น ก็จะไม่ได้อะไร จากการทำงาน เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ต้องทบทวนว่า เรามาทำงานลุยกันหนักหนาขนาดนี้ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา มันมีอะไร ดีขึ้นบ้าง ได้พัฒนาอะไร ขึ้นมาบ้าง อย่างน้อย เราก็เห็นได้ว่า อดทนขึ้น เราก็ได้เสียสละมากขึ้น เราก็ต้องคอยดู จิตใจเราด้วยว่า เขามายกย่อง ยกยอก็ดี เขามาด่าว่าก็ดี ทั้งสองสิ่งนี้ ใจเรากระเพื่อมไหวขึ้น มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องอ่าน เรียนรู้ว่า เรามีพัฒนาการดีขึ้น หรือเลวลงไป อย่างไร ก็ต้องชัดเจนว่า นี่คือรายได้ที่สำคัญ ของชาวอโศก นอกนั้น เราจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าเราไม่ได้มีการพัฒนา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเราให้ดีขึ้น

มีคนตั้งข้อสังเกตว่า งานนี้ลุงจำลองค่อนข้างที่จะหนักทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าสังเกตดูหน้าตา จะดูหนุ่มกว่า ตอนที่อยู่โรงเรียนผู้นำ ด้วยซ้ำไป ทั้งๆ ที่ไม่ได้หลับ ไม่ได้นอน ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ ค่อนข้างจะประสาทกิน อยู่ตลอดเวลา กับข่าวลือ มากมาย แต่หลายคน ก็มองว่า ดูลุงจำลองหนุ่มขึ้น และมีความสุข มากกว่าอยู่โรงเรียนผู้นำ ด้วยซ้ำไป นี่ก็น่าจะเป็นข้อคิด ให้แก่ญาติธรรม ได้อย่างดีว่า ถ้าทุกคน ออกจากภพ ออกจากโลก ของตัวเองได้ แล้วมาอยู่กับ ปัจจุบัน มาทำปัจจุบัน ให้ดีที่สุด แล้วมาพิจารณาว่า สังคมประเทศชาติ ตอนนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุด คืออะไร แล้วเราก็ออกจาก โลกส่วนตัวของตัวเอง มาทุ่มเท ทำปัจจุบัน ทำให้สุดชีวิต ซึ่งตรงนี้ เราจะเห็นพิธีกร ของ เอเอสทีวีว่า แต่ละคน สามารถเพิ่มเพดานบิน อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกับ ปี ๔๙ และ ปี๕๑ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะว่า เราจะเห็นถึง ความทุ่มเท เอาชีวิตเข้าแลกมัน มากกว่าปี ๔๙ เพราะการตั้งตน อยู่บนความลำบาก การทุ่มเทสุดชีวิต เราจะเห็นถึง แต่ละคน มีพัฒนาการ มีความชัดเจน กลายเป็นดาวขึ้นมา อยู่ในจิตใจของผู้คน ก็เนื่องจาก ทุกคนต้องทุ่มกัน สุดชีวิต

สรุปแล้ว ประโยชน์ของชาวอโศกที่ได้โดยตรงก็คือ เราจะไม่เอาอะไร เรามาทำงานโดยที่เราจะไม่เอาอะไร สิ่งที่เราจะได้ อย่างสำคัญ ก็คือ ได้พัฒนา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา ที่จะเป็นประโยชน์กับโลกให้มีคุณค่า ให้ได้มากที่สุด เราก็จะหนุ่มขึ้น สุขภาพดีขึ้น กระปรี้ กระเปร่า มากขึ้น ออกจากภพ ของตัวเอง และใช้ชีวิตได้ อย่างมีประโยชน์ คุ้มค่ามากที่สุด ได้มีพัฒนาการที่ เติบโต แข็งกล้า ทางจิตวิญญาณ ได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งในช่วงนี้ ชาวอโศก ก็คงจะต้องพบกับ โลกธรรม ทั้งในแง่ที่คนว่าร้าย ทั้งในแง่ที่คน ยกย่อง ชมเชย เราก็คงต้อง อ่านจิตใจของเรา ไม่ให้มันกระเพื่อม เหลิงลอย จนหลงสำคัญตน เหมือนที่เขาเคยประชดเราว่า ชาวอโศกที่กร่าง ดูได้จาก ชอบชูหาง กางเงี่ยง ทั้งๆที่ อุตส่าห์นุ่งเจียม ห่มเจียม น่าจะทำให้เราต้อง ยิ่งเจียมเนื้อเจียมตัว และก็คิดถึง สิ่งที่เรายังบกพร่อง เพื่อพัฒนา กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเราให้เจริญ ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา สิ่งนี้จะเป็นทรัพย์แท้ เป็นอริยทรัพย์ ที่ชาวอโศกทุกคน จะต้องเก็บเกี่ยว รายได้นี้ ให้ได้กัน อย่างสำคัญ

ท่านอยากจะฝากอะไรให้กับญาติธรรมในปักษ์นี้บ้าง?

