๒๕. เมื่อความตายมาเยือน |
เมื่อความตายมาเยือน
ดิฉันกลับจาก งานอบรมคุณภาพชีวิต ที่ค่ายลูกเสือ วชิราวุธ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรีแล้ว จึงมาฟังธรรมที่สันติอโศก ขณะที่เดินทางกลับมา ขึ้นเวรที่โรงพยาบาล ดิฉันเริ่มมีไข้สูง และปวดศีรษะมาก จึงรับประทาน ยาลดไข้ ทุก ๔-๖ ชั่วโมง แต่อาการไม่ทุเลา
อดทนขึ้นเวรได้ ๓ วัน วันที่ ๔ อาการทรุดหนัก ทนไม่ไหว จึงต้องให้น้องพยาบาลอีกคน ขึ้นเวรแทน ๔ วันที่ผ่านมา รับประทานอาหารไม่ได้เลย คลื่นไส้และปวดท้องมาก ดิฉันไม่ยอมไปนอนรักษาตัว ที่โรงพยาบาล เพราะกลัวเข็มฉีดยา กลัวจะถูกให้น้ำเกลือ และความคิดในขณะนั้น คิดว่า "เราทนไหวน่ะ" จึงอดทนนอนพัก ที่แฟลตพยาบาล ผลเลือดที่เจาะไป เมื่อวันก่อน เม็ดเลือดขาวต่ำมาก เหลือเพียง ๒,๐๐๐ cell/mm3 คนปกติมี ๕๐๐๐-๑๐.๐๐๐ cell /mm3
หลายปีที่ผ่านมา ดิฉันมักจะถูกตักเตือน เรื่องการพักผ่อน ให้เพียงพออยู่เสมอ จากสหธรรมมิตร หลายๆท่าน
"คุณควรพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรห่วงเรื่องงาน คนเจ็บ คนยากจน และคนมืดบอดทางธรรม ยังมีให้คุณช่วยเหลือ ตลอดโลกแตก นั่นแหละ"
"งานที่คุณทำอยู่นี้ คุณเกิดมาอีก ๕๐๐ ชาติ ก็ทำไม่หมด ไม่ควรพร่าประโยชน์ตน ทำลายสุขภาพตนเอง อย่างนี้"
"คุณเหมือนคนที่มีคนรับใช้ที่ดี ใช้มันทำงานหนักหนาเท่าใด มันก็ไม่เคยบ่น คนรับใช้ในที่นี้ ก็คือร่างกายของคุณ ควรถนอมมันบ้าง เพื่อเอาไว้ทำงานศาสนาได้นานๆ"
ดิฉันได้แต่รับฟัง จะให้พักได้อย่างไร ในเมื่องานต่างๆ พรั่งพรูเข้ามาให้ทำตลอดเวลา และเรี่ยวแรงของเรา ก็ยังพอทำได้ ชาตินี้เรามีร่างกายครบอาการ ๓๒ ไม่พิการ ไม่เป็นคนปัญญาอ่อน มีมันสมอง ข้อสำคัญ มีจิตวิญญาณ ที่ได้รับการขัดเกลา และถูกอบรม ให้โน้มไปในทางกุศล อยู่เสมอ ชาตินี้ได้เกิดมา มีโอกาสดูแล ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่เจ็บป่วย ทั้งทางกายและทางใจ มีโอกาสช่วยคนให้พ้นทุกข์ ทั้งด้านการพูด การเขียน และการลงมือปฏิบัติ ชาตินี้นับเป็นโอกาสทอง ของดิฉันจริงๆ หากต่อไป ดิฉันเจ็บป่วย หรือแก่ตัวลง หรือชาติต่อไป เกิดมาพิการ ปัญญาอ่อน หรือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ดิฉันก็จะหมดโอกาส ทำงานประเสริฐ เหล่านี้
เนื่องจากสมัยเป็นเด็ก ดิฉันทำงานหนักมาก พอโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ร่างกายจึงแข็งแรง จิตได้รับการฝึก ให้อดทนต่อความยากลำบาก มาตลอด หลายครั้งที่ดิฉัน นึกถึงความแข็งแรง ความอดทนของตัวเอง ก็ภาคภูมิใจ ในความโชคดีของชีวิต ข้อนี้เป็นอย่างมาก
แต่...ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก จะมีอะไรถาวรจีรัง...
