nurse

๑. ยามยาก

ยามยาก

ช่างเป็นเวรบ่าย ที่สนุกสนาน อบอุ่น และโกลาหลอะไรอย่างนั้น!”

คนไข้ ที่แผนหลังคลอดและนรีเวช วันนี้มากจนล้นออกมา เต็มระเบียงหอพักผู้ป่วย เรื่อยไปจนถึงบันใด

หลังจากรับเวรฟังรายงานอาการ จากเวรเช้าเสร็จแล้ว ไม่ทันไร พายุฝนก็กระพือโหมเข้ามา ในแผนกอย่างรวดเร็ว จนต้องเปิดไฟฟ้าใช้ ตั้งแต่ห้าโมงเย็น

ฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นริ้วๆแฉกๆ บางทีก็สว่างจ้า ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ดังคำรน กึกก้อง

“แว่บ…เปรี้ยง!” เป็นระยะๆ ตลอดเวลา

บางคนก็ตกใจ กับเสียงดังสะท้านนี้ จนสะดุ้ง แต่บางคนพอฟ้าสว่างแว่บ ก็สะดุ้งรอไว้ก่อน!

สายฝนเริ่มเทกระหน่ำ เข้ามาในแผนกอย่างแรง ฉันกับผู้ร่วมงานอีกคน และบรรดาญาติของคนไข้ เร่งรีบช่วยกันปิดหน้าต่าง และเข็นเตียงคนไข้ ที่มีอยู่เต็มระเบียงห้อง หนีพายุฝน เข้าไปเบียดเสียดหลบฝน อยู่ภายในแผนก อย่างโกลาหลชุลมุน ที่สุดเลย

คนไข้ที่พอลุกได้ ก็ลงจากเตียงมาช่วยกันขนของ และเข็นเตียงอีกแรงหนึ่ง บ้างก็ช่วยกัน จัดเตียงในห้องให้ติดๆกัน จะได้มีที่ว่างได้รับเตียงข้างนอก อย่างเต็มใจ

“แว่บ…เปรี้ยง !”

ดังสนั่นอยู่เป็นระยะๆ เสียงผู้หญิง และเด็ก หวีดร้องกันด้วยความตระหนก

ครู่เดียวไฟฟ้าก็ดับ เกือบทั่วโรงพยาบาลมืดไปหมด เห็นจะมีอยู่เพียงสี่แผนก ที่ยังใช้กระแสไฟฟ้าฉุกเฉินได้ คือห้องคลอด ห้องผ่าตัด ห้องอุบัติเหตุ และ ห้องผู้ป่วยหนักเท่านั้น เพราะถ้าไฟฟ้าดับ อาจหมายถึงชีวิตคนไข้ ดับตามไปด้วยก็ได้ !

แผนกหลังคลอด และนรีเวช ขณะนี้ตกอยู่ในความมืด ฉันควานหาเทียนในตู้เก็บของมาจุด ลมก็พัดแรงเหลือเกิน จุดได้ไม่นานก็พัดดับอยู่เรื่อย ทันใดนั้น ฉันก็นึกถึงตะเกียงเจ้าพายุขึ้นมา ไม่ได้ใช้เสียนาน เมื่อเอามาจุดแล้วค่อยดูสว่างขึ้น ( ที่มันชื่อว่า “เจ้าพายุ” คงเป็นเพราะพายุพัดมันให้ดับไม่ได้ เนื่องจากมีเกาะแก้วพิเศษ ปกป้องล้อมไว้นี่เอง)

พวกเราพยายามเข็นเตียงเข้ามา “อัด” ในห้องอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะยากดีมีจนอย่างไร คนไข้ และญาติที่อยู่เตียงเสริมข้างนอก ต่างก็อยู่ในความรับผิดชอบ ของเราทั้งนั้น เขาต่างมีสิทธิ์หลบพายุฝน และ ฟ้าดุๆอย่างนี้ เหมือนคนไข้ภายในแผนกเช่นกัน เพราะเขาต่างก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน

ฉันอดชื่นใจไม่ได้ ที่แลเห็นน้ำใจจากทุกๆฝ่าย ทุกคนต่างช่วยกัน สมานสามัคคีอย่างเต็มใจจริงๆ

ขณะที่จะให้เลือด คนไข้ตกเลือดหลังคลอด ที่ส่งมาจากโรงพยาบาลบางปลาม้า ฉันตรวจชื่อ และกรุ๊ปเลือดอย่างละเอียด “…เราจะพลาดไม่ได้ แม้อยู่ท่ามกลางความมืดสลัว” สามีคนไข้ กุลีกุจอเข้ามาส่องไฟฉายให้ ด้วยท่าทีกระตือรือร้น เต็มอกเต็มใจ

