nurse

๑๐. จนกว่าเราจะตายจากกัน

จนกว่าเราจะตายจากกัน

"อ้อ...แต่งงานเถอะ" เสียงนั้นดังขึ้นอย่างตั้งใจ

"มัวแต่เล่นตัวอยู่นั่นแหละ... แกอายุสามสิบแล้วนา" อีกเสียงดังขึ้นมาบ้าง

"อ้อ เชื่อเราเถอะ แต่งงานแล้วดีว่ะ" เสียงหัวเราะเฮฮา ดังขึ้นเพรียกไปหมด

แปดปีแล้วซีนะ ที่พวกเราเรียนจบพยาบาลมาด้วยกัน แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำงาน ในหน่วยงานต่างๆ เพ็ญเพิ่งจบปริญญาโท ทางการพยาบาล ทำงานอยู่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สุประจำอยู่ห้องผ่าตัด เพิ่งคลอดบุตรคนโตไป เมื่อปลายปีก่อน ภาก็อยู่โรงพยาบาลอำเภอแห่งหนึ่ง ลูกคนที่ ๓ เข้าเรียนอนุบาลแล้ว ส่วนฉันก็ยังคงเป็นพยาบาลแก่ๆ อยู่ที่แผนกสูติ-นรีเวช เหมือนเดิม ไม่รู้ว่าทำไมชีวิต จึงถูกตอกย้ำ ซ้ำซาก ให้เห็นแต่ความทุกข์ทรมาน ของผู้หญิงที่แต่งงาน มีครอบครัว แล้วมาคลอดลูก อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

"ไม่ได้หรอก... แค่เราเห็นพวกแกมีท้อง เราก็สงสารจับใจแล้วละ เรารู้ว่าพวกแกจะต้องเจ็บปวด ตอนคลอดลูกแน่ๆ เลย...ความจริง เราก็ทำคลอดกันมา เป็นร้อยๆ ครั้ง แกก็เห็นแล้ว ไม่กลัวเจ็บกันมั่งหรือไง"

"เฮ้ย!... แกล่ะ ก็เป็นเสียยังงี้แหละ ... ไอ้นี่มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ เจ็บก็เจ็บเดี๋ยวเดียวแหละ" ภากล่าวรับรอง อย่างผู้มีประสบการณ์

"เชื่อเพื่อนเถอะว่ะ อ้อ แกจะอยู่ขึ้นคานไปถึงไหนกัน" เพ็ญซึ่งมานอนอยู่ร.พ. เพราะเริ่มเจ็บครรภ์ตั้งแต่เช้า ช่วยลุ้นบ้าง

พวกเราเฮฮากัน ตามประสาเพื่อนรักรุ่นเดียวกัน ได้ไม่นาน เพ็ญก็เจ็บครรภ์ถี่ขึ้น เมื่อตรวจภายในดู ก็พบว่าปากมดลูก เปิดได้ ๘ ซ.ม.แล้ว และเริ่มมีลมเบ่ง พวกเราจึงรีบช่วยกันพยุง ขึ้นเตียงคลอด

"เพ็ญ...อย่าเพิ่งเบ่ง cervix (ปากมดลูก) ยังเปิดไม่หมดเลย"

"มันเบ่งเอง! โอย...อ้อช่วยเราด้วย" เสียงเพ็ญละล่ำละลัก สีหน้าแสดงความเจ็บปวด ทรมาน เหงื่อเม็ดโป้งๆ ผุดขึ้นมาเต็มใบหน้า ทั้งที่ภายในห้องคลอด เปิดแอร์เย็นฉ่ำ

"เพ็ญ...ทำใจดีๆไว้ ไม่เป็นไรนะ อ้าปาก หายใจเข้าออกยาวๆ ฝืนไว้นะเพ็ญ.... อย่าเพิ่งเบ่ง!"

"ก็มันมีลมเบ่งเองอ้อ! เราฝืนไม่ไหวแล้ว!"

