nurse

๗. ย่อมเสื่อมสลายเป็นธรรมดา

ย่อมเสื่อมสลายเป็นธรรมดา

วันเวลาได้ล่วงเลยไป อย่างไม่เคยหยุดยั้ง ดุจเดียวกับกระแสน้ำ ที่ไหลล่องลงสู่มหาสมุทร ชั่วนาตาปีเช่นกัน พ่อท่านเคยสอนลูกๆอโศกไว้ว่า ทุกอย่างในมหาสากลจักรวาล มันล้อเลียนกันทั้งสิ้น พระพุทธองค์จึงทรงให้เราศึกษาโลกเล็กๆ คือ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก นี่แหละ (แทนการไปศึกษาโลกที่กว้างใหญ่ ซึ่งเราจะไม่สามารถศึกษาได้หมด ในชีวิตชาติหนึ่งๆ)

และเมื่อวันวารผ่านผันไป วัยของฉันก็เริ่มเข้าสู่วัยกลางค นอย่างไม่รู้ตัว! ทุกๆวินาทีที่วิ่งผ่าน ก็ได้พาเอาชีวิตเข้าสู่ความชรา ไปทุกขณะ ผมบนศีรษะของฉัน ก็ดูละล้อเลียนกับวัย ที่ล่วงเลยไปเช่นกัน มันจึงเริ่มมีผมหงอก แซมขึ้นมาประปราย

ใครคนหนึ่งกล่าวไว้ อย่างน่าประทับใจทีเดียวว่า

"ชีวิตนี้น้อยนัก ชีวิตนี้สั้นนัก ดุจสายฟ้าแลบ เพราะฉะนั้นทุกขณะที่ผ่านไป ควรยังกุศลให้ถึงพร้อม และไม่ประมาทในโทษภัย อันมีประมาณน้อย

หวนกลับมาคิดถึงชีวิต แห่งการปรับปรุงกรรม ๓ ของฉัน บางครั้งก็รู้สึกละอาย ที่จะพูดว่า เราเป็นนักปฏิบัติธรรม เพราะยิ่งนานวัน ก็ยิ่งเห็นกิเลสของตนชัดขึ้น จนบางทีถึงกับอุทานว่า โอ...นี่เราน่าเกลียดอย่างนี้เชียวหรือ ยังบกพร่องมาก ขนาดนี้เชียวหรือ!

แม้จะเหลือเวลาอยู่บนโลกอีกน้อยนิด แต่กิเลสก็ยังเหลืออยู่อีก มากมายเหลือเกิน ที่รุนแรงที่สุด คือจิตตัวถือสา เรียกร้อง จะให้คนนั้นคนนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ และเหตุการณ์ต่างๆ เป็นไปอย่างที่ใจเรายึดเอาไว้

ฉันได้ซาบซึ้งว่า สภาพจิตที่ถือสาเรียกร้องนี้ ทำให้เราเป็นผู้มีอารมณ์เปราะบาง ง่ายต่อการสั่นสะเทือน พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ ทำให้จิตใจคับแคบ และสร้างทุกข์แผดเผาจิตใจ ให้ทรมานมานานแสนนานแล้ว

"เอ๊ะ! ทำไมผู้ร่วมงานคนนี้ คอยหลบงานอยู่เรื่อยเลย"

"ทำไมหมอคนนี้ ไม่เอาใจใส่คนไข้เลยนะ (ทำยังงี้ได้ยังไง!)

"ทำไมคนนี้ ไม่มีความจริงใจเลย" ฯลฯ

เวรบ่ายวันหนึ่ง หลังจากฉีดยาให้คนไข้ ในแผนกแล้ว ฉันก็มานั่งพัก ที่เคาน์เตอร์พยาบาล ทอดสายตาไปเบื้องหน้า ตรงม้านั่งหินอ่อนหน้าแผนกสูติ-นรีเวช ชายชราวัยห้าสิบกว่า ร่างผอม ผิวดำเกรียม แขนและขาที่โผล่พ้นออกมาจาก เสื้อผ้าเก่ามอมแมม ที่สวมอยู่นั้น มีเส้นเอ็นขึ้นเป็นปุ่มปม สะพรั่งไปหมด อะไรก็ไม่น่าสะดุดตา เท่ากับศีรษะที่โกร๋นของลุง มีผมขึ้นหร็อมแหร็มสีขาวโพลน อยู่เป็นหย่อมเล็กๆเท่านั้น ภาพของนกตะกรุม ผุดลอยขึ้นมาให้จินตนาการของฉัน ทันทีโดยอัตโนมัติ

