ขยะวิทยากู้ชาติ แต่ยังไร้ธัมมัญญารังสี

ต้นเดือนกรกฎาคม พ่อท่านฯเทศน์กระตุ้นให้พวกเราใส่ใจกับการช่วยงานขยะวิทยาหลายครั้ง อีกทั้ง มีการประชุมใหญ่ คณะผู้ทำงาน ขยะวิทยา จากชุมชนต่างๆ ได้มาประชุมกัน ที่สันติอโศก ๒ ก.ค. ๒๕๕๐ หลายแห่งตื่นตัว ในการจัดการ ขยะวิทยานี้ บางแห่ง มีรายได้เพิ่มขึ้น จากการจัดเก็บ ขยะ แทบไม่น่าเชื่อ เดือนหนึ่ง เป็นแสนขึ้น ได้เหมือนกัน หลังจากครบวาระต่างๆของการประชุมแล้ว พ่อท่านฯ ได้ให้โอวาทข้อคิดปิดการประชุม จากบางส่วน ของโอวาทดังนี้

คนต้องทำงาน ต้องมีอาชีพ แม้แต่สัตว์ก็มีอาชีพทำมาหากิน คนฉลาดแกมโกงแล้ว ไม่ทำมาหากิน แย่กว่าสัตว์ หรือทำเหมือนกัน แต่เอาเปรียบคน หากินอยู่บนหลังคนอื่น

งานขยะเป็นงานของคน สัตว์ไม่ได้ทำให้เกิดขยะอะไรมาก คนนี่แหละที่ทำให้เกิดขยะมาก งานขยะ จึงเป็นดีมานด์ ของสังคม เราทำของเราก็ดีของเรา เก่งขึ้น ก็ช่วยคนอื่นได้มากขึ้น

คนมาทำงานขยะจึงต้องมีปัญญา มีฉันทะ มีวิริยะ มีอิทธิบาท ไม่ได้ทำเพราะได้เงินมาก มีสิ่งล่อ แต่ทำด้วยปัญญา

วัตถุที่มันเป็นขยะมันก็จะจัดสรรสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้น คนที่ไม่ทำงานมันเป็นกิเลสรังเกียจ หรือขี้เกียจ การทำงาน อย่างน้อย ก็ได้ช่วยสังคม ถ้าน้อยก็สังคมรอบแคบ ถ้ามาก สังคมก็รอบกว้างขึ้น

การทำงานอย่างแข็งขัน การทำงานขยะนี่มีคุณค่า ไม่ใช่จะต้องไปเป็นนายกรัฐมนตรี จึงจะมีคุณค่า อย่างที่พวกเรามาทำนี่ มีคุณค่า และมันเกินคุณค่าด้วย คุณค่าโดยสัจจะเองก็มี

เรามาร่วมกันคิด ร่วมประชุม ร่วมวางระบบระเบียบ ให้มันเป็นวิชาการที่จะเป็นหลักการต่อไป ในตัวขยะเอง มันเป็นวิทยาการได้ แต่เรายังไม่ได้เรียบเรียง จัดสรร ให้เป็นระบบ เมื่อเราทำ คนรุ่นต่อๆไป ก็จะทำได้ง่ายขึ้น

การเมืองที่เห็นและเป็นอยู่

ในเดือนกรกฎาคมนี้พ่อท่านฯหยิบเอาประเด็นที่พระพุทธเจ้าเป็นนักประชาธิปไตยที่ยอดเยี่ยมที่สุด แล้วขยายความ ถึงหลักการต่าง ของศาสนาพุทธ ถือเป็นสุดยอด ประชาธิปไตย เข้าใจว่าเพื่อส่งสัญญาณ ให้สังคมได้รับรู้ว่า ในความเห็น ของพ่อท่านฯนั้น การเมืองกับศาสนาเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวเนื่อง ไปด้วยกัน ไม่ได้แยกขาด จากกัน เหมือนอย่างที่ สังคมส่วนใหญ่ เข้าใจผิดกันมานานแล้ว นับเป็นประเด็นนำเสนอ ที่ยังไม่มีใคร กล่าวเช่นนี้มาก่อน ถ้าไม่มีอคติกัน เสียก่อนแล้ว จะเห็นแง่มุมมอง ที่น่าไตร่ตรองตาม เป็นอย่างยิ่ง แม้ยังไม่เคยมีใคร หยิบออกมา จากพระไตรปิฎก มาพูด รวมถึงยังไม่มีปราชญ์ ศาสดา ท่านใดอื่น กล่าวมาเช่นนี้ มาก่อนก็ตาม ส่วนจะไตร่ตรอง แล้วจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นสิทธิส่วนตัวที่บังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นประเด็น ที่น่าจะได้มีการถกกัน ในวงกว้างต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ใฝ่ใจศึกษา อย่างมี ปรโตโฆสะ และ โยนิโสมนสิการ ย่อมจะเห็น ความลึกซึ้งของ พระพุทธศาสนา ในอีกมิติหนึ่งนี้ได้

หากผู้ใดสนใจติดตามรายละเอียดเท่าที่บันทึกได้ สามารถติดตามได้จากการแสดงธรรม ที่งานภราดรภาพซาบซึ้งใจ ที่ชเลขวัญ อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ๑๓-๑๕ ก.ค.๒๕๕๐ การแสดงธรรมในรายการวิถีอาริยธรรมหรือพุทธที่ไปนิพพาน ๒๒ ก.ค.๒๕๕๐ และการแสดงธรรมในงานโครงการพัฒนาสมาชิกพรรค ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่สีมาอโศก ๒๘-๒๙ ก.ค.๒๕๕๐ ซึ่งในวาระต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการพูดอย่างเป็นกิจจะลักษณะ นอกไปจากนี้ พ่อท่านฯ ยังได้กล่าว ในหลายที่ หลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น การประชุมต่างๆ รวมถึงแทรกผสม ในการเทศน์ ช่วงอื่นๆ ด้วย แต่ขอข้ามผ่าน ไม่นำมาอ้างอิงถึงในที่นี้

จากเนื้อหาบางส่วนของการแสดงธรรมที่ชเลขวัญ อ.ท้ายเหมือง พังงา ๑๔ ก.ค.๒๕๕๐ เท่าที่พอจะเรียบเรียงได้ดังนี้

วันนี้ก็เป็นวันภราดรภาพซาบซึ้งใจ เราก็จัดงานกัน มารวมชุมนุมกัน การชุมนุม การอบรม การสังสรรค์ เป็นงานของ รัฐศาสตร์ หรือเป็นงานของการเมือง ในผู้บริหาร ต้องเอาใจใส่ และต้องดูแล ต้องจัดสรร ให้มีการรวบรวม ให้การศึกษา ให้การสร้าง สร้างคน ประเด็นคำว่า สร้างคนนี่ เป็นรัฐศาสตร์อย่างยิ่ง

อาตมาเห็นความล้มเหลวของการเมืองตรงไม่สร้างคน ย้ำอีกหมื่นครั้ง แสนครั้ง ว่านี่เป็นความผิดพลาด ของรัฐศาสตร์ หรือการเมือง หรือการบริหารปกครองประเทศ ที่ไม่ได้เน้น การสร้างคน แต่ไปสร้างเงินกับสร้างงาน ผิดพลาด อย่างมหันต์เลย ยิ่งไปสร้างเงิน มุ่งเงินเป็นหลัก ล้มเหลว อย่างไม่เป็นท่า สร้างงานก็ยังพอทำเนา คนยังได้ พัฒนาตนเอง ในงานบ้าง ก็เป็นการสร้างคนโดยอ้อม ได้ สร้างสรร ให้คนมีความสามารถ มีความประกอบ การทำมา หากิน หรือว่าทำอาชีพ หรือสร้างอะไรขึ้น มาได้ ก็ยังพอทำเนา ที่ไปเร่งงาน สร้างงาน

แม้แต่ผู้บริหารนักวิชาการ ปราชญ์ทางการเมือง ปราชญ์ทางสังคมศาสตร์ ปราชญ์ทางวิชาการ อะไรก็แล้วแต่ ก็ยังงมงาย หลงใหล อยู่กับแต่เรื่องงาน เรื่องเศรษฐกิจ ที่จะให้ร่ำรวย นั่นเอง ขออภัย ที่อาตมาพูดเนี่ย มันเหมือน อวดเก่งอวดดี

ปัญหาทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ที่วินัย ไม่ได้อยู่ที่หลักเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ที่ กฎระเบียบ อะไร "ปัญหามันอยู่ที่คน" ต่อให้ระเบียบ มันเคร่งครัด ต่อให้ระเบียบ มันวิเศษวิเสโสยังไง "คน"มันก็ฉลาด เกินที่มัน จะเลี่ยงกฎ เลี่ยงระเบียบ ได้ทั้งนั้น ก็คิดดูซิเนี่ย เขาขึ้นมาบริหารประเทศ เขาแก้กฎหมาย ไปกี่ข้อ แก้กฎ เพื่อซดคำโต ไปกี่อัน เลี่ยงวิธีการ ต่างๆนานา ลอดตรงนั้น หลุดตรงนี้ คนมันฉลาดทั้งนั้น นอกจากฉลาดแล้ว ก็ยังโกง แล้วก็ใช้เล่ห์ นี่เป็นเรื่องของ โทษสมบัติ ไม่ใช่ คุณสมบัติ เป็นโทษสมบัติ ของมนุษยชาติ เที่ยวได้ทำกันอยู่ เพราะฉะนั้น ต้องแก้ปัญหา "ที่คน" สร้างคน ให้ลดกิเลสให้จริง เมืองไทยถือว่า เป็นเมืองพุทธ แม้จะไม่บรรจุ ลงในรัฐธรรมนูญ ก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันอยู่ ขอให้ศึกษา ปฏิบัติพุทธธรรม กันจริงๆเถอะ

พระพุทธเจ้านี่เป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเอก "เชื่อมั้ย" พระพุทธเจ้าศึกษาเรื่องของมนุษย์กับสังคม ติดตามศึกษา ค้นคว้า อย่างเอาจริงเอาจัง เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ศึกษา อย่างผิวเผิน แต่ลึกเข้าไป จนถึงรากเหง้า ของเหตุที่มันไม่ดี ดีคืออะไร วิเศษ ดีอย่างประเสริฐคืออะไร ในความเป็นคน ในความเป็น สังคม ท่านพยายามศึกษา อย่างนั้นจริงๆ ศึกษาเพื่อที่จะ พิสูจน์ค้นคว้า ดูเลยว่า ลักษณะของคนนี่ คนแต่ละคนเนี่ย ดีที่สุด สุขที่สุด สูงที่สุด สร้างสรร เสียสละที่สุด หรือมีสมบัติ อันพึงมี ในมนุษย์ ใน ความเป็นมนุษย์ จะมีสมบัติอะไร เป็นสมบัติ ที่ดีที่สุด วิเศษที่สุด ซึ่งจริงๆแล้ว ท่านก็ค้นพบว่า สมบัติสูญ สมบัติสูญนี่ ดีที่สุด พวกเราฟังแล้ว พวกเราก็ไม่สงสัย พวกเรา ก็ไม่งงอะไรล่ะ แต่คนอื่น ข้างนอก เขาจะฟังแล้วงง เขาก็จะไม่เข้าใจ ไม่เคยได้ยิน

คนที่มีสมบัติสูญ สูญคือความหมด ไม่มี ไม่มีอะไร นั่นล่ะเป็นสิ่งที่สูงสุด สูญเป็นสมบัติ ผู้ใดทำได้สัมบูรณ์ ผู้นั้นเจริญ ครบ ๗ ส. ส.หนึ่ง..สุข สอง..สูง สาม..สร้างสรร สี่..เสียสละ ห้า..สูญ หก..สมบัติ เจ็ด..สัมบูรณ์ absolute สัมบูรณ์ สุดยอด ultimate ก็ได้ ปลายสุดเลย ultimate ก็ได้ อันติมะก็ได้ สัมบูรณ์ก็ได้

มิจฉาอาชีวะที่นักการเมืองพึงสังวร

คำว่า รัฐศาสตร์ หมายความว่า ศาสตร์ที่จะจัดการกับรัฐ รัฐก็คือพื้นแผ่นดินที่มีมนุษยชาติ รวมกันอยู่ ในขอบเขต ของความเป็นรัฐ แต่ละเจ้าๆ เจ้าแห่งรัฐนี้ก็คือ รัฐนี้ของเจ้านี้ ที่จะเอาใจใส่ดูแล พัฒนาจัดการ กับในรัฐของตนเอง ผู้คนของตนเอง ในรัฐนั้น จะให้อยู่ดีมีสุข ให้เป็นคน มีความสุข ความสูง ความเสียสละ ความสร้างสรร ความเสียสละ แม้แต่ความสูญ หรือมีสมบัติ มีสัมบูรณ์อย่างไร

คำว่ารัฐนี่กินความหมดเลยว่า ต้องดูแล มีความรู้ทั่วทั้งรัฐ ในงานการที่เป็นสัมมาอาชีพ อันใดที่ไม่เป็น สัมมาอาชีพ รัฐก็จะต้อง จัดการปราบ หยุด ระงับ อย่าให้มี มิจฉาชีพ ต่างๆ กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา ก็เป็นการงานที่มนุษย์ ต้องเรียนรู้ ความหมายอย่างไร ในการงานเหล่านั้น นักรัฐศาสตร์ ก็ต้องรู้ แล้วก็ต้อง มาจัดสรรว่า ในสังคมมนุษยชาตินั้น จะต้องให้มีงาน ที่เป็นงานมิจฉาชีพ อย่าง กุหนา อยู่หรือ หรือแม้แต่ ลปนา ก็มีมิจฉาชีพ ที่ยังอยู่ในขั้น เลวร้ายอยู่ กุหนา เป็นอาชีพ ที่หยาบคาย ทุจริต หยาบหนัก ทุจริตที่หนัก คนปล้นจี้ ฆ่าเจ้าทรัพย์ ดูโหดร้าย ทารุณ ปล้นทีนึงได้พัน ได้หมื่น ได้แสน ได้ล้าน แต่ปล้นทีนึง ไม่ได้ถึง หมื่นล้านหรอก แต่นักปล้น ที่สวมเสื้อนอก ที่บริหารบ้านเมือง ปล้นทีเป็น หมื่นล้าน แสนล้าน นักปล้นอันนี้ เป็นมิจฉาชีพ ที่ร้ายเลว ยิ่งกว่า นักปล้นที่ดุเดือด ฆ่าแกง เลือดหยด เป็นพวกที่ มีอาชีพ มิจฉาชีพ ระดับ กุหนา ที่เลวร้ายที่สุด ก็ต้องเรียนรู้ว่า ในรัฐนี้มีมั้ย ในมนุษยชาติสังคมนี้ รัฐของเรา มีมั้ย เราต้องจัดการ อย่าให้มี อย่าให้เกิด อย่างนี้ เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่าง ข้อแรกๆ ของ กุหนา