“หมอน้ำเกลือเตียง ๓ หมดแล้ว” ญาติเตียง ๓ มาสะกิดข้างหลัง ทั้งๆ ที่ยังหาเส้นเลือดเตียง ๕ ไม่พบ

“หลบมาทางนี้ลูก อย่าไปเกะกะทางหมอนะ” เสียงยายแก่ๆ บอกหลานตัวกระจ้อย

“หมอ! เมื่อกี้ใครดันเปลลูกฉัน ไปไว้ที่ไหนก็ไม่รู้? !” สสารย่อมไม่สูญหายไปจากโลก ลูกไม่ไปไหนหรอก อยู่ในห้องนี้แหละ เดี๋ยวไฟฟ้าสว่างก็เจอเอง ฉันตอบในใจ

“หมอ! น้ำเกลือเตียง ๒๗ หมดแล้ว” เตียง ๒๗ อยู่ตรงไหนนะ อัดกันแน่นไปหมดอย่างนี้ ดูลานตาไปหมด

“หมอ! จำเรียงปวดแผลมากเลย ฉีดยาให้ก่อนสักเข็มได้ไหม? !” วันนี้คนไข้ผ่าตัดหน้าท้อง หลายคนซะด้วย

ฉันต้องวิ่งเป็นหนุมานเลย บางปัญหาก็เกิดขึ้นมานานแล้ว เพิ่งจะมาได้ฤกษ์ มาตามตอนยุ่งๆนี่พอดี!

“หมอ! ขอยาแก้ไอหน่อย ไอมาตั้งแต่กลางวันแล้ว ยังไม่ค่อยยังชั่วเลย” บางปัญหาก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น ยามฉุกละหุกอย่างนี้เลย

“หมอ! หมอ! เร็วเข้า! คนไข้เป็นลมในห้องน้ำ!!”

สิ่งที่เราหวังไว้ อาจไม่ใช่สิ่งที่เรา จะได้รับเสมอไป… ฉันบอกกับตนเอง พลางรีบแก้สถานการณ์ต่างๆ อย่างว่องไว… บางทีจิตก็คิดวิตก ขึ้นมาแว่บหนึ่ง เกรงว่างานจะไม่สมบูรณ์เรียบร้อย ก็สอนตัวเองว่า “ไม่ว่าผลจะได้แค่ไหน แต่เราก็พยายามทำให้สุดฝีมือ สุดแรงของเรานั่นแหละ แม้ว่าผลอาจไม่ดี ดังที่เราคิดก็ช่างมันเถอะ เราทำได้ดีที่สุดเท่านี้แหละ… เราไม่ใช่พระเจ้านี่…”

ไหนจะงานประจำ ที่ต้องวัดความดันโลหิต -วัดปรอท-ชีพจร-อัตราการหายใจ ฟังเสียงหัวใจเด็กในครรภ์ ของมารดาที่ยังไม่คลอด ว่ายังปกติดีไหม แล้วนำมาลงรายงาน ในแฟ้มประวัติคนไข้แต่ละราย แจกยากิน ฉีดยาประจำชั่วโมง ซึ่งมีหลายเข็ม และจะให้ยาสับกันไม่ได้ (แม้ในบรรยากาศมืดสลัว) ไหนจะต้องคอยต่อขวดเลือด และ น้ำเกลือไม่ให้ผิดคน คอยปรับอัตราหยดให้พอดี กับสภาวะอาการ ของคนไข้แต่ละราย ไหนจะปัญหาฉุกเฉินเฉพาะหน้าอีก ขณะนี้บุญ “ผุด” พรั่งพรูเข้ามาให้ทำมากมาย จนลายตาไปหมด!

หมอ หมอ มียาลมบ้างมั้ย? !”

“ใครเป็นอะไร ?”

“เตียงที่เพิ่งคลอดใหม่น่ะ เขาขอ” พลางชี้เข้าไปกลางห้องสลัวๆ ฉันมองตามมือชี้ไป เห็นเงาลางๆ นอนแบ็บอยู่บนเตียง อย่างอ่อนแรง

“แบ่งกันคนละครึ่งนะ พยาบาลก็กำลังจะเป็นลมด้วยเหมือนกัน!” ฉันพูดความจริง

“โธ่… หมอก็พูดเป็นเล่นไปได้” แน่ะ ! … หาว่าพูดเล่นซะอีก! 

