๒๒. หากรู้สักนิด |
หากรู้สักนิด
ภาพเหตุการณ์ครั้งนั้น ยังตราตรึงแจ่มชัด อยู่ในความทรงจำของฉัน มาจนทุกวันนี้ คนไข้ห้อง ๒๐๘ ตึกพิเศษอายุรกรรมผู้นั้น เป็นชายร่างผอม ผิวดำเกรียม บริเวณท้องบวมโต แน่นจนผิวตึงใส ท้องที่แข็งนูนขึ้นมา เพราะตับและม้ามโตมาก ร่างผอมบางนั้น นอนแซ่วอยู่บนเตียงหลายเดือนแล้ว เขาอ่อนเพลียมาก ลุกเดินไม่ไหว กล้ามเนื้อแขนขาลีบเล็ก เพราะกินไม่ได้ และรับอาหารเข้าไป ได้น้อยมาก (กระเพาะอาหาร ถูกตับและม้ามเบียด จนมีพื้นที่รับอาหารน้อยเต็มที)
คนไข้รายนี้ เป็นโรคมะเร็งในเม็ดเลือดขาว ระยะสุดท้าย! เมื่อหลายเดือนก่อน ญาติได้พาไปรับการรักษา ที่โรงพยาบาลมีชื่อแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ แต่ไม่ดีขึ้น ต่อมาอาการก็ทรุดหนักลงเรื่อยๆ แพทย์ลงความเห็นว่า Hopeless (หมดหวัง)แล้ว จึงจำหน่ายผู้ป่วย ออกจากโรงพยาบาล ให้ญาตินำกลับมา(ตาย)ที่บ้าน ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด
ถึงแม้จะทราบว่า หมดหวังที่จะรักษาให้หาย และทุกวันนี้ ผู้ป่วยนอนรอความตายเท่านั้น ญาติก็ยังนำมารักษาต่อ ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เนื่องจากผู้ป่วยมีอาการไข้สูง และปวดศีรษะมาก และแน่นท้องตลอดเวลา
เพื่อนพยาบาลเวรที่แล้วส่งเวร ให้ข้อมูลว่า คนไข้รายนี้มีแผลเปื่อยที่ลิ้น และมีแผลทั่วไป ที่ผนังด้านในของปาก ไม่สามารถรับประทานอาหารเองได้ มีสายยางเข้าทางจมูก ต่อลงไปยังกระเพาะอาหาร และให้อาหารทางสายยาง วันละ ๔ มื้อ
คนไข้บอกกับฉันว่า เจ็บคอ เจ็บปากมาก ขอยาแก้ปวดอยู่เรื่อย เขาบอกกับฉันว่า เขาอยากกินอาหารที่เขาชอบ หลายๆอย่างใจจะขาด แต่ก็กินไม่ได้ เพราะเจ็บแผลในช่องปาก ทรมานมาก บางครั้ง ฉันเห็นคนไข้ มีอาการหงุดหงิด บ่นว่าภรรยาของตน ซึ่งเฝ้าปรนนิบัติ อย่างซื่อสัตย์ตลอดมา ไม่ว่าสามีจะดุด่าเธออย่างไร เธอก็จะรีบงกๆทำให้ อย่างทาสผู้จงรักภักดี ฉันสงสารภรรยาของคนไข้ รายนี้มาก จนต้องพูดให้คนไข้ เห็นคุณค่าของแก้วในมือตนว่า
"คนไข้นี่โชคดีมากนะคะ ที่ได้แม่ศรีเรือน ที่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากอย่างนี้ สมัยนี้หาภรรยาที่ซื่อสัตย์ และมีน้ำใจงดงาม อย่างนี้ได้ยาก" (และพูดต่อในใจว่า เป็นฉันละก็ เผ่นหนีไปนานแล้ว!!)