ข้างๆชายชรา เป็นบุตรสาววัยรุ่น ซึ่งเป็นคนไข้ในแผนก ถัดมาคือหญิงชรา ซึ่งเป็นมารดาของคนไข้ ผมสีดอกเลาของป้านั้น ดกเต็มศีรษะ ถูกหวีรวบตลบขึ้นไป และสับไว้ด้วยหวีโค้งเก่าๆ ป้าสวมเสื้อผ้าเก่าๆเช่นเดียวกัน เนื่องมาจากมีฐานะยากจน

ครอบครัวนี้มาจากบ้านป่า กิ่งอำเภอหนองหญ้าไซร คนไข้ผู้เป็นลูก มารับการผ่าตัดคลอดบุตร ประวัติของเธอแปลกกว่าคนไข้รายอื่น เพราะเธอมีอาการ จิตวิปริตร่วมด้วย

เมื่อกลับมาจากห้องผ่าตัด พอฟื้นขึ้นจากฤทธิ์ยาสลบ เธอก็เอะอะอาละวาด ดึงสายน้ำเกลือทิ้ง ดึงสายสวนปัสสาวะที่ใส่คาไว้ออก

พยาบาลหลายคน พยายามเปลี่ยนหน้ากัน เข้าไปพูดปลอบ ไปให้น้ำเกลือ หรือฉีดยาให้ เธอก็จะให้รางวัลกับทุกคน โดยถ้วนหน้ากัน โดยการพ่นน้ำลายใส่ น้ำลายของเธอมีมากพ่นเท่าไรไม่รู้จักหมด จนทำให้ฉันนึกไปถึง นกนางแอ่น (ที่มันใช้น้ำลายทำรัง) ปากก็ด่าด้วยถ้อยคำที่หยาบคายมาก ซึ่งถ้าฟังแล้วถือสา ก็คงโมโหแน่ๆ

พอเธอลุกนั่งได้ ก็ใช้สองมือ กระชากผ้าก๊อสที่ปิดแผลผ่าตัดไว้ จนหลุดกระจุยกระจายไปหมด สักครู่ก็ร้องปวดแผล พยาบาลจึงเข้าไปปลอบ และฉีดมอร์ฟีนให้ เพื่อระงับปวด

"อี...นี่ฉีดยาเจ็บฉิ...เลย" ให้พรเสร็จ เธอก็หลับไป

สองวันต่อมาเธอแข็งแรงขึ้น ลุกเดินได้ พูดด้วยพอรู้เรื่องเป็นบางครั้ง แต่เวลาคลุ้มคลั่งขึ้นมา ก็หยิบไม้ไล่ทุบตีพ่อแม่ ของเธออย่างรุนแรง (ไม่รู้ไปเอากำลังมาจากไหน ถึงได้มากมายอย่างนี้) บางครั้งลุงกับป้าแก่ๆ ก็ต้องหนีไปแอบ

วันแรกที่ฉันอยู่เวรและพบเธอ ใจยังหวาดๆอยู่ เพราะเป็นคนเดียวที่ยังไม่ได้รับ"โบนัส"จากเธอ ฉันค่อยๆก้าวไปยังเตียง ๑๓ ที่เธอนอนอยู่ ด้วยท่าทีเป็นมิตร พูดด้วยอย่างอ่อนโยน ส่วนในใจนั้นน่ะ กะว่าเดี๋ยวถ้าเธอแจก"รางวัล"เมื่อไหร่ละก็ ฉันเองก็พร้อมจะโกยแนบออกมาทันที บอกกับตนเองว่า

"เป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้กันไปซิว่า พยาบาลกับคนไข้ ใครจะเร็วกว่ากัน!"

