เหตุปัจจัยที่เกิดชุมชนชาวอโศก

คำถาม : แรงบันดาลใจที่ทำให้ความคิด ขบวนการทำความคิด ให้เป็นรูปธรรม

พ่อท่าน : ไม่มีความคิดบันดาลใจอะไรเลย ที่เกิด ที่สร้างชุมชนขึ้นมาเนี่ย สร้างขึ้นเพราะมันต้องเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่มีจริง ไม่ใช่เกิดเพราะเราอยากสร้างชุมชน ไม่เคยมีความคิดว่า จะสร้างชุมชนมาแต่เดิม ไม่คิดใหญ่คิดโตแบบนั้น จริง คนที่เขาอยากคิดสร้างชุมชน มีแน่นอน มีคนที่เขาคิดจะสร้างชุมชนมี แต่อาตมานี่ ไม่ได้มีความคิดที่จะสร้างชุมชนเลย แต่ชุมชนนี้มันเกิด เพราะเหตุปัจจัยของสัจจธรรม เกิดเหตุปัจจัยจากผู้คน อันนี้คำถามเชิงนี้ดี มันเกิดจากปัจจัยของ ผู้คนที่ได้ปฎิบัติธรรม เมื่อได้ปฏิบัติธรรมแล้ว มันก็เกิดปฏิภาณ เกิดปัญญา เกิดความรู้ขึ้นในตัวเขา ความรู้คือ เมื่อเขาได้ปฏิบัติธรรมแล้ว เขาก็เห็นว่า การที่มีคน ที่เป็นมิตรดี มาเป็นมิตรเป็นสหายลักษณะเดียวกัน เดินไปในทางเดียวกัน มีความรู้ไปในทางเดียวกัน ตั้งแต่ผู้สอน ผู้บรรยาย ผู้ปฏิบัติร่วมกัน ผู้มาปฏิบัติประพฤติ ได้มรรคได้ผลไปทางเดียวกันเนี่ย มันเป็นมิตรเป็นสหาย อันจะต้องคบคุ้นกัน อยู่ด้วยกั อยู่รวมกัน ความคิดอันนี้เป็นสัจจธรรม มันเกิดขึ้นจริงของมันจริง จึงมีความคิดกันเองว่า ตั้งแต่แรกเริ่มนั้น อาตมาจำได้ว่า เกิดจากคนอยากมาอยู่ใกล้วัด มาฟังธรรมมากขึ้น มามีหมู่มวลที่มากขึ้น ก็เลยเกิดมาซื้อบ้าน ซื้อที่ดินใกล้วัดขึ้น แต่ก่อน มีแต่ที่สันติอโศก ทีนี้สันติอโศกมันเมืองกรุง ที่ทางมันก็หายาก มีคนมาซื้อมาอะไรหน่อย มันก็เต็มแล้ว ก็คับคั่ง ก็แน่นแล้ว  ทีนี้คนก็มากขึ้น เมื่อคนมามากขึ้น ก็มีความคิด...ก็... คุณจำลอง ศรีเมืองนี่เอง ที่มีความคิดว่า ถ้าอย่างนี้ มันน่าจะมีพื้นที่ แผ่นดินที่พวกเราเนี่ย เข้าไปรวมตัวอยู่เป็นหมู่เป็นกลุ่มกัน เพราะอยู่ที่สันติฯ มันขยายไม่ออกแล้ว จึงได้ไปหาพื้นที่กัน ไปหาแผ่นดินกัน ตอนนั้นก็โอ้โห... ไปหากันใหญ่เลย ที่ไหนๆ ก็ตระเวนไปหา... สุดท้า ก็ได้ที่นครปฐม แล้วจึงเป็นที่แห่งแรก ที่ตั้งเป็นหมู่บ้านกันขึ้นมา เรียกว่าปฐมอโศก มีคนเข้ามารวมอยู่กัน จึงเกิดชุมชนหมู่บ้านขึ้นมา เมื่อเกิดชุมชนหมู่บ้านขึ้นมา เราก็พยายามหาธรรมะ ที่จะอยู่รวมกันอย่างไรดี จึงกลายเป็นหมู่บ้าน ที่เป็นนักปฏิบัติธรรม โดยยืนอยู่บนหลักของศีลของธรรม