แต่ก็นั่นแหละ ฉันก็ยังได้เห็นคนไข้ ระบายอารมณ์หงุดหงิด และดุด่าภรรยาอยู่เนืองๆ
ฉันคิดในใจว่า "เฮ้อ... นี่เขาเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ กันมาแต่ชาติปางไหนหนอ"
วันรุ่งขึ้น หลังจากฉีดยาประจำชั่วโมง และพ่นยาขยายหลอดลม ให้คนไข้หอบหืด อีกห้องหนึ่งเสร็จแล้ว ฉันจึงนำอาหารปั่น มาอุ่นบนเตาไฟ เพื่อจะทำมาให้ห้อง ๒๐๘ (เราจะใช้ไซริ้ง ๕๐ ซี.ซี. สำหรับใส่อาหาร ต่อเข้ากับสายยาง ที่จมูกของคนไข้ เมื่อใส่อาหารเหลวปั่นลงไปในไซริ้ง อาหารก็จะไหลผ่านท่อยาง ลงกระเพาะ โดยไม่ต้องผ่านปาก และลิ้นของคนไข้) หลังจากให้อาหาร และยาหลังอาหาร (ทางสายยาง) เรียบร้อยแล้ว ฉันจึงให้คนไข้อ้าปาก เพื่อดูว่า ทำไมถึงได้บ่นเจ็บปากนัก ทันใดนั้น ฉันก็แทบจะถอยผงะออกมา เพราะกลิ่นเหม็นเน่าคลุ้ง โชยมาปะทะจมูกฉันอย่างแรง น้ำลายภายในปากคนไข้ เหนียวข้นจนเป็นยาง เกาะแผงฟันเป็นคราบ อะไรก็ไม่น่าขนลุกขนพอง เท่ากับที่ลิ้นของเขา มีฝีสุกหัวใหญ่ๆ อยู่หลายหัว กระจายไปทั่วลิ้น มีหนองข้นๆ บางส่วนไหลเยิ้ม ปนกับน้ำลายข้นๆนั้น
ยังไม่พอแค่นั้น เยื่อบุผนังด้านในของปาก มีแผลใหญ่ ที่มีหนองเกาะเป็นคราบอยู่ทั่วไป จนถึงคอหอย (ลึกเข้าไป ไม่รู้ว่ามีอีกหรือเปล่า เพราะมองไม่เห็น)
นี่เขาไปทำกรรมอะไรเอาไว้นะ ถึงได้มีอกุศลวิบาก ที่น่าเวทนาปานนี้
ต่อจากนั้น ฉันได้ใช้เวลาเกือบ ๑ ชั่วโมง เพื่อทำความสะอาดช่องปากให้คนไข้ ฉันใช้ปากคีบ ๒ อัน หยิบสำลีชุบน้ำยาเช็ด และดึงเสมหะเหนียวข้น ปนหนองเป็นก้อนๆ ออกมาจากช่องปากของคนไข้ อย่างแผ่วเบา (กลัวเขาจะเจ็บ) ค่อยๆลอกคราบน้ำลาย ที่เกาะฟันและที่ริมฝีปาก ออกมาเป็นแผ่นๆ แม้จะต้องอดทน ต่อกลิ่นปากที่เหม็นเน่า น่าสะอิดสะเอียนนั้น แต่ความกระหาย ที่อยากจะทำให้ ช่องปากนั้นสะอาดสะอ้านขึ้น มีมากกว่า เกือบหนึ่งชั่วโมงผ่านไป (ฉันจะเป็นลม!) ยังเหลือคราบหนอง ที่เกาะติดแผล ที่เอาไม่ออก เพราะคนไข้บ่นเจ็บ ฉันจึงหยุดทำ และเก็บเครื่องมือ ทำความสะอาด
ชายคนไข้พยายามยกมือ ที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ซึ่งให้น้ำเกลืออยู่นั้น ขึ้นพนมไหว้ แล้วก็ทิ้งแขนลงข้างตัว อย่างอ่อนแรงเต็มที แววตาสีหน้า ราวกับจะบอกกล่าวถึง ความรู้สึกบางอย่าง ที่เกิดขึ้นในใจ