ครู่ใหญ่ เด็กจึงคลอดออกมา อย่างปลอดภัย

"เฮ้ย! เพ็ญ...ลูกชายว่ะ" เพื่อนๆ รอบเตียงคลอด เฮฮากันเสียงดังลั่น เพ็ญยิ้มอย่างสมใจ เพราะสามี ก็อยากได้ลูกชายเช่นกัน

ต่อมาเพื่อนรุ่นเดียวกัน จากที่อื่นๆ พอทราบข่าว ก็พากันมาเยี่ยมเพ็ญ ที่ ร.พ. และทำให้ฉันได้รับทราบข่าวคราว ความเป็นไปของเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นๆ คือลูกของลักษณ์ เป็นนิวโมเนีย (ปอดบวม) เสียชีวิตไป เมื่ออาทิตย์ก่อน

"ไอ้ลักษณ์ มันเสียใจ จนจะประสาทอยู่แล้ว"

"เออ... อ้อ รู้ยังว่า ไอ้ตูมตายแล้ว"

"ฮ้า!... ไอ้ตูมน่ะเหรอ... มันเป็นอะไรตาย...ม่วย!" ฉันใจหายวาบ

"อะไรกัน อ้อไม่รู้หรือ หนังสือพิมพ์ เขาลงข่าวหน้าหนึ่งเลยนะ พยาบาลสาว กินยาฆ่าตัวตาย ประท้วงแฟนมีรักใหม่"

"เขาว่า มันไปเห็นแฟนมันควงสาวอื่น ไอ้นี่มันยิ่งขี้น้อยใจอยู่ด้วย"

"ไม่น่าเลยว่ะ...สงสารพ่อแม่มัน... ผู้ชายคนนั้น มันดีแค่ไหนเชียววะ ไอ้ตูมถึงขนาด ยอมเสียชีวิตให้ได้"

ภาพของตูม นักบาสเกตบอลของวิทยาลัย ที่วิ่งรับลูกบาส อย่างคล่องแคล่วในสนาม เมื่อสิบกว่าปีก่อน ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของฉัน เป็นอย่างดี

ฉันสลดใจกับข่าวนี้มาก เสียดายเพื่อนเหลือเกิน เสียดายความรู้ ที่อุตส่าห์ร่ำเรียน อดทนฝึกฝนร่วมกันมา อย่างยากลำบาก เพื่อหวังจะช่วยเพื่อนมนุษย์ ยามป่วยไข้ ยามทุกข์ยาก แต่เพราะเพียงความรัก เพื่อนถึงกับทิ้งอุดมการณ์ ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งแม้กระทั่งชีวิตอันเป็นที่รัก ไปอย่างไม่ไยดี

กระนี้หรือ เพื่อนๆของฉัน ก็ยังรุมเชียร์ให้ฉันมีรัก... ให้ฉันแต่งงาน...

"อ้อ...อ้อ... มาดูหลานหน่อย...เร็วเข้า!" เสียงเพ็ญตะโกนเรียก จากเตียงคนไข้ ฉันสาวเท้าไปหาอย่างรวดเร็ว

"เนี่ย ดูซิ เป็นอะไรก็ไม่รู้ มือเขียวใหญ่เลย"

ฉันตรวจดูอย่างละเอียด และบอกว่า

"ไม่เป็นไรหรอกเพ็ญ หลานถูกอากาศเย็นน่ะ มันเคยอยู่ในท้องแม่อุ่นๆ เสียเคย เดี๋ยวห่มผ้าให้อีกหน่อยก็พอ"

"อ้อ อย่าเพิ่งไปนะ เรากลัวลูกเป็นอะไรไป ยิ่งนึกถึงลูกไอ้ลักษณ์ที่ตายไป เรายิ่งใจไม่ดีเลย" เสียงเพ็ญ บ่งบอกถึงความวิตกกังวล เต็มที่

"ช่วยดูให้ทีเถอะครับ" สามีของเพ็ญ... คุณพ่อคนใหม่ เป็นหนุ่มนักกฎหมาย กล่าวขึ้นบ้าง อย่างกังวลเช่นกัน ฉันอุ้มหลานขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เห็นสีหน้าของคุณพ่อคนใหม่คนนี้ ทำให้ฉันยิ้มอย่างขำๆ เมื่อนึกไปถึง เรื่องของคนมีอารมณ์ขัน แต่งขึ้นเกี่ยวกับคุณพ่อคนใหม่ เรื่องมีอยู่ว่า

ที่หน้าห้องคลอด ของร.พ.แห่งหนึ่ง ชาย ๔ คน นั่งรออยู่อย่างกระวนกระวาย เพราะภรรยาของแต่ละคน กำลังเจ็บท้องอยู่ในห้องคลอด ครู่ใหญ่ พยาบาลก็โผล่หน้ามา ที่เคาน์เตอร์

"คุณสมชายคะ"