วันนี้เธออารมณ์ดีจริง ป้อนข้าวก็กินได้มาก ฉันนำเสื้อผ้าใหม่ๆมาให้เธอ โชคดีจริง...หลายวันต่อมา เธอไม่เคยด่าหรือพ่นน้ำลายใส่ฉันเลย อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา หรือเพราะเธอคิดว่า ฉันเป็นพวกเดียวกับเธอก็ได้!

ป้าผู้เป็นมารดาคนไข้ เล่าให้ฟังว่า แต่เดิมเธอเป็นเด็กเรียนเก่ง พอจบ ป.๖ ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะฐานะยากจน ต้องออกจากโรงเรียน มารับจ้างตัดอ้อยเลี้ยงพ่อแม่ ต่อมาเมื่อ ๒ ปีก่อน มีชายผู้ลุแก่อำนาจอารมณ์คนหนึ่ง ขึ้นมาหาเธอในตอนกลางคืน เธอตกใจและหวาดกลัวมาก จนจิตวิปริต คุ้มดีคุ้มร้ายตั้งแต่นั้นมา ไม่เป็นอันรับจ้างเลี้ยงพ่อแม่ บางทีก็ทุบตีพ่อแม่เวลาโมโห บางทีก็นุ่งลมห่มฟ้า ไม่อายชาวบ้าน

ต่อมามีหมอกลางบ้าน เป็นชายสูงอายุ ซึ่งอยู่อีกตำบลหนึ่ง มาคะยั้นคะยอขอรับเธอไปรักษา โดยกินยาหม้อที่บ้านตน ไม่กี่เดือนต่อมา ก็มาเร่งลุงกับป้าให้ไปรับลูกกลับบ้าน พอรับกลับมาไม่นาน ก็รู้ว่าเธอตั้งครรภ์เสียแล้ว!

ลุงผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้าแค้นมาก แต่เพราะความยากจน และความชรา ลุงจึงไม่สามารถแก้แค้นได้ เกือบทุกคืนลุงนอนไม่หลับ คิดมาก จนผมสีเทากลายเป็นสีขาวอย่างรวดเร็ว และหลุดร่วงมากจนน่าตกใจ มีใบหน้าหมองหม่นอยู่เป็นนิตย์

"แล้วป้าล่ะ ทุกข์ใจคิดมาก เหมือนลุงหรือเปล่าจ๊ะ" ฉันถามเมื่อป้าเล่าจบลง

"โอ๊ย...ตอนนี้ฉันทำใจได้แล้ว อะไรมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด นี่ก็นึกว่าเกิดมาใช้กรรมเก่า ฉันอาจเคยทำไม่ดีไว้แต่ชาติก่อนก็ได้ ตอนนี้ก็ต้องคอยหนี เวลาลูกเขามาไล่ทุบเอาน่ะ กลัวเขาจะมีบาปติดตัวไปอีก"

ฉันฟังแล้วอยากจะกราบป้าสักครั้ง โธ่...ป้า นี่ขนาดป้าไม่ได้ปฏิบัติธรรมนะ ยังสามารถวางใจได้ถึงขนาดนี้ ส่วนฉันนี่สิ ฟังแล้วอยากจะไปตามชายหน้ามืดคนนั้น กับตาหมอศีรษะงูมาดูผลงานที่น่าอัปยศของตน จะได้คิดบ้างว่า อารมณ์ชั่ววูบของตน สร้างความทุกข์ทรมาน ซ้ำเติมหลายชีวิตที่น่าสงสารอยู่แล้ว ให้ทุกข์ทรมานมากขึ้นอีก อย่างแสนสาหัสเพียงไหน

พยายามสอนใจตนเองอย่างรวดเร็วว่า เขาทั้งหลาย อาจเคยสร้างกรรมร่วมกันมาก่อน จึงต้องมาตามทวงหนี้ ใช้หนี้กันนั่นเอง อา...สัตวโลก ย่อมเป็นไปตามกรรม ที่ตนได้ก่อไว้แล้วทั้งสิ้น... คิดได้ดังนี้ จิตถือสาจึงคลายลง