ก็คงจะฝากข้อคิดจากลุงหมัก ที่ทำให้คนที่ชมรายการทีวีบางคนพอเห็นหน้าลุงหมัก ก็จะออกอาการ ลำไส้ปั่นป่วน เจ็บท้องขึ้นมา ทันทีเลย แต่จริงๆ แล้ว เราสามารถเปลี่ยนวิกฤติ ให้เป็นโอกาสได้ เหมือนกับ แกนนำถูกหมายจับ ข้อหากบฏ ก็กลายเป็นโอกาสดี ทำให้แกนนำ ทั้ง ๕ ต้องเป็นเลือดสุพรรณ มาด้วยกัน ไปด้วยกัน อยู่ตลอดเวลา เพราะว่า ถ้าแยกกัน จะเสี่ยงถูกตำรวจชาร์จได้ อันนี้ก็กลายเป็น สิ่งที่ดี หรือแต่ก่อน เรามีน้าเหลิม มีลุงหมัก ช่วยเรียกแขก ให้คนมาเนืองแน่นได้อยู่ตลอดเวลา ขยายแนวร่วมให้พันธมิตร ได้เพิ่มมากขึ้น ถ้าไม่มี น้าเหลิม ลุงหมัก พันธมิตรก็คงจะ เหี่ยวแห้ง หมดเรี่ยว หมดแรง อยู่ได้ไม่อึด ถึงขนาดนี้ จะเห็นได้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ดี ทั้งนั้น แม้จะต้อง อยู่กันมา ยาวนานถึง ๑๒๐ กว่าวัน ถ้าไม่ได้ถึง ๑๒๐ กว่า วันจริงๆ นี่เราคงไม่ได้ วิญญาณของเยาวชน คนรุ่นใหม่ นักเรียน นิสิต นักศึกษา ออกมา และเกิดการตื่นตัว ในการเมืองใหม่ ตามที่พันธมิตร มุ่งหมาย ก็คงจะไปไม่ได้ แม้จะต้อง เป็นเรื่องยาวนาน สุดท้าย ก็พลิกผันให้เกิดสิ่งที่ดีงาม ทั้งนั้น

ข้อคิดที่สำคัญที่พวกเราน่าจะได้จากลุงหมักก็คือ เราจะเห็นได้ว่า ลุงหมักเอง ค่อนข้างที่จะงงว่าตนเองทำผิดอะไร ไม่ดีอะไร ทำไมคน ถึงเกลียดชังนัก เกลียดชังหนา ซึ่งจริงๆ ก็ต้องน่าเห็นใจลุงหมัก อย่างมาก เพราะว่า บริวารคนรอบข้าง พากันเชียร์จนเลิศลอย อย่าง ส.ส. กุเทพ โฆษกพรรค ถึงกับ ยกย่องลุงหมัก ว่าเป็นผู้นำ ที่มีทศพิธราชธรรม จนถูกประท้วงในสภา คือ มีแต่คนยกย่อง เลิศเลอ ก็ทำให้ลุงหมัก เกิดการหลงตัวเอง เป็นความโชคร้าย ตรงที่มีแต่คนยกย่อง บอกว่าดีๆๆๆ บริวารช่วยกันเชลีย จนลุงหมักคิดว่า ตนเองก็ดีอยู่นี่ ไม่เห็น มีอะไรผิด ก็เลยไม่สามารถรับรู้ว่า ผู้คนในแผ่นดิน เขาสาปแช่ง เขาเกลียดชัง เขาขยะแขยง มีความรู้สึกที่เลวร้าย ต่อตนอย่างไร