เมื่อการล้มป่วย ย่างเข้าวันที่ ๕ และ ๖ ดิฉันมีอาการหอบเหนื่อย ทุรนทุราย แน่น หายใจไม่อิ่ม ดิฉันบอกกับตนเองว่า เรากำลังอยู่ในภาวะ Metabolic Acidosis" (ภาระกรดคั่งในร่างกาย) และเริ่มมีจุด เลือดออกทั่วตัว
ดิฉันกระสับกระส่าย นอนราบไม่ได้ จึงไปหาหมอ เพื่อขอใบรับรองแพทย์ และลาป่วย ตั้งใจว่า เดี๋ยวจะกลับมา นอนพักที่แฟลตต่อ หมอเห็นอาการ จึงจับให้นอนรักษาตัว อยู่ในโรงพยาบาล ให้ยา และให้น้ำเกลือ ถึงหกขวด ในครั้งแรกดิฉันไม่พอใจ
" แค่จะมาขอใบรับรองแพทย์ ทำไมต้องจับ ให้น้ำเกลือด้วย เรื่องมากจริง" !
ดิฉันนอนดูตัวเอง อยู่ในชุดคนไข้ มองน้ำเกลือ ที่มันหยดไหลเข้าไป ขวดแล้วขวดเล่า หงุดหงิด ทรมานจริงๆ ต่อมา ดิฉันก็เข้าสู่ระยะ "ช็อค" มีอาการเลือดออกตามไรฟัน, ตามระบบทางเดินอาหาร และตามผิวหนังทั่วไป ความดันโลหิต ต่ำลงเรื่อยๆ จนเหลือ ๗๐/๕๐ มม.ปรอท จึงคิดขอบคุณหมอว่า หมอตัดสินใจถูกต้องแล้ว
ช่วงที่กระสับกระส่ายมากๆ หายใจหอบเหนื่อย บอกกับตัวเองว่า "เราใกล้ตายแล้ว" จิตได้สัมผัส ความรู้สึกที่ไม่ต้องการสิ่งใดๆ ในโลกอีกเลย นอกจากขอให้ชีวิตรอด มาได้ตัดกิเลส และทำงานศาสนาต่อ เท่านั้น
"พ่อท่าน... ลูกไม่ไหวแล้วๆ" ดิฉัน พูดอยู่แค่นี้
จิตนึกย้อนถึง ชีวิตที่ผ่านมา บางครั้ง ก็ปล่อยให้กิเลสครอบงำ ทำให้จิตวิญญาณไหลลงต่ำ ดิฉันก็ร้องไห้ เสียดายเวลา ที่ถูกกิเลสผลาญพร่าไปเหลือเกิน
ดิฉันบอกกับตัวเองว่า หายจากการเจ็บป่วยครั้งนี้ เราจะดูแลสุขภาพร่างกายให้ดี และจะใช้ชีวิต ที่เหมือนตายแล้วเกิดใหม่นี้ เพื่องานศาสนาอย่างเดียว จะไม่เกเร จะไม่อ่อนข้อให้กับกิเลสอีก
จุดเลือดออก ขึ้นทั่วตัว หนาแน่นมากขึ้น น่าขยะแขยงมาก ทั้งแสบผิว และคันยิบยับไปหมด
พ่อมาเยี่ยม ดิฉันให้พ่อดู จุดเลือดออกตามตัว พ่อพูดว่า
"นี่ เป็นไม่น้อยเลยนะเนี่ย ลูก"
"ก็หนักที่สุด ในชีวิตเลยละพ่อ"
แม่เล่าให้ฟังภายหลังว่า ช่วงที่ดิฉันหอบเหนื่อย ทุรนทุรายมาก แม่ร้องไห้ คิดเตรียมวัดที่จะเผาศพ และจะไปเอาเงินก้อนหนึ่ง ที่ดิฉันฝากพี่ชายไว้ มาจัดงานศพ ทางพ่อของดิฉัน ต้องเฝ้าบ้าน มาเยี่ยมไม่ได้ ก็ร้องไห้ทุกวัน เสียใจว่า ลูกจะมาตาย ตอนที่เงินไม่มีจะจัดงานศพ พ่อเตรียมเอาทองไปขาย พอแม่กลับไปบ้าน เล่าอาการของดิฉันให้พ่อฟัง พ่อกับแม่ก็ร้องไห้กันอีก
ดิฉันฟังแล้ว หัวเราะ ขำพ่อกับแม่ ว่าจะจัดงานศพให้ดิฉัน แต่จิตลึกๆ ก็ปวดร้าว สะเทือนใจ ว่าเราเจ็บครั้งนี้ เบียดเบียนจิตใจพ่อแม่ มากเหลือเกิน เราเป็นต้นเหตุ ให้ท่านต้องเสียน้ำตา
พี่ๆ น้องๆ จากที่ไกลๆ ก็มาเฝ้า มาดูแลกัน ซื้ออาหารบำรุง แพงลิบลิ่วมาให้กิน (ดิฉันเห็นราคามันแล้ว แทบจะกินไม่ลงเลย !)