ลปนา ก็หยาบรองลงมา เลวร้ายรองลงมา อาจจะไม่ถึงขั้น ลงมือลงไม้ แต่ปากยังหยาบ ปากยังเลว ปากยังโกหก หลอกลวง ปากยังใช้อะไร ก็แล้วแต่ ลปนา ลปนะ นี่แปลว่า คำพูด แปลว่า การพูด ซึ่งมันเป็นสิ่งเลวร้าย เป็นมิจฉาชีพ ใครกระทำอย่างนี้อยู่ เลี้ยงชีพ ทำอยู่เป็นกรรมกิริยา เป็น ความประพฤติ ผู้ดูแลบริหาร ปกครองสังคม กลุ่มหมู่ ก็ต้อง จัดสรรดูแล จัดการ หยุด หรือแม้แต่ จะมาทำให้มันดีขึ้น แต่มันก็ยังไม่ดี ก็มีหลักวิธี

เนมิตตกตา คำว่า เนมิตตกะ แปลว่า ยังไม่ลงตัว ยังเสี่ยงๆอยู่ ยังผิดบ้างพลั้งบ้าง แต่ก็เกิดมีปัญญา มีความรู้ มีเจตนา ที่จะทำดี ที่จะเป็นคนดี ละอย่างหยาบ กุหนา ลปนา มาแล้ว เข้าใจแล้ว มีความรู้แล้ว รัฐต้องให้ความรู้ ผู้บริหาร ต้องให้ความรู้ รู้สิ่งที่ไม่ควรทำ รู้สิ่งที่หยาบ อย่างหยาบหนัก หยาบกลางๆ หยาบน้อยๆ แล้วก็จะต้อง ให้เขาปรับตัว เลิกละมา

จนกระทั่งถึง นิปเปสิกตา เก่งแล้ว ทำได้ดีแล้ว ไม่มีมิจฉาในการกระทำมิจฉาชีพ บริสุทธิ์ได้แล้ว แต่เราก็ยัง ไปมอบตน อยู่กับไอ้คนที่ เขาทำผิด ไปร่วมมือ ร่วมไม้ อยู่กับคนที่ เขาทำชั่ว ทำผิด ยกตัวอย่างง่ายๆ ไปอยู่กับกรมกอง ที่ยังมี คอร์รัปชั่น เขาทำคอร์รัปชั่นกัน ตั้งแต่หัวหน้า มาจนกระทั่ง ถึงขั้นระดับ... แต่เราไม่ทำกับเขา เราบริสุทธิ์ แต่เราก็ต้อง อยู่ใน ข้องเดียวกะเขา ไปทำงานอยู่ในบริษัท ที่เขาโกง โกงกิน โกงภาษี โกงอะไรก็แล้วแต่ ที่ไม่สุจริต อย่างนี้ เป็นต้น นี่เป็นมิจฉาชีพ ระดับที่สี่

มิจฉาชีพ ระดับที่ห้า สุดยอดเลย มีในศาสนาพุทธ เท่านั้นแหละ ศาสนาอื่น ไม่สอนหรอก ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนตา เป็นอาชีพที่ ไม่ต้องเอาสิ่ง แลกเปลี่ยน ใดๆเลย ไม่ต้องใช้ ลาภแลกลาภ จะได้สิ่งใดมา ไม่จำเป็นจะต้อง เป็นสิ่งที่ แลกเปลี่ยน ทำงานฟรี ได้สบาย ทำเพื่อให้ ไม่ต้องใช้การแลกเปลี่ยน ใช้ความเกื้อกูล การให้กันและกัน เป็นยอด ของมนุษย์ ยอดสังคม คนจะให้ด้วยเข้าใจ เขาจะอุปถัมภ์ค้ำชู เลี้ยงดูเราไว้ เขาจะช่วยเหลือ เกื้อกูล เขาเห็นว่าเราทำดี เขาก็พร้อม ที่จะสนับสนุน ส่งเสริม ด้วยความรู้ ด้วยปัญญา ไม่ต้องหลอกล่อ ไม่ต้องเที่ยว ได้โพนทะนา เรี่ยไร คนก็จะรู้ ด้วยปัญญาเองว่า โอ....อันนี้ คนต้องอุปถัมภ์ ต้องช่วย ต้องสนับสนุน สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์ ต่อสังคม มนุษยชาติ ไม่ได้เอามานั่ง บำเรอตนเอง ไม่ได้มานั่ง เอาเปรียบ เอารัดอะไร คนมีปัญญา เขาจะเห็นจะรู้

เพราะฉะนั้น อาศัยแต่คนมีปัญญาที่รู้สัจธรรมพวกนี้ สนับสนุนเรา ส่งเสริมเรา เราก็อยู่รอด อาตมาทำงานมา ขนาดนี้ ยี่สิบ สามสิบปีนี้ อาตมาพิสูจน์แล้ว ไม่ต้องไปพึ่งหรอก คนที่ไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น หลักเกณฑ์ของเรา ถ้าคนข้างนอก ยังไม่รู้จักอโศกเลย มาถึง อู้ฮู มาถึงสัมผัส รู้สึกศรัทธา แหม จะขอทำบุญเลย ยังไม่ได้ หยุดก่อน ต้องมาที่นี่ อย่างน้อย สัก ๗ ครั้ง ๗ ครั้งเพื่ออะไร เป็นหลักเกณฑ์ คุณมาศึกษาดูซิว่า พวกนี้มันอยู่ยังไง มันทำอะไร มันคิดยังไง มันปฏิบัติ ยังไง มีแนวโน้ม ที่ไปสู่ที่สูง ที่เขาพัฒนา ตนเองยังไง ดูเขามั่ง อย่างน้อย ๗ ครั้ง ก็คงพอจะเข้าใจได้ หรือไม่ก็ อ่านหนังสือ สัก ๗ เล่ม ฟังเทปสัก ๗๐ ม้วนอะไรเงี้ย ดูโทรทัศน์สัก ๗๐๐ เที่ยว จึงจะยอมรับเงิน บริจาคได้ กติกานี้ ไม่ใช่ตั้งไว้เล่นๆ หรือมีอะไร ซ่อนแฝง แต่จริงใจ มีนัยะ

ที่อาตมากล่าวว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเอก เพราะพระพุทธเจ้า ทำให้คนประชากรของรัฐ ไม่เป็นพิษ เป็นภัย ต่อสังคม สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง จิตวิญญาณ ล้างกิเลส หรือล้างตัวเหตุได้ จนกระทั่ง ถึงตัวจิตวิญญาณเลย ล้างเหตุได้เลย นี่คือ สุดยอด แห่งรัฐศาสตร์พระพุทธเจ้า ที่บริหารคน จัดแจงคน สอนทั้ง รูปธรรม ของอาชีพ สอนมั้ย สอน รูปธรรมของการเป็นอยู่ สอนมั้ย สอน มารยาทสังคม สอนมั้ย สอน หน้าที่สิทธิต่างๆ สอนมั้ย สอน รัฐศาสตร์ สุดรัฐศาสตร์เลย ของพระพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น จะต้องไปเป็น ส.ส.มั้ย ไม่ต้องเป็น ส.ส.ก็ได้ ไม่ต้องได้ไปเที่ยวเสนอหน้า รับอาสา แล้วก็รับเงินเดือน แล้วก็สร้างอำนาจ เบ่งอะไรอยู่ แล้วก็ไป ปฏิบัติ ประพฤติตน เป็น ส.ส. ก็แค่อาสา รับหน้าที่ ส.ส.คืออะไร งานวันเกิด เขาก็ต้องไป งานศพไป งานแต่งงานก็ไป งานเปิดป้ายก็ไป ไปทำไม เอาเงินไปช่วย นี่คือหน้าที่ ส.ส. คืองาน ส.ส. โฮ้ย! รัฐศาสตร์แบบนี้ อาตมาว่า มันจะไปถึงไหนน้อ โลกนี้

สาธารณโภคีในรัฐศาสตร์บุญนิยม

รัฐศาสตร์บุญนิยมที่พวกเราทำกันอยู่นี่ จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีใครกล่าวถึง และยัง ไม่มีพรรคการเมืองใด ในโลกทำ ก็คือ ระบบ สาธารณโภคี ซึ่งรัฐศาสตร์ ต่อไป ในอนาคต ต้องมาศึกษา รัฐศาสตร์บุญนิยม ที่เข้าถึงขั้น สาธารณโภคี มันเป็นรัฐศาสตร์ยังไง นี่ไง คนนี้นี่ เป็นพนักงาน การเมืองนะ เป็นพนักงานของ พรรคเพื่อฟ้าดิน แจ้งทรัพย์สินแล้ว เป็นคน ไม่มีทรัพย์ ศูนย์บาท รายได้เงินเดือน ก็ไม่มี เจ้าหน้าที่ต้องมา ตามดูความจริง มันโกหกรึเปล่า ทำไม มันกรอกยังงี้ ไปได้ยังไง แล้วมันอยู่ยังไง ไม่มีทรัพย์สินเลย ใครเลี้ยงไว้ เออ มาดูแล้ว อ้อ อยู่ได้เว้ย มันมีระบบเลี้ยงไว้ มีตลาดสาธารณะ มีตลาดนัดอาหาร เช้าๆ ก็มา ตักกินกันไป หรือไม่ตักกิน ก็กินกันอยู่แล้ว ในหมู่บ้าน อยู่ในชุมชน อยู่ใน กลุ่มหมู่ มีกองกลาง กินอยู่ร่วมกัน อาตมาว่า สุดยอด สาธารณโภคีนี่ มันจะดัง ไปทั่วโลก คอยดูซิ ขอ ให้ทำกัน ให้จริงเถอะ ทำให้มันมากพอ เป็นแก่น เป็นเนื้อ เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งที่ถาวร เป็น วิถีวัฒนธรรม ของมวลมนุษยชาติ ระบบนี้เกิดเถอะ มันเกิดรึยังนี่ ในชาวอโศก แข็งแรงกว่านี้อีก ได้มั้ย ต้องทำ ให้แข็งแรงกว่านี้ เป็นรูปธรรม ที่เด่นชัดกว่านี้

การป้องกันประเทศ

การป้องกันประเทศ ในทรรศนะของรัฐศาสตร์บุญนิยม ถ้าเราจะเป็น ประเทศที่ ไม่วุ่นวาย ในเรื่องของการ ที่จะต้องไป รบราฆ่าฟัน อะไรเขานัก เราจะต้อง ซื้ออาวุธ มาทำไมกัน มากมาย ถ้าเราคิด จะไม่ค้าสงคราม ไม่ค้าการรบรา ฆ่าฟัน เราจะดำเนิน นโยบาย ว่าเราจะเป็นแต่เพียงว่า เอ้า กองกลาโหม ก็เป็นแต่เพียงว่า ป้องกันสิ่งที่ มันจะมา ทำลายเรา รอบบ้าน เราเนี่ย ในรัฐเรา ประเทศเราเนี่ย เราก็จะใช้ กำลังของ กำลังผู้รักษาประเทศชาติ เป็นรั้วของ ประเทศชาติ ป้องกัน ผู้ที่มารุกราน เราไม่เจตนา จะไปรบ จะไปรุกราน กะใคร

เราจะไม่ไปก่อสงคราม แล้วเราก็ไม่ไปร่วมสงครามกับเขา นี่ถ้าเรามีนโยบายอย่างนี้ เรา จะไปซื้ออาวุธมาทำไม มากมาย เพราะฉะนั้น ในการที่ไม่เข้าใจ ถ้าเผื่อว่า เป็นทหารก็ดี ไม่เข้าใจ อย่างนี้แล้ว ไม่มีนโยบายอย่างนี้ ก็จะซื้ออาวุธ มาไว้ สำหรับบอกว่า ซื้อมาทำไม- มาป้องกัน ประเทศชาติ เขามารุกรานเรา เราก็จะได้เอาอันนี้ ถ้าเราเข้าใจ ธรรมะ มากขึ้น เราเป็นคนที่ ไม่ใช้พระเดช แต่เราใช้พระคุณ

พระเดชก็มีกำลังอย่างหนึ่ง ที่คนกลัว ป้องกันหรือปราบปรามเขาได้ พระคุณก็มีฤทธิ์อย่างนึง ป้องกันตัวได้ มีพระคุณ ก็ป้องกันตัวได้ อย่าว่าแต่ ป้องกันตัวเลย สามารถที่จะ กินใจ คนอื่นได้ กินใจศัตรู ได้เหมือนกัน ใช้วัฒนธรรม ใช้อำนาจ ทางพระคุณเนี่ย กินใจคน ดีกว่าเอาปืน ไปกินชีวิตเขามั้ย ดีกว่าเอาปืน เอาอาวุธ ยุทโธปกรณ์ ร้ายแรงเนี่ย ไปกินชีวิตเขา ดีกว่ามั้ย ใช่มั้ย

อาตมาก็เคยบอกพวกเราแล้วว่า ถ้าพวกเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเนี่ย เราจะไม่ไปอยู่ในข้าง ฝ่ายน้ำเงิน ฝ่ายแดง อะไรหรอก เราจะอยู่ ทั้งสองฝ่าย ทั้งสองข้าง นั่นแหละ ในส่วน ที่จะ อุดหนุน จุนเจือ ช่วยเหลือกัน ในสิ่งที่ถูกต้อง ดีงาม สิ่งที่จะยังชีพ สิ่งที่จะเป็นอยู่ สิ่งที่จะเป็นคุณค่า ประเสริฐ เราช่วยกัน ช่วยทั้งสองฝ่าย ถ้าถึงที่สุด เขารบกันอย่าง และ ทั้งสองฝ่าย เราต่างก็ต้องช่วยทั้ง ๒ ฝ่าย

