มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

โชคดีของชีวิต

คืนนี้เงียบสงบจริง จันทร์ครึ่งดวง และหมู่ดาว งามจรัสอยู่บนผืนฟ้า ดำสนิท เสียงนาฬิกา บอกเวลาตีสองแล้ว สายลมเย็นชื่น พัดผ่านเข้ามา เป็นระยะๆ ที่แผนกสูตินรีเวช ผู้ป่วยและญาติ ต่างพากันหลับสนิท

อา....ใช่สิ ความมืด เย็น และเงียบ สามอย่างนี้ จะช่วยให้ผู้ป่วย หลับได้เป็นอย่างดี แต่ในสภาวะเดียวกันนี้ ฉันยังจะต้อง ตื่นโพลงอยู่ให้ได้ เพื่อดูแลตรวจเยี่ยมผู้ป่วย เป็นระยะ ๆ คอยฉีดยาประจำชั่วโมง วัดไข้ และ คอยดูแล ปรับอัตราหยดเลือด และ น้ำเกลือ ให้เหมาะสม กับอาการ และสภาวะของผู้ป่วย แต่ละราย เพื่อทดแทนสิ่งที่ขาด เพื่อปรับสมดุลในร่างกาย และยังชีวิตให้ยืนยาว ต่อไปได้อีก

ห้าปีที่ได้ใช้ชีวิต ในเครื่องแบบสีขาว และก้าวเดิน บนเส้นทางสายเอก ที่ต้องใช้ความอดทน ต่อการเสียสละ สิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ออกไปทีละน้อย ฉันไม่เคยคิดเบื่อหน่าย ในภาระหน้าที่ ที่มีอยู่นี้เลย แม้แต่น้อย หัวใจยังคงเปี่ยมไปด้วย ความสดชื่น และทรงพลังอยู่เสมอ ในชีวิตที่ต้องพยายาม ลดละกิเลสอยู่ ขณะเดียวกัน ก็ต้องช่วยชีวิต และบรรเทาอาการ เจ็บปวดทรมาน ให้กับมนุษย์ ในยามป่วยไข้

คืนหนึ่ง กลางดึกเช่นคืนนี้ ฉันได้รับผู้ป่วยใหม่รายหนึ่ง เข้ามารักษาในแผนก ผู้ป่วยเป็นหญิง วัยกลางคน ร่างผอม ดูซีดเซียว อย่างเห็นได้ชัด ป้าคนนี้ เป็นมะเร็งที่ปากมดลูก ระยะที่ลุกลาม ไปยังอวัยวะอื่น ๆ มากแล้ว บางครั้ง เลือดก็ออกมาก พอออกมากจนใจสั่น ป้าแกก็จะมานอน ที่โรงพยาบาล เพื่อให้เลือดสักครั้งหนึ่ง ถ้าออกมาก แต่ใจไม่สั่น แกก็ไม่มา ปล่อยจนเลือดหยุดเอง (คนเราสามารถเสียเลือด ไปได้ประมาณ ๗๐๐ ซี.ซี ร่างกายจึงเริ่ม เกิดอาการใจสั่น หรือ อาการช็อคนั่นเอง)

"หมอ จำฉันไม่ได้รึ... ที่เคยมาให้เลือด คราวนั้นไงล่ะ" เสียงทักทาย จากร่างที่นั่งมา ในเก้าอี้เข็นคนไข้

"ทำไมจะจำไม่ได้" ฉันคิดในใจ ก็ป้าคนนี้แหละ ที่เมื่อหลายเดือนก่อน มีเลือดออก แพทย์ตรวจพบว่า เป็นมะเร็ง ปากมดลูก มิไยที่แพทย์และพยาบาล จะขอร้อง ให้แกไปรักษาทางยา และฉายแสง ที่โรงพยาบาล ในกรุงเทพ ฯ เพราะที่โรงพยาบาลนี้ ไม่มีเครื่องฉายแสง ทีแรกป้าแกก็รับปากขันแข็ง แต่หลายเดือนต่อมา ก็ตกเลือดมาอีก ฉันแปลกใจว่า ทำไมการรักษาที่กรุงเทพ ฯ อาการของโรค จึงไม่ดีขึ้นเลย กลับทรุดลง กว่าเดิมด้วยซ้ำ แล้วป้าก็ไขความกระจ่าง ให้ฉันทราบภายหลังว่า