"ครับผม!" คุณสมชายเดินเกือบวิ่ง ไปยังเคาน์เตอร์พยาบาล

"ภรรยาคุณ คลอดแล้วนะคะ ได้ลูกชายค่ะ"

"ไชโย!... ผมดีใจจังเลย ผมทำงานโรงงานซีอิ๊ว ตราเด็กสมบูรณ์ ผมได้ลูกชายหนึ่งคน"

ครึ่งชั่วโมงต่อมา พยาบาลคนเดิม ก็โผล่หน้ามาอีก

"คุณกำจัดคะ...ภรรยาคุณ คลอดแล้วนะคะ ได้ลูกสาวแฝด สองคนค่ะ"

"โอ...ผมดีใจจังเลย ผมทำงานโรงงานผลิตช้อนส้อม ผมได้ลูกแฝด ๒ คน"

ต่อมาอีกไม่นาน พยาบาลก็ออกมาอีก

"คุณชำนาญคะ...ภรรยาคุณ คลอดแล้วค่ะ คุณได้ลูกชายแฝด ตั้ง ๓ คนแน่ะค่ะ"

"โอ้โฮ! แฝดสาม หรือครับ!" คุณชำนาญ กระโดดตัวลอย อย่างลิงโลด

"ผมดีใจเหลือเกิน ผมทำงานโรงงานสังกะสี ตราสามห่วง ผมได้ลูกแฝด สามคน!"

พยาบาลเดินกลับเข้าไป ในห้องคลอด คุณสมพงษ์ (ไม่ใช่สมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์นะฮับ!) ซึ่งเป็นชายคนสุดท้าย สีหน้าวิตกกังวลเต็มที่ เหงื่อแตกซิกๆ ทั้งที่ใบหน้า และที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง

๒ ชั่วโมงต่อมา พยาบาลก็เดินออกมา จากห้องคลอด คุณสมพงษ์ปราดเข้าไป ที่เคาน์เตอร์อย่างรวดเร็ว

"คุณพยาบาลครับ กรุณาผมด้วยเถอะครับ!"

"อะไรกันคะ คุณสมพงษ์ ภรรยาคุณ ยังไม่คลอดนะคะ"

"คืองี้ครับ...ช่วยผมด้วย... ผมกลัวเหลือเกินครับ!... คือผม... ผมทำงาน โรงงานยาแก้ไอ ตราเสือ ๑๑ ตัวครับผม!"

"...!?!?..."

พอพูดถึง"เสือ" ก็ทำให้นึกย้อนไปถึง งานมหาปวารณา’๓๓ ที่ปฐมอโศก เมื่อเร็วๆ นี้ พ่อท่านเตือน ท่านสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ให้ระวังเสือ ๒ ตัว คือ สตางค์ กับ สตรี

[เครื่องเศร้าหมอง ของพระอาทิตย์ และพระจันทร์ มี ๔ อย่างคือ หมอก น้ำค้าง ละอองควัน และ อสุรินทราหู และสิ่งที่ทำให้ ชีวิตนักบวชเศร้าหมอง ก็มี ๔ อย่างเช่นกัน คือ
๑. การดื่มสุราเมรัย
๒. การเสพเมถุน (อาจรวมถึง การสนิทสนมกับมาตุคาม จนเกินงาม)
๓. ยินดีในทอง และเงิน (และสะสมเงินทอง)
๔. เลี้ยงชีพในทางผิด เช่นทำเครื่องรางของขลัง ดูหมอ รดน้ำมนต์ บอกใบ้ให้หวย ทำปลัดขิก ฯลฯ ]

ในปัจจุบัน ภาพพจน์ของศาสนาต้องมัวหมอง ก็เพราะสาเหตุใหญ่มาจาก ภิกษุในศาสนานี้ สะสม "เงินทอง"และเกี่ยวข้องกับ "สีกา" จนเกินงามนั่นเอง

หันกลับมามองดูตัวเอง ซึ่งเป็นผู้หญิง ที่เข้ามาอาศัยพึ่งใบบุญ ของศาสนาเช่นกัน หากทำตัวไม่ดี ก็จะเสี่ยงต่อการเป็น "มารศาสนา" ได้ง่ายๆ