“ถ้าหมอเป็นอะไรไป แล้วใครจะช่วยคนป่วยล่ะหมอ?“ จริงๆด้วยแหละลืมนึกไป เอาเป็นว่า พยาบาลเป็นลมไม่ได้ก็แล้วกัน

เสียงเพลงหวานดังขึ้นอย่างปลอบโยน ในยามยากอย่างนี้ “เหงื่อพรูหลั่งรินไหล แพ้ใจเรา ทุกข์ลำบากยากเย็นเพื่องานเด่น รับเอาสร้างตัวเราให้แกร่งกายใจ”

แม้จะยุ่งอย่างไร แต่ศีลของเรายังบริสุทธิ์อยู่เสมอ ยังระวังกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม ให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ ยุ่งๆนี่แหละดี เราจะได้ฝึกความว่องไว และแววไว ทั้งกาย และจิตวิญญาณ ฉันบอกตนเอง ให้กำลังใจตนเองเงียบๆ

“สงสารหมอจังเลย ตั้งแต่ขึ้นเวรมา วิ่งตลอดเลย ยังไม่เห็นหยุดพักกินข้าวเลย” ฉันได้แต่ยิ้ม ไม่ได้ตอบว่ากระไร อานิสงส์การกินมื้อเดียวนี้ มากมายนัก นี่ถ้ายังกินมื้อเย็นอยู่ ป่านนี้ท้องคงเรียกร้องว่า เมื่อไหร่จะได้กินข้าวซักที(วะ!)

“หมอครับ ผมช่วยส่องไฟให้นะครับ” ญาติคนไข้ ขันอาสาอย่างเห็นใจ

“แม่หมอ… หิวหรือยังละ แม่คุณ” คนเรียก “แม่หมอ” แก่หง่อมคราวยาย!

“หมอจะกินอะไรบอกเลยนะ เดี๋ยวฝนหยุด ผมจะออกไปซื้อมาให้”

“หมอจะให้ช่วยอะไรบอกมาเลยนะ”

อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ถึงจะแสนยุ่ง และเหนื่อยยากอย่างไร หากมี”กำลังใจ” ก็สามารถฟันฝ่า อุปสรรคไปได้ การไม่ทับถมตนเองในยามยาก และการหัดให้กำลังใจตนเองนี่ จะทำให้เราไม่ย่อท้อ และ มีพลังในชีวิตตลอดเวลา และ นี่ฉันยังได้กำลังใจจากรอบข้าง อย่างมากมายมาช่วยเสริมอีก

เกือบ ๔ ทุ่ม พายุเงียบสงบ และฝนขาดเม็ด ลมเย็นพัดโชยเอาอากาศบริสุทธิ์ เข้ามาในแผนก ญาติหลายๆเตียง เอาปิ่นโต เอาห่อข้าวของตน ออกมาแบ่งปันกันกิน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คนไข้บางคนไร้ญาติ แต่ญาติเตียงอื่นๆ ต่างแบ่งปันอาหารคนละเล็กคนละน้อย ให้กินจนอิ่ม

“น้ำใจช่างงดงามกันเหลือเกิน” ฉันนึกอนุโมทนา และชื่นชมอยู่ในใจเงียบๆ คิดถึงบทกวี ที่เขียนไว้สั้นๆ แต่กินใจมากว่า “ยามยากจะเห็นใจมิตร ยากศึกประชิดจะเห็นใจทหาร”

จริงสินะ คนเราจะรู้น้ำใจกัน ก็เมื่อยามทุกข์ยาก เดือดร้อน และมีภัยนี่แหละ

เร็วๆนี้ ที่”ปฐมอโศก” มีการประชุมสี่องค์กร ยามนี้… คณะกรรมการมากันเกือบครบ คนที่ขาดประชุม คือคนที่ติดธุระจำเป็นจริงๆ และนอกจาก “คณะกรรมการ”แล้ว ยังมี “คณะกรรมเกิน” ที่มาร่วมฟังประชุมอย่างเต็มใจ ห่วงใย สามัคคี และอบอุ่นอีกด้วย

ขณะนี้พวกเราชาวอโศก ยิ่งรวมพลังกันเหนียวแน่น สามัคคีกลมเกลียวกัน เรื่องระหองระแหง จุกจิก แทบจะไม่มีปรากฏ ต่างร่วมยืนหยัดยืนยันในสัจธรรม