เพราะฉะนั้น หลักศีลธรรมอะไรที่ควรจะมี ก็เลยมีมาตรการศีลห้า ศีลแปด ตอนนั้นเราเคร่งครัดนะ ศีลแปดเชียวนะ สร้างหมู่บ้านชุมชนปฐมอโศก ใช้หลักศีลแปดเลย เริ่มแรกน่ะ เป็นหมู่บ้านศีลแปดเลย ตอนหลังๆ มาก็เห็นว่า ศีลแปดมันไม่ไหว ก็เลยลดลงมาเป็นศีลห้า จึงเป็นศีลห้าเป็นพื้นฐาน ในการอยู่รวมกัน อย่างนี้เป็นต้น ก็กลายเป็น หมู่บ้านชุมชน ตั้งแต่บัดนั้นมา ประพฤติปฏิบัติธรรมมา จนถึงทุกวันนี้เลย ยืนยันได้เลยว่า เป็นหมู่บ้านที่มีศีลห้าเป็นหลักที่แท้จริง ทั้งหมู่บ้านเลย ทั้งชุมชนเลย แล้วมันก็แน่นอน มันอบายมุข มันยิ่งกว่าศีลห้าอีก มันไม่มีเหล้า ไม่มีบุหรี่ หมากพลูอะไรก็ไม่มีทั้งนั้น อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นหมู่บ้านที่ปราศจากอบายมุข และยิ่งพวกเราไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย เลยกลายเป็นหมู่บ้านที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็เลยเป็นการเกิดหมู่บ้านชุมชน ที่มีวัฒนธรรมพื้นฐาน คือ ๑.มีศีลห้า ๒.ไม่มีอบายมุข ๓.ไม่กินเนื้อสัตว์ จึงเป็น ๓ ข้อหลัก ของวัฒนธรรมชาวอโศก ที่เกิดขึ้นโดยสัจจธรรม ไม่ได้อยากตั้ง อยากสร้างหมู่บ้านเลย  แล้วต่อมา พวกเราก็ได้ยึดเอาหลัก ๓ ข้อที่ว่า เป็นเกณฑ์หลักในการสร้างชุมชน หลังจากชุมชนหมู่บ้านปฐมอโศก ก็ได้เกิดชุมชนหมู่บ้านอื่นๆ ขึ้นมาอีกตามลำดับ อย่างเช่น ศีรษะอโศก ศาลีอโศก ซึ่งเมื่อก่อนนี้ มีแต่สมณะเราไปปักกลด หรือบำเพ็ญอยู่ในป่าช้า แล้วก็มีผู้คนมาปฏิบัติธรรมด้วย จนกระทั่งเห็นว่า มันมีที่พักที่อาศัยอยู่ในที่ป่าช้านั้น ก็ค่อยๆ ทำกระต๊อบทำอะไร ที่อยู่อาศัยกันขึ้นมา แล้วก็เกิดตั้งเป็นหมู่บ้าน เป็นชุมชนขึ้นมาเรื่อยๆ ก็เอาหลักเกณฑ์อย่างปฐมอโศกนี้ไป ก็เลยกลายเป็นหมู่บ้านที่มีวัฒนธรรม มีหลักเกณฑ์อย่างนี้ขึ้นมา

สรุปว่า ไม่ได้มีอะไรเป็นสิ่งบันดาลใจ เป็นสิ่งอะไร ที่มันทำให้เกิดความอยากจะสร้างหมู่บ้าน ไม่ได้อยากจะสร้าง แต่เกิดตามธรรมชาติ จากการปฏิบัติธรรม มันเป็นไปตามธรรม

ถาม : มีปัญหาอุปสรรคหรือไม่?

ตอบ : โอ๊ะอุปสรรคมันก็ต้องมี แต่อุปสรรคเหล่านั้น อาตมาไม่ถือว่า เป็นอุปสรรคที่หนัก แต่คนอื่นเขาอาจจะถือว่า เป็นอุปสรรคที่หนัก เช่นว่า จะสร้างได้ยังไง หมู่บ้านที่ไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งหมู่บ้าน ชุมชนไม่กินเนื้อสัตว์ทั้งชุมชน มีศีลกันทั้งหมู่บ้าน จะคัดคนมายังไง จะมาอยู่ได้อย่างไร ไม่มีอบายมุขเลยทั้งหมู่บ้าน มันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ ฉะนั้น ถ้าจะสร้างหมู่บ้านชนิดนี้ ก็คงมีอุปสรรคเยอะมากทีเดียว เพราะว่าเขาไม่ได้มีจุดเริ่มต้น เขาไม่ได้ทำมาแต่เริ่มนั้น๑  ๒.หลักธรรม สัจจธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ถ้ารู้ไม่สัมมาทิฏฐิ หรือเข้าใจไม่สัมมาทิฏฐิ หรือไม่รู้ในรายละเอียดต่างๆ หรือขยายความ แสดงอุเทศน์ นิเทศน์อะไรต่างๆ บรรยายต่างๆ ในธรรมะของพระพุทธเจ้าให้ละเอียดลออ ให้ฟังดีๆ มันก็จะไม่เข้าใจถึง ไม่ลึกซึ้งพอ หรือไม่ชัดเจนพอ เหมือนหงายของที่คว่ำ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเนี่ย หรือเหมือนจุดไฟในที่มืด อย่างนี้ คือถ้าไม่ขยายความรู้ที่ชัดเจน อะไรอย่างนี้ มันก็คงยาก นี่ก็คืออุปสรรค