"ฉันกลัวเครื่องฉายแสงน่ะ ! ไปครั้งนั้นครั้งเดียว พอกลับมาบ้าน มีคนเขาบอกว่า มียาหม้อ ที่รักษามะเร็งหาย ฉันเลยไปซื้อ มาต้มกิน มันก็ดีขึ้นพักหนึ่ง เชียวนะหมอ แต่ตอนนี้ ไม่รู้เป็นไง ฉี่ลำบาก มีเลือดปนออกมาด้วยนะ"

น้ำเสียงของป้า เล่าอย่างไม่สะทกสะท้าน ต่อโรคที่เป็นอยู่

"เข้าโรงพยาบาล จนหมอคงเบื่อหน้าฉันแล้ว"

ฉันอดแปลบปลาบในใจไม่ได้ โถ... ตัวเอง ป่วยจะแย่อยู่แล้ว ยังจะกลัวหมอ กลัวพยาบาล จะเบื่ออีก นี่ถ้าฉันต้อง ทนทุกข์ทรมาน รอความตาย อยู่อย่างนี้ ฉันจะทนได้ล่ะหรือ ?

บางครั้ง ฉันแอบมองไปที่ เตียงเบอร์หนึ่ง ซึ่งมีร่างผอมของป้า นอนแซ่วอยู่ ดวงตาคู่นั้น เหม่อลอย คล้ายจะปลงตก กับการตัดสินใจ ที่ผิดพลาดอันใหญ่หลวง ในการรักษาโรค ในครั้งนั้น

แหละครั้งนี้ ก็เช่นกัน เสียงป้าพูดอย่างเอาใจ

"แม่คุณเอ๊ย ช่วยหน่อยเถอะ ป้าฉี่ไม่ออก มาวันหนึ่งแล้ว..."

หลังจากที่ได้สวนปัสสาวะให้ ได้ปัสสาวะเกือบหนึ่งลิตร ! ป้าเดินตัวปลิว ยิ้มแย้ม อย่างสบายใจ กล่าวขอบอกขอบใจ และนอนหลับไป อย่างมีความสุข

แต่ฉันซิ ทราบว่า มะเร็งนั้น ได้ลุกลามจากมดลูก ไปยังกระเพาะปัสสาวะ และกินลึกไปที่ ท่อปัสสาวะ ทำให้ตีบตัน ปัสสาวะลำบาก และมีเลือดปน หัวใจของฉัน ก็กำลังตีบตันเช่นกัน !

ป้าหลับไปแล้ว สีหน้าดูไร้กังวล ต่อความทุกข์ใด ๆ ทั้งสิ้น คนที่ไม่รู้อะไรมากนี่ ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องทุกข์มาก แต่คนที่รู้มาก รู้ลึกซึ้ง แล้วไม่ทุกข์นี่ เหนือชั้นกว่า

"โล่งสบายดีเหลือเกิน... แม่คุณ"

เสียงพูด ก่อนเปลือกตาคู่นั้น จะปิดสนิท

จิตตัวหนึ่งผุดขึ้นมา เป็นวจีสังขาร อยู่ภายในว่า

"แม้จะทราบว่า การเกิด การวนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เป็นทุกข์ แต่ตราบใด ที่ฉันยังต้องเกิดอยู่ ฉันจะขอเกิด เป็นผู้ที่ ช่วยบรรเทาทุกข์ ให้ผู้อื่น ตลอดไปทุกชาติ ด้วยความเต็มใจ"

(แต่จริง ๆ แล้ว การช่วยให้ตนเองหมดทุกข์ แล้วกลับมาช่วย ไม่ให้คนสร้างวิบาก ที่เป็นอกุศล จนเป็นโรค ร้ายแรงต่างๆ เป็นการแก้ต้นเหตุที่ดีกว่า การมาคอยตั้งรับ ที่ปลายเหตุอย่างนี้)

