มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม

หยุดหัวใจไว้ที่รัก

รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง
ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า
เสพย์สัตว์ที่มรณัง นฤโทษ
สาธุชนนั่นอ้า "เลิศด้วยดวงใจ"

ที่ยกโคลงบทหนึ่ง ในเพลง"มนต์รักอสูร" มาไว้ข้างต้นนี้ ก็เป็นการอ้างอิง ก่อนที่จะคุยกันต่อไป เพื่อป้องกัน ความขบขัน ซึ่งท่านผู้อ่าน โดยเฉพาะญาติธรรม ที่รู้จักผู้เขียนดี อาจคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ที่ดิฉันจะพบ "ความรัก"!

หรือบางท่าน ก็อาจให้ค่าเรื่องนี้ เป็นเพียง "ตำนานรักของมนุษย์สีขาว" เท่านั้นก็ได้

ก็ใครเล่า จะคาดการณ์ได้ว่า คนที่มี"รูปแร้งดูร่างร้าย รุงรัง" อย่างดิฉัน ก็มีโอกาส พบความรัก กับเขาบ้าง เหมือนกัน [จริงๆแล้ว ดิฉันก็ไม่ค่อยจะเหมือน"แร้ง" มากนักหรอกนะ] แถมก็ไม่ได้ "เสพย์สัตว์ที่มรณัง นฤโทษ" อีกด้วย เพราะกินอาหารมังสวิรัติ และเนื่องจาก กำลังสังวรในศีลแปดอยู่ ทำให้บางคน มองผ่านรูป "ภายนอกเพียงพึงชัง ชั่วช้า" เข้าไปภายในจิต แล้วยังคิดว่า "เลิศด้วยดวงใจ" ก็มี

พูดถึงความเป็นเลิศนี่ [ต้องขอแวะนิดหนึ่ง] พ่อท่านเคยบอกลูกๆ อโศกว่า "เราจะเลิศ จะยอด จะเก่งเด่น ดัง อย่างไร ไม่สำคัญ แต่การที่เราได้ช่วยเหลือ ให้สังคมมนุษยชาติ อยู่เย็นเป็นสุขนี่ สำคัญที่สุด"

ดิฉันซาบซึ้ง และประทับใจมาก และขอตราความข้อนี้ไว้ ในจิตวิญญาณ จนชั่วชีวิต เพื่อป้องกัน ความหลงตน ลืมตัว แม้ขณะนี้ ยังมิได้เป็นเลิศ อะไรเลยก็ตาม

จากประสบการณ์ ในชีวิตของนักปฏิบัติธรรม ดิฉันพบว่า ทุกคนหรือทุกสิ่งในโลก ล้วนมีพระคุณ และ เป็นองค์ประกอบ ในการข้ามโอฆสงสาร ของเราทั้งนั้น ไม่ด้วยทางตรง ก็ทางอ้อม

เช่น บ่อยครั้ง ที่ดิฉันลงเวรดึก ในตอนสาย มาถึงแฟลตพยาบาล ก็พบว่า พ่อหรือแม่ ได้เดินทางมา เกือบยี่สิบกิโล เพียงเพื่อ เอาอาหารมาให้ ทั้งๆ ที่ท่านทั้งสอง ก็ได้เป็นผู้ให้ชีวิต ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง กับดิฉันมาโดยตลอด แม้บัดนี้ เราก็โตแล้ว และช่วยตัวเองได้ อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม แต่ท่านก็ไม่เคยเบื่อ ที่จะ "ให้" เราเลย

จากหัวใจอันเปี่ยมไปด้วย ความรักที่บริสุทธิ์ และความกรุณาปรานี อันไม่มีที่สิ้นสุด ที่ท่านทั้งสอง ได้มีให้นี้ ได้กระตุ้นเตือน ให้ดิฉันตั้งมั่นอยู่ในศีล และตั้งใจจะใช้ร่างกาย ที่ท่านทั้งสองได้ให้มานี้ นำไปสร้างประโยชน์ ในสังคม สร้างสิ่งที่ถูกต้องและดีงาม เพื่อตอบแทนพระคุณ อันมากล้นนี้