ชีวิตเราที่ผ่านมา ได้เบียดเบียน และเป็นหนี้พระคุณคนอื่น มากมายเหลือเกิน ชีวิตที่เหลืออยู่ จึงควรเป็นชีวิตแห่งการชดใช้ และตอบแทนพระคุณ โดยการเรียนรู้ ให้เท่าทันกิเลส เอาชนะกิเลสให้ได้ รู้พักรู้เพียร รู้ประมาณเหมาะควร ปรับสมดุลต่างๆ ให้กับชีวิต และทำประโยชน์ ให้ผู้อื่นให้เต็มที่
พยาบาล ได้ผลัดเปลี่ยนเวรมาดูแล ดิฉันได้ซาบซึ้งว่า พยาบาลที่ดี ที่คนไข้ต้องการนั้น แท้จริงควรมีลักษณะ และคุณสมบัติอย่างไร เป็นพยาบาลมาสิบกว่าปีที่ผ่านมา ดิฉันเดาเอาว่า ถ้าเราเจ็บป่วย เราคงต้องการพยาบาล แบบนั้นแบบนี้ และก็ได้พยายาม ทำหน้าที่ของพยาบาล ที่คิดว่า "คนไข้และญาติเขา คงต้องการอย่างนี้" อย่างเต็มที่
มาบัดนี้ ดิฉันเป็นคนไข้เองบ้าง ความเข้าอกเข้าใจ มีขึ้นมาอย่างมากมาย (ความจริง ถ้าป่วยตอน เริ่มเป็นพยาบาลใหม่ๆ ดิฉันคงจะทำงานได้ดีกว่านี้เยอะเลย เพราะได้เข้าใจสภาพจิตใจ และความต้องการ ของคนไข้ เป็นอย่างดีนั่นเอง)
พี่ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่ง เวลาทำคลอดให้คนไข้ เธอจะดุ ว่าคนไข้แรงๆ ถ้าคนไข้ร้องมากๆ แต่พอเธอมาคลอดบุตร เธอเจ็บปวดมาก จึงร้องลั่นห้องคลอด ตั้งแต่นั้นมา เธอทำคลอด ก็ไม่เคยดุคนไข้อีกเลย
ฉันยิ้มขำๆ "เราไม่ต้องไปคลอดเอง เราก็ไม่ดุคนไข้ได้"
ความทรงจำ ที่มีความสุข ในวันแห่งความรัก (๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๖) ผุดขึ้นมาในห้วงของความคิด
ตอนเย็นของวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ดิฉันได้ไปเยี่ยมเพื่อนสนิท ซึ่งอยู่อีกโรงพยาบาลหนึ่ง และนอนค้างที่นั่น ตกกลางคืน เพื่อนของดิฉัน (ซึ่งเป็นนักปฏิบัติธรรม ชาวอโศกเหมือนกัน) มาปลุกว่า ให้ไปช่วย ทำคลอดหน่อย ดิฉันก็ลุกไปช่วยอย่างเต็มใจ คนไข้รายนี้มีฐานะยากจนมาก แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ เนื้อตัวมอมแมม เธอมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว
ดิฉันใส่ถุงมือ ช่วยทำคลอดหัว และดึงตัวเด็กออกมา เพื่อนดิฉันทำคลอดรก และเย็บแผลต่อ (เด็กคนนี้ เลยมีชื่อพยาบาลทำคลอดสองคน ในหนังสือรับรองการเกิด!) ดิฉันอาบน้ำให้เด็กจนสะอาด แล้วเอาผ้าขนหนู ห่อไว้ให้อุ่น และเอามาให้แม่เขาดู แม่เด็กยกมือขึ้น ลูบไล้หน้าและใบหูของลูก อย่างทะนุถนอม