แม้จะปฏิบัติได้ไม่มาก ภูมิธรรมก็มีอยู่น้อยนิด ซ้ำกิเลสในจิต ก็ยังมีอีกมากมายนัก แต่ความรู้สึกที่แจ้งชัด เห็นทุกข์ของการเวียนว่าย อยู่ในสังสารวัฏ อันมีความเจ็บปวด เป็นระลอกคลื่นนี้ ทำให้ฉันตระหนักอยู่เสมอว่า หากเราประมาท ไม่สังวรระวังให้ดี และไปทำให้ใครตกล่วง จากการประพฤติพรหมจรรย์ ก็จะทำให้เขาผู้นั้น เนิ่นช้าต่อนิพพาน และยืดระยะเวลา แห่งความเจ็บปวดทรมานของเขา ในการกลับมาเวียนว่าย ในวัฏสงสาร อีกนานับชาติ เป็นการเบียดเบียนตน เบียดเบียนท่าน อย่างแท้จริง

หากเราเป็นต้นเหตุ ให้ผู้ที่เรารักต้องร้องไห้ ต้องทุกข์ทรมาน ไปอีกนานแสนนานแล้ว เราจะทนได้ล่ะหรือ?

พี่ญาติธรรมผู้หญิงท่านหนึ่ง ได้กรุณาฉันอย่างมาก พี่เขาแต่งงานแล้ว (กับญาติธรรมด้วยกัน) พี่เขาบอกฉันว่า

"ผู้ชายนี่ส่วนใหญ่ เขาจะเกิดมาเสวยบุญเก่า เกิดมาเสพย์รส จะดีกับเราตอนที่อยู่ด้วยกันใหม่ๆ พอนานไปก็เบื่อ ไปหาหญิงอื่น (หารสใหม่) ยิ่งผู้หญิงที่มีลูกแล้ว จะถูกสามีเบื่อง่ายยิ่งขึ้น ผู้ชายจึงมีเมียน้อยไงล่ะ"

สำหรับเรื่องนี้ ฉันเองก็มีประสบการณ์ เพราะเมื่อหลายวันก่อน ฉันยังเห็นสามีของพี่นีย์ พยาบาลรุ่นพี่ (ซึ่งแต่งงานมาได้ ๔ ปีแล้ว) ควงสาวน้อยหน้าหวาน อยู่ที่ริมน้ำท่าจีน

พอได้เห็นภาพที่เขากำลังจู๋จี๋กัน ก็ทำให้ฉันสะท้อนใจว่า
ความรักนี้ มันเป็นอารมณ์ ที่คนปรุงขึ้นมาในจิต มันเกิดขึ้นมาแล้ว ก็เสื่อมไปได้ ช่างไม่จีรังยั่งยืนเสียเลย เมื่อ ๔-๕ ปีก่อน พี่นีย์ยังมีรักที่หวานชื่น แฟนมาเอาอกเอาใจสารพัด มารับมาส่ง มานั่งเฝ้าดูพี่นีย์ ที่ร.พ.เกือบทุกวัน แต่มาบัดนี้ ภาพเหล่านั้นฉันไม่เคยเห็นอีกเลย เดี๋ยวนี้พี่นีย์ ต้องช่วยตัวเองทุกอย่าง

ฉันนึกสงสารเพ็ญ ภา สุ และเพื่อนๆ พยาบาล ที่แต่งงานไปแล้ว ขึ้นมาอย่างจับใจ

อนิจจา...เพื่อนรักของฉัน พวกเธอจะรู้หรือเปล่าว่า เมื่อเราแต่งงานไป เราก็ต้องไปเป็นทาส บำเรออารมณ์กิเลสของผู้ชาย ชีวิตของเราทั้งชีวิต เกิดมาเพียงเพื่อสนองอัตตา ของใครบางคน เท่านั้นเองหรือ แต่อย่างไรก็ตาม ฉันก็พอจะรู้อยู่ว่า เรื่องอย่างนี้ ก็เป็นไปตามวิบาก ตามฐานของแต่ละคน และคนที่แต่งงานแล้ว ก็สามารถประพฤติธรรมได้ เพียงแต่ ฉันต้องเตือนตัวเองให้หนักๆ ไว้เท่านั้น

ในฐานะเสขบุคคล ที่ยังต้องขัดเกลากิเลสของตนอีกมาก ฉันเองก็ได้เคย กราบเรียนถามพ่อท่านว่า

"พ่อท่านคะ การประพฤติพรหมจรรย์นี่ มีการสำรวมอินทรีย์เป็นหลัก ใช่ไหมคะ" ฉันนึกไปถึงเต่า ที่มันมีอายุยืน เพราะมันมีกระดองที่แข็งแรง เอาไว้เป็นที่หลบหัวหาง และขาทั้ง ๔ การสำรวมอินทรีย์ ๖ ให้ดี ก็คงทำให้เรามีชีวิตพรหมจรรย์ ได้ยาวนานกระมัง