แต่สิ่งที่จะไปทำร้ายทำลาย โหดเหี้ยม สร้างพยาบาทโกรธเคืองอะไรกันที่มันไม่เข้าท่า เอาเปรียบ เอารัดกันก็ตาม เราไม่ทำ เรามีพฤติกรรมอย่างนี้ ในมนุษยชาติ ในสังคม มนุษยชาติ มีพฤติกรรมอย่างนี้ ยืนยันเลย แล้วปฏิบัติ ต่อประเทศต่างๆ รัฐอื่นๆ ดูซิว่า มันจะมีผล ทำให้เราเกิด พระคุณมั้ย" ให้มันเกิด พระคุณกินใจ โดยเป็นการล้มล้าง หรือเป็นการพิสูจน์ว่า ดีกว่าที่จะไปมีอาวุธ ไว้สำหรับกินชีวิตเขา ป้องกันรัฐ ป้องกันสังคม เราจะช่วยสังคม ให้อยู่รอด ด้วยนโยบายนี้ น่าพิสูจน์มั้ย"

ผู้ที่บริหาร เป็นนายกฯ ก็ดี เป็นรัฐมนตรีเป็นอะไรก็ตาม ก็ต้องมีความรู้พวกนี้ เพราะงั้น ถ้าเขามี ความรู้พวกนี้ เขาก็มา วางนโยบายรัฐ นโยบายประเทศ จะให้เป็น ในแนวไหน จะให้เป็น อย่างไร ถ้าเข้าใจอย่างที่ อาตมาพูดเนี่ย เอาล่ะ กระทรวงนี้ มันยังจำเป็นอยู่ ก็ค่อยๆปรับไป เราก็ดำเนินนโยบาย ให้เป็นอย่างนี้ สร้างพระคุณ มากกว่า สร้างพระเดช

การค้ากับต่างประเทศ

แม้แต่ในพระเดชทางวัฒนธรรม พระเดชในทางเศรษฐกิจ กับพระคุณในทางเศรษฐกิจ อาตมาเคยพูดว่า เอาล่ะ ชาวอโศกเรานี่ ต่อไป ถ้าผลิตข้าว ได้มาก ผลิตข้าว ได้มากเลย แล้วเรา ก็จะต้อง ขายออกต่างประเทศ ให้คนไทยกินกัน อย่างราคาถูก หรือแจกกันกินบ้าง ราคาถูก ผู้มีฐานะ พอจะซื้อได้ ก็ซื้อบ้าง แต่ไม่แพงหรอก ก็เลี้ยงชีพ ก็พอแล้ว เหลือเอาไป ต่างประเทศ เราก็จะเอาไป หาประเทศที่ ควรให้ หรือ ควรขาย จะมีทูตการค้า ของชาวอโศก ไปหาประเทศ ที่จะเอาข้าว ไปขายให้เขา หรือเอาไปแจกเขา

ประเทศที่เราจะไปหาลูกค้าก็คือ ประเทศไหนน้อ ที่เขาเดือดร้อน จำเป็น น่าสงสาร ควรช่วยเหลือ ไม่ใช่ไปหาว่า ประเทศไหนน้อ มันจะซื้อข้าวกู ได้แพงๆ ประเทศไหนน้อ น่าจะ อื้อฮือ ประเทศนี่โง่เว้ย ขายข้าว ได้เปรียบมากเลย ฟังให้ดีนะ อาตมาอธิบาย ขยายความว่า ความเป็นทูตการค้า ทูตพาณิชย์แบบนี้ ก็จะมีลักษณะ ที่ต่างกัน ถ้าของกิน ของใช้ ในประเทศ ยังให้ประเทศ กินใช้ก็ยังไม่พอ ในประเทศเดือดร้อน แย่งชิงด้วยซ้ำ เราก็เอาไปขายเมืองนอก เอากำไร ร่ำรวย คนไทยจะตาย จะเดือดร้อน ก็ช่าง อย่างนี้ ไม่ควรทำ ในหมู่ในกลุ่มเรา เพียงพอแล้ว ค่อยขาย ค่อยเอาออก แจกจ่าย นี่คือ เศรษฐศาสตร์บุญนิยม เพราะฉะนั้น เมื่อมีส่วนเกิน จึงขายได้ถูก หรือ แจกก็ได้ ไม่ไปรีดนา ทาเร้น เอาเปรียบเอารัดใคร

เพราะฉะนั้น การบริหารรัฐ บริหารประเทศ จึงจะเชื่อมโยงกับประเทศอื่นเขา เราก็จะรู้มี ความรู้ด้วยว่า กระทรวง การต่างประเทศ จะดำเนินนโยบายอย่างไร ถ้ากระทรวง การต่างประเทศ ดำเนินนโยบายอย่างอาตมาว่า ก็เป็นการสร้าง พระคุณกับมวลมนุษยชาติ ประเทศต่างๆ แต่ถ้ามีแต่จะไป หาทางเอาเปรียบ หาทางขายข้าว ขายของ ก็รีด เอาแต่กำไร เอาเปรียบ ให้ได้มากๆ ให้ร่ำให้รวย อย่างนั้นไม่ใช่ แบบบุญนิยม จะขายสินค้าใด หรือ การสัมพันธ์ ด้านนั้น ด้านนี้ ก็สร้างในลักษณะ สร้างพระคุณ มากกว่า พระเดช จะเป็นรัฐศาสตร์ ที่แจ๋วกว่ามั้ย" อย่างนี้เป็นต้น

กระจายอำนาจการปกครอง พระพุทธเจ้าบอกว่า เราตายแล้ว เอาธรรมะ เอาองค์สงฆ์ เป็นตัวบริหาร เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยของ พระพุทธเจ้า องค์สงฆ์นั้น เป็นการทำงาน บริหารสังคมสงฆ์ หรือ บริหารสังคมนั่นเอง บริหารรัฐ นั่นเอง หรือ วิธีองค์สงฆ์สี่ ขึ้นไป อย่างน้อยใช้สี่ อย่างต่ำ เป็นองค์สงฆ์ กิจบางกิจต้องใช้ สงฆ์ ๕ รูปขึ้นไป บางกิจ ๑๐ รูปขึ้นไป บางกิจต้อง ๒๐ ขึ้นไป ทำสังฆกรรม ก็คือ ประชุมพิจารณา กิจจาธิกรณ์ ต่างๆ หรือ อธิกรณ์ใดๆ ก็ตาม บริหารด้วย คณะสงฆ์ เป็นประชาธิปไตย

เพราะฉะนั้น เรื่องราวอะไรจะพิจารณา จะตัดสิน จะสมควรในเรื่องแต่ละเรื่องๆ อันนี้ใช้องค์สงฆ์สี่ก็พอ พิจารณ าตัดสิน ผู้เหมาะเป็นองค์สงฆ์ องค์สงฆ์ ผู้ที่เหมาะควร ผู้มีปัญญา เลือกเฟ้นกันขึ้นมา ทำสังฆกรรม ต่างๆ จัดสรร แบ่งปัน เหมือนกรรมาธิการ เหมือนสมาชิกสภา แล้วก็ไม่ต้องไป ยึดมั่นถือมั่น แต่ละถิ่น แต่ละที่ ก็ของแต่ละแห่ง ตามความเหมาะสม ของสงฆ์นั้นๆ

สมมติว่าอยู่จังหวัดนี้ คนที่จะจัดขึ้นมาเป็นองค์สงฆ์พิพากษาหรือตัดสินอะไร ก็เอาคนที่เป็นผู้รู้ในถิ่น ที่เขารู้ถิ่น รู้ประชาชน เขารู้เหตุการณ์ เขารู้เรื่องราว เขาก็มา ตัดสินได้ เขาก็มา จัดสรรได้ เขาก็มาช่วยกันคิด พิจารณา สร้างมติ ขึ้นมาทำกันได้ เพราะเขาเป็น คนถิ่น เป็นคนรู้ มีข้อมูลครบ ก็ทำอะไรได้ถูกต้อง อันนี้จะต้องใช้ สงฆ์ห้า อันนี้จะต้อง ใช้สงฆ์สิบ อันนี้จะต้องใช้ คณะสงฆ์ยี่สิบ นี่คือการบริหาร ของพระพุทธเจ้า ที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่า ข้ามีตำแหน่งหน้าที่ ข้าเบ่ง ข้าข่ม ข้าอาละวาดไปทั่ว ไม่เกี่ยว อะไรเหมาะสม ก็ทำไป อันนี้งานนี้ เหมาะสม เสร็จจบ เอาใหม่ เหมาะสมอีก ก็ทำใหม่ ยังไม่เหมาะสม ก็วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู ของกูเลย ประชาธิปไตย ของพระพุทธเจ้ามี ธรรมาธิปไตย ถึงขนาดนี้ เป็นการบริหาร เป็นการช่วยกันทำงาน เป็นขบวนการกลุ่ม สุดยอด ทุกวันนี้ ลอกเลียน พระพุทธเจ้าไม่ได้ ลอกเลียนไม่ถึง แต่เราจะพยายามทำ ให้ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

อย่างอธิกรณสมถะ ๗ ของพระพุทธเจ้าอย่างงี้ โอ้โฮ วิธีการตัดสินความ วิธีการตัดสิน ๗ อย่างนี่สุดยอด นิติศาสตร์ เอาไปเรียน ให้ดีๆซิ นิติศาสตร์ก็อยู่ ในเรื่องรัฐศาสตร์ ถ้านักบริหาร ไม่รู้จักนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ กฎหมาย หลักเกณฑ์ของ ประเทศชาติเลย จะทำได้ยังไง เพราะฉะนั้น นิติศาสตร์ อธิกรณสมถะ ๗ หลักการ ในการตัดสินความ ของท่าน ๗ อย่างนี่ สุดยอด อาตมาเคยคิดว่า จะขยาย เขียนอันนี้ ไปในเชิงหลักเกณฑ์ นิติศาสตร์ กฎหมายอะไร อย่างนี้ ขยายความว่า ของพระพุทธเจ้า เป็นเช่นนี้ แต่ไม่มีแรง ไม่มีเวลาจะทำ เยอะ อยากจะทำ...

การเมืองบุญนิยมในอุดมคต

และจากการแสดงธรรมในโครงการพัฒนาสมาชิกพรรค ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ที่ สีมาอโศก ๒๘-๒๙ ก.ค.๒๕๕๐ จากบางส่วนที่น่าสนใจดังนี้

พระพุทธเจ้าเป็นนักการเมืองชั้นยอด เป็นนักการเมืองที่รู้จักการเมืองสุดยอด ท่านเป็นขบถ ที่ทุกคน ยอมศิโรราบ แม้แต่พระเจ้าแผ่นดิน แต่ละแคว้น ยุคโน้น พระเจ้ามคธ พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ตั้งหลายแคว้น สยบต่อขบถสมณะโคดมหมด เพราะพระพุทธเจ้าตั้ง รัฐอิสระ ขึ้นท่ามกลาง สังคมยุคนั้น ในเมืองมคธ ก็มี ในแคว้นโกศล ก็มี ในแคว้นอื่นๆ แคว้นใดๆ ก็มี สมาชิกพรรค สมาชิกรัฐ รัฐพุทธ ใครเข้ามาอยู่ใน รัฐพุทธ ประกาศอิสระ เสรีภาพหมด พ้นความเป็นทาส ยุคนั้น เป็นยุคทาส คนอื่น ไม่สามารถที่จะลบ ความเป็นทาส ให้แก่คนได้ พระพุทธเจ้า สามารถลดความ เป็นทาส ให้แก่คนได้ เป็นรัฐอิสระ ฟังดีๆนะ นักรัฐศาสตร์ นี่นั่งอยู่นี่ นั่งเห็นหน้า เห็นตานี่ หลายผู้หลายคน มีอิสรเสรีภาพ และบริหารด้วย ประชาธิปไตย สุดยอด

ซึ่งชาวอโศกเรากำลังพยายามที่จะให้เกิดประชาธิปไตย ในชนิดนี้แหละ ในชนิดพุทธนี่แหละ หรือ ชนิดประชาธิปไตย บุญนิยม นี่แหละ หรือ เชิงพุทธ นี่แหละ ซึ่งเป็นเรื่องที่ บริหารอย่างไร บริหารโดย ไม่ต้องบริหาร ปกครองอย่างไร ปกครองโดย ไม่ต้องปกครอง

ผู้ที่ขึ้นไปเป็นผู้บริหาร ๑. นักบวช ๒. นักบริหาร ๓. นักบริการ ๔. นักผลิต ซึ่งอาตมา ก็ไม่ค่อยได้เอามาอธิบายเท่าไหร่ ตอนนี้ นักบวชยกไว้เลย เป็นตัวอย่างที่ ๑ เป็นคน ทำงานฟรี เป็นคนที่ สามารถรู้ มีโลกวิทู มีพหูสูต สามารถ เข้าใจสังคม เข้าใจโลก แล้วก็ช่วยโลกอยู่อย่างไม่มา รับสินบน เบี้ยจ้างอะไรเลย ไม่มีโลกธรรม ไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอะไร ทำงานให้ ปรึกษาหารือช่วย ทำเท่าที่ทำได้ ในส่วนที่ไม่ผิดวินัย

ส่วนนักบริหารนั้นก็คือ ฆราวาส ที่จะไปบริหารงานการอะไรทุกด้าน ทั้งการเมือง ทั้งการสังคมศาสตร์ ทั้งศาสตร์ใดๆ ก็แล้วแต่ ทั้งในหน้าที่ใดๆ ก็แล้วแต่ คือ เหมือนอย่าง ชาวอโศกเรานี่ ก็เข้าไปทำงานต่างๆ ให้กับสังคม เป็นนักบริหาร นักบริหารในระบบนี้ ใครที่ดำเนินฐานะ ขึ้นมาอยู่ในฐานะ นักบริหารได้ คนนั้น ต้องทำงานฟรี เช่น มาเป็น นายกรัฐมนตรี เป็นต้น มาเป็นรัฐมนตรี เป็นต้น มาเป็น สส. ผู้ที่อาสากับสังคม สัญญากับประชาคม จะเข้ามาทำงาน ให้แก่สังคมแล้ว ต้องทำงานฟรี ต้องเก่ง ขนาดนั้น จึงจะมาเป็น นักบริหารได้

