nurse

๑๕. บทเรียนแห่งการพลัดพราก

บทเรียนแห่งการพลัดพราก

ท้องฟ้าทางทิศตะวันตก บัดนี้ ปรากฏรัศมีสีแดงเรืองโรจน์ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ความมืดและความเยือกเย็น ในเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ กำลังคืบคลานเข้ามา แผ่ปกคลุมทุ่งกว้าง ที่เวิ้งว้าง ไพศาลนี้ ทุกขณะ

รถพยาบาลสีขาว แล่นอยู่บนถนน ซึ่งตัดทุ่งกว้าง บ่ายหน้าไปทางทิศใต้ มุ่งเข้ากรุงเทพฯ ด้วยความเร็ว ดวงไฟสีน้ำเงิน กะพริบอยู่ตลอดเวลา บนหลังคารถ ข้างในรถ คนไข้ชายวัย ๑๘ ปี นอนแน่นิ่งอยู่ เขาหยุดหายใจ มาตั้งแต่ค่ำวานนี้ !

ตามประวัติ ที่ถามจากญาติ และผู้พบเห็นเหตุการณ์ ชายผู้เป็นคนไข้รายนี้ บึ่งรถมอเตอร์ไซค์ ด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับรถจักรยาน ที่ถีบสวนทางมา รถมอเตอร์ไซค์เสียหลักพลิกคว่ำ กลางถนน ชายคนขับ กระเด็น ตกมาจากตัวถังรถ ศ๊รษะกระแทกพื้นคอนกรีต ตำรวจทางหลวงมาพบ จึงได้นำเขาส่งโรงยาบาล เมื่อมาถึงห้องฉุกเฉิน เราก็พบว่า เขาหยุดหายใจเสียแล้ว !

แพทย์เวรกับพยาบาล จึงรีบช่วยฟื้นชีพ (Resuscitation) แล้วนำคนไข้เข้าห้อง ไอซียู (แผนกผู้ป่วยหนัก) เพื่อใส่เครื่องช่วยหายใจ (Respiraton) โดยเร็ว เมื่อตรวจดูตามร่างกายทั่วไป ก็พบแผล ที่แขนขา อยู่ ๓-๔ แห่ง บาดแผลไม่ฉกรรจ์นัก

ต่อมา มารดาคนไข้ ต้องการจะนำคนไข้ ไปรักษาต่อที่ โรงพยาบาลเอกชน มีชื่อแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ด้วยเหตุนี้ ฉันกับน้องพยาบาลอีกคนหนึ่ง จึงต้องมากับคนไข้ด้วย เพื่อให้การดูแล ช่วยเหลือ และแก้ไขปัญหา ที่จะเกิดขึ้น ในระหว่างการเดินทาง

เราต้องผลัดกันบีบ Ambu bag (ถุงช่วยหายใจ) ให้กับคนไข้ มาตลอดเวลา ฉันตรวจเช็คดูสัญญาณชีพ เป็นระยะ ขณะนี้ความดันโลหิต ๑๒๐/๘๐ มม. ปรอท ยังปกติ ชีพจร ๙๖ ครั้งต่อนาที ไข้ขึ้นสูง ๓๙.๕ C ม่านตาทั้งสอง ยังตอบสนอง ต่อแสงไฟฉาย เป็นอย่างดี

มารดาของคนไข้ นั่งอยู่ทางปลายเท้า หญิงวัยกลางคนนี้ ร่ำไห้พร่ำพรรณนา ไม่หยุดหย่อน ราวกับจะขาดใจ

"พ่อคุณเอ๊ย... อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะลูก ยังไม่ได้บวชให้แม่เลย..."

บางครั้ง ป้าผู้เป็นมารดาคนไข้ ก็จะก้มลงกอดขาทั้งสอง ของบุตรชายสุดที่รักไว้ แล้วซบหน้าลงไป พลางสะอื้นไห้ อย่างลืมตัว

"หมอ! ...ช่วยลูกฉันด้วยเถอะ! ... นึกว่าเอาบุญเถอะนะ แม่คุณ"

ฉันมองภาพตรงหน้า อย่างสลดสังเวชใจ รำลึกถึงพระพุทธดำรัส คราวที่ตรัสปลอบโยน นางปฏาจรา ผู้กำลังเศร้าโศก เพราะสูญเสียบุคคล อันเป็นที่รักของนาง คือ บุตร สามี และบิดามารดา ซึ่งได้ตายจากไป ว่า

"ปฏาจราเอย

ขึ้นชื่อว่า ผู้เป็นที่รัก ไม่เป็นที่พึ่งได้

เป็นผู้กีดกั้นเธอ ที่จะไปสู่ปรโลก (นิพพาน) "

ฉันยิ้มอย่างปลอบโยน และพูดให้กำลังใจว่า

"ป้าไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ พยาบาลจะช่วยคนไข้อย่างเต็มที่ จะดูแลให้ดีที่สุดเลย"