ชีวิตที่ได้มาปฏิบัติธรรม ฝึกแก้ไขปรับปรุงกรรม ๓ ได้พยายามเตือนตน สอนตน ให้เป็นผู้มีความคิดกว้างขวางขึ้นกว่าเดิม (ไม่คับแคบมากเหมือนก่อน) จึงสามารถให้อภัยและเข้าใจผู้อื่น มากขึ้นมาบ้าง

มันก็เป็นสิทธิของแต่ละคน ที่จะทำตามภูมิปัญญาของตน พูดตามความคิดเห็น และเหตุผลของตน เพราะคนทุกคนมี "ต้นทุนก่อนเกิด" มาไม่เท่ากัน และการได้อยู่ในสภาพสังคมสิ่งแวดล้อม ที่แตกต่างกันออกไป ย่อมจะหล่อหลอมพฤติกรรม และความคิดเห็น ให้แตกต่างกันออกไปด้วย พยายามบอกตนเองเสมอว่า ทุกคนทำอะไร เขาก็ย่อมมีเหตุผลของเขา ถ้าเราเป็นเขา เราก็คงทำอย่างเขานั่นแหละ (และบางทีอาจไม่ดีเท่าเขาก็ได้!)

จากการปฏิบัติที่ได้ผล อีกอย่างหนึ่ง คือการได้มองตน และการเชื่อเรื่องของวิบากกรรม

"เอ...เราไปถือสาเขาน่ะ ตัวเราเองล่ะดีพร้อมแล้วหรือยัง"

"เราอาจเคยทำไม่ดีกับเขามาก่อน (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว) ก็ได้ จึงมาได้รับผลกรรมตอบสนองอย่างนี้"

เมื่อมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม จะสามารถใช้การเคารพเหตุผลของผู้อื่น การมองตน และการเชื่อในเรื่องของวิบากกรรม มาสลายตัวถือสา ได้ผลเป็นที่น่าพอใจทีเดียว

เย็นวันนี้ ฉันเอาของกินของใช้บางอย่าง มาให้ลุงและป้าผู้อาภัพคู่นั้น ลุงยกมือไหว้แล้วรับของไป มือสั่นระริกคู่นั้น ลูบคลำขวดซอสถั่วเหลืองอย่างดีใจ

"ชั่วชีวิต ผมไม่เคยคิดเลยว่า ผมจะได้กินของดีๆแพงๆอย่างนี้"

ฉันตื้นตันใจจนพูดไม่ออก ทีแรกก็คิดว่า เราจะทำยังไงนะ เพื่อให้ลุงผู้แบกทุกข์ไว้ตลอดเวลานี้ ได้มีช่วงชีวิต ที่พบกับความดีใจบ้าง แม้ชั่วแวบเดียวก็ยังดี แต่บัดนี้ คำพูดของลุงผู้ยากจน ทำให้ฉันสะเทือนใจจริงๆ เราก็ว่าเราเป็นคนจน มักน้อยสันโดษระดับหนึ่งแล้วเชียวนะ แต่เทียบกับลุงแล้ว เราก็ยังมีมากอยู่อีก ฉันบอกกับลุงในใจว่า

"ลุงจ๊ะ ซอสนี่ ฉันใช้ประจำอยู่แล้ว แพงกว่านี้ก็มีอีกนะจ๊ะ ที่เพื่อนๆญาติธรรมของฉันบางคนใช้กันน่ะ ซอสเห็ดหอมไงล่ะ! ลุงเคยเห็นหรือเปล่า?!...สงสัยถ้าฉันซื้อมาให้ลุงละก็ ลุงคงจะดีใจ จนช็อคแน่ๆเลยนะเนี่ย!"

พอนึกถึงเรื่อง"ช็อค" อดนึกถึงเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อเร็วๆนี้ไม่ได้

เช้าวันหนึ่ง ฉันซึ่งอยู่ในชุดมอซอ ฉันจึงพยายามระมัดระวัง  ถีบรถให้ชิดซ้ายมือให้มากที่สุด แต่คงเป็นคราวเคราะห์ร้าย รถปิ๊กอั๊พคันหนึ่ง แล่นมาข้างหลังด้วยความเร็ว ชนรถจักรยาน ที่ฉันถีบอยู่อย่างจัง!