หรือแม้แต่บริษัท องค์กรประชาชน เอกชน เจ้าของบริษัท จะต้องเป็นหุ้นส่วนจำกัด เจ้าของบริษัท จะต้อง ผ่องถ่ายหุ้น ของตนเองออก ให้แก่ลูกน้อง ให้หมด ให้หมดๆ จนสุดท้าย เจ้าของบริษัทที่ เยี่ยมยอดที่สุด ก็คือ คนไม่มีหุ้นเลย ไม่มีหุ้นของตัวเอง ในบริษัทนี้เลย แต่ลูกน้องในบริษัท ต้องให้เป็น หัวหน้าใหญ่ ดำเนินงาน อยู่ตลอด เป็นนักบริหาร อยู่ตลอดเวลา เพราะเชื่อถือ นับถือ ศรัทธาเลื่อมใส ด้วยความสามารถ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ด้วยความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เพราะฉะนั้น นักบริหาร เจ้าของ บริษัทนั้น ถ้าเป็นนักบริหาร ชั้นยอดแล้ว เป็นเจ้าของบริษัท ชั้นยอดแล้ว หมดเนื้อหมดตัว จะไม่มีทรัพย์สินอะไร เป็นของตัวเองเลย แต่เป็นของคนในบริษัท ผู้ทำร่วมกัน เป็นเจ้าของบริษัท ทุกคน

ในอโศก บริษัทอโศก มีทรัพย์สมบัติทั่วประเทศ เป็นของส่วนกลาง อาตมาเป็นเจ้าของบริษัทอโศกใหญ่ สมบัติเหล่านี้ อาตมาไม่เอา ซักอย่าง พวกคุณ ช่วยกันบริหาร ช่วยกันใช้ ช่วยกันอาศัย ใครอยู่ย่านไหน ใครอยู่ตรงไหน ก็ดูแล บูรณาการ จะทำให้มันเจริญ จะทำให้เป็นที่อาศัย จะมีมวลประชากร เข้ามาร่วมอาศัย เพิ่มเติมขึ้น โดยมีศีล มีหลักเกณฑ์ เข้ามาอาศัย

เพราะฉะนั้น นักบริหาร อาตมาเป็นต้น พวกเราที่มาช่วยกันบริหาร เป็นต้น หรือแม้แต่ สมณะนี่ อยู่ในฐานะนักบวช นักบริหารทั้งนั้น นักบวชคือ นักบริหาร ที่ไม่ต้องบริหาร แล้วก็นักบริหาร แม้แต่ในฆราวาส ก็ต้องบริหาร ด้วยหน้าที่ ตำแหน่ง ก็ต้องกำหนด ต้องตั้งให้กันบ้าง ต้องตั้งบ้าง คนนี้เป็นประธาน สันติอโศก คนนี้เป็น เลขาธิการ พรรคเพื่อฟ้าดิน อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ว่ากันไป ไม่มีปัญหาอะไร เพื่อกำชับให้รู้กัน เพื่อระบุภาระนั้น ให้เป็นกิจจะ ลักษณะ ซึ่งแม้ไม่ตั้ง ไม่กำหนดตำแหน่ง ผู้ที่เห็นดี ต่างก็ช่วย กันทำอยู่แล้ว เพราะผู้มีตำแหน่ง หรือไม่มีก็ทำ ไม่ได้เงิน สักคน ต่างมาทำ ด้วยใจสมัคร ทั้งนั้น ทุกคนรู้ว่า ทำงานเพื่องาน ไม่เกี่ยวกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันจึงบริหาร ไม่เหมือนกันกับ ที่ชาวโลก เขาบริหารกัน

ส่วนนักผลิตนั้น ก็คือคนลงมือลงแรง ทั้งก่อ ทั้งสร้าง ลงมือ แบกหาม หยิบจับโดยตรงจริงๆ และนักบริการ คือผู้ที่ทำงาน สัมพันธ์กับ คณะผลิต เขาแปล นักบริการว่า เป็นนักขนส่ง หรือเป็นนักแจกจ่าย จำหน่าย จ่ายแจก เป็นนักเอาไปสะพัด เป็นนักพาณิชย์ เป็นนักธุรกิจ เอาไปสะพัด ส่วนนักผลิต ก็เป็น ผู้สร้างโดยตรง เพราะฉะนั้น ผู้สร้างโดยตรง จะต้องมีที่ดิน จะต้องมีเครื่องจักร จะต้องมีอุปกรณ์ เครื่องใช้ จะต้องมีสิ่งที่เป็นวัตถุ สร้างสรร นักผลิต จึงจะต้อง ใช้ทุนมาก คนที่รวยที่สุด ใน ๔ ระดับนี้ นักผลิต หรือ กรรมกร จะรวยที่สุด จะต้องมีทรัพย์ศฤงคาร มากที่สุด เพื่อทำงาน แล้วก็อาจจะเป็น คนมีกิเลส มากกว่าเพื่อน เป็นคนชั้นล่างที่สุด จะต้องสงสารเขา ให้เขามีเถอะ เพราะกิเลส เขามาก กิเลสมันกินจุ กิเลสมันเปลือง มันผลาญ มันทำลาย เพราะฉะนั้น คนมีกิเลส ก็ต้องให้เขาไป ให้เขามีมากกว่า แต่ก็ต้อง สอนเขา ให้สูง ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นนักบริหาร - นักบวชขึ้นมา

นักบริการนั้นเป็นนักค้านักขายหรือนักจำหน่ายจ่ายแจกไม่ใช่นักผลิตโดยตรง ทรัพย์สิน ก็จะน้อยกว่านักผลิต อย่างเก่ง ก็ซื้อเครื่องมือ เครื่องยนต์ เครื่องทุ่นแรง หรือ ยานพาหนะ ติดต่อ เพื่อจำหน่าย จ่ายแจก ไม่ต้องซื้อแผ่นดิน มากมาย ไม่ต้องสร้างให้มี ให้เกิดขึ้นมา ไม่เหมือนกับ นักผลิต นักผลิต ต้องซื้อแผ่นดิน ต้องซื้อเครื่องมือ เครื่องจักร เครื่องทุ่นแรง เพื่อช่วยผลิต โรงงานใหญ่ จะต้องใหญ่ขึ้น ส่วนนักจำหน่าย จ่ายแจก นักค้านักขาย นักธุรกิจนั้น ลงทุน น้อยกว่า ลงแรง ก็น้อยกว่า ก็ต้องรับ ค่าใช้จ่าย ค่าแรง น้อยกว่านักผลิต ต่ำกว่านักผลิต นักผลิต ต้องค่าตัวสูงที่สุด กรรมกรต้อง ราคาแพงที่สุด นักบริการ ราคาน้อย รองลงมา ส่วนนักบริหารนั้น ยิ่งน้อยลงไป ยิ่งๆขึ้น และถึงขั้น ไม่เอาเลย มีหลายระดับ นักบริหารในแต่ระดับจะต้องให้บ้าง ก็ให้บ้าง แต่ต้องน้อย ส่วนนักบวชนั้น แน่นอนอยู่แล้วว่า ทำงานฟรี ตลอดกาล ไม่มีทรัพย์สิน เงินทอง ถึงขั้น หมดตัว หมดตนสนิท เป็นสุดยอดแห่งคน ระดับหนึ่งแล้ว

คนที่ยิ่งรับค่าตัวน้อยลงๆ คือคนที่มีกำไร คือคนระดับสูงขึ้นๆ คนที่เอาค่าตัวตัวเองมามากขึ้นๆคือคนที่ขาดทุน คือ คนที่ต่ำลงๆ นี่คือ สัจธรรม แต่โลก ทุกวันนี้นี่ กลับหัว กลับหาง หมดแล้ว กลับหัว ตีลังกา ตีกลับ ตาลปัตรหมด เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาแก้สัจธรรมนี้ กลับไปสู่สัจธรรม ที่ถูกต้อง ตามเดิมให้ได้ โดยเฉพาะ นักบวชนั้น ต้องแน่ๆ เลย ทำงานฟรี ตลอดกาลนาน นักบริหารที่ดีจริง ก็ทำงานฟรี อย่างน้อย ก็เริ่มต้น ทำงานฟรี แต่ก็อาจ จะยังต้อง รับค่าตัวบ้าง นิดหน่อย ตามฐานะ หรือวิบาก แต่ก็รับ นิดน้อย นักบริหารชั้นดี บารมีสูง คือผู้ทำงานฟรี มีชีวิต ให้คุณธรรม กับความสามารถ เลี้ยงตนเอง นี่คือ ความเป็นอยู่ แห่งฐานะทั้ง ๔ ของคน ตามสัจธรรม ในสังคม

มาถึงวันนี้พวกเราที่ได้ผ่านมาแล้วจะพอเข้าใจ แต่คนสามัญทั่วไปได้ยิน ก็คงจะแปลกหู แปลกใจ แปลกประหลาด แต่ก่อน อาตมาไม่ได้พูด ไม่ค่อยได้อธิบาย เรื่องพวกนี้ แต่มาถึงวันนี้ จะต้องอธิบาย บ่อยขึ้น มากขึ้น เพราะเรา มีนักบวช และในฆราวาส ของพวกเรา ทุกวันนี้ ก็มีทั้ง นักบริหาร นักบริการ นักผลิต ที่ทำงานฟรีกัน ก็เยอะอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้ ต่อไปในอนาคต ถ้าเผื่อว่า พรรคเพื่อฟ้าดินเนี่ย..จะต้องเข้าไปทำงาน รับใช้สังคม สังคมก็เข้าใจ ศรัทธา เลื่อมใส พรรคเพื่อฟ้าดินนี่ เมื่อเข้าไปเป็น นักบริหาร ระดับประเทศ จะกอบกู้ ประเทศชาติได้ พวกคุณก็เข้าไป ทำงานฟรี ไปทำงาน อย่างแท้จริง เพราะตัวผู้พูด มีคุณวุฒิ ที่แท้จริง เข้าไปทำงาน เป็นคนที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ไม่ต้องเอา เงินเดือน อย่างน้อย พวกชาวอโศก ก็อุปถัมภ์ค้ำชู ให้กินให้อยู่ไว้ได้ เพราะกินไม่เปลือง ใช้ไม่เปลืองอยู่แล้ว จะเอาแบบรัฐ เดี๋ยวนี้ก็ได้ นั่งรถไฟฟรี ขึ้นเครื่องบินฟรี อะไรก็ว่ากันไป บริการส่วนนั้น ส่วนนี้ ที่เป็นสวัสดิการ ของทางรัฐให้ ทุกวันนี้ เขาก็ทำกันอยู่แล้ว เพียงแต่รัฐ ปรับระบบ นิดหน่อย ให้สวัสดิการ แก่ผู้ทำงานฟรี อย่าง เหมาะสม จะต้องมี คนมาดูแล รับผิดชอบ เป็นกรมๆ กองๆไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่อง ทำไม่ได้ เรื่องทำได้ ทำกันให้เป็น ระบบระเบียบ

สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น สักวันหนึ่งอาตมาว่า คิดว่าไม่ถึง ๕๐๐ ปีหรอก ไม่ถึง ๕๐๐ ปี ตอนนี้เห็นไรๆ ใช่ไหม ยิ้มทำไม ไม่เชื่อใช่ไหม อะไรมันเร็ว รำๆ ไรๆ เอ้าจริงนา.. เพราะฉะนั้น มันจะเร็ว มันก็อยู่ที่ ความจริง ที่พวกเรา ได้สร้างสรร กันขึ้นมา ถ้าพวกเราช่วยกันสร้างสรร ให้แข็งแรงจริง อาตมายังคิด บอกตรงๆนะ.. ประเทศไทย จะเป็นมหาอำนาจ ในอนาคต เพราะมันม ีสิ่งที่ดี อันนี้แหละ ที่จะไปกอบกู้ โลกทั้งโลก เพราะโลกทั้งโลก ยังอยู่ในระบบ ของโลกียะ ยังอยู่ในระบบ ทุนนิยม..."