ดิฉันวางเด็กลงข้างๆ แม่ แล้วไปเอาผ้าขนหนูมาชุบน้ำ เช็ดหน้า เช็ดตัว ขา และเลยไปถึงเท้าและฝ่าเท้า ที่มอมแมมของคนไข้ จนสะอาด โดยไม่รังเกียจเลย คิดว่าเราทำให้น้องสาวของเรา จากนั้นก็ไปชง โอวัลติน (เอาของเจ้าหน้าที่) ร้อนๆ มาให้มารดาหลังคลอด ดื่มบำรุง (จำได้ว่าชิมก่อน จนรสดีได้ที่ เพื่อหวังจะโชว์ฝีมือ ว่าชงได้อร่อย!)
วันนั้นเพื่อนและดิฉัน รื่นเริงกันมาก
พอนึกขึ้นได้ว่า นี่เป็นเช้ามืดของ วันแห่งความรัก ดิฉันก็พูดเสียงดัง
"อ้าววันนี้ เป็นวันแห่งความรักนี่นา !"
"งั้นเด็กคนนี้ให้ชื่อว่า "รัก" ก็แล้วกันนะอ้อ!" เพื่อนของดิฉันพูดอย่างร่าเริง
"คนโต...พี่มันน่ะ ชื่อไอ้ลอย" แม่เด็กพูดและส่งยิ้ม มาจากเตียงคลอด เพื่อนดิฉันรีบพูดว่า
"งั้นเหมาะเลย คนพี่ชื่อลอย คนน้องชื่อรัก" พอสว่างดี เพื่อนดิฉันลงไปในสวน เด็ดดอกไม้ มาให้ดิฉันช่อหนึ่ง
"สุขสันต์ วันวาเลนไทน์นะอ้อ... ขอให้อ้อ เอาชนะและอยู่เหนือความรัก ให้ได้ตลอดไป"
"นี่ไปเด็ดดอกไม้มาจากต้น ทำไมเนี่ย? เดี๋ยวก็เหี่ยวหมด!"
ดิฉันพูดบ่น และรับดอกไม้มา แต่ในใจคิดว่า
"เออแน่ะ! ปฏิบัติธรรมมาตั้งนาน เพื่อนเรายังมีอารมณ์หวานๆ อยู่อีก" จำได้ว่า เราสัญญากันว่า เราจะช่วยเหลือกัน เกื้อกูลกัน เพื่อเอาชนะกิเลส เพื่อการเดินทางไปสู่ ความสิ้นทุกข์ ตลอดไป ดิฉันเองภูมิใจมาก ที่มีมิตรดีสหายดี เช่นนี้
ป่านนี้ "เด็กชายรัก" นั่น คงโตขึ้นมากแล้ว ดิฉันยิ้มคนเดียวเงียบๆ เพื่อนพยาบาลตึกต่างๆ และหมอ มาเยี่ยมกันมากมาย (คนไข้และญาติคนไข้ ก็มาเยี่ยมด้วย) ดิฉันอายเหลือเกิน ที่จะให้ใครๆ รู้ว่า ดิฉันเป็นไข้เลือดออก
"อะไร...แก่ป่านนี้แล้ว ยังเป็นไข้เลือดออกอีกเรอะ !? เห็นมีแต่เด็กเป็น
"ก็ไอ้ยุงลาย ตัวที่กัดน่ะ ตามันไม่ค่อยดี มองเห็นเราหน้าอ่อน มันเลยว่า "กัดเด็กคนนี้แหละวะ!" ดิฉันแกล้งตอบให้ตลก เพื่อกลบเกลื่อนความอาย
แต่ถ้าใครอื่นถาม ดิฉันจะตอบเพียงว่า "เป็นไข้"
"อะไร! เป็นไข้ถึงกับต้อง ให้น้ำเกลือเชียวหรือ !? เขาก็จะถามต่อ แต่ดิฉันก็จะนิ่งเสีย
