นานาทัศนะ...ทำไมต้องเป็นการเมืองใหม่!

จากวิกฤติที่สุดในโลก....ในยุครัฐบาล พตท. ทักษิณ จนถึง
บ้านเมืองใกล้ล่มจมแล้ว....ในยุครัฐบาล นอมินีของ พตท. ทักษิณ

แล้วเราจะไปหวังอะไรกับรัฐบาลที่ทั้งขี้ริ้ว.. ขี้เหร่..และข้ารับใช้ใกล้ชิด ของ พตท. ทักษิณ
ที่สั่งตรงบงการได้มากกว่าใคร ๆ แล้วประเทศไทยจะเหลืออะไร ?!!!
นี่คือสัญญาณเตือนภัย ที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง (CHANGE !) ได้หรือยัง ?




กาแฟดำ ชี้ “เหตุ”แห่งความหายนะของสังคมและการล่มจมของบ้านเมือง

เห็นรายชื่อคณะรัฐมนตรี ของ "สมชาย 1" แล้ว ก็มีอันต้องหนักใจอย่างยิ่งว่าจะตั้งรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ภายในประเทศ ที่กำลัง อ่อนไหว เพราะ "วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์" ที่ทำให้ สถาบันการเงิน ยักษ์ๆ ของสหรัฐ ต้องพังครืน ลงมาได้อย่างไร

ความโลภ ของนักการเมืองที่มีอำนาจ กับความละโมบของนักบริหารสถาบันการเงิน ที่หาทุกช่องทาง เพื่อตอบสนอง ตัณหา ความอยากได้ ใคร่มี ที่ไร้ขีดจำกัด และ หาช่องว่าง ของกฎกติกา เพียงเพื่อ จะบรรลุเป้าหมาย แห่งกำไรสูงสุด ของตนเอง โดยไม่สนใจ จริยธรรม และ ศีลธรรม นั่นคือ สาเหตุแห่ง ความหายนะ ของสังคมทั้งสิ้น

การจัดคณะรัฐมนตรีของนายกฯ สมชาย ที่มุ่งแต่จะ "แบ่งเค้ก" ระหว่างกลุ่มก๊วน ในพรรครัฐบาล โดยมีชื่อที่ "นายใหญ่" ส่งตรงจาก ลอนดอน เป็นเกณฑ์หลัก ไม่สนใจว่า การทำเช่นนั้น จะสร้าง "ความเสี่ยง" ต่อการล่มสลาย ของบ้านเมืองนั้น ก็มีสาเหตุ มาจาก "greed" หรือ ความโลภ ที่ต้องการเงิน อำนาจ และบารมี อย่างไร้จริยธรรม เหมือนกัน

แปลว่า คุณสมชาย ไม่ใช้สิทธิของความเป็นนายกรัฐมนตรีในอันที่จะเลือก "คนนอก" ที่ไม่เกี่ยวกับ อำนาจต่อรอง ของพรรคการเมือง เพื่ออย่างน้อย จะได้แสดง ความรับผิดชอบ ต่อประชาชน ว่า เมื่อได้เป็น หัวหน้ารัฐบาลแล้ว ก็จะต้องใช้ วิจารณญาณของตน ในการเลือกคน มาทำงาน ให้ชาติบ้านเมืองบ้าง

จะว่าไปแล้ว คนเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทเอกชน ยังใช้มาตรฐานการสัมภาษณ์คน เพื่อวางคนทำงาน ในตำแหน่งต่างๆ ให้เหมาะกับ คุณสมบัติ และความคาดหวัง ของผู้ถือหุ้นบริษัท ได้ดีกว่า คนเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยซ้ำไป น่าเศร้าไหม ท่านเจ้าของ ประเทศ ทั้งหลาย?