รักข์ราม. ๕ ก.ย. ๒๕๕๐


 

รัฐศาสตร์บุญนิยม...นวัตกรรมการเมืองใหม่
วิถีพุทธ วิถีธรรม วิถีอาริยะ
สิงหาคม-กันยายน ๒๕๕๐

ต้นเดือนสิงหาคม มีข่าวการทุ่มงบประมาณ ๑,๒๑๙,๕๗๘,๔๓๙.๓๑ บาท สร้างภาพยนตร์ พระไตรปิฎก ตามมติของ มหาเถรสมาคม โดยการสนับสนุน ของรัฐบาล ๗๗๔,๕๒๙,๗๗๗ บาท ที่เหลือ เป็นเงินที่ได้จาก การบริจาค จากประชาชน ทั่วไป และ การประชาสัมพันธ์สินค้า มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย เป็นผู้ดำเนินการสร้าง ในระยะเวลา ๕ ปี เป็นการอนุมัติ มาตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ สมัย รัฐบาลชุดที่แล้ว แต่แทบไม่ปรากฏ เป็นข่าว เพิ่งจะเป็นข่าว ก็ต่อเมื่อ มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ถึงภาพลักษณ์ ของนักแสดง เป็นองค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นนายแบบ แนวสยิว กำหนดเปิดกล้อง อย่างเป็นทางการ ในวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๐ สื่อบางฉบับ ตั้งข้อสังเกต ให้คิดว่า ทำไมงบที่สูง นับพันล้านอย่างนี้ กลับเงียบสนิท รู้กันเพียง มหาเถรสมาคม กับกระทรวงวัฒนธรรม แล้วเอ่ยนาม พาดพิงไปถึง พระราชาคณะ ระดับสูงรูปหนึ่ง อย่างทิ้งค้างไว้อย่างนั้น ปล่อยให้ ผู้บริโภคข่าวสาร คิดกันเอง

นอกจากนี้บทความดังกล่าว ยังตั้งประเด็นคำถาม ที่ไม่มีใครกล้าตอบ เพราะเป็นเรื่องของ ผลงาน ที่จะเกิดขึ้น ในอนาคต ...คุ้มค่าไหม กับเงินลงทุน ที่มากมาย มหาศาลอย่างนี้ ...สร้าง หรือทำลาย พระพุทธศาสนา

ต่อมา ๑๗ ส.ค.๒๕๕๐ พระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ และวางแผน มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) ในฐานะ ประธาน คณะกรรมการ โครงการ จัดสร้าง พระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับ กรณี ดังกล่าวว่า การจัดทำ พระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ มหาเถรสมาคม ได้ให้ความเห็นชอบ มาแล้ว ดังนั้น มหาวิทยาลัย มหามกุฏฯ จึงต้องทำ ให้ดีที่สุด หากมีกระแสสังคม เห็นว่า ในเรื่องใด มีความไม่เหมาะสมอีก ก็ขอให้ช่วยแจ้ง เข้ามาได้ทันที ที่มหาวิทยาลัยมหามกุฏฯ คณะกรรมการ ก็พร้อมที่จะปรับเปลี่ยน ในส่วนของนักแสดง ที่ร่วมแสดง ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทุกคน ยังไม่มีการ ทำสัญญา เพียงแต่ มีการคัดตัวมา และถ่ายรูป มาให้ดูว่า เหมาะสม กับบทต่างๆ หรือไม่เท่านั้น ยืนยันว่า จะไม่มีการล้ม โครงการนี้ แน่นอน เพราะเป็น โครงการที่ดี เป็นโครงการ ที่ทำขึ้น เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว และ ยังเป็นโครงการ ที่ทำขึ้น เพื่อชาวพุทธทั้งโลก ให้สามารถ เข้าถึง คำสอนใน พระไตรปิฎก ได้ง่ายขึ้นด้วย

วันเดียวกันที่ทำเนียบรัฐบาล คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึง กรณีที่ เป็นข่าวว่า โครงการดังกล่าว ได้รับอนุมัติ จากรัฐบาลแล้ว ขอชี้แจงว่า จนถึงขณะนี้ รัฐบาลยังไม่ได้ มีการอนุมัติ โครงการ จัดสร้างภาพยนตร์ ดังกล่าว เพียงแต่ในสมัยที่ตน กำกับดูแล สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทางสำนักงานฯ ได้มีบันทึก มาถึงตน เมื่อวันที่ ๑๑ ม.ค. ๒๕๕๐ ว่า มหาเถรสมาคม ได้มีมติ รับเป็นที่ปรึกษา ให้กับโครงการ จัดทำพระไตรปิฎก ฉบับภาพยนตร์ ซึ่งเป็นไป ตามที่ มหาวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย เสนอมา โดยจะจัดทำเป็น ซีดีภาพยนตร์ ส่งไปเผยแพร่ ตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ ที่มีอยู่ ๓๒,๐๐๐ แห่ง ประกอบ การเรียน การสอน ของพระสงฆ์ จึงขอให้ สำนักงาน พระพุทธศาสนาฯ สนับสนุน โดยได้ขอสนับสนุน งบประมาณมา จำนวน ๗๒๖ ล้านบาท และผู้จัดสร้าง จะไปขอรับ บริจาคเอง อีกประมาณ ๕๐๐ ล้านบาท

คุณหญิงทิพาวดีกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ได้วิเคราะห์แล้วเห็นว่าเป็น โครงการที่มีประโยชน์ แต่จะต้อง มีการตั้งงบผูกพัน ไปถึง ๕ ปี และต้อง ตั้งคณะ กรรมการ ขึ้นมาดูแล เนื้อหาสาระข้างใน ถ้าจะดำเนินการ จริงๆ จะต้องดำเนินการ ไปตามระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการจัดซื้อ จัดจ้าง โดยไม่ให้มี การผูกขาด เมื่อมีการส่งเรื่อง มาถึงตน ได้บอกว่า ควรจะจัดทำเป็นรายละเอียด อย่างรอบคอบ มาให้ดูกันก่อน แล้วเรื่องก็ เงียบหายไป กระทั่งมาถึง เดือน เม.ย. ๒๕๕๐ ได้มี การเปลี่ยนแปลงงาน โดยตนไม่ได้มีหน้าที่ กำกับดูแล สำนักงาน พระพุทธศาสนาฯ แล้ว ดังนั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาฯ จึงได้จัดทำ รายละเอียด คำขอ ตั้งงบประมาณ เสนอไปที่ นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์

รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้เข้ามากำกับดูแล พศ.แทน ดังนั้น ข่าวที่ระบุว่า ได้อนุมัติ งบประมาณไปแล้ว จึงไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่ได้มี การอนุมัติ และยังไม่ได้ มีการขอตั้ง งบประมาณไว้ แต่อย่างใด รมต. ประจำ สำนักนายกฯ กล่าวอีกว่า ในหลักการแล้ว การจัดทำพระไตรปิฎก เป็นภาพยนตร์ เห็นว่าเป็นประโยชน์ อยากจะเห็น สังคม ได้ช่วยกัน ให้กำลังใจ แก่ผู้ทำความดี แต่เสียงติติง จากฝ่ายต่างๆ ถึงความเหมาะสมหรือไม่ ผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ต้อง นำมาประกอบ การพิจารณา ไม่อยากจะให้เรื่องดีงาม ที่จะทำประโยชน์ แก่สังคม ต้องกลายมาเป็นเรื่อง โต้แย้งกัน อยากให้การทำงานร่วมกัน เป็นไปอย่าง สร้างสรรค์ น้อมรับ คำวิจารณ์กัน ด้วยความเมตตา

ประชาธิปไตย...ประชาธิปไตย...ประชาธิปไตย หวังอะไรในหล้า อำนาจเก่า...อำนาจนี้...อำนาจหน้า

การเมืองไทย ณ เวลานี้ ยังเต็มไปด้วยการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ กลุ่มอำนาจเก่ามีความพยายาม ทุกวิถีทาง ที่จะฟื้นกลับมา มีอำนาจอีก ประกาศคำเท่ๆ ว่า ขอมาทวงคืน ประชาธิปไตย

ขณะที่การชำระสะสางความผิดการทุจริตการปฏิบัติมิชอบของกลุ่มอำนาจเก่า ยังไม่สามารถทำได้อย่างเสร็จสิ้น เด็ดขาด

รัฐบาลขิงแก่ได้รับการขนานนามเพิ่มว่า ฤๅษีเลี้ยงเต่า คือ อืดอาด ยืดยาด ชักช้า พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ผู้มีอำนาจ หลายท่าน ดึงเรื่องไว้ ทำให้การชำระ สะสาง ความผิดของรัฐบาล ชุดที่แล้ว ไม่คืบหน้า เท่าที่ควรจะเป็น

จะไปเอาผิดอะไรกันนักหนา แค่อำนาจเก่าลงจากอำนาจได้ ก็น่าจะพอแล้ว" หลายท่านคิดเช่นนี้

สมานฉันท์ ถูกนำมาใช้เป็นดุจยัญพิธีของบุคคลหลายฝ่าย ใช้เมื่อใดก็ได้คะแนน ฟังแล้ว ผู้พูดดูดี ดูมีจิตใจเอื้อเฟื้อ รักความสงบ ตรงใจกับ ประชาชน ส่วนใหญ่ ทั้งฝ่าย อำนาจเก่า และชาวบ้าน ที่เฉยเมยกับ ปัญหาบ้านเมือง มุ่งแต่ทำมา หากินเลี้ยงตน และครอบครัว ชาติบ้านเมือง เอาไว้ใช้ ตอนยืนตรง เคารพธงชาติ เท่านั้น ชาวบ้านเหล่านี้ รำคาญ เต็มที กับการวิพากษ์ วิจารณ์ วิเคราะห์ ถกเถียง เรื่อง ของชาติบ้านเมือง แต่ก็พร้อมจะรับผลประโยชน์ แม้เล็กๆ น้อยๆ ได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด ที่หยิบยื่น ให้ ไม่ว่าจะเป็น อำนาจเก่า อำนาจนี้ หรือ อำนาจหน้า อำนาจไหนๆ ก็ไม่เกี่ยง ใครจะทุจริต โกงกินชาติบ้านเมืองอย่างไร ข้าไม่สน ความยุติธรรม คือ ข้าได้อะไร

ผู้ที่เอ่ยอ้างคาถา สมานฉันท์" จะเป็นเพราะ ทิฏฐิ ที่เชื่อเช่นนั้นจริงๆว่านี้เป็นแนวทางเดียวในการแก้ปัญหาบ้านเมือง หรือ อาจจะเป็นเพราะ ผลประโยชน์ ที่เคยได้ และ เกรงกลัว การตรวจสอบความผิด จะลาม มาถึงตน คำว่า เกียร์ว่าง จึงเกิดขึ้นกับ ข้าราชการ และนักการเมือง ที่เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง

คาถา สมานฉันท์จึงทำให้ตนมีแต่ได้

ขณะเดียวกับที่รัฐบาลขิงแก่เร่งรีบสร้างภาพ ส่งเสริมประชาธิปไตย โดยหลักการ จะต้องมีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง การจัด ให้มีการ ลงประชามติ ทั่วประเทศ รับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐ ก็เป็นภาพหนึ่ง ของการส่งเสริม ประชาธิปไตย

๑๕ ส.ค.๒๕๕๐ ก่อนวันลงประชามติ (๑๙ ส.ค.) มีข่าวอธิบดีอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ มอบหมาย จับ พ.ต.ท.ทักษิณ และภริยา ให้ตำรวจ สืบหาตัว อีกชุด มอบให้ กระทรวง ต่างประเทศ ส่งต่อไปอังกฤษ ในคดีจัดซื้อที่ดิน ย่านรัชดาภิเษก เนื่องจาก ทั้งสองท่าน ไม่ได้มา ตามที่ศาลได้นัดไว้ ก่อนหน้านี้

ข่าวจากผู้จัดการออนไลน์ ๑๐ ส.ค. ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - สมเกียรติ" นักวิชาการ โคราช แฉ อีก ๙ จังหวัด ภาคอีสาน เคลื่อนไหว ทุ่มเงิน คว่ำร่าง รธน.รุนแรง เปิดโปง กลยุทธ์ วิชามาร ๕ รูปแบบ ล้มร่าง รธน. กลุ่มนักการเมือง อำนาจเก่า ทั้งการซื้อ ให้ลงประชามติไม่รับ -ปลุกระดมถึง หมู่บ้าน -ระดมหัวคะแนนปฏิบัติการ -ซื้อบัตร ปชช. -ใช้พระ เป็นเครื่องมือ มีศูนย์กลางอยู่ที่ วิทยาลัยสงฆ์ ขอนแก่น ชี้เป็นศึก จัดแบ่งเกรด อดีต ส.ส.ทาสรักแม้ว" เพื่อจะเพิ่มค่าตัว และพิสูจน์ ความจงรัก ภักดี ต่อนายใหญ่ แนะ กกต. สับเปลี่ยน แบ่งเขต เลือกตั้งใหม่ ทั้งหมด เพื่อล้างบาง นักการเมือง ซากเน่า และมาเฟียท้องถิ่น ที่ผูดขาด หากินกับ ประเทศชาติ มาช้านาน

ข่าวจากหนังสือพิมพ์แนวหน้า ๑๘ ส.ค. นายไพรวัลย์ ศกภูเขียว รองประธานกลุ่ม ธรรมาภิบาล ได้นำหลักฐาน การคว่ำ ร่างรัฐธรรมนูญ ของกลุ่ม อำนาจเก่า ใน จ.นครพนม ไปมอบให้กับ นต.ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานกมธ. ยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งหลักฐานดังกล่าว มีทั้งเสื้อยืด ใบปลิว และ เงิน ๒๐๐ บาท ที่กลุ่มธรรมาภิบาล แฝงตัวเข้าไป เก็บหลักฐานมาได้ และว่ากลุ่มอำนาจเก่า จะแจกเงิน อีกครั้ง ในคืนวันที่ ๑๘ สิงหาคม

นอกจากนี้ข้อมูลจาก กกต. หลายจังหวัดมีการแจกใบปลิว คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ นาย อภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า ใบปลิวหลายแห่ง ผลิตจาก แหล่งเดียวกัน จากการวินิจฉัยแล้ว มองได้ว่า คนปกติ หากมีเงิน ก็คงไม่ทำกัน และมองอีกว่า คนธรรมดา คงไม่มีข้อมูล ทะเบียนราษฎร์ ของประชาชน ถึงขนาด ส่งจดหมาย กระจาย ได้ทั่วประเทศ เช่นนี้ จึงตั้งข้อสังเกตว่า บุคคลที่ทำในลักษณะนี้ มีความสำคัญ ในระดับประเทศ แต่ไม่เจาะจงว่า ใครเป็นคนทำ

ผลการลงประชามติ รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐" เห็นชอบ ๕๖.๖๙ % ไม่เห็นชอบ ๔๑.๓๗ % มีผู้ไม่เห็นชอบ ร่างรัฐธรรมนูญ สูงถึง ๒๔ จังหวัด แบ่งเป็น ภาคเหนือ ๗ จังหวัด (จากทั้งหมด ๑๕ จังหวัด) และภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ๑๗ จังหวัด (จากทั้งหมด ๑๙ จังหวัด)

ผลจากการนี้สะท้อนให้เห็นว่า อำนาจเก่ายังคงมีอิทธิพล และอาจฟื้นกลับมา มีอำนาจอีกได้ นั่นคือ การเมือง จะกลับไปสู่ วังวนเดิมๆ การต่อสู้ แย่งชิงอำนาจ และ ผลประโยชน์ จะหยาบร้าย รุนแรง มากยิ่งขึ้น

อันเนื่องมาจากข่าวนักการเมืองผู้สูงวัยประกาศล้มทุกอย่างของ คมช. และ คตส.