"ขอบคุณเหลือเกินครับหมอ ไม่เคยมีใครมาทำให้ผมอย่างนี้เลย" เขาพูดเสียงแผ่วเบา ลิ้นที่เต็มไปด้วยฝีสุกๆ หลายหัว ขยับไปมาอย่างลำบาก
ฉันยิ้มให้กำลังใจ
"ไม่ต้องขอบคุณหรอกจ้ะ เพราะพยาบาลเอง ก็เต็มใจที่จะทำให้อยู่แล้ว มีอะไรจะให้ช่วยอีก ก็บอกได้เลยนะจ๊ะ"
และทุกครั้งที่ขึ้นเวร ฉันก็มักจะไปดูแล ช่วยเหลือคนไข้รายนี้เป็นอย่างดี เพราะจิตสงสาร ในความทุกข์ทรมาน จากโรคภัยของเขา และสงสารภรรยา ทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ของเขาด้วย
วันหนึ่ง ขณะที่ฉีดยาแก้ปวดให้คนไข้ ฉันก็บอกกับคนไข้และญาติว่า "พยาบาลขึ้นเวรวันนี้ เป็นวันสุดท้ายนะจ๊ะ จะไปกรุงเทพฯ ๓ วัน อยู่ทางนี้ ก็ขอให้คนไข้แข็งแรงไวๆ นะจ๊ะ"
ชายคนไข้ จ้องหน้าดิฉัน นิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า
"หมอไปแล้ว คงไม่มีใคร มาทำแผลในปากให้ผมอีก" น้ำตาไหล เอ่อท้นออกมา จากเบ้าตาลึกโหลคู่นั้น และไหลรินลงไป ทางกกหูทั้งสองข้าง
"มีซีจ๊ะ พยาบาลที่นี่ ก็ใจดีกันทั้งนั้น" ฉันพูดปลอบโยน
"ผมจะมีชีวิตอยู่ถึง หมอกลับมาหรือเปล่าก็ไม่รู้" เขาพูดต่อ ราวกับบอกกับตนเอง และไม่รับรู้ คำปลอบโยนของฉัน
"อย่าคิดมากอย่างนั้นเลย" ฉันปลอบคนไข้ แล้วเดินออกจากห้องนั้นมา
๓ วันที่ไม่ได้ขึ้นเวร (ช่วงนั้นเวรหยุด และฉันได้ไปช่วยงานอบรมข้าราชการ ที่ต่างจังหวัด) บางครั้ง ภาพของคนไข้และภรรยา ที่น่าสงสารคู่นี้ ก็ผุดลอยขึ้นมา ในห้วงของความคิด เป็นระยะๆ ป่านนี้จะเป็นอย่างไรกันบ้างนะ คนไข้จะเจ็บปวดทรมานสักแค่ไหน จะมีใครช่วยทำความสะอาดแผล และฝีในช่องปาก ให้หรือเปล่า ป่านนี้คนไข้ปวดมากๆ จะหงุดหงิดใส่ภรรยาอีกก็ไม่รู้
ฉันพยายามสอนตนเอง ให้ระลึกถึงคำสอนของพ่อท่าน ที่ว่า
"มนุษย์เราต่างก็เกิดมา ใช้หนี้กรรมทั้งสิ้น แรงกรรมซื่อตรง และยุติธรรมที่สุด"
จริงสินะ แม้เราเองก็เช่นกัน ใครคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ อย่างน่าคิดว่า
"...ส่วนกรรมของคนอื่น เราก็จะช่วยตามฐานะ ที่เราพอจะช่วยได้ ถ้านอกเหนือกว่าที่เราจะพอทำได้ เราจะต้องวางใจ ให้เป็นอุเบกขาเสีย รักษาจิตของเราไว้ ไม่ให้ขุ่นข้องหมองใจ เพราะถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราก็จะมาทำความดี อย่างที่ไม่ทำตนให้พ้นทุกข์ได้ เพราะไม่ได้ทำความดีให้ถึงที่สุด จนถึงขั้นที่จะก่อให้เกิด การชำระจิตให้ผ่องใส ได้อย่างแท้จริง"
