มนุษย์สีขาว ปฏิบัติธรรม |
จริงหรือที่ว่าหวาน
"แม้นเพียงได้สบนัยน์ตา ฉันยังประหม่าลืมอาย สิ้นความละอายหักใจไม่วายเพ้อชม ดูท่าทีอาจอง เร้าใจให้หลงรักนิยม วงสังคม ต่างชื่นชมวิญญาณ หรือเทพบุตรจำแลง พระพรหมท่านแสร้งแปลงมา..."
เสียงเพลง"ฝากรัก" แว่วหวานมาเบาๆ จากเคาน์เตอร์พยาบาล โดยมีพนักงานผู้ช่วย คนหนึ่ง นั่งฝันหวาน อยู่ใกล้ๆ เครื่องเล่นเท็ป
อีกสิบนาที จะห้าทุ่มแล้ว ฉัน จึงเดินดูความเรียบร้อย ภายในหอพักผู้ป่วย ของคนไข้อีกครั้ง ก่อนส่งเวรให้เวรดึก
คนไข้เตียงที่ ๑๐ หลังผ่าตัดคลอดบุตรได้ ๒ วัน ลูกร้องกวนไม่หยุด ตั้งแต่หัวค่ำ เธอเพิ่งผล็อยหลับไป อย่างอ่อนเพลีย เมื่อครู่นี้เอง ผ้าห่มที่คลุมตัวอยู่ หลุดมาห้อยร่องแร่ง อยู่ท้ายเตียง ฉันก้มลงหยิบผ้าห่ม คลุมร่างนั้น อย่างแผ่วเบา เพราะเกรงว่า อาจจะรบกวน ทำให้เธอตื่นขึ้นมาได้
หันไปทางเคาน์เตอร์ เพื่อนร่วมงานคนเดิม ยังคงนั่ง หลงใหลเคล็บเคลิ้ม ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง เพราะกำลังตกอยู่ ในห้วงแห่งความรัก หลายวันมานี้ เห็นแหม่มพูดถึงแต่คนรัก ไม่หยุดหย่อน เธอกล่าวสรรเสริญ สรรพคุณ ของเขาตลอดเวลา
"เขาสุภาพ อ่อนโยน รูปร่างสง่างาม และ ก็ให้เกียรติเรามากเลยนะอ้อ"
"อ้าว! ...คนเราชอบกันใหม่ๆ เขาก็เอาแต่ส่วนดี มาอวดกันทั้งนั้นแหละ ถ้าแหม่มชอบเขาจริง ก็ต้องทำใจ เผื่อไว้บ้าง ว่าบางทีเขาก็อาจมีข้อเสีย เหมือนๆ กับคนอื่นๆ นั่นแหละ"
"แต่อาจารย์คนนี้ เขาดีพร้อมทุกอย่างเลยนะ"
"นั่นแหละ... เราก็ไม่ได้เถียงนี่ คนเราเมื่อยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ในความสุภาพอ่อนโยน และ รูปร่างสง่างามนั้น จะซ่อนความบกพร่อง บางอย่างเอาไว้ บางทีเขาอาจจะขี้โมโห เห็นแก่ตัว ขี้เกียจล้างชาม กลิ่นตัวเหม็น แถมนอนกรน ดังไปแปดบ้าน อีกต่างหาก บางทีเสื้อผ้างี้ ถอดกองเป็นวง เอาไว้ให้เราซัก..."