ด้วยเหตุนี้แหละที่คนไทยสิ้นหวังกับนักเลือกตั้งและกำลังต้องการเห็น "การเมืองใหม่"
(จาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ )


 

“พิษณุ นิลกลัด” ไม่ทน “การเมืองเก่า”
ชี้ ครม.สมชาย 1 ผลักให้คนเลือกข้าง “การเมืองใหม่” ของพันธมิตรฯ ชี้ ถ้าไม่เปลี่ยน
จะเหลือแต่พวกโกงบ้านกินเมือง แถมถ่ายทอด พันธุกรรม ไปยังลูก-หลาน ที่คอร์รัปชัน หนักมือขึ้น

ในหนังสือมติชน สุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 26 ก.ย.-2 ต.ค.2551 ในคอลัมน์คลุกวงใน นายพิษณุ นิลกลัด พิธีกร นักสื่อสาร มวลชน อาวุโส ได้เขียนบทความเรื่อง “หลายมิติที่ได้เห็น “รัฐบาล สมชาย 1” โดยระบุว่า

เมื่อพิจารณา จากรายชื่อ ครม.แล้วจะเห็นได้ว่า ยังคงตกอยู่ภายใต้ อิทธิพลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ปัจจุบัน หลบหนี คดีอาญา ไปอยู่ประเทศ อังกฤษ และ พิสูจน์ให้เห็นได้ชัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ยอมรามือ ทางการเมือง และยังมุ่งหวัง ที่จะเอาเงิน 7 หมื่นล้านบาท ที่ถูกอายัดไว้ จากคดีทุจริตคืน

“ดูโฉมหน้า ครม.แล้วประเทศไทยของเรายังคงอึมครึมไปอีกนาน คนที่เคยหัวเราะเยาะ “การเมืองใหม่” ของกลุ่มพันธมิตรฯ เริ่มลังเลใจ เพราะถ้า “การเมืองเก่า” ทำให้นักการเมืองไม่เห็นหัวหรือไม่ใส่ใจความรู้สึกห่วงใยบ้านเมืองของปัญญาชน รวมทั้ง คนชั้นกลางขึ้นไป อย่างไม่มี วันสิ้นสุด ไอเดียการเมืองใหม่ ของกลุ่มพันธมิตรฯ ถ้าช่วยกันปรับแต่งให้ดี บางที อาจเป็นทางออก และความหวัง ของประเทศ”




“อานันท์”สนับสนุนการเมืองใหม่
นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความคิดเรื่องการเมืองใหม่เป็นเรื่องที่ดี เพราะการเมืองเก่า ถึงทางตันแล้ว น่าจะมี การเปลี่ยนแปลง การเมืองใหม่ ประชาชนต้อง มีส่วนร่วมแท้จริง รวมทั้ง หลายองค์กร ในประเทศ สามารถมา ร่วมกันคิด ร่วมกันทำได้ ไม่ว่าจะเป็น พันธมิตร พรรคการเมือง องค์กรสาธารณะ องค์กรภาคประชาชน สำหรับแนวคิด ในการจัดตั้ง รัฐบาลแห่งชาติ หากหมายถึง การที่ทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง มาร่วมกัน แก้ปัญหา ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
(มติชน ๑๓ กันยายน ๒๕๕๑)


 

โอกาสอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ที่จะร่วมกัน
ปฏิวัติประชาธิปไตยโดยมวลชน ด้วยสันติวิธี

ศ.นพ.ประเวศ วะสี ๒๓กันยายน ๒๕๕๑

“การเมืองเก่าเน่าหนอนชอนไชเป็นที่เอือมระอาน่ารังเกียจ เบื่อหน่าย แก่ผู้รู้เห็น ทั้งแผ่นดิน จึงพากันพูดถึง การเมืองใหม่ คนไทย ทุกภาคส่วน ทุกองค์กร ควรเคลื่อนไหว ทำความเข้าใจว่า การเมืองใหม่ ที่เป็นอารยะ ประชาธิปไตยนั้น เป็นอย่างไร”

การที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง จะมีการปฏิวัติประชาธิปไตย โดยมวลชน ด้วยสันติวิธี เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่โอกาส กำลังอยู่ ต่อหน้าเราแล้ว ด้วยลักษณะพิเศษ ของคนไทย ทำให้การปฏิวัติ ด้วยสันติวิธี เป็นไปได้ และถ้าเป็นจริง จะเป็นศักดิ์ศรี อันยิ่งใหญ่ ของคนไทย ว่าเราเป็นคนที่เจริญ คนไทยเหมือน ไก่อยู่ในเข่ง ขณะที่รอ ความพินาศต่อชีวิต จะมาถึงด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น ยังจิกตีกัน ร่ำไป ที่จิกตี เพราะในเข่ง มันคับแคบ บีบคั้น ทำให้กระทบกระทั่งกัน