เมื่อเร็วๆนี้ก็เช่นกัน ดิฉันไปธุระที่ ศูนย์เยาวชนไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง ได้แวะเข้าไป ซื้ออาหาร ในร้านของ ญาติธรรม แถวนั้น พอตักใส่ถุงเสร็จ ญาติธรรมท่านนั้นก็ยื่นให้ โดยไม่ยอมรับเงิน ทั้งๆที่ดิฉัน พยายามจะให้ แต่ก็ถูกปฏิเสธว่า "ขอให้แก้วได้ทำบุญกับพี่ด้วยเถิดค่ะ"

ดิฉันสำนึกในความกรุณานี้มาก และมีบ่อยครั้งเหลือเกิน ที่มีผู้เมตตา ให้ความสะดวก ในการติดต่องาน หรือ ในการดำรงชีวิตของเรา

จริงๆด้วย หันไปทางไหน มีแต่ผู้ที่มีพระคุณกับเรา เต็มไปหมด บางทีใครจะรู้บ้างเล่าว่า ข้าวที่เรากินเข้าไป แต่ละเมล็ด เพื่อยังชีพนั้น ก็มาจากหยาดเหงื่อ และความเหนื่อยยาก ของชาวนา คนที่เดินสวนทางกับเรา ในตลาด หรือ จากคนไข้ ซึ่งกำลังมารับบริการจากเรา ในโรงพยาบาลก็ได้

โดยปกติ ดิฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติธรรม เคร่งครัดอะไรนัก บางครั้ง ยังอยากจะเกเร ยังอยากจะ"ซิ่ง" เสียด้วยซ้ำไป แต่ด้วยสำนึก ที่เตือนจิต อยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิตของเราอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น ดังนั้นชีวิตนี้ จึงเป็นของมนุษยชาติ ไม่ใช่ของใคร คนใดคนหนึ่ง และเราไม่ควรนำพลังงาน ที่ได้จากเมล็ดข้าว แห่งความเหนื่อยยาก ของผู้อื่น ไปใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย อย่างไร้สาระ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในชีวิตของการปฏิบัติธรรม ดิฉันตั้งตน อยู่บนความประมาท คิดว่า
"เราก็ชัดในเป้าหมายแล้วว่า จุดหมายปลายทาง ของเราคือ นิพพาน แต่ตอนนี้ ขอหยุดหัวใจไว้ที่"รัก" ขอพักใจ ชมสวนดอกไม้ กลางทางสักหน่อย เป็นการเรียนรู้โลกไปด้วย เดี๋ยวจะไม่มีประสบการณ์ว่า "ที่ว่ารักนั้น หวานฉ่ำฉันใด" ขอนั่งพักใจสักครู่ แล้วค่อยเดินทางต่อ"

[ที่จริงแล้ว "มาร" ที่กีดขวางทางนิพพานของเรา ไม่ใช่ใครอื่นเลย หากแต่คือ มิจฉาทิฐิ หรือ ความเห็นที่ตั้งไว้ผิด ของเรานี่เอง!]

ตามปกติแล้ว ไม่ว่าจะกำลังฉีดยา ทำแผล หรือให้การบริการกับคนไข้ ดิฉันจะระวังจิต อยู่เสมอ ตามรู้ อารมณ์ในจิตว่า ขณะนี้มีนิวรณ์ตัวไหน กลุ้มรุมอยู่หรือไม่ และพยายามปรับจิต ปรับพฤติกรรม ให้มาอยู่ ในทางกุศลเสมอ ก็แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ก็พยายาม มองให้ชัดถึงเป้าหมายว่า การทำงานทุกอย่าง เราทำเพื่อ ละหน่ายคลาย เพื่อล้างกิเลส ให้หมดสิ้น

แต่...เมื่อหัวใจสีแดง [ในเครื่องแบบสีขาว] เกิดมีความรักขึ้นมา ดิฉันรู้สึกว่า โลกนี้สวยสดงดงาม เป็นสีชมพู ไปหมด [ไม่ใช่ตาบอดสีหรอก แต่นี่เป็นโวหารน่ะ!] บางทีคนไข้ยุ่งมากๆ แต่เมื่อใจเรา นึกถึง คนที่เรารัก จิตใจก็เบิกบาน อย่างประหลาด จิตใจละเอียด อ่อนโยน มีพลัง ยิ่งนึกถึงวันเวลา ที่ได้พบ ได้พูดคุย นึกถึง สิ่งที่ประทับใจ เมื่ออยู่กับบุคคล อันเป็นที่รัก ก็ยิ่งชื่นใจ ทำงานไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย บางเรื่อง บางเหตุการณ์ ก็ยอมได้ ให้อภัยได้ อย่างง่ายดาย กับบุคคลที่มา กระทำไม่ดีต่อเรา