"ลูกฉันจะรอดมั้ยเนี่ย หมอ"

"ตอนนี้ อาการทั่วไป ก็ยังดีอยู่ เพียงแต่สมอง ส่วนที่ควบคุมการหายใจ ได้รับการกระทบกระเทือน คนไข้จึงยังหายใจเองไม่ได้"

"หมดเท่าไหร่ไม่ว่า หมอ ขอให้ลูกฉันหายก็แล้วกัน ช่วยทีเถอะ" เสียงป้าสั่นเครือ น้ำตาเริ่มรินไหลออกมาอีก

สองชั่วโมงต่อมา จึงมองเห็นโรงพยาบาล ที่จะนำคนไข้มารักษาต่อ ตัวอาคารใหญ่ ตั้งอยู่ริมถนนฝั่งตรงข้าม ห่างจากรถพยาบาล ประมาณ ๒๐๐ เมตร เท่านั้น

รถของเรา เปิดไฟสีน้ำเงิน แว็บ ! แว็บ ! ขอทางอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ดูจะไม่มีประโยชน์เสียเลย เพราะสภาพการจราจร ในกรุงเทพฯ ขณะนั้น รถติดเป็นแพไปหมด

ความดันโลหิตของคนไข้ ขณะนี้วัดได้ ๑๔๐/๗๐ มม.ปรอท ม่านตา เริ่มตอบสนองต่อแสง ช้าลงกว่าเดิม ออกซิเจนในแท็งก์ ที่ต่อสายมาให้คนไข้ไว้ กำลังจะหมด!

ฉันจำเป็นต้องดูดเสมหะ ที่มาอุดตันอยู่ ในหลอดลมของคนไข้ ออกเป็นระยะๆ ด้วยเครื่องดูดสูญญากาศ (Suction)

มารดาของคนไข้ สบถขึ้นมาอย่างเหลืออด "นี่มันจะไปไหนกันนะ รถเยอะแยะยังงี้ ติดเป็นพืดไปหมด ไม่รู้จักหลับจักนอนกันบ้าง!"

เป็นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง รถพยาบาล จึงสามารถแล่นแหวกคลื่นรถ บนถนน มายังห้องฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลเป้าหมายได้ ออกซิเจนในแท็งก์หมดพอดี ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก !

ขณะที่นั่งรถกลับ ภาพแห่งความปวดร้าว ทุกข์ทรมาน ของมารดาคนไข้ ยังติดตามมา ในความทรงจำของฉัน อย่างแจ่มชัด

อา...ใช่สิ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ การพลัดพราก จากสิ่งอันเป็นที่รัก เป็นทุกข์

และ...ไม่มีอะไรในโลก ที่จะไม่พลัดพรากจากกัน !

โชคดีเหลือเกิน ที่ชีวิตของเรา ได้มาพบทางสว่าง แห่งแสงธรรม และได้พยายามปฏิบัติตาม คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ด้วยการไม่สร้างสิ่งอันเป็นที่รัก เพิ่มขึ้นมาอีก และที่มีอยู่แล้ว ก็พยายามสลัดออก สละออกไปเรื่อย ดังนั้น โอกาสที่จะต้องทุกข์ทรมาน เพราะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก จึงมีน้อยลงไปเรื่อยๆ

เมื่อกลับมาถึงโรงพยาบาล ก็ปรากฏว่า คนไข้อีกคน กำลังรออยู่ และต้องการไปรักษาต่อที่กรุงเทพฯ (อาการเมารถของฉัน ยังไม่ทันหายดีเลย แต่ก็ต้องรับผิดชอบ เพราะอยู่เวรส่งผู้ป่วย)

คนไข้นี้ เป็นนักร้องสาวสวย วัย ๒๖ ปี เธอร้องเพลงอยู่ที่ ร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ ครั้งนี้ เธอกลับมาเยี่ยมพ่อแม่ ขณะที่นั่งซ้อนรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อไปหาเพื่อน รถเกิดเสียหลัก พลิกคว่ำ เธอกระเด็นจากเบาะข้างท้าย เอาใบหน้า ไถพรืดลงไปกับพื้นถนนลูกรัง! เมื่อแรกรับไว้ที่ห้องฉุกเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยแผล เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ผสมผงดินและกรวดทราย แพทย์และพยาบาล ช่วยกันล้าง และทำความสะอาดอยู่นาน แผลบนใบหน้าของเธอ มีมากมาย แพทย์เย็บไว้ สองร้อยกว่าเข็ม แล้วใช้ผ้าก๊อส ปิดไว้อย่างหนา ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ว่า นี่เธอหายใจได้ยังไงกันนะ ปิดหน้าไว้หมดอย่างนี้