"แหม...แกจะรู้ได้ยังไง ก็แกยังไม่เคยมีนี่"
"อ้าว เรารู้ก็แล้วกันล่ะ ก็เห็นคู่อื่นๆ เขาเป็นยังงี้กันทั้งนั้น"
"แต่อาจารย์ ของเราน่ะ เขาดีพร้อมทุกอย่าง เขาไม่เป็นอย่างที่อ้อ ว่าหรอก"
แหม่มยังคงพูด แก้ต่างให้คนรัก ไม่หยุดหย่อน ฉันนึกไปถึงเหตุการณ์ เมื่อวันก่อน
คนไข้เตียงที่ ๒ เธอตั้งครรภ์ได้ ๕ เดือน และ เป็นครรภ์แรก เมื่อแรกรับเข้ามา ในหอผู้ป่วย ร่างกาย ของเธอ เขียวช้ำไปทั้งตัว ปากบวมเจ่อ เบ้าตาข้างขวาเขียวคล้ำ (คล้ายๆ โมเช่ดายันน่ะ!) เธอเล่าให้ฟังว่า เธอมีปากเสียง กับสามี ซึ่งเพิ่งแต่งงานกัน ด้วยความรัก ได้เพียง ๑ ปีกว่าๆ เท่านั้น ต่อมาพอเธอตั้งครรภ์ สามีก็ไปมีเมียน้อย เธอจึงตามไปต่อว่า ด้วยความหึงหวง และน้อยใจ แล้ว จึงได้ทะเลาะกัน อย่างรุนแรง ถึงขนาดขุดเอาบรรพบุรุษ ของสามี ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้มามีส่วนร่วมรับผิดชอบ ต่อความผิด ของผู้เป็นสามีด้วย
สามีของเธอ จึงตรงเข้าทำร้าย เตะต่อยเธออย่างรุนแรง ด้วยความโมโห ขณะที่เธอนอนแซ่ว อยู่บนเตียงคนไข้ เธอก็ยังบ่นเพ้อ ถึงสามี ด้วยความอาลัยรัก อยากให้เขามาเยี่ยม มิไยที่มารดา และ น้า ของเธอ จะช่วยกัน สาปแช่ง สามีของเธอ อยู่เป็นระยะๆ ก็ตาม
ต่อมาอาการของเธอ ก็ทรุดลงอย่างน่าวิตก เธอซีดลงอย่างมาก ชีพจรเต้นเร็วขึ้น ความดันโลหิตต่ำ เหลือเพียง ๙๐/๕๐ มม.ปรอท (ในคนปกติ ๑๒๐/๘๐ มม.ปรอท) ความเข้มข้นของเลือด ต่ำลงเหลือเพียง ๑๙% เท่านั้น (ในคนปกติ ๓๕-๔๐%) และ ไม่มีเลือดออกมา ภายนอกร่างกาย ของเธอเลย
ในช่วงภาวะวิกฤตนั้น เราได้ช่วยกันเจาะเลือด เพื่อขอเลือดมาให้เธอ และ ให้น้ำเกลือเปิดเส้นไว้ อย่างรวดเร็ว ผู้ช่วยพยาบาลอีกคน โกนขนบริเวณหน้าท้อง ฟอก และ ทำความสะอาด ผิวหนังหน้าท้อง เพื่อเตรียมคนไข้ เข้าห้องผ่าตัด ฉันเขียนรายงานอาการ อย่างละเอียด แล้วรายงานให้แพทย์ทราบ เมื่อให้ญาติคนไข้ เซ็นสัญญา ยินยอมผ่าตัด ไว้เป็นหลักฐานแล้ว ฉัน จึงวัดความดันโลหิตอีกครั้ง ความดันลดลงเหลือ ๘๐/๔๐ มม.ปรอท ชีพจรเต้น ๑๒๔ ครั้งต่อนาที และ เบามาก แพทย์ จึงให้ส่งคนไข้ ไปห้องผ่าตัดด่วน
ฉันปลอบโยน ให้กำลังใจคนไข้ และ ญาติ เพื่อให้พวกเขา คลายความวิตกกังวลลงบ้าง
สองชั่วโมงกว่า หลังผ่าตัดเสร็จแล้ว แพทย์ก็เดินกลับมา อย่างอ่อนเพลีย และ มาขอน้ำดื่ม ที่แผนกสูตินรีเวช
"อ้อเชื่อไหม" ผ่าเข้าไปน่ะ ม้ามแตก เละไปหมดเลย!"