ห้าทุ่มกว่า แม้พายุฝนจะสงบไปแล้ว แต่ไฟยังดับอยู่ แสงเทียนยังวอมแวบอยู่ในแผนก ฉันเพ่งมองฝ่าความมืดแห่งรัตติกาล ไปยังต้นโพธิ์ใหญ่ ใกล้ห้องเก็บศพ ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ของโรงพยาบาล ภายหลังพายุร้าย… สายฝนที่กระหน่ำกระแทกลงมา… ท่ามกลางแผ่นฟ้า ที่กึกก้องคำรนสะท้านสะเทือน ฉันรู้สึกว่าใบโพธิ์แต่ละใบ สดใส สดชื่น แข็งแรงมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยซ้ำ ต้นโพธิ์ใหญ่ ก็ยังคงยืนตระหง่านอย่างมั่นคง จะมีก็แต่ใบสีเหลืองๆ และสีน้ำตาล ที่หลุดจากขั้ว ร่วงหล่นจากต้น เมื่อถูกแรงพายุกระพือพัด ส่วนสิ่งที่จะเจริญต่อไปเป็นแก่นแกน ยังคงเหนียวแน่น คงทนต่อมรสุมร้ายอย่างยืนหยัด แต่บางที “กาฝาก” บนต้นโพธิ์ ก็เหนียวแน่น ไม่ยอมหลุดไปง่ายๆ ด้วยเหมือนกัน จริงๆด้วย ต่างกันแต่วัตถุประสงค์ของมันคือ การคอยเบียดเบียน ดูดแย่งอาหาร จากต้นโพธิ์ กิ่งโพธิ์ และใบโพธิ์นั่นเอง

ฉันเองก็พยายามระมัดระวังพฤติกรรม และถามตนเองอยู่เสมอ ถึงวัตถุประสงค์ในชีวิต เพื่อที่จะได้ไม่มีพฤติกรรม เช่นเดียวกับกาฝากบนต้นโพธิ์นั่น! บางทีกาฝาก ก็ช่วยให้ใบโพธิ์แต่ละใบ ฝึกวางใจ ฝึกเสียสละอาหาร ที่รากดูดขึ้นมาให้ตน ออกไปบ้าง หากไม่มีคนไม่ดี คนดีจะเห็นตัวอย่าง ที่พึงละเว้นได้จากที่ไหน จะฝึกเสียสละให้แต่เพียง คนดีด้วยกันเท่านั้นหรือ ? ที่จริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ล้วนเป็นอุปการะ ให้แก่กันทั้งสิ้น

ยามสองกว่าแล้ว

ขณะที่ถีบจักรยานลงเวรบ่ายมา โคลงบทหนึ่งที่เคยผ่านตา ก็ผุดขึ้นมาในภวังค์…

When you walk through the storm, hold your head up high. And don’t be afraid of the dark. Behind the dark is the golden sky.

แต่ตอนนี้มันเป็นเวลากลางคืน พรุ่งนี้เช้าเถอะ จะดูซิว่า หลังพายุร้ายสงบแล้ว ท้องฟ้าจะงามสดใส อย่างที่โคลงเขาว่า หรือไม่

แต่ถึงแม้จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม ฉันก็จะเป็นคนหนึ่ง (ในอีกหลายๆคน) ที่จะมั่นคงยืนหยัดยืนยัน ห่างจากอบายมุข กินมังสวิรัติ และใช้ศีลเป็นเครื่องขัดเกลากิเลส ให้ออกไปจากจิตวิญญาณ จะพยายามระมัดระวัง กายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม ให้บริสุทธิ์ขึ้นไปเรื่อยๆ ตามอินทรีย์พละ จนชั่วชีวิต

เพราะได้พิสูจน์ด้วยตัวเองแล้วว่า พุทธธรรมที่แท้นี้ ก่อให้เกิดสันติสุข และคุณประโยชน์ ทั้งต่อตนเอง และมวลมนุษยชาติตลอดมา ทั้งอดีตและปัจจุบัน ( ที่ได้พิสูจน์แล้ว) ไม่เลือกยุคกาลสมัย

และ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ฟ้าสีหม่น มืดครึ้มด้วยเมฆดำ หรือ ฟ้าสีครามงามสดใสก็ตาม…

ก่อนจะหลับลงไป เมื่อย่างเข้าหนึ่งนาฬิกา ของวันใหม่ เมื่อทบทวนเหตุการณ์ ที่ผ่านมาในช่วงขึ้นเวรบ่ายนี้ อดบอกกับตนเองไม่ได้ว่า

“ช่างเป็นเวรบ่าย ที่สนุกสนาน อบอุ่น และโกลาหล อะไรอย่างนั้น!”

“พร้อมกันนี้ ฉันได้อะไรๆ จากเหตุการณ์ในวันนี้ อย่างมากมาย

“โอ! … ทุกอย่างล้วนเป็นอุปการะ ต่อการปฏิบัติธรรมของเราทั้งสิ้น!”

๑๓ กันยายน ๒๕๓๑

อ่านต่อ ๒.
ไปเถิดบนเส้นทางที่หนาวเย็น