ขณะนี้ ยังมีเลือดสีแดงสด ไหลซึมผ่านผ้าก๊อส ออกมาทางแก้มขวาอยู่เรื่อยๆ จากผลเอกซเรย์ ปรากฏว่า กะโหลกศีรษะไม่ร้าวเลย คนไข้รู้สึกตัวดี และบ่นปวดแผลที่ใบหน้ามาก ฉันจึงฉีดยาระงับปวด ให้หนึ่งเข็ม สักครู่ อาการปวดแผล จึงทุเลาลง

มารดาของคนไข้ เล่าให้ฟัง ในระหว่างการเดินทาง เข้ากรุงเทพฯ ว่าคนไข้ มีหน้าตาและผิวพรรณ ที่งดงามมาก เธอรักความสวยงาม ถนอมรักษาผิวพรรณ และใบหน้าของเธอ อย่างประณีตตลอดมา หากว่า จะมีสิวเกิดขึ้นบนใบหน้าของเธอ เพียงเม็ดเดียว เธอจะทุกข์ใจมาก และรีบหายาหาครีมอย่างดี มาพอกทารักษาโดยเร็ว และเธอไม่คาดฝันว่า ใบหน้าที่ถนอมรักษามานาน บัดนี้เต็มไปด้วยแผล ที่แพทย์เย็บเอาไว้ถึง สองร้อยกว่าเข็ม!

เธอและญาติ ต้องการจะมาทำศัลยกรรม ตกแต่งใบหน้าใหม่ ซึ่งฉันเอง ก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า หลังจากทำผ่าตัดแล้ว ใบหน้าของเธอ จะคืนสู่สภาพเดิมหรือไม่

ละครชีวิต ก็ผ่านไปอีกฉากหนึ่ง เสมือนจะตอกเตือนย้ำ ไปบนหัวใจฉันว่า

"เมื่อรักสิ่งใดมาก ก็ย่อมจะต้องทุกข์มาก เมื่อสิ่งที่รักนั้น แปรเปลี่ยนไป"

ในโลกนี้... คงจะมีคนอีกไม่น้อย ที่ประสบทุกข์ อันเนื่องมาจาก การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก แต่จะมีสักกี่คนที่เข็ดหลาบ ในความทุกข์ทรมานนั้น พร้อมกับเริ่มสาวหาเหตุแห่งทุกข์ หาทางดับทุกข์ และฝึกปฏิบัติตน เพื่อให้ดับทุกข์นั้น ได้อย่างสนิท

เมื่อรถพยาบาล กลับมาจากกรุงเทพฯ และฉันออกเวร ส่งคนไข้แล้ว จึงกลับมาพักผ่อน ยังแฟลตพยาบาล

พายุฝน เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว และพัดกรรโชกเข้ามาในห้องพัก ทิวสนที่หน้าตัวตึก เอนลู่ และโบกกระหวัดตามแรงลม ก้อนเมฆดำมหึมา ลอยต่ำลิ่วๆลงมา อย่างน่ากลัว ฟ้าแลบแปลบปลาบ ผสานฟ้าร้อง คำรามลั่นร้อง พายุฝนโหมกระหน่ำ อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ฝนจึงขาดเม็ด สายลมพัดมาอ่อนๆ แต่ท้องฟ้ายังฉ่ำ เสียงฟ้าร้อง ยังคร่ำครวญครืนๆ อยู่เป็นระยะๆ

อา...ธรรมชาติเหล่านี้ แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดุจภาพมายา ไม่มีอะไรคงที่ ไม่มีอะไรยั่งยืนสักสิ่งสักอัน ทุกอย่างล้วนแปรไป ตามเหตุปัจจัย ตามกฎไตรลักษณ์ ครอบครองโลกอยู่ทั้งสิ้น

สิ่งอันเป็นที่รักในวันนี้ ใครจะรู้ว่า สักวันหนึ่งข้างหน้า จะนำความเสียใจ มาสู่ผู้เป็นเจ้าของ

ทรัพย์สมบัติ ลาภยศต่างๆ ซึ่งเป็นของอยู่คู่โลก ที่มนุษย์ได้พยายามแย่งชิง กอบโกย เอามาเป็นของตน และยึดถืออย่างหวงแหน สักวัน... มันอาจต้องจากเราไป

คนที่รัก เอ็นดูเราในวันนี้ วันข้างหน้า เขาอาจเกลียดเราก็ได้ (เพราะเหตุปัจจัยเปลี่ยนไป)

หากรู้ความจริง ตามความเป็นจริง เช่นนี้แล้ว

แล้วยังมัวไปหลงสร้าง สิ่งหรือบุคคลอันเป็นที่รัก ขึ้นมาผูกพันหวงเแหนอีก คราวที่ต้องประสบกับ ความทุกข์ทรมาน ยามสิ่งอันเป็นที่รัก พลัดพราก... แปรเปลี่ยนไป ทีนี้จะโทษใครกันเล่า !

ลูกไกลพ่อ
๓๐ พฤษภาคม ๒๕๓๔ ; ๑๕.๑๗ น.

อ่านต่อ ๑๖.
หยุดหัวใจไว้ที่รัก