"อ้าว แล้วหมอทำยังไงล่ะคะ"
"จะทำยังไง ก็ตามหมอสมเดช (ศัลยแพทย์) มาช่วยอีกคนหนึ่งน่ะซี โอ๊ย...เหนื่อยจริงๆ เลย กว่าจะเสร็จได้ นี่สามีเขา เตะท่าไหนนะ ม้ามถึงได้แตก แหลกลาญยังงี้น่ะ! เดี๋ยวหมอให้เขาย้ายคนไข้ไป ไอ.ซี.ยู แล้วล่ะ" (ไอ.ซี.ยู. = แผนกคนไข้หนัก)
ฉันยังยืนตรึงนิ่งอยู่กับที่ ใจก็ภาวนา ขออย่าให้คนไข้รายนี้ เป็นเหมือนคนไข้รายหนึ่ง ที่เพิ่งเสียชีวิตไป เมื่อเดือนก่อนเลย
เธอผู้น่าสงสารคนนั้น เป็นคนไข้หญิง อายุ ๒๙ ปี ตั้งครรภ์ที่ ๒ ได้ ๔ เดือน หลังจาก มาฝากครรภ์ ที่โรงพยาบาล ทางเราได้เจาะเลือด เพื่อเช็คสุขภาพตามปกติ ผลปรากฏว่า เธอติดเชื้อโรคเอดส์!
และ จากการซักประวัติ สามีของเธอ เที่ยวผู้หญิงด้วย จึงนำเชื้อโรคมาติดเธอ และ ลูกในครรภ์ เธอสะเทือนใจมาก กลับไปบ้าน ทะเลาะกับสามี อย่างรุนแรง สามีซึ่งกำลังเมาเหล้าอยู่ ได้ซ้อมเธอ และ ใช้เท้า กระทืบลงไป บริเวณหน้าท้อง และ ลำตัว จนมีเลือดออกมา ทางช่องคลอดมากมาย และ เนื่องจาก บ้านอยู่ห่างไกลจาก โรงพยาบาลมาก กว่าญาติของเธอ จะไปพบ และ นำเธอส่งโรงพยาบาล เธอก็แท้งบุตร เสียแล้ว
ร่างกาย ของเธอบอบช้ำ และ เสียเลือดไปมาก เมื่อรับเธอไว้ที่ห้องฉุกเฉิน แพทย์ และ พยาบาล ได้ให้น้ำเกลือ และ เลือด อย่างเร่งด่วน แล้วย้ายเธอเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู.ทันที เพราะอาการของเธอ ในขณะนั้น อยู่ในขั้น เพียบหนักเสียแล้ว
และ ขณะที่ฉันกำลังจะลงเวรดึก ในเช้าวันหนึ่ง ได้พบกับหมอสูติ เจ้าของไข้รายนี้
"อ้อ อ้อ.. คนไข้ที่เป็นเอดส์น่ะ Dead แล้วนะ" (Dead=ตาย)
"หา...Dead แล้วหรือคะ !?"
"ฮื่อ...เป็น Septicscmia ด้วย Dead เมื่อคืนนี้เอง"
ฉันสาวเท้าออกมาจาก แผนกสูติ-นรีเวช ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วย คำถามที่ว่า ทำไมนะ ลูกผู้หญิงเรา จึงต้องมามีวิบากกรรม ที่ทุกข์ทรมาน ปานนี้
นั่นยังไงล่ะ! ญาติๆ ของคนไข้ เอารถมารับศพ ยืนมุงกันแน่น อยู่ที่หน้าห้องเก็บศพ บางคนก็ร้องไห้โฮ ราวกับจะขาดใจ บางคนก็ยืนนิ่ง ดวงตาแดงก่ำ ก็น่าอยู่หรอก เพราะวัยของเธอ ยังไม่น่าด่วนจากไปเร็ว อย่างนี้
"หมอครับ ช่วยดูน้ำเกลือ ให้ภรรยาผมหน่อย เมื่อกี้พาไปเข้าห้องน้ำ พอกลับมา น้ำเกลือไม่หยดเลยครับ"
ฉันตื่นจากภวังค์ เดินตรงไปดูน้ำเกลือ ที่เตียง ๒๔ คนไข้รายนี้ ตั้งครรภ์แรกได้ ๗ เดือน แล้วมีภาวะแทรกซ้อน คือกรวยไตอักเสบ อย่างเฉียบพลัน เธอปวดหลัง บริเวณบั้นเอวมาก ปัสสาวะบ่อย และ แสบขัด ชายผู้เป็นสามี ประคับประคอง เธออยู่ไม่ห่าง