แต่อาตมาถือว่า มันก็ยาก แต่มันก็ไม่ยากเกินไป อย่างที่มันค่อยๆ เป็นไป ตามเหตุปัจจัย มันค่อยๆ เกิด จนมาถึงวันนี้แล้ว อาตมาก็ยังเอะใจอยู่ว่า เออ..มันเป็นไปได้ ถึงขนาดนี้หรือ มันไม่เป็นอุปสรรคอะไร ยังอัศจรรย์ใจด้วยซ้ำไปว่า มันเป็นไปได้ขนาดนี้หรือ อัศจรรย์ใจที่เป็นไปได้

ถาม : แสดงว่าบรรลุจุดประสงค์ หรือความคาดหวัง?

ตอบ : อย่างที่พูดตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่ได้คาดหวัง ไม่ได้คาดหวัง แต่มันเห็นเป็นไปตามธรรม ที่มันมีทิศทางของพระพุทธเจ้านำพามา เอาหลักธรรมต่างๆ ของพระพุทธเจ้า มาตรวจมาสอบ แล้วมันเข้าหลักเข้าธรรม ของพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ เลย มันเห็นชัดเจนเลยว่า มันตรงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าเลยนะ มันเกิดเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม การไม่กินเนื้อสัตว์นี่คือ เมตตามโนกรรม หรือหลักธรรมข้ออื่นๆ ต่างๆนานา เอามาเทียบเคียงตรวจสอบ มันก็เข้าหลักเข้าเกณฑ์ อย่างลึกซึ้งซับซ้อน ละเอียดลออ

ถาม : เมื่อเกิดชุมชนแล้วเนี่ย พ่อท่านมีความคาดหวัง ต่อไปในอนาคตไว้หรือไม่ว่า จะมีผลไปอย่างไร แบบไหน?

ตอบ : อาตมาไม่คาดหวัง แต่..มันก็มีความควรได้ควรเป็น ไม่เรียกว่าคาดหวัง ไม่เรียกว่าไปสร้างความหวัง เอาไว้ทีเดียว อาตมาว่า อาตมาแยกคำว่าความหวัง หรือ ความคาดหวังว่าจะได้ กับคำว่า ความควรได้ควรเป็น ซึ่งทั้งสองคำนี้ มันมีแรงแห่งความอยากต่างกันบ้าง จะบอกว่ามันอยากหรือมันต้องการ มันก็มีความต่างกัน  ไม่คาดหวัง แต่ก็มีความเข้าใจว่า มันควรได้ควรเป็น  เช่นว่า มันควรจะเจริญขนาดไหน มันก็ควรจะเป็นขนาดนี้ ควรจะเป็นขนาดนั้น ยกตัวอย่างเช่น บ้านราชฯ นี่ควรจะมีคนสัก ๑,๐๐๐ คนนะ ซึ่งอาตมาไม่คาดหวังนะ ว่าจะเป็น ๑,๐๐๐ คนได้หรือไม่ ฟังเข้าใจใช่ไหม? เพราะฉะนั้น อาตมาก็เปรยๆ ไป พูดไปแนะนำบอกกันไป หรือจะเป็นเชิง ถึงขั้นปลุกเร้าให้พวกเรา มารวมกันอยู่ครบ ๑,๐๐๐ คน บ้างก็ตาม อาตมาก็แสดงให้เห็นอยู่รู้อยู่ แต่ในจิตของอาตมานั้น ถ้าจะหวัง หรืออาการของจิตหวัง ว่าคืออย่างไร อาตมาก็ว่า ไม่ถึงขนาดจิตหวังอย่างนั้น อาตมาเข้าใจว่า คำว่าความหวังหรือความคาดหวัง นี่คือ ความต้องการจะให้เข้าเป้า และจะต้องได้ ต้องเป็น มันเป็นความยึดถือเข้าไปตรงนั้น อาตมาว่า อาตมาไม่มีความยึดถือเข้าไปตรงนั้น เพราะฉะนั้น จะเข้าเป้าหรือไม่เข้าเป้า อาตมาไม่มีปัญหา ไม่ทุกข์ แต่ถ้าจะถามว่า ยินดีมั้ย ถ้าเป็นไปได้ พูดตรงๆ มันก็ว่าก็ยินดี ก็มุทิตา ก็มันเกิดดีจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร มันเป็นเรื่องเจริญ มันเป็นเรื่องดี แต่จะบอกว่า มันฟูใจมั้ย อาตมาว่า อาตมาไม่ฟูใจอะไร ไม่กระดี๊กระด๊า ฟูใจอะไร... อาตมาเข้าใจจิตพวกนี้ ว่ามันจะเกิดปีติ เกิดฟูใจอะไรพวกนี้ อาตมารู้ เพราะฉะนั้น อาตมาคิดว่า อาการสิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยมี หรือไม่มีด้วย ฉะนั้นคิดว่าไม่มีปัญหา