ดิฉันคิดในใจว่า "เออ...มันก็ดีเหมือนกันนะ" แต่ อนิจจา...เพียงแค่ดอกรัก เริ่มผลิบาน ดิฉันก็ถูกรุมทึ้ง เอ๊ย! รุมเทศน์ จากมิตรดีสหายดี รอบข้าง รอบทิศทางไปหมด !

"พี่หวงน้องของพี่ อ้อจะต้องไปสูงกว่านี้ !"

"อ้อน่ะ ยังซื่อเกินไป พี่เกรงว่า ใครจะมาหลอกเอาได้ง่ายๆ"

"ผมจะบอกให้ ผู้ชายน่ะ มันไม่อิ่มในกามหรอก ขนาดผม นั่งรถมากับเมียผมแท้ๆ แต่ในใจผมน่ะ ยังแอบเสพย์ ผู้หญิงข้างทางอยู่เลย"

"ผมน่ะเวลาท้อแท้ พอมาเห็นแบบอย่าง ผู้หญิงที่ปฏิบัติธรรม เอาจริงเอาจังอย่างนี้ ก็เกิดกำลังใจ บอกกับตัวเองว่า เราเป็นผู้ชายแท้ๆ เราจะท้อไม่ได้ และก็ได้ตั้งต้น เพียรสู้กิเลสใหม่อีก"

ที่สะดุดใจ ดิฉันมากก็คือ มีญาติธรรมท่านหนึ่ง ร้องไห้ !

"พี่น่ะ หวังจะเห็นอ้อได้บวช หวังจะยึดชายผ้าสีกรักของน้อง ไปพระนิพพานด้วย" น้ำตาพี่ไหลริน

ดิฉันตาโต ตื้นตันใจ ว่ารอบข้างเรานี้ มีแต่ผู้ที่ปรารถนาดี ที่จะเสริมหนุนเรา ให้ไปสู่ที่สูง ปานนี้เชียวหรือ หนี้พระคุณเหล่านี้ ควรแล้วที่จะต้อง ตอบแทนด้วยชีวิต ก็ในเมื่อมิตรดี สหายดี ต้องการให้เรา ก้าวไปสู่ที่สูง เช่นนี้ มีหรือเราจะไม่ไป

บางคนก็ให้กำลังใจ "ลับหลัง" [ทั้งที่ยังไม่ทราบเรื่องอะไรเลย!]

"ไปไม่ได้กี่น้ำร้อก คอยดูเถอะ ทำเคร่งดีนัก !"

"ไม่แน่นะอ้อเนี่ย ทำเป็นไฟแรง ต่อไปอาจจะออกไปแต่งงานก็ได้" ว่าแล้วก็ยกตัวอย่าง ดอกอโศก ที่ร่วงหล่น ในอดีตทั้งหลาย ขึ้นมาประกอบการ"อภิปราย" ซึ่งแม้จะด้วยเจตนา อย่างไรก็ตาม ก็ทำให้ดิฉัน เตือนตนเอง อยู่เสมอว่า บนเส้นทางไปสู่พระนิพพาน ของเรานี้ จะต้องนำทั้ง"สร้อย" และ"แส้" มาเป็นประโยชน์ให้ได้ อย่างเต็มที่ โดยถ่ายเดียว เราจึงจะไม่ขาดทุน

ด้วยสำนึกอันหนักแน่น ในเป้าหมาย ที่จะไปสู่ความอิสระ จากการตกเป็นทาสของ กิเลสทั้งปวง และตระหนัก อยู่เสมอว่า "ชีวิตเรานี้ อยู่เนื่องด้วยผู้อื่น" กอปรกับปณิธาน ที่เป็นเกราะแก้ว ประจำชีวิตว่า

"ชาตินี้ เราจะไม่ขอแย่ง สิ่งอันเป็นที่รักของใครมา อย่างเด็ดขาด สิ่งใดแม้เรามีสิทธิ อย่างเต็มที่ แต่ถ้ามันเป็นที่รัก ที่ต้องการ สำหรับผู้อื่นแล้ว เราจะขอสละให้ทันที"