ออกไปจากโรงพยาบาลได้ ๒ วัน พี่พยาบาลอาวุโสท่านหนึ่ง ก็มาสัมภาษณ์ประวัติการทำงาน และขอรูปถ่ายด้วย โดยบอกให้ทราบภายหลังว่า ทางผู้ใหญ่เขาประชุมกัน คัดเลือกดิฉันเป็น "คนไทยตัวอย่าง" ส่งชื่อเข้ากระทรวง เพื่อไปยังระดับประเทศ
และต่อมาเพื่อนๆ หลายคน มากระซิบว่า ปีนี้ ดิฉันอาจได้สองขั้นอีก
ดิฉันทบทวนดู ความขึ้นลงของชีวิตที่ผ่านมา มีทั้งได้ลาภยศ สรรเสริญ ได้รับการเข้าใจผิด ถูกป้ายสี ถูกนินทา เกิดมาแล้ว ก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ไม่พ้น นึกถึงสภาพจิต ที่ไม่ต้องการสิ่งใดเลย เมื่อความตายรออยู่ตรงหน้า ในช่วงเจ็บหนักที่ผ่านมา ... ชีวิตแห่งการปฏิบัติธรรมเท่านั้น ที่จะทำให้เรารู้เท่าทัน และอยู่เหนือโลกธรรมเหล่านี้ได้...
สมณะท่านหนึ่ง กรุณากล่าวเตือนว่า
"ไม่น่าเชื่อว่าพยาบาล จะมาเจ็บหนักเกือบตาย เพราะไข้เลือดออก ผ่านอะไรมาก็มาก แต่มาแพ้ยุงลาย !
จริงสิ...คนบางคน ก็เป็นดุจนักรบ ที่ข้ามน้ำข้ามทะเล มามากมาย อย่างปลอดภัย แต่ต้องมาตายในลำธารเล็กๆ ตื้นๆ ดิฉันบอกกับตัวเองว่า เราเจ็บปางตาย ก็เพราะความประมาทแท้ๆ ชนะอะไรมาก็มาก แต่มาแพ้ยุงลายตัวเดียว ที่ศรีราชา ปล่อยให้มันกัด... ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่า มันมีเชื้อไข้เลือดออก!
ไม่มีอะไร จะทำความเสียหาย, เสื่อมต่ำให้กับเราได้ เท่าความประมาท
พ่อท่านเทศน์ ในงานอโศกรำลึก'๓๖ ว่า
"คนเราจะถึงที่สุดได้ เพราะความไม่ประมาท แม้โทษภัยอันมีประมาณน้อย"
ทีหน้าทีหลัง เราจะระวัง จะปรับสมดุลของชีวิตให้ดีขึ้น และจะไม่ใช้เวลาในชีวิต ด้วยความประมาทอีกแล้ว
ดิฉันบอกกับตนเอง ก่อนที่จะหลับไป ด้วยความอ่อนเพลีย ขณะนอนหลับนั้น ดิฉันฝันเห็น คุณพรพิชัย เจียมกัลชาญ มายืนยิ้มให้อยู่ข้างๆ ในฝันนั้น ดิฉันหวาดกลัวมาก ..ก็เขาตายไปแล้วนี่ งั้นนี่ ก็เป็นผีนะซี!" ตื่นขึ้นมา รำพึงกับตัวเองอย่างขำๆ ว่า
"ถึงแม้จะศรัทธาคุณพรพิชัย มากแค่ไหน แต่ก็ยังไม่อยากไปอยู่ด้วยหรอก ทีหลังอย่ามาหาอีก ก็แล้วกัน !"
ลูกไกลพ่อ
๕ กรกฎาคม ๒๕๓๖ ; ๒๒.๐๐ น.
(สารอโศก อันดับ ๑๖๔ สิงหาคม ๒๕๓๖ หน้า๗๘–๘๓)