เข่งคือ ระบอบเผด็จการ อันคับแคบ ต้องรวมตัวกัน บินออกจากเข่ง นั่นคือ สร้างระบอบประชาธิปไตย การปฏิวัติประชาธิปไตย โดยคนไทย ทั้งมวล สามารถทำได้ ด้วยสันติวิธี ไม่มีการยึดอำนาจ หรือ การฆ่าแกง อะไรใครทั้งสิ้น แต่โดยคนไทย มีสำนึก ประชาธิปไตย แล้วรวมตัวกัน เป็นเครือข่าย ประชาชน จับมือกัน สถาปนา ระบอบประชาธิปไตย ขึ้นเอง ด้วยสันติวิธี

โอกาสอยู่ต่อหน้าเราแล้ว ที่จะร่วมกันเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีในระบอบประชาธิปไตย อันเป็นธรรมนี้ ความอยู่เย็น เป็นสุข ร่วมกัน เป็นเรื่อง ไม่ยาก


 

“ยุคศรีอาริยะ”ที่คนไทยใฝ่ฝันกันมาเนิ่นนานจะเป็นจริงได้

"พล.ต.จำลอง" ปลุก ปชช.ร่วมทำการเมืองใหม่ หลังการเมืองเก่าหมดท่า ใช้การไมได้ ชูแนวทางเสียสละ นักการเมือง ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นตัวแทน กลุ่มต่างๆ       

เวลาประมาณ 21.15 น. วันที่ 13 ก.ย. พล.ตจำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตร ประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวบนเวที หน้าทำเนียบ รัฐบาลว่า การเมืองใหม่ ไม่ใช่เรื่องยาก หลักสำคัญที่สุด คือ ต้องเป็นประชาธิปไตย อย่างแท้จริง คือ กลุ่มอาชีพ ทุกกลุ่ม โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง กลุ่มที่มีคน จำนวนมากๆ ต้องมีการเลือก ตัวแทน เข้าไปเป็น ส.ว. ส.ส. และรัฐมนตรี

"ลองคิดดูว่าชาวไร่-นา มีตั้งหลายสิบล้านคน เช่นเดียวกับผู้ใช้แรงงาน ทั้งบ้านเมือง ที่มีเป็นสิบๆ ล้านคน ก็ไม่มีตัวแทน ไปนั่งในสภา ทั้ง ส.ว. และ ส.ส. หรือ ไปนั่งในทำเนียบฯ ไปเป็นรัฐมนตรีก็ไม่มี แล้วแบบนี้ จะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร"

พล.ตจำลองกล่าวอีกว่า พวกเราอยากจะเห็นตัวแทนจาก กลุ่มแพทย์-พยาบาล ตัวแทนกลุ่ม ข้าราชการ ตัวแทนกลุ่ม ค้าปลีก ตัวแทนกลุ่ม ชาวไร่-ชาวนา ตัวแทนของกลุ่ม ผู้ใช้แรงงาน เข้าไปนั่งในสภา และ ในทำเนียบฯ และ  ตนขอนำเสนอ ในมุมมองของตน คือ การเมือง ไม่ใช่อาชีพ การเมืองต้องเป็น เรื่องการเสียสละ ถ้าไม่เสียสละ อย่ามาเป็นนักการเมือง

หมายเหตุ นิยามความหมายของการเมืองใหม่ ก็คือ การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และ ให้ประชาชน ทุกภาคส่วน มีบทบาทในการสร้าง ความชอบธรรม โดยจำเป็นต้อง ปฏิรูประบบการเมือง เพื่อนำไปสู่ วิถีทาง ในการเกิด การเมืองใหม่ อย่างแท้จริง ซึ่ง ส.ส.ควรมาจากการเลือกตั้ง 100% โดยต้องมาจาก การเลือกตั้ง ผ่านเขตพื้นที่ 50% และเลือกตั้ง ผ่านสาขา อาชีพ ตามสัดส่วน ระบอบประชาธิปไตยอีก 50%