[เพราะคิดว่า จิตเราได้ฝึก ให้ทนต่อความผิดหวัง และการพลัดพราก จากของรัก จนมีความแข็งแกร่ง ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่คนอื่นที่ยังต้องการอยู่ เขาอาจอ่อนแอกว่า และจำเป็นกว่าเราก็ได้]

ดิฉันจึงเริ่ม พรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ขึ้นจากน้ำ อย่างเด็ดขาด และหักมุมความคิดทันที พยายามพิจารณา ถึงโทษภัย อันเกิดแต่ความรัก จากตัวอย่างผู้ป่วย ที่ประสบในโรงพยาบาล และชีวิตคู่รอบข้าง ที่ต้องตกเป็นทาส ของกันและกัน จนชั่วชีวิต

ด้วยความพากเพียรเอาจริง [ถือคติที่ว่า "ทุกอย่างจะสำเร็จได้ ด้วยความเพียร”] และศรัทธาที่เต็มเปี่ยม ในพระศาสนา ทำให้จิต ลอยเหนือขึ้นมาเป็นอิสระ อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อหันกลับไปมองอดีต ก็ยิ่งละอายใจ และอดสงสัยไม่ได้ว่า "แหม ทำไมเรานี่ โง่หลงผิดขนาดนั้นนะ เสียแรง เสียเวลา และทำ"ขณะ" แห่งการปฏิบัติธรรม ให้ตกล่วงไปตั้งนานแน่ะ... พอกันทีความรัก มิติที่ ๑ ในชาตินี้"

และได้เตือนตนเอง อยู่เสมอว่า ขณะนี้สังคมมนุษยชาติ กำลังใกล้กลียุค ไปทุกขณะ ไฟแห่งโลกันต์ เริ่มแลบเลียสังคม ให้รุ่มร้อนมากขึ้นทุกที ธรรมะเท่านั้น ที่จะช่วยดับไฟนี้ได้ งานเข็นกงล้อ พระธรรมจักร ยังต้องการ พลังหมู่มวลอีกมากนัก ในเมื่อโลกลุกเป็นไฟ อยู่อย่างนี้ เราจะทนเสพย์สุข ได้อย่างไรกัน การเดินทาง ไปสู่เป้าหมายของเรา ขณะนี้ ยังอยู่อีกไกลแสนไกลนัก แต่ถ้าเราขอนั่งพักใจ ชมสวนดอกไม้ ข้างทางอยู่ ก็เท่ากับ ยืดระยะเวลา แห่งการเดินทาง ให้ยิ่งยาวไกลออกไปอีก ในสังสารวัฏ อันไม่รู้จบสิ้นนี้

ขณะนี้ ไม่ว่าดิฉัน จะวัดความดันโลหิต จะฉีดยา ทำแผล หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม ก็ยังสังวรระวังจิต ตรวจดู อารมณ์ในจิตอยู่เสมอ ถึงมันจะไม่สดชื่นรื่นเริง เหมือนขณะที่ หัวใจยังมีความรัก หล่อเลี้ยงอยู่ แต่มันก็เข้มแข็ง แกร่งกล้าขึ้นมา จากการตกเป็นทาส ของกามนิวรณ์ ระดับหนึ่ง อย่างสิ้นสงสัยทีเดียว และสดชื่นเบิกบาน อยู่กับ การได้ประพฤติตามศีล ที่ได้สมาทานไว้ เพื่อทำให้ละหน่ายคลาย จากกิเลส เพื่อดับทุกข์ให้สนิท และ เพื่อช่วยงานศาสนา ได้อย่างเต็มสติกำลัง ด้วยดวงจิตที่สงบ และสังวร อย่างไม่ประมาทอีก

ชาตินี้จะปฏิบัติธรรม ไปได้แค่ไหน ก็ช่างเถอะ ขอเพียงได้เป็นลูกที่ดี ที่เบาภาระ ของพ่อท่าน และ ได้ประพฤติพรหมจรรย์ อยู่ท่ามกลาง ญาติธรรมชาวอโศก และสังคมมนุษยชาติ ดิฉันก็พอใจแล้ว

"แร้ง (ก็มี) รัก (ได้)"

๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๑

(สารอโศก อันดับ ๑๕๒ มกราคม ๒๕๓๕)