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จิตใจของฉันก็ปล่อยวาง และเบาว่างมากขึ้น
เมื่อฉันกลับจากงานอบรม ที่ต่างจังหวัด และกลับมาขึ้นเวรอีกครั้ง หลังจากรับฟังรายงานอาการ จากพยาบาลเวรเช้าแล้ว ภรรยาคนไข้ห้อง ๒๐๘ มาตามให้ไปต่อน้ำเกลือ และฉีดยาแก้ปวด ให้คนไข้ ขณะนั้น ฉันกำลังจะไปทำแผล ให้คนไข้อีกห้องหนึ่งอยู่พอดี
ฉันละไปเตรียมยาฉีดแก้ปวด และเตรียมน้ำเกลือ เพื่อไปให้คนไข้ห้อง ๒๐๘ เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพที่คนไข้แสดงอาการดีใจ อย่างสมหวัง ยังตราตรึงมาจนทุกวันนี้
"เป็นไงบ้าง" ฉันทักทายอย่างปกติ ขณะที่ปักเข็มฉีดยา ลงไปที่สะโพกของคนไข้นั้น ใจก็คิดไปว่า บางทีการช่วยเหลือเหล่านี้ ก็เป็นเพียงการยืดระยะเวลา ทุกข์ทรมานของคนไข้ ให้ยาวออกไปอีก เท่านั้นเอง นี่ไม่รู้ว่า ฉันกำลังทำบุญหรือบาปกันแน่
ฉันดึงเข็มออกจากคนไข้ เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็พบกับรอยยิ้มของคนไข้ ที่จ้องตรงมายังฉัน ด้วยอาการลิงโลดดีใจ คล้ายเด็กๆ
ชีวิตในเครื่องแบบสีขาว ฉันได้พบเหตุการณ์เป็นธรรมดาว่า เมื่อเราได้ให้การรักษาพยาบาล คนไข้รายใดเป็นอย่างดี คนไข้และญาติ จะรักและผูกพันกับเรา เพราะเราเป็นที่พึ่ง ที่ให้ความอบอุ่น ปลดเปลื้องความทุกข์ทรมาน ให้กับเขาได้ ฉันพบบ่อย จนเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา สำหรับฉันเอง อยากจะให้การพยาบาลดูแล ที่ดีที่สุดกับคนไข้ทุกคน เท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะการที่ชีวิตของฉัน ได้มีโอกาสปรนนิบัติรับใช้ เพื่อนมนุษย์ได้บ้าง ก็นับว่าเป็นบุญ เป็นความโชคดีของชีวิตแล้ว
ฉันจึงรักงานพยาบาลมาก รักที่จะช่วยเหลือคนไข้ แต่ก็เกลียดการผูกพัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับตนเอง หรือผู้อื่นก็ตาม (สภาวจิตในตอนนั้น) ฉันยิ้มนิดๆ และพูดต่อว่า "เดี๋ยวยาออกฤทธิ์ แล้วก็จะหายปวดนะจ๊ะ"
ฉันไม่ได้กล่าวอะไรมากไปกว่านี้ ไม่ได้บอกว่า ช่วงที่ไม่ได้มาขึ้นเวร ฉันเป็นห่วงคนไข้และญาติมาก ด้วยเกรงว่า จะเป็นการเพิ่มสายใยแห่งการผูกพันทั้งมวล ซึ่งฉันไม่ต้องการให้ใครมารัก มาผูกพัน ก็เพราะสิ่งเหล่านี้คือความทุกข์
ญาติคนไข้ห้อง ๒๐๒ ได้มาตามให้ไปดูดเสมหะ คนไข้อัมพาต ในห้องนั้น