"ก็ อปัณกธรรม ๓ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ นี่แหละ"
พ่อท่านให้ยากลางบ้าน ที่ได้เคยพร่ำสอนลูกๆ มาตลอด

ฉันซาบซึ้ง ในพระคุณอันสูงสุดนี้ เป็นอย่างมาก บอกกับตนเองว่า ชีวิตนี้เราช่างโชคดีเหลือเกิน ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา มีสัตบุรุษและหมู่สหธรรมิก คอยชี้บอกทางพ้นทุกข์ให้ (สหธรรมิกบางท่าน ก็คอยชี้บอก ด้วยลีลาที่นุ่มนวลอบอุ่น แต่บางท่าน ก็ชี้ด้วยไม้กระบอง) ผลบุญเก่า ทำให้เราพอมีปัญญาแยกแยะ กุศล-อกุศลได้ชัดเจน ฟังธรรมะรู้เรื่อง (เวไนยสัตว์) ไม่เดือดร้อนเรื่องปัจจัย ๔ แถมยังมีอาชีพที่อยู่กับเทวทูต ๔ คือ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เตือนย้ำให้เห็นทุกข์ทรมาน ในการเวียนว่ายตายเกิด อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

อา...ขอบคุณบุญเก่า ที่กรุณาส่งเสริม แหวกทาง เอื้อให้เราได้มีโอกาส พ้นทุกข์ได้มากขึ้น
เราจะไม่ทิ้งโอกาส อันงดงามอย่างนี้ ไปอย่างเด็ดขาด และแม้กิเลสจะสะสมมามากก็จริง แต่ก็จะบากบั่นขัดเกลาตนเอง บนเส้นทางสายนี้ ไปจนชั่วชีวิต

ฉันยังคงอุ้มลูกของเพ็ญ ไว้ในอ้อมแขน เดินเรื่อยๆ มายังระเบียงหน้าหอผู้ป่วย คืนนี้ผืนฟ้าดำสนิท หมู่ดาวส่องแสงงามจรัส ระยิบระยับ ดารดาษไปทั่วทางช้างเผือก อันประกอบด้วย หมู่ดาวมากมาย ที่พาดจากขอบฟ้าหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งฟ้าหนึ่ง ทำให้ฉันนึกไปถึง มวลหมู่สหธรรมิก อย่างอบอุ่น

อา...พวกเรา ต่างก็มีอุดมการณ์ มีเป้าหมายแห่งการเดินทางอย่างเดียวกัน คือความพ้นทุกข์ พวกเราทั้งหญิงและชาย ต่างก็คือเพื่อนร่วมทุกข์ เพื่อนร่วมเดินทางด้วยกัน พวกเราคงจะต้องคอยช่วยกัน ระมัดระวัง"เสือ" ให้แก่กันและกัน ทั้งเสือที่อยู่นอกตัว และในตัวพวกเราเอง
"เราจะปรารถนาดีต่อกัน จะรักกันให้ยิ่งกว่า พี่น้องทางโลก
เราจะส่งเสริมกัน ให้ไปสู่ที่สูงโดยแท้ แต่ในทางเดียว จนกว่าเราจะตายจากกัน"

ฉันทบทวนสัญญาใจ ที่อบอุ่นจริงใจและงดงาม บทนี้ขึ้นมาอย่างตั้งใจ สัญญาใจบทนี้ ก็คือ สิริมงคล สำหรับการประพฤติธรรมของฉัน ไปจนชั่วชีวิต

"ลูกไกลพ่อ"
๑๗ ตุลาคม ๒๕๓๓ ;๔:๒๐ น.

การแต่งงาน ไม่ใช่การเอาห่วง
มาคล้องคอ อย่างเดียวเท่านั้น
การแต่งงาน คือ
การสร้างมารขึ้นมา
คอยประหัตประหารตัวเอง
ให้ห่างจาก การบรรลุพระนิพพาน
อย่างแท้จริงด้วย
มาร...คือ
พญาแห่งความทุกข์ทรมาน
หรือ ผู้คอยชักนำ
ให้คนไปสู่ทางที่ต่ำเสมอ
"โพธิรักษ์"

(สารอโศก อันดับ ๑๔๕ ต.ค.๒๕๓๓ ขวัญ)

อ่านต่อ ๑๑.
ดาบสองคม