ดึกมากแล้ว ผู้ป่วยยังคงหลับสนิท ในท่ามกลางความเงียบนั่นเอง เสียงเปลเข็นศพผู้ป่วย ก็ดังขึ้น ใกล้เข้ามา ... ใกล้เข้ามาทุกที ฉันผุดลุกขึ้น เดินไปดูศพ เขาเข็นศพ ผ่านไปยังห้องเก็บศพ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ แผนกของฉันนี่เอง

"เป็นศพที่ห้าแล้วซินะ ในคืนนี้" ฉันบอกกับตัวเอง เขาเหล่านี้ หมดโอกาส ที่จะพากเพียร ให้ถึง ซึ่งความสิ้นทุกข์ อย่างฉัน

อา...แม้ฉันเอง ก็ใกล้หลุมฝังศพ เข้าไปทุกเวลานาที เช่นกัน !

ผู้ป่วยเตียง ๑๐ กำลังให้เลือด ขวดที่ห้าอยู่ หยดน้ำเกลือเป็นประกาย ยามต้องแสงไฟ ที่ลอดมากระทบ หยดเลือด สีแดงสด แต่ละหยด แวววาว และไหลริน เข้าไปในร่างกาย เธอตั้งครรภ์นอกมดลูก คือไข่ที่ ผสมกับตัวเชื้อแล้ว ฝังตัวในปีกมดลูก เมื่อไข่นั้นโตขึ้น ปีกมดลูก ซึ่งไม่สามารถขยายได้ เช่นมดลูก จึงแตกออก

ขณะที่เรารับผู้ป่วย เข้ามาในแผนก ร่างนั้นขาวซีด และปวดท้องน้อย ด้านขวา จึงต้องมาวินิจฉัย แยกโรคอีกว่า เป็นไส้ติ่ง หรือ ท่อมดลูกด้านขวา แตกกันแน่ ฉันรีบให้เลือดและน้ำเกลือ และส่งเธอ เข้าห้องผ่าตัดทันที เมื่อแพทย์กรีดมีด ทะลุผนังหน้าท้องลงไป เราก็พบเลือด อยู่เต็มช่องท้อง จึงใช้เครื่อง ดูดเลือดออกมา ได้ประมาณ สองลิตร ! แพทย์เย็บปิดปีกมดลูก ที่แตกนั้นเสีย พวกเราเร่งให้เลือด และน้ำเกลือ เข้าไปทดแทน ให้เร็วที่สุด อา....รอดมาได้ อย่างหวุดหวิดทีเดียว บ้านของผู้ป่วยเอง อยู่ห่างไกลจาก โรงพยาบาลมาก ฐานะก็ยากจน แต่ก็ตัดสินใจ จ้างรถ มารักษาที่โรงพยาบาล ได้ทันท่วงที

หลังผ่าตัด อาการก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ สามีของผู้ป่วย นอนฟุบหลับ เฝ้าอยู่ข้างเตียง เขาเองก็ดีใจมาก เช่นกัน ที่ตัดสินใจ ได้ถูกต้อง และทันท่วงที ก่อนที่ทุกอย่าง จะสายเกินไป เมื่อฉันกล่าวรับรอง ความปลอดภัย ผู้ป่วยและญาติ ก็นอนหลับไป อย่างสบายใจ เช่นเดียวกับ ผู้ป่วยเตียงหนึ่ง ที่เป็นมะเร็งปากมดลูก

สองร่างที่ขาวซีด ดูหลับสนิท อย่างมีความสุขเหมือนกัน ร่างหนึ่งโรคร้ายแรง กำลังลุกลาม และใกล้ความตาย เข้าไปเต็มทีแล้ว แต่อีกร่างหนึ่ง กำลังฟื้นคืน สู่สภาพปกติ ทั้งนี้เพราะการตัดสินใจ ที่แตกต่างกันแต่ต้น ผู้มีมิจฉาทิฐิ และสัมมาทิฐิ ก็คงแตกต่างกัน เช่นนี้เอง

ที่แปลกกว่าเตียงอื่น คือ เตียงเก้า ผ่าตัดคลอดทางหน้าท้อง ผู้ป่วยไม่ยอมกินเนื้อสัตว์ หรือพวกน้ำปลา กะปิเลย เธอบอกว่า

"กินไม่ได้หรอก มันบาป !"