ฉันเดินกลับออกมา จากห้อง ๒๐๘ เพื่อไปดูดเสมหะ (ด้วยเครื่องดูดไฟฟ้า สูญญากาศ) และไปทำแผลให้คนไข้ ที่ไม่รู้สึกตัว อีกห้องหนึ่ง
๒ ชั่วโมงต่อมา ภรรยาของคนไข้ห้อง ๒๐๘ วิ่งลนลานมาตาม บอกว่าคนไข้อาการไม่ดี ฉันกับเพื่อนพยาบาลอีกคนหนึ่ง จึงรีบไปดู จึงพบว่าคนไข้นอนหายใจสะอื้น เป็นช่วงๆ และเรียก ไม่รู้สึกตัวเสียแล้ว ฉันได้ให้การช่วยเหลืออย่างเต็มที่ จนสุดท้าย ก็ปล่อยให้คนไข้ จากไปอย่างสงบ
๑ ชั่วโมงต่อมา ฉันยืนดูร่างที่ไร้วิญญาณ ที่นอนเหยียดยาว ไม่ไหวติงอยู่บนเตียง ริมฝีปากที่เขียวคล้ำนั้น ราวกับจะระบายรอยยิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข
ภรรยาของคนไข้ สะอื้นฮักๆ อย่างแสนอาลัยรัก
ฉันปลอบโยนเธออยู่ครู่หนึ่ง และชี้บอกว่า
"ดูซิ ใบหน้ายังยิ้มอยู่เลย เขามีความสุขไปแล้วล่ะ พ้นทุกข์ทรมานไปเสียที"
ด้วยทีท่าภายนอกที่สงบเย็น เพราะต้องเป็นหลักเป็นที่พึ่ง และให้กำลังใจ ปลอบโยนผู้อื่น แต่ภายในใจของฉันขณะนั้น บอกกับตัวเองว่า
ชายคนไข้ผู้นี้ จากไปรวดเร็ว เกินกว่าที่เราจะคาดคิด หากฉันรู้สักนิดว่า อีกสองชั่วโมง เขาจะจากทุกคนไป อย่างไม่มีวันหวนกลับ ฉันคงจะพูดในสิ่งที่ดีที่สุดกับเขา ฉันคงจะทำให้คนไข้ของฉัน ชื่นใจกว่านี้ อย่างน้อย... ็เพื่อชดเชย ความทุกข์ทรมานอันยาวนาน ที่เขาได้รับมาโดยตลอด
ฉันเขียนบันทึกเรื่องนี้เสียยืดยาว เพื่อไว้เตือนตัวเอง ไม่ให้หยุดอยู่ในกุศลธรรม ตราบใดที่วิบากกรรม ซึ่งเป็นอกุศล อันประดุจหมาไล่เนื้อ ยังตามมาไม่ทัน ฉันจะเร่งใช้ร่างที่ยังแข็งแรงนี้ พากเพียร ปรับปรุง จิตวิญญาณของตน ให้พัฒนาขึ้นให้มากที่สุด และเพื่อเตือนตนว่า
๑. เวลาที่สำคัญที่สุด คือ เวลาในปัจจุบัน (เพราะอดีต ก็ล่วงเลยมาแล้ว เรียกคืนกลับมาไม่ได้ อนาคตก็ยังมาไม่ถึง)
๒. บุคคลที่สำคัญที่สุด คือ บุคคลที่อยู่ตรงหน้าเรา (เพราะเราไม่รู้ว่า เราจะมีชีวิตอยู่รอดไปพบคนอื่น ได้อีกหรือไม่)
๓. ภารกิจที่สำคัญที่สุด คือ การทำให้คนที่อยู่ตรงหน้าเรา มีความสุขที่แท้
ข้อเตือนตนเหล่านี้ อาจจะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด ของการปฏิบัติธรรม แต่ก็เป็นข้อคิด และข้อวัตรอันหนึ่ง ที่จะทำให้จิตวิญญาณ เจริญขึ้นมาได้ อีกขั้นหนึ่งทีเดียว
ลูกไกลพ่อ
๓๑ ต.ค.๒๕๓๕ ;๔:๔๐ น.
(สารอโศก อันดับ ๑๕๙ ก.พ.๒๕๓๖)