ดูเอาเถอะ แม้ในรายที่ได้สามีดี เอาใจใส่ตลอดเวลาอย่างนี้ ชีวิตคู่ ของลูกผู้หญิงก็อดมีวิบาก ให้ต้องทุกข์ทรมานอีกอย่างหนึ่งไม่ได้
การที่ชีวิต ของฉัน ได้เห็นทุกข์ ของบรรดาเพื่อนมนุษย์ ที่เวียนกันมา ให้ได้พบอยู่ ทุกเมื่อเชื่อวัน บ่อยครั้ง ที่เศร้าสะเทือนใจ ในชะตากรรม อันทุกข์ทรมานเจ็บปวด ที่พวกเขาเหล่านั้น ได้รับอยู่ ฉันจึงต้อง ปลอบตนเอง เสมอว่า
"มนุษย์ทุกคน ต่างก็เกิดมา เพื่อใช้หนี้กรรม ที่แต่ละคน ได้เคยก่อไว้แล้วทั้งสิ้น เราช่วยเขาได้แค่นี้เอง อย่าเสียใจไปเลย เราเองก็ไม่มีอำนาจยิ่งใหญ่ ที่จะฝืนชะตากรรม ของใครได้
และ บางที สำหรับคนบางคน ต้องพบกับความทุกข์ ที่สาหัสขนาดนั้น จึงจะทำให้เขา เข็ดหลาบ ที่จะเวียนว่าย อยู่ในทะเลแห่งทุกข์ คือสังสารวัฏฏ์ และ หันหัวเรือมุ่งสู่ ฝั่งแห่งพระนิพพานได้
หากเรา มัวแต่เศร้าเสียใจอยู่ จะทำให้หมดแรงท ี่จะช่วยตัวเอง และคนอื่นๆ อีกต่อไป และ ความเศร้านี้ ก็ยังเบียดเบียน จิตพุทธะ (รู้ ตื่น เบิกบาน) ของตัวเราเองด้วย"
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเศร้าสลดใจ จึงค่อยคลายลงไปบ้าง
"..รักนี่...มีสุข ทุกข์ เคล้าไป ใครหยั่งถึงเจ้าได้ คงไม่ช้ำฤดี... รักเอย...รักที่ปรารถนา รักมาประดับชีวี..."
เสียงเพลง"รักเอย" ยังดังแว่วหวาน มาอีกจากเคาน์เตอร์พยาบาล
"แหม่มนี่...เป็นเอามากเลยนะ"
ฉันพูดหยอกพนักงานผู้ช่วยๆ คนเดิม ซึ่งกำลังซาบซึ้งอยู่กับ เพลงหวาน และ เปิดนิตยสาร ฉบับหนึ่งดูอยู่
"อ้อ! อ้อ! นี่...มาดูนี่เร้ว...อู้ฮู...ชุดเจ้าสาวชุดนี้ สวยถูกใจเราจริงๆ เลย !"
ฉันวางเข็มฉีดยา แล้วเดินโฉบไป ชะโงกดูบ้าง
"อือม์...ก็สวยดีนี่"
"เออ...แล้วอ้อ ไม่อยากใส่บ้างรึไง?!"
ฉันชะงักนิดหนึ่ง แล้วก็อมยิ้ม เดินกลับมา เตรียมยาฉีด อีกครั้งหนึ่ง เสียงญาติธรรมหญิง ท่านหนึ่ง ที่เพิ่งแต่งงาน ไปได้เพียง ๓ เดือน ยังก้องกังวาน แจ่มชัดมาก ดังขึ้นมาว่า
"ชุดเจ้าสาวน่ะ มันสวยงามมากก็จริง แต่เขาเอาไว้ใส่ แล้วลงนรกกันต่างหาก!"
เฮ้อ! แหม่มเอ๋ย...นี่ แหม่มจะรอดมั้ยเนี่ย!
"ลูกไกลพ่อ"
๒๙ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ๑๙:๓๕ น.
"ผู้ใดชื่นชมอยู่ในกามคุณ ๕
ชื่นชมในโลกียสุข
ชื่อว่าชื่นชมในทุกข์
ย่อมไม่ล่วงพ้นจากทุกข์ไปได้"
พระพุทธพจน์
(สารอโศก อันดับ ๑๕๓ ก.พ.- มี.ค.๒๕๓๕)