พ่อท่านฯเห็นข่าวแล้วยิ้มหัว เออ..เขาใช้สมองส่วนไหน คิดออกมาได้นะ เป็นหัวหน้าพรรค เป็นผู้นำเขาแล้ว แสดงความอาฆาตแค้น ออกมาอย่างนี้ แล้วจะเอาอะไร ไปนำเขา ทำเหมือน เด็กคะนองๆๆ

นักเลือกตั้ง และ ลากตั้ง วันนี้ไม่ต่างอะไรจากเมื่อวันวาน ยังคงมุ่งหน้าแย่งชิงอำนาจ และ ผลประโยชน์ มาสู่ตน และ บริวาร ว่านเครือ อุดมการณ์ และผลประโยชน์ ของประเทศชาติ และประชาชน เอาไว้ตีฝีปาก อ้างเอ่ยนโยบาย งามเลิศ เหนือใคร ในปฐพี ลวงหลอกประชาชี ให้เคลิบเคลิ้ม ตอนหาเสียง และเวลา อยู่หน้าจอทีวี

ถ้ายังจำเหตุการณ์ปี ๒๕๓๕ ได้... เทพในวันนั้นคือมารในวันนี้ และมารในวันนั้นกลายพันธุ์ มาเป็นเทพในวันนี้ ดังนั้นเทพในวันนี้ จะกลายพันธุ์ กลับเป็นมารอีก ในวันหน้า จึงเป็นเรื่องที่ เป็นไปได้สูง มากๆ ตราบใดที่เทพผู้นั้น ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม จนเกิดมรรคผล ถึงขั้น หลุดพ้นแล้ว จากโลกธรรม

มารที่น่าสงสารมากที่สุดก็คือ มารพันธุ์แท้ ไม่ว่าจะวันนั้น-วันนี้-วันหน้า เธอก็ยังสมาทาน เป็น มารตลอดชีพ

สิ่งสำคัญที่พึงตระหนัก คือ เทพ-มาร ไม่ได้มีแต่นักเลือกตั้ง ไม่ว่าจะฐานันดรใดๆ สื่อ นักวิชาการ ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่ ผู้ทรงศีล หรือทรงสมณศักดิ์ ทั้งหลาย พระเถร -เณร -ชี-นักพรต -นักบวช -สมณะ ที่ดูเป็นเทพ ในวันนี้ โอกาสที่จะกลายกลับเป็นมาร ในวันหน้า ย่อมเป็นไปได้ เช่นกัน ตราบใดที่ยังไม่หลุดพ้น จากโลกธรรมทั้งปวง

อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้รู้ที่ทวนกระแสสังคมอีกท่านหนึ่ง ได้ให้ข้อเตือนใจกับพวกเราที่ งานปลุกเสกฯ ปี๔๙ อย่าได้หวังพึ่ง เทวดา ฟ้าดินที่ไหน พวกเราต้อง รวมตัวกัน ให้แน่น และพึ่งกันเอง

คุณสุรเธียร จักรธรานนท์ ผู้มีข้อมูลลึกๆในหลายๆเรื่อง ก็ได้ให้ข้อคิดเตือนใจพวกเราเช่นกัน ในงานปลุกเสกฯปี๔๙ ชาวอโศกต้อง รวมตัวกันไว้ให้ดี อย่าได้ไปหวัง พึ่งใคร ที่ไหน พึ่งตน พึ่งหมู่กลุ่ม ชาวอโศกกันเอง

เมื่อต้นปีนี้คุณสุรเธียรยังได้เสนอแนะทิศทางท่าทีที่ชาวอโศก ควรก้าวต่อไป อย่างน่าใคร่ครวญ รับฟังยิ่ง... สงคราม มหาภารตยุทธ์นี้ ยังไปอีก ยาวนานแน่ ไม่จบง่ายๆ อะไรที่ยัง ไม่จำเป็น ก็อย่าเพิ่ง ไปร่วม ให้เปลืองตัวมากไป เก็บเรี่ยวแรง เก็บกำลังไว้ใช้ ในครั้งคราว ที่จำเป็น เท่านั้น ก็พอ

****************

พระพุทธเจ้าเป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเลิศ ปลดแอก...เลิกทาส...สุดยอดประชาธิปไตย

เดือนกรกฎาคม-สิงหาคม ที่ผ่านมา พ่อท่านฯได้กล่าวในหลายที่หลายแห่ง ยกย่องพระพุทธเจ้าว่า เป็นสุดยอด นักรัฐศาสตร์ พุทธศาสนา เป็นประชาธิปไตย อย่างยิ่ง

พระพุทธเจ้าเป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเอกที่ทำให้ประชากรของรัฐ ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม เพราะ ประชากรในรัฐ ไม่ทำความไม่ดีทั้งปวง สัพพปาปัสสะ อกรณัง ทำแต่ที่ดีๆ เท่านั้น กุสลัสสูปสัมปทา ทำจิตให้สะอาดจากกิเลส สจิตตปริโยทปนัง กระทั่ง ดับเหตุตัวร้ายในจิต "ที่เป็นตัวการ" สำคัญ ซึ่งมีอำนาจในตน จนกระทั่ง สำเร็จสัมบูรณ์ อย่างได้จริง เป็นจริง เมื่อคนในสังคมส่วนมาก ไม่ทำความไม่ดีทั้งปวง ทำแต่ที่ดีๆ เท่านั้น ทำจิตให้สะอาด จากกิเลสได้จริง แม้จะมีคุณธรรม ต่ำบ้าง สูงบ้าง และที่สุดสูง จนสัมบูรณ์ สะเด็ดสนิท สังคมก็อยู่เย็น เป็นสุข แน่นอน

โดยมีสูตรสำคัญคือ มรรคองค์ ๘ ซึ่งปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวัน ทุกขณะ ทุกกรรมกิริยา ไม่ต้องปลีกเวลา ไปปฏิบัติ ต่างหากเลย สำหรับศาสนาพุทธ ที่สัมมาทิฏฐิ เมื่อสา มารถลดละกิเลสได้ ปัญญาความดำรินึกคิดดีขึ้นแน่....สัมมาสังกัปปะ การพูดจาก็ไม่เป็นภัยแก่ตน แก่ผู้อื่นแน่นอน....สัมมาวาจา การงาน การกระทำ ทุกกรรม ไม่เป็นพิษ เป็นภัยแก่ตน แก่สังคมแน่ๆ.... สัมมากัมมันตะ ประกอบอาชีพที่ดีๆ แก่ตน แก่สังคมทั้งนั้น ....สัมมาอาชีวะ ซึ่งสังคมเป็นเช่นที่กล่าวนี้ได้ เพราะปฏิบัติมรรค "ทั้ง ๗ องค์" อย่าง "สัมมาทิฏฐิ" จึงเกิด "สัมมาสมาธิ -สัมมาญาณ -สัมมาวิมุติ"

สัมมาสมาธิของพระพุทธเจ้า ได้จากการปฏิบัติ "มรรคอันมีองค์ ๘" ไม่ใช่ได้จากการนั่งหลับตา ทำสมาธิ แบบเพ่งกสิณ ทั้งหลาย จึงเป็นสมาธิ ที่ได้แล้ว ก็เป็น "สัมมาสมาธิ" ที่อยู่ใน คนสามัญลืมตา มีชีวิต ปกติ ไม่ต้องปลีกเวลา ไปปฏิบัติ ให้มี "สมาธิ" ในรูปของการนั่งหลับตา ปฏิบัติเอา

สัมมาญาณของพระพุทธเจ้า คือ ผู้บรรลุมีปัญญาขั้น "วิชชา" รู้แจ้งเห็นจริงมรรคผลของ ตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ

สัมมาวิมุติของพระพุทธเจ้า คือ กิเลสดับสนิทอย่างไม่มีตัวตน(อนัตตา) ตนหลุดพ้นจากโลกีย์ อย่างถาวร ยั่งยืน ชนิดที่ตน ก็ยังอยู่กับ โลกีย์อื่นๆ ไม่ใช่ต้องห่าง ต้องพราก จากชาวโลกีย์อื่นๆ และช่วยชาวสังคม โลกีย์เขา อย่างเป็น คุณค่า แห่งความเป็นมนุษย์ ผู้มีพรหมวิหาร แท้จริง

คนที่..ไม่ทำความไม่ดีทั้งปวง ทำแต่ที่ดีๆเท่านั้น ทำจิตให้สะอาดจากกิเลสได้จริง อย่างเป็นจริง ยั่งยืน มั่นคง ถาวร เพราะจิตตั้งมั่น แข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลงถาวร นี่คือ สัมมาสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิ ที่ไม่ต้อง นั่งหลับตาทำเอา แต่เป็นสมาธิ หรือจิตที่ดับกิเลส นั้นๆได้แล้ว อย่างตั้งมั่นแข็งแรง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเป็นมรรคผลจากการปฏิบัติมรรค ทั้ง ๗ องค์" จนบรรลุอาริยผลสัมบูรณ์ เป็น สัมมาสมาธิ -สัมมาญาณ-สัมมาวิมุติ" เมื่อสัมบูรณ์แล้วก็คือ จบกิจ" ไม่ต้องไปนั่งหลับตา ทำสมาธิกันแล้วๆ เล่าๆ ไม่รู้จบ สังคมประชากร ที่มีคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ในสังคมกลุ่มชนใด ในรัฐใด ในประเทศใด ก็ต้องอยู่เย็นเป็นสุขสงบ อบอุ่น ยั่งยืน แน่นอน

นี่คือสุดยอดของรัฐศาสตร์ พระพุทธเจ้าบริหารคน สอนทั้งรูปธรรมของอาชีพ..สัมมาอาชีวะ และทั้งมารยาท สังคมพระพุทธ เจ้าก็สอน....รูป ธรรมของการเป็น อยู่..สัม มากัมมันตะ -สัมมาวาจา ทั้ง นามธรรมของการเป็นอยู่..สัมมาสังกัปปะ สอนครบหมดทั้งนอกใน

พระพุทธเจ้าประกาศรัฐศาสตร์นี้ ในยุคนั้นยังเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช มีระบบชนชั้นวรรณะ เป็นสังคมทาส แต่ทาสผู้ใด-คนวรรณะใดมาบวช เป็นภิกษุ ไม่ว่าจะทาส ระดับไหน มาจากชั้นวรรณะไหนๆ ก็จะได้รับการปลดแอก อย่างแท้จริง มีอิสระเสรีภาพ"เท่าเทียมกันทุกคน ทุกคน มีสิทธิเท่าเทียมกัน หนึ่งคน มีสิทธิออกเสียง หนึ่งเสียงเท่า เทียมกันหมด ถือเป็นอิสระเสรี จากระบบชนชั้น แท้จริง ถ้าว่าไปแล้ว ยิ่งกว่าคนยุคนี้ด้วยซ้ำ ไม่มีศักดินา แม้วรรณะกษัตริย์เอง ก็ต้องแสดงความเคารพ คารวะ ผู้มี วรรณะต่ำ ที่เป็นภิกษุ ผู้บวชก่อน เสมอกันด้วยศีล เสมอกันด้วย ทิฏฐิปัญญา

และเมื่อเกิดการขัดแย้งกัน ต่างกันด้วยอุเทศ ต่างกันด้วยการประพฤติปฏิบัติ ไม่เสมอสมานกันด้วยศีล จนมีความแตกต่าง ที่เข้ากันได้ยากถึงขีด ถึงขั้นชัดเจนและต่างคน ต่างยึดทิฏฐิกันแล้ว พระพุทธเจ้าก็สอนหลักนานาสังวาสให้ เพื่ออยู่ร่วมกันได้ อย่างเป็นอยู่สุข ด้วยกันทุกฝ่าย หลัก"นานาสังวาส" นี้ก็เป็นนิติศาสตร์ หรือ กฎหมายของ พระพุทธเจ้า ที่ลึกล้ำ สำคัญสุดยอด

พุทธศาสนาสอนและให้จัดการเรื่องกุศล-อกุศล ผิด-ถูก ดี-ชั่ว สอนความเป็นอยู่สุข-ทุกข์ ของตน และของคนในสังคม พัฒนาความเป็นอยู่สุข ของตน ของคน ในสังคม จนกระ ทั่ง จัดการต้นเหตุ"ได้จริง ถึงขั้นจิตวิญญาณ จัดการพฤติกรรมภายนอก ได้ด้วยอย่างดี

ขณะที่รัฐศาสตร์เป็นวิชาว่าด้วยการบริหารประชาชน ในเรื่องของกุศล-อกุศล ผิด-ถูก ดี-ชั่ว จัดการความเป็นอยู่สุข-ทุกข์ ของคนในสังคม พัฒนาความเป็นอยู่ สุขของคน ในสังคม เช่นกัน ตรงกัน แค่ไม่ครบสมบูรณ์ลึกซึ้ง ถึงขั้นจิตวิญญาณ เหมือนพุทธศาสตร์เท่านั้น นั่นคือ รัฐศาสตร์เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของพุทธศาสตร์

พ่อท่านฯพยายามสื่อให้สังคมรับรู้ว่าศาสนากับการเมืองแยกขาดจากกันไม่ได้ เป้าหมายเพื่อ ประโยชน์สุข ของมวลมนุษย์ ไม่ต่างกัน แม้หน้าที่และวิธีการ จะต่างกัน แต่ศาสนา ควรจะเป็นแกนหลัก เป็นปุโรหิต ให้กับการเมือง ไม่เช่นนั้น การเมืองจะไร้คุณธรรม สังคมจะพังพินาศ แต่ดูเหมือนว่า สังคมส่วนใหญ่ ยังไม่เข้าใจ ยังเห็นว่าศาสนา ไม่ควร เข้ามาเกี่ยวกับการเมือง

พ่อท่านฯเห็นว่า รัฐศาสตร์หรือการเมืองในปัจจุบันล้มเหลวตรงที่ ไม่เน้นการสร้างคน ไม่มุ่งเน้นการสร้าง ความประพฤติ หรือ จรณะของคน ไปมุ่งเน้น แต่การสร้าง เงินกับการ สร้างงาน ทำให้ การเมือง กลายเป็นเรื่องของ การแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์เพื่อตน และพรรคพวก แทนที่จะ เสียสละให้กับสังคม"

ประชาธิปไตยเป็นเพียงภาษาเท่ๆของนักการเมืองที่ใช้อ้างอาศัย แต่เนื้อหาถูกครอบงำไว้ด้วย ธุรกิจของกลุ่มทุนต่างๆ และนั่นก็คือ ทิศทางการบริหาร ปกครองไ ม่พ้นไป จากทุนนิยม ไม่ว่าจะพรรคไหน รัฐบาลใดก็ดำเนินไปในเงาร่างของทุนนิยมทั้งสิ้น

รัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เหตุสำคัญก็มาจากธุรกิจการเมือง นักการเมืองประพฤติทุจริต

๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐ เป็นวันลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับ ๒๕๕๐ นี้ เป็นครั้งแรกในไทยและของโลกที่ให้ประชาชนร่วมลงมติทั้งประเทศ

พ่อท่านฯดำริที่จะให้สมณะที่พร้อมไปร่วมลงประชามติด้วย เป็นเรื่องปุบปับที่สมณะหลาย ท่านยังงงๆและสงวนท่าที

วันจันทร์ที่ ๑๓ สิงหาคม ได้รับโทรศัพท์จากสมณะบินบน ถิรจิตโต สอบถามเรื่องที่ พ่อท่านฯดำริจะให้สมณะไปลงประชามตินั้นมีรายละเอียดเป็นอย่างไร

พ่อท่านฯตอบรับ : ใช่ ไปร่วมลงประชามติได้ มันไม่ได้ลำบากลำบนอะไรนัก แต่ถ้าถึงขนาดต้องข้ามจังหวัดก็ไม่จำเป็น ยิ่งจำพรรษาอยู่ด้วย ให้เฉพาะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่เดือดร้อนอะไรในการเดินทาง

สมณะบินบน : แล้วถ้ามีสมณะไปลงมากๆจะมีผลไหม

พ่อท่านฯ : มวลมากก็ได้ มวลน้อยก็ได้ มันก็ธรรมดา ถ้ามวลมากมันก็เป็นจุดสนใจ มันก็เป็นจุดเด่น แต่เราไม่ได้ทำเพื่อที่จะให้มันเป็นข่าว แต่เราไปทำหน้าที่อันนี้ เป็นเรื่องช่วย กัน เป็นเรื่องของประชาชน อย่างหนึ่งที่ผมเองรู้สึกว่าคราวนี้น่าจะทำ ก็เพราะว่าเหตุการณ์คลี่คลายในเรื่องของ การเมืองกับเรา ที่เขาบอกว่า พระเล่นการเมือง ไม่เล่นการเมืองนี่ ในคราวนี้ มันไม่ได้ไปลงคะแนน ให้นักการเมือง มันไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องการเมืองทีเดียว ถ้าไปลงเลือกคะแนนเสียง เลือกตั้ง ผู้แทนต่างๆ ไม่ว่าจะ ส.ส. ส.จ. อะไรก็แล้ว แต่ นั่นมันชัด นี่มันไม่ใช่ไปเลือกตั้งนักการเมือง แต่เป็นเรื่องของ เสียงประชาชน เป็นการลงประชามติ เป็นเรื่องของ หน้าที่พลเมืองดี เป็นเรื่องให้ประ ชาชนลงมติใน หลัก เกณฑ์ของประเทศ ที่มีผลต่อประชาชนทุกคน ไม่ละเว้นใครเลย ในประเทศ เราก็ต้อง อยู่ภายใต้ หลักเกณฑ์นี้ แล้วจะให้เรา ไม่มีสิทธิ์ออกเสียง กระนั้นหรือ "

ส.บินบน : ทีนี้ถ้าสมณะเราไปแล้วเจ้าหน้าที่เขาบอกว่าท่านไม่เหมาะที่จะลงคะแนน แล้วเรา ควรจะทำอย่างไร

พ่อท่านฯ : เราก็ชี้แจงกับเขาดีๆว่า เราเองก็เป็นประชาชนที่มาใช้สิทธิ ตามที่ได้รับแจ้ง รายชื่อให้มีสิทธิมาลงประชามติได้ เราเองก็ต้องปฏิบัติ ภายใต้รัฐธรรมนูญ เหมือนกัน รัฐธรรมนูญ จะดีหรือไม่ดี มันก็มีผล มาถึงเราด้วย

ส.บินบน : ตามระเบียบของทางราชการ ผู้มีรายชื่อ จึงจะมีสิทธิลงคะแนนได้ แล้วถ้าเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า ไม่อยากให้ศาสนา เข้ามายุ่งกับการเมืองล่ะ

พ่อท่านฯ : เราไม่ได้ไปยุ่งกับการเมือง

ส.บินบน : แต่คนทั่วไปเขาไม่เข้าใจ

พ่อท่านฯ : คนโดยทั่วไปไม่ได้เข้าใจง่ายๆหรอก ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาของคนโดย ทั่วไปยังตื้นเขิน แต่เรากำลัง ทำความเข้าใจ กับสังคมเขา

ส.บินบน : สังคมทั่วไปเขาจะมองในเชิงลบมากกว่าบวก

พ่อท่านฯ : เขาย่อมเข้าใจเชิงลบแน่นอน เพราะคนโดยทั่วไปยังยึดถือตามค่านิยมที่ถือ ตามๆกันมาเก่าๆ ยังไม่เข้าใจคำว่า การเมืองดีพอ ยังไม่เข้าใจ ศาสนาดีแท้ เรากำลัง อธิบาย อยู่ อันนี้ มันเสริมคำอธิบายอันหนึ่ง ของผมด้วยว่า การเมืองนั้น จะแยกขาด จากศาสนาไม่ได้ เราก็ค่อยๆ เขยิบๆ เข้าไปเรื่อยๆ เหมือนกัน

แต่ความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ย่อมเข้าใจเป็นเชิงลบแน่นอน มันเหมือนกับที่เรามาทำงานศาสนาหลายๆอย่าง ที่เขาเห็น เป็นตรงข้าม เขาบอกว่าไม่ถูก อย่างนี้ มันเป็นขบถ เป็นพวกนอกรีต เขาย่อมเข้าใจ อย่างนั้นแน่นอน เป็นแต่เพียงว่า เรากำลังจะทำให้เขา เข้าใจการเมือง เข้าใจศาสนา เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจการเมือง และศาสนา ดีพออยู่แล้ว เรากำลังทำให้เขาเข้าใจ มันเป็นวิธีหนึ่ง เป็นช่วงดีอันหนึ่ง

การลงประชามติอย่างนี้มันยังไม่เคยมีในโลก ประเทศไหนก็ยังไม่เคยมี เป็นครั้งแรกในโลก อันนี้จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ใดเลย ถ้าเขาจะว่า พระมาลงไม่ได้ ก็ต้องอธิบายว่า อันนี้ มันไม่ใช่ไปเลือก ส.ส.นี่ มันไม่ผิดกฎหมายนี่ เป็นการไปทำหน้าที่ พลเมืองดี ไปลงมติ รัฐธรรมนูญ ที่เราก็อยู่ ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ เราไม่ได้อยู่ นอกรัฐธรรมนูญนี้ เราเป็น ประชาชน ที่ต้องอยู่ ในรัฐธรรมนูญนี้ หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราเป็นคนไทย

จริงๆแล้วมันคาบเกี่ยวหลายๆอย่าง ของเรามีรายชื่อ ส่งมาจากทางเขต ให้ไปใช้สิทธิได้ อันนี้ ก็ไม่ได้ขัดแย้ง กับกฎหมายอยู่แล้ว เรามีชื่อ เราก็ไปใช้สิทธิ กฎหมายเขาห้าม นักพรต นักบวช พระ ภิกษุเถรสมาคม เขาไม่ถือว่า เราเป็นนักพรต นักบวช พระ ภิกษุเถรสมาคม ตามกฎหมายทีเดียว ทั้งทาง เถรสมาคม ทั้งทางรัฐบาล ขณะนั้น ท่านให้เราเป็นสมณะ ก็ตัดสินตกลงกัน เรียบร้อยแล้ว เราจึงเป็นสมณะจริง ทั้งทางโลก ทางธรรม ไม่ใช่เราแกล้ง ตั้งตนเอาเอง ให้เราไปทำ บัตรประชาชน เราก็ไปทำ นี่คือเรื่อง จริงที่เกิด จริงเป็นความ จริงทั้งสิ้น ไม่ใช่เราอยากทำ หรือเราแกล้งทำ เอาเองด้วย ไม่ใช่เราเล่นเล่ห์ เล่นลิ้นใดๆ เมื่อเราไปใช้สิทธิ เขาบอก ต้องมีบัตรประชาชน ไปแสดง เราก็มี บัตรประชาชนแสดง ตาม หลักเกณฑ์แท้ เลขอะไร มันก็มี ตรงตามทะเบียน ถึงแม้ว่า การเลือก ส.ส. เราจะมีรายชื่อ ให้ไปใช้สิทธิ์ ลงคะแนน เหมือนกัน แต่ว่าอันนั้น มันยังไม่อยู่ ในกาละอันสมควร เราจึงยัง ไม่ได้ไป เราประมาณอยู่ว่า ยังดูไม่ใช่กาละอันควร เท่านั้น เราจึงยังยับยั้งอยู่ แต่ก็ยังเคยมี สมณะเรา ไปลงคะแนนเสียง เลือก ส.ส. อยู่ครั้งหนึ่งนะ คือ ท่านจันทร์ไง เจ้าหน้าที่ก็ให้เลือกได้นี่ ก็ไม่เห็นผิดประหลาดอะไร แต่เอาเถอะ ถ้าเผื่อเราจะไปเลือกตั้งส.ส. กันจริงๆ ก็คงจะเป็นโอกาส อันควรจริงๆ เพราะเรามีรายชื่อ ที่สามารถไปใช้สิทธิ ได้เช่นกัน ทางการไม่ได้ตัดสิทธิ์เรา ตามกฎหมาย เพียงแต่กาละ เหตุปัจจัย ของสังคม ยังไม่ถึงกาละอันควร เท่านั้น สักวาระหนึ่ง ที่มันถึงคราว ถึงควรแล้ว เราคงได้ออกไป ครั้งนั้นเราก็อาจ จะยกขบวนกัน ไปใช้สิทธิเลือก ส.ส. ก็ได้

ส.บินบน : ในส่วนตัวพ่อท่านฯเองก็ได้ตัดสินใจว่าจะไปใช้สิทธิทำหน้าที่ตรงนี้

พ่อท่านฯ : ใช่ ผมก็เปรยว่าจะไป

ส.บินบน : พ่อท่านฯทำไปตามเหตุปัจจัย ถ้ามีข้อมูลมาอีกว่าควรไปก็ไป หรือถ้ามีข้อมูลมาอีกว่ายังไม่ควรไปก็ไม่ไป

พ่อท่านฯ : ก็ได้ ถ้ามีข้อมูลใหม่มาอีกอะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น

ส.บินบน : ครับขอบพระคุณพ่อท่านฯครับ แล้วผมจะอธิบายให้สมณะนวกะได้ทราบครับ

พ่อท่านฯ : ได้ แต่ก็ไม่ถึงกับต้องดิ้นรน เดินทางข้ามเขตข้ามจังหวัด ถ้าลำบากลำบนอย่างนี้ก็ไม่ต้อง

และในวันเดียวกันนั้น ช่วงหลังจากทบทวนพระปาติโมกข์แล้ว พ่อท่านฯได้แจ้งเรื่องต่างๆให้หมู่สมณะได้ทราบ

ในวันอาทิตย์ที่จะถึงนี้จะมีการออกเสียงลงประชามติกัน ผมมาคิดว่ามาถึงขณะนี้แล้วก็จะได้ประกาศความเป็นศาสนาพุทธว่า ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ เกี่ยวข้อง กับการเมือง พระพุทธเจ้า เป็นยอดแห่งนักการเมือง ที่เป็นการเมืองสุดยอด ก็พูดมาหลายนัย อธิบายมาหลายครั้ง หลายคราว มาถึงเหตุการณ์ คราวนี้แล้วนี่ ผมก็เห็นว่า เราน่าจะไป แสดงตัว เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เพราะจะบอกว่า การเมืองก็ยังไม่ใช่การเมือง เสียทีเดียว หลักเกณฑ์ ยังไม่เคยมีมาก่อน การลงประชามติ ของประชาชน ไม่ว่าจะเป็น นักการ เมืองหรือไม่ นักการเมือง ก็ต้องไปแสดงหน้าที่

หลักเกณฑ์ของประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญนี้ไหม ก็ให้สิทธิกับผู้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญนี้ไปใช้สิทธิได้

เรามีสิทธิเต็มที่ เพราะเราเป็นเจ้าของหน้าที่ เป็นพลเมือง เป็นหน้าที่พลเมืองดีที่ต้องไปทำ คราวนี้ก็น่าจะไป แต่ไม่ถึงกับต้องขวนขวาย ข้ามแดน ข้ามจังหวัด เพื่อเดินทางไป ใครมีทะเบียน มีสิทธิอยู่ที่ไหน ก็ไปลง ถ้าผมอยู่กรุงเทพฯ ผมยังตั้งใจจะไปเลย"

สมณะขยันยอม : วันก่อนมีผู้ใหญ่ของบ้านเมืองพูดว่า ศาสนาเป็นเรื่องของความบริสุทธิ์สะอาด การเมือง เป็นเรื่องไม่แน่นอน แต่พระก็จะให้ระบุในรัฐ ธรรมนูญว่าเป็น ศาสนา ประจำชาติ

พ่อท่านฯ : ก็ไม่ผิด แต่ก็ยังไม่ถูกตามสัจจะ ผมพูดแล้ว การจะให้บัญญัติศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เข้าไว้ในรัฐธรรมนูญ มันเท่ากับให้ฆราวาส มาปกครอง ดูแลสงฆ์ หรือเท่ากับ เอาคอเราไปสวมปลอก

ปัญหาทุกอย่างไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ ไม่ได้อยู่ที่วินัย ไม่ได้อยู่ที่หลักเกณฑ์ ไม่ได้อยู่ที่กฎระเบียบอะไร ปัญหามันอยู่ที่คน" ต่อให้ระเบียบ มันเคร่งครัด ต่อให้ระเบียบ มันวิเศษ วิเสโสยังไง คนมันก็ฉลาดเกิน มันจะเลี่ยงกฎเลี่ยง ระเบียบได้ทั้งนั้น ก็คิดดูซิ เขาขึ้นมาบริหารประเทศ เขาแก้กฎหมาย ไปกี่ข้อ แก้กฎ เพื่อซดคำโต ไปกี่อัน เลี่ยงวิธีการต่างๆ นานา ลอดตรงนั้น หลุดตรงนี้ ให้แก่ตนเอง คนมันฉลาดทั้งนั้น นอกจากฉลาดแล้ว ก็ยังโกง ฉลาดแล้วมันก็โกง แล้วก็ใช้เล่ห์ นี่เป็นเรื่องของ โทษสมบัติ ไม่ใช่คุณสมบัติ เป็นโทษสมบัติ ของมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ต้องแก้ปัญหาที่คน" เป็นหลักสำคัญ