ฉันและรถล้ม กลิ้งกระแทกกับพื้นถนนทันที ขาข้างหนึ่งเข้าไปขัดกับกำล้อรถ จิตที่เคยฝึกมาเสมอ คิดอย่างรวดเร็วว่า

"เขาไม่มีเจตนาจะชนเราหรอกนะ ญาติของเขาอาจกำลัง ป่วยหนักอยู่ในรถ (นี่ไม่ได้แช่งนะ) หรือเขาอาจจะกำลังมีธุระ รีบด่วนอยู่ก็ได้" เมื่อคิดดังนี้ จิตจึงมิได้ถือสาเลย... แต่ขวัญกระเจิง!

ฉันเดินไปสั่งของในร้าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุนัก ด้วยกิริยาสงบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หัวใจยังสั่นระริกอย่างเสียขวัญ เสียงที่สั่งของอยู่นั้น เหมือนไม่ใช่เสียงของฉันเอง

ครึ่งชั่วโมงต่อมา บนรถโดยสารที่จะไปบ้าน ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ ๑๖ กม. หัวใจของฉัน ยังเต้นแรงและเร็วอยู่ พยายามทำใจให้สงบ หายใจเข้าออกยาวๆ มีสติอยู่กับลมหายใจ เอาละ...ถึงแม้โจทย์ครั้งนี้ ยังสงบไม่ผ่านร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม แต่ก็ดีใจละ ที่จิตถือสาลดลงไป อีกนิดหนึ่งแล้ว

ฉันเดินจากลุง ผู้กำลังยินดีกับของกินของใช้ ที่เพิ่งได้รับไป กลับไปยังระเบียง ด้านทิศตะวันตก ของแผนกสูติ-นรีเวช ลำน้ำท่าจีน ซึ่งไหลผ่านตัวโรงพยาบาล กระแสน้ำไหลล่องไปทางทิศใต้ โดยไม่หยุดยั้ง ดุจเดียวกับกาลเวลาเช่นกัน ลำแสงสุดท้ายแห่งวัน ทางทิศตะวันตก ทอดกระเพื่อมเป็นประกายบนระลอกคลื่นในสายน้ำ สีทองแถบม่วงที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า และดวงดาวที่เริ่มทอแสง ระยิบระยับในขณะนี้ ทำให้ฉันนึกถึง บทเพลงหนึ่งที่ว่า

"...ก่อนสิ้นแสงตะวันจะจากลับไกล โปรดจำไว้คือวัยล่วงไปพร้อมกัน จึงควรตรวจเสียก่อน อย่านอนหลงมั่น "วัย" และ"วัน"จะผ่าน"

ฉันเดินกลับมาต่อน้ำเกลือ ให้กับคนไข้ หลังผ่าตัดมดลูกรายหนึ่ง พร้อมกับบอกตนเอง อย่างมุ่งมั่นและเบิกบานว่า

แม้สีของผม และริ้วรอยแห่งความชรา จะผุดขึ้นมา เตือนบอกถึงความเสื่อมแห่งร่างขันธ์ เพื่อล้อเลียนตามกาลเวลา และกระแสน้ำแล้วก็ตาม แต่จิตวิญญาณของฉันที่มีฉันทะ มุ่งล้างกิเลส เพื่อดับเหตุแห่งทุกข์ให้สิ้นไปนั้น ไม่เคยแปรเปลี่ยนไป เหมือนทุกอย่างในมหาสากลจักรวาลเลย!

ตรงข้าม ด้วยความเที่ยงต่อความพากเพียรนี้ กิเลสในจิตต่างหาก ที่จะต้องสลายไปเรื่อยๆ พร้อมกับสังขารที่เสื่อมไป ตามกาลเวลาเช่นกัน

"ลูกไกลพ่อ"
๘ พฤษภาคม ๒๕๓๒ ; ๓.๐๐ น.

หนังสือพิมพ์สารอโศก อันดับที่ 142 เดือนมิถุนายน 2533

 อ่านต่อ ๘.
เหตุเกิดที่ปาก