ถาม : คน ๑,๐๐๐ คน จะไปได้จริงหรือ แล้วจะสร้างวัฒนธรรมได้จริง

ตอบ :  ก็บอกแล้วไงว่า ควรจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนั้น อยู่ไปก็ปฏิบัติไป มันจะต้องยังงัยล่ะ.. มันก็ต้องอย่างนี้แหละ ต้องบอกกันให้เข้าใจ ให้รู้นะ มันจะเป็นอย่างนี้นะ เป็นเหตุเป็นผลงัย ว่ามันจะดีอย่างไร อะไรอย่างไรบ้าง จะเรียกว่า เป็นการชี้ชวนก็ชี้ชวน เหตุแวดล้อมอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ชี้ชวนไป ทำไป ส่วนจะได้ หรือไม่ได้ ก็บอกแล้วว่า ในเรื่องของจิต อาตมาไม่ตั้งค่าอะไรไว้ ว่าจะต้องให้เป็นอย่างหวัง เป็นอย่างนั้นอย่างจริงจัง ที่จริงทำจริง แต่ไม่ต้องมีจิตที่ว่า เป็นได้จริง หรือไม่ได้จริงแล้ว จะดีใจเสียใจอะไร ก็ไม่ใช่

ถาม : ถ้าคน ๑,๐๐๐ คน วัฒนธรรม เกิดหรือหยั่งลงรากลึก แน่นอนใช่ไหม?

ตอบ :  ใช่ อาตมาว่าคน ๑,๐๐๐ คนนี่ จะมีรูปธรรมในการดำเนินชีวิต ก็จะมีทั้งการสร้างงาน การเกิดผล ทั้งการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งเห็นว่าในเรื่องของการงาน หรือสิ่งที่เป็น สังคมมนุษย์ ที่เขามีอะไรต่ออะไรเกิดขึ้น ในกิจกรรม หรือการงานของมนุษย์ มันคงจะแข็งแรง หรือมันเป็นรูปธรรม เป็นผลอะไรต่ออะไรขึ้น ซึ่งในระบบของบุญนิยม หรือในระบบของสาธารณโภคีนี่ มันเป็นสิ่งที่อาตมาว่า มันสวยงาม มันประเสริฐ แหมอาตมา มีวจีสังขาร คำว่า วิเศษ ด้วยซ้ำไปนะ มันดีงาม มันประเสริฐ มันวิเศษ พูดเลยก็ได้ มันเป็นเรื่องวิเศษเลยจริงๆว่า ในหมู่ชนที่มาทำงานร่วมกัน ถึง ๑,๐๐๐ คน ในชุมชนเดียว ชุมชนนี้มีมวล มีพลเมือง มีประชากรถึง ๑,๐๐๐ คน แล้วก็มาทำหน้าที่ แบ่งกันทำ ส่วนนั้นส่วนนี้ คนละหน้าที่ ทำงานอันไม่มีโทษ เป็นอนวัชชะอย่างแท้จริง แล้วก็รังสรรค์ สร้างสรรกัน ทุกคนทำงานฟรี ทุกคนรังสรรค์ เพื่อให้เกิดผลงานเท่านั้น ไม่ได้มาล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญโลกียสุข อย่างที่เขาแย่งกัน อาตมาว่ามันเป็นพฤติกรรม เป็นอิริยบทของผู้คน ที่มีทั้งการงาน มีทั้งบทบาทลีลา แล้วสิ่งที่เกิดที่เป็น มันก็จะมีทั้งผลผลิต มีวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยน ซื้อขาย จ่ายแจกเจือจาน เกื้อกูล อยู่กินใช้จ่าย อะไรต่างๆนานา เหมือนสังคมทั้งหลายเขา แล้วมันก็จะมีอะไรต่ออะไรอีกมากมาย ตอนนี้ อาตมาเรียบเรียงไม่ทัน จะต้องไปนั่งเรียบเรียงอีก ตอนนี้อาตมาก็พูดได้ เป็นปัจจุบันเท่านี้ก่อน ซึ่งมันจะดูประเสริฐ น่าดูเลย

สัมภาษณ์พ่อท่าน /ต้นปี 2552 / ส่งคุณ ดาวเพ็ญ นาวาบุญนิยม /ตรวจทาน 13มิย.2567