นักปฏิบัติธรรมของเราเองก็มีสิทธิโอกาสซวยแบบลุงหมัก ลุงหมม ลุงหมักที่ชอบหมักอนุสัย อาสวะกิเลส มือเปื้อนเลือดมา ตั้งแต่ ๖ ตุลาฯ ๑๙ กระทั่งถึง ๕๑ มันหมักหมมกันมา ยาวนาน แม้แต่นักปฏิบัติธรรมของเรา ก็เหมือนกัน หลายๆ คน ที่ไม่สามารถ เจาะไชกิเลส เข้าไปได้ หรือ ใครเตือนติงไม่ได้ กับสิ่งที่เราหมักหมมของเรา บางทีไม่เฉพาะชาตินี้ อาจจะหลายชาติ ใครๆ ก็เจาะไม่เข้า ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใคร เชลียด้วย ถ้าตัวเอง หลงตัวเอง มากขนาดนี้ เราเองก็จะบอบช้ำ เจ็บหนัก เหมือนลุงหมักเช่นกัน ซึ่งเมื่อเจาะไม่เข้าๆ ก็มีแต่จะทำให้ เราบอบช้ำ สาหัสสากรร หนักขึ้น ออกอาการสาหัส แบบลุงหมัก นั่นแหละ

พ่อท่านจึงย้ำว่าในการที่จะล้างกิเลสนั้น จะต้องรีดแล้วรีดอีกๆ จนกว่ากิเลสมันจะหมดไปให้ได้ เหมือนกับ ลุงหมัก ถูกเขารีดแล้ว รีดอีก รีดไปถึง พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ต้นตระกูล รีดไปทุกซอก ทุกมุม เขาเจียระไนหมดเลยทำอะไรร้ายๆๆๆ เขาก็เอามารีดอีก ซึ่งพ่อท่าน ก็เอา ตัวอย่างนี้ ให้พวกเราได้เห็นชัดว่า กิเลสในตัวเรา ก็เหมือนกัน มันจะต้องรีดแล้วรีดอีก เหมือนอย่างลุงหมัก เขาถูกประชาชน รีดกิเลส เขาแล้ว รีดกิเลสเขาอีก จนกว่ากิเลส จะหมดไปให้ได้ เหมือนที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า มันจะต้อง “อเสวนา – ภาวนา - พหุลีกัมมัง” การจะทำกิเลสให้หมด เราเองจะต้องมี ซ้ำแล้วซ้ำอีก ล้างแล้วล้างอีก รีดแล้วรีดอีก แต่ถ้าเราเป็นประเภท ที่เจาะไม่เข้า นอกจาก จะไม่รีด ตัวของเราแล้ว กัลยาณมิตร ก็ยังเจาะไม่เข้าอีก กิเลสแข็งโป้ก หนาเหมือนกับ ถนนคอนกรีต อะไรอย่างนี้ ก็ไม่ไหวเหมือนกัน มันคงจะบอบช้ำ อย่างหนัก

เราจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสของเรามันเป็นประเภทยางมะตอยหรือคอนกรีต ก็คงจะต้อง อ่านใจของเราว่า เวลาได้ถูกคำตำหนิ ติงเตือน บอกกล่าวเนี่ย ใจเรามันน้อมรับยินดี หรือว่าใจมันแข็งโป้ก มันออกอาการ คอแข็ง ตัวแข็ง ใจแข็ง รีบต่อต้าน ค้านแย้ง หาเหตุผล สวนกลับ หรือว่า แก้ตัวทันที อันนี้มันคือ การเริ่มจะพัฒนา จากถนนลูกรัง ไปหาถนนยางมะตอย ไปหาถนนคอนกรีตแล้ว มันจะเริ่มหน้าแข็ง แบบลุงหมักแล้ว มันจะเกิดความหมักหมม กิเลสตัณหาแล้ว ซึ่งตรงนี้ มันจะห่างไกลจาก การพ้นทุกข์ เอ๊ะขนาดคนอื่น มาช่วยรีด ให้เราแล้ว เขายังเจาะ ไม่เข้าเลย แล้วเราจะเอาแรงที่ไหน มารีดให้กับตัวเองได้ เราคงจะต้อ งสังวรณ์กัน อย่างสำคัญ ทีเดียวว่า ถ้ามาเป็น นักปฏิบัติธรรม ที่เจาะไม่เข้า อย่างลุงหมัก กิเลสมันจะหมักหมม สะสมไปเรื่อยๆ สุดท้าย เราก็จะกลายเป็น คนที่ช้ำจนตาย อย่างน่าสมเพช เวทนา นี่ก็เป็นข้อที่น่าเตือนใจ สำหรับพวกเรา ที่มาปฏิบัติธรรมกัน.


 

ข่าวอโศก รายปักษ์