"แล้วกินอะไรอยู่บ้านน่ะ"

"กินข้าวกับผักต้ม"

"กินอย่างนี้มานานเท่าไหร่แล้วล่ะ"

"...ก็ตั้งแต่เริ่มท้องลูกนี่แหละ กินเนื้ออะไรเข้าไป ก็อาเจียนออกหมด เหม็นคาว"

ฉันก้มลงมองเด็ก ที่อยู่ในอ้อมแขน ร่างขาวอวบอ้วน หลับตาพริ้ม ไม่มีอะไร บ่งบอกว่า แตกต่างจาก เด็กเกิดใหม่คนอื่น แต่แกก็ทำให้แม่ ไม่ต้องไปกินเลือด กินเนื้อได้ แม่ของเด็กน้อยนี้ ไม่รู้จักอโศก และ ไม่รู้จักคำว่า "มังสวิรัติ" ด้วยซ้ำ

ทำให้อดนึกถึง เพื่อนบ้านบางคน ที่มาสารภาพว่า

"ก็มันอร่อยนี่.... บาปก็รู้ละ แต่ว่ายอมบาปดีกว่า อดเนื้อสัตว์"

อีกรายหนึ่ง รับราชการ ในระดับหัวหน้าสายงาน เมื่อฉันเอาสารอโศก หรือแสงสูญไปส่งให้ (ประหยัดค่าแสตมป์ ของมูลนิธิฯ)

"หนูปฏิบัติกับสันติอโศก มานานแล้วหรือ ....อายุน้อยอยู่เลยนี่...." ตามองลอดแว่น จ้องตรงมาอย่างพินิจ

"รู้จักเขาดีแล้วหรือ "โพธิรักษ์" น่ะ" น้ำเสียงไม่ได้บ่งบอก ถึงความเคารพแต่อย่างใด

"ฉันรู้จักเขาดี เขาเป็นรุ่นพี่ของฉันเองแหละ"

"เนื้อสัตว์ ฉันลดไม่ค่อยได้หรอก เคยทำแล้ว แต่ลำบากนะ ยิ่งฉันต้องไปงานเลี้ยงบ่อย ๆ อยู่ด้วย จริง ๆ แล้ว สัตว์มันก็เกิดมา เป็นอาหารของเรานะ"

ฉันอดยิ้ม ให้กับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอดีต ที่ผ่านมาเสียมิได้

ใช่สิ....บางชีวิตก็พลาดไป อย่างน่าเสียดาย เพราะขาดสัมมาทิฐิ บ้างก็จบชีวิต ลงเสียก่อนพบสัตบุรุษ บ้างมีสัตบุรุษ ชี้แนะบอกกล่าว ถึงสัมมาทิฐิ แล้วยังไม่ทำตาม หรือทำตามแล้ว ยังเวียนกลับอีก เพราะยังไม่ชัด ในเป้าหมาย บ้างทราบชัด ในเป้าหมายแล้ว แต่ขาดความเพียร

"ผู้มีสัมมาทิฐิ และ มีความเพียรจัด จะชนะพรหมลิขิต"

พ่อท่าน ย้ำแล้วย้ำอีก ให้ลูกๆฟัง ในงานปีใหม่ อโศก ๓๑

ฉันเองนับว่า โชคดีกว่าทุกๆ ชีวิต ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด เพราะมีพ่อ และ พี่ๆ น้องๆ คอยบอกกล่าว ชี้แนะ ให้มี "ทิฐิ" ที่เข้าสู่ "สัมมา" อยู่เสมอ ๆ ในขณะที่ยังสดชื่น และมีพลังอยู่

เหลืออยู่ แต่ต้องเพียรให้จัด ตามที่รู้ชัดเท่านั้น ซึ่งจะต้องทำด้วยตัวเอง ไม่มีใครช่วยได้เลยจริง ๆ จะประมาทไม่ได้ โอกาสที่เอื้อต่อ การตัดกิเลสอย่างนี้ จะมีอีกหรือไม่ ในอนาคต ฉันเองก็ไม่รู้ได้

หรือใครจะประกันได้ว่า ชาติหน้าจะมีสัตบุรุษ มาชี้ทางให้อย่างนี้อีก

ลูกไกลพ่อ

(สารอโศก อันดับ ๑๓๖ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ฉบับ ทาสมนุษย์)