เมืองไทยถือว่าเป็นเมืองพุทธ แม้จะไม่บรรจุลงในรัฐธรรมนูญก็ตาม ก็เป็นที่รู้กันอยู่

ธรรมาธิปไตยอันนี้มันเรื่องใหม่ มันซับซ้อนลึกซึ้งกว่าที่คนส่วนใหญ่เขาเข้าใจกัน ถ้าคิดพาซื่ออย่างนั้น เราก็ผิดตั้งแต่ ไปประท้วงแล้ว ก็ลองดู แจ้งบอกกัน เรากำลัง ให้ความรู้ กับสังคม ขึ้นไปเรื่อยๆ

เราไม่ได้คิดจะเป็นข่าวอะไร มันเป็นเรื่องของสัจธรรมที่ถึงครั้งคราวที่มันจะต้องเป็นไป ก็ ต้องเป็นไปตามกาลเวลา และเหตุปัจจัย ที่หมุนเวียน เปลี่ยนไป จึงไม่ควร ไปยึดมั่น ถือมั่น กับความคิดเห็น หรือความเชื่อเดิมๆของตน

ประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้ามีธรรมาธิปไตย ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าข้ามีตำแหน่งหน้าที่ เป็น การบริหารการทำงาน เป็นขบวนการกลุ่ม ที่สุดยอด ไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู ของกูเลย อย่างอธิกรณสมถะ ๗ วิธี ตัดสินความนี่ สุดยอด นิติศาสตร์เลย สงฆ์ทั้งหมดมีสิทธิ ในการพิจารณาความ ไม่ได้อยู่ที่บุคคลใด บุคคลหนึ่ง หรือคณะใด คณะหนึ่ง แต่อยู่ในกาล เทศะฐานะ ที่เหมาะสม ตามองค์ประกอบ ที่มีสัดส่วนอันควร

หลังจากพ่อท่านฯดำริจะไปใช้สิทธิที่บ้านราชฯอุบลฯ ซึ่งจำพรรษาอยู่ คุณไฟงานได้ประสาน ถามไปยังเขตบึงกุ่ม ได้ความว่า การใช้สิทธิ นอกพื้นที่ ในต่างจังหวัดนั้น ต้องแจ้ง ให้เจ้าที่ ทราบล่วงหน้าก่อน อย่างน้อย ๑ เดือน จึงจะใช้สิทธิ นอกพื้นที่ได้

พ่อท่านฯไม่ได้วางแผน ไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า No planning No project ทำตามเหตุปัจจัย ที่เกิดขึ้นมา อย่างปุบปับ จึงทำให้ไม่สามารถ ใช้สิทธิ ร่วมลงประชามติ ในครั้งนี้ แต่สมณะ หลายรูปที่จำพรรษาที่สันติอโศก และมีสำเนาทะเบียนบ้านที่สันติอโศก ก็ได้ไปร่วมใช้สิทธิกันกว่า ๑๐ รูป ส่วนที่อื่นๆ ก็มีบ้างเล็กน้อย เพราะส่วนใหญ่ สำเนา ทะเบียนบ้าน กับที่จำพรรษาเป็นคนละที่กัน

หลังวันลงประชามติ ดีที่สื่อต่างๆไม่ได้ทำข่าวการไปร่วมใช้สิทธิลงประชามติของสมณะให้ฮือฮา ไม่ได้ทำให้เป็นข่าวใหญ่หน้า ๑ สื่อโทรทัศน์ -วิทยุไม่แตะเลย ทั้งๆที่เป็น เรื่องที่ไม่เคย มีมาก่อน ในสังคมไทย เป็นข่าวที่น่านำเสนอ แต่สื่อไม่นำเสนอ อาจจะเป็นเพราะหวังดี เกรงว่า สังคมส่วนใหญ่ ยังรับไม่ได้ หรืออาจจะ เป็นเพราะ ยังก้ำกึ่ง ไม่ชัด เจนว่า โดยรวมแล้ว สมณะชาวอโศก ดีหรือไม่อย่างไรแท้ ด้วยหลายสิ่ง หลายอย่าง แปลกๆแตกต่าง จากสังคมส่วนใหญ่ หรืออาจจะเป็นเพราะ ไม่ชอบอยู่แล้ว จึงไม่อยากจะ ข้องแวะ หรืออาจจะเป็น...ฯลฯ สารพัดที่จะคิด มองกันไปได้

ทั้งหมดเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจเขา เพราะการเมืองอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ล้วนน้ำเน่า ฟอนเฟะ หยาบร้าย รุนแรง มีแต่การแย่งชิงอำนาจ และผลประโยชน์ เป็นการเมือง แบบเดิมๆ ไร้อุดมคติ ไร้อุดมการณ์ ไร้จุดยืนจริง ย้ายขั้ว เปลี่ยนก๊ก เพื่อผลประโยชน์ ทางการเมือง ผสมพันธ์กันได้หมด ขวาผสมซ้าย จระเข้ผสมปลาไหล มาเฟีย ผสมยากูซ่า ฯลฯ ภายใต้คาถาเท่ๆ...เพื่อประชาชน...เพื่อประเทศชาติ

ขณะที่พ่อท่านฯพยายามเสนอการเมืองแบบใหม่ เป็นการเมืองที่สร้างคน"เป็นหลัก เมื่อมีคนตามเหมาะควร คนที่จะสร้างสรรจริง เสียสละจริงๆ ไม่ได้เข้าไปกอบโกย ซึ่งเป็น เรื่องยากที่คนส่วนใหญ่จะเข้าใจและเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะคนเช่นนี้เป็นเรื่องหาได้ยากในสังคม แต่เป็นความพยายาม สร้างฐานราก เพื่อผลไปสู่ยอด ในอนาคต แน่นอน ว่าต้อง อาศัยเวลา ไม่ต่างจาก เรื่องมังสวิรัติ กว่าจะมาถึงวันนี้ ก็ถูกต้านค้านมาหนัก ไม่ต่างจากชีวิตมอซอ เรียบง่าย มักน้อยสันโดษ ขยัน กล้าจน ทนเสียดสี หนีสะสม นิยม สร้างสรร สวรรค์นิพพาน ที่กลายมาเป็น ชีวิตพอเพียง ในวันนี้

นั่นก็คือ ชาวอโศกยังคงต้องทนเสียดสี...ถูกประณามหยามเหยียด...ได้รับความรังเกียจ จากสังคมกันต่อไปอีก นานเท่านาน ดุจนก "แร้ง" ที่พ่อท่านฯ เปรียบเปรยตน เป็นดั่งนั้น อย่างเจียมเนื้อ เจียมตัว เข้าใจดีถึงความรู้สึก นึกคิดของผู้คน ในสังคมส่วนใหญ่ว่า ยังรับไม่ได้ ตราบใดที่คุณธรรม -ความจริงของ ชาวอโศกยัง ไม่ปรากฏ จนเป็นที่เด่นชัด มากพอในสังคม

ทำดียังไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ โศลกธรรมของพ่อท่านฯ อันนี้ ยังคงเป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ สำหรับชาวอโศก ที่จะมุ่งหน้า พากเพียรกัน ต่อไป

นวัตกรรมการเมืองอาริยะ
ทิศทางการเมืองของพรรคเพื่อฟ้าดิน

ปลายเดือนกันยายน มีโครงการ พัฒนาบุคลากรสาขาพรรค โดยสำนักงานใหญ่พรรคเพื่อฟ้าดิน ได้เชิญ เจ้าหน้าที่ กกต.มาให้ความรู้ คำแนะนำ เกี่ยวกับกฎหมาย พรรคการเมือง เพื่อให้ความรู้ กับสมาชิก จากสาขา พรรคเพื่อฟ้าดิน ทั้งหมด คณะทำงาน ได้นิมนต์พ่อท่านฯ มาให้โอวาท เปิดโครงการ

คุณแซมดิน : เจริญธรรมพวกเราทุกท่านครับ วันนี้เป็นโครงการพัฒนาบุคลากรสาขาพรรค ครับ เราก็ถือว่า โชคดีมากเลย วันนี้นะครับ ที่มีพ่อท่านฯ จะมา ให้ความรู้ เกี่ยวกับ การเมือง ซึ่งพวกเราทุกคน ก็ถือว่า มาเรียนรู้ร่วมกัน เนื่องจากว่า เป็นนวัตกรรมใหม่ เป็นสิ่งใหม่ ยังไม่เคยปรากฏ ขึ้นมาก่อนนะครับ โดยใช้พระพุทธศาสนา ก็มีพ่อท่าน ฯ ที่จะมา ถ่ายทอดความรู้นี้ให้ เพื่อให้การเมืองนะครับ ดำเนินไปได้ โดยถูกต้องสมบูรณ์ และต้องทำความเข้าใจ กับหลายๆฝ่าย รวมทั้ง พวกเราด้วย ในโอกาส ที่เป็นมงคลนี้ ก็อยากจะ กราบนิมนต์พ่อท่านฯนะครับ

พ่อท่านฯ : เจริญธรรมทุกๆคน ที่อาตมาบังอาจ จะเอาธรรมะ เข้าไปใส่การเมือง เอาศาสนาเข้าไปเชื่อมต่อกับการเมือง ซึ่งสังคมไทยเรา เถรวาทเนี่ย... แม้แต่กฎหมาย ก็ออกมา ห้าม กั้น ตัด ปิดทางไม่ให้ศาสนา ไม่ให้ธรรมะ เข้าไปเชื่อมกับการเมือง อาตมาถือว่านี่เป็นความผิดพลาด พูดภาษาโลกๆหน่อยก็... เป็นความซวย ของประเทศ มานานแล้ว การเมือง ของประเทศไทย จึงกลายเป็นการเมือง ที่ไร้ธรรมะ ไร้ศาสนา แล้วก็กลายเป็น การเมือง ที่เหลวแหลก เสื่อมโทรม ทุจริตอกุศล กันไปรุนแรง จัดจ้าน อย่างทุกวันนี้

อาตมาก็เห็นว่านี่เป็นความจำเป็นอย่างรีบด่วน มีความจำเป็นในยุคที่อาตมาคิดว่า อาตมาพอทำได้ เพราะว่า ไม่ใช่เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่มาก เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น มานาน ในเมือง ไทยเป็นร้อยปีแล้ว การที่จะมาเปลี่ยนแปลง กลับไปสู่ทิศทาง ที่ควรจะเป็นนี่ มันไม่ง่าย

ถ้าเผื่อว่านักการเมืองก็ดี การปฏิบัติการเมืองก็ดี ทั้งการบริหารทางด้านรัฐศาสตร์ของประเทศก็ดี ไม่ให้ศาสนา ไม่ให้ธรรมะ เข้าไปเชื่อมโยง หรือเข้าไป ให้คำแนะนำ ให้มีประ สิทธิภาพ อะไรร่วมด้วยเลย มันก็ทำตามใจกิเลส คนเรามันมีกิเลส เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว มันก็มุ่งไปสนใจกิเลส ที่เขาทำ คือ กิจการเมือง กิจของงานโลกๆ ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ซึ่งมันค้านแย้งกับธรรมะ ธรรมะนั้นสอนให้อย่าไปหลงใหลในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่มันก็มีความซ้อน ไม่ใช่ว่า ไม่มีลาภ ลาภมีได้ แต่ไม่ตกเป็นทาสลาภ ใครเอาเงินมาฟาด เอาลาภมาฟาด แล้วก็เป็นทาสลาภ มันก็เหลวไหลไง เป็นอยู่ทั่วประเทศเลย แล้วเงินร้อยบาท สองร้อยบาท ซื้อเสียงได้ อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันน่าเศร้าที่สุด อะไรกันสิทธิของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ทั้งคน ซื้อสิทธิ์ -ขายสิทธิ์ ได้ครั้งละ ร้อยบาท สองร้อยบาท แล้วเขาก็เข้าไปได้อำนาจ ไปครอบงำ ทางความคิด ครอบงำ ทางพฤติกรรม ครอบงำทางการปฏิบัติ ทางสังคม จะทำอะไรก็ได้ เหลวไหลเหลือเกิน

อาตมาเห็นความผิดพลาดอันนี้ แรง แรงร้าย แล้วมันเป็นผลที่ซับซ้อน

อาตมาไม่ได้คิดอ่านว่าเรื่องการเมืองจะเข้ามาถึงเราเร็ว เราจะต้องมีพรรคการเมืองเร็ว อาตมาไม่ได้คิดถึงอย่างนั้น แต่มันเป็นไปตามธรรม อย่างที่พวกเรา ก็รู้ว่า เราไม่ได้คิดจะ ตั้งพรรคการเมือง ไม่ได้อยากตั้ง แต่มันก็จู่โจม มีเหตุปัจจัยเข้ามา ให้เราต้องยอมรับ ต้องตั้ง ตั้งแล้วเราก็สร้างแนวทาง สร้างธรรมนูญพรรคของเรา ดำเนินการ ตามธรรมนูญ ของเรา นโยบายของพรรคของเรา ก็ไม่เหมือนของเขา พรรคของเรา ก็เป็นพรรคที่จะมาทำงาน กับสังคม ประเทศชาติแบบของเรา เสียสละแบบของเรา สร้างสรร แบบของเรา ทำหน้าที่นักการเมือง แบบของเรา ตามที่เราเชื่อว่า งานการเมืองที่ชื่อว่า "ประชาธิปไตย" เป็นอย่างนี้ๆ อย่างที่ตราไปแล้ว ในธรรมนูญของพรรค หรือระเบียบ ข้อบังคับของพรรค ตราสารของพรรค ก็เป็นแนวของเรา ซึ่งเชื่อว่าคอนเซปต์ ในความเป็นการเมือง หรือความเป็นประชาธิปไตยของเรา ไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่นักการเมือง ในโลกแน่ อย่าว่าแต่ใน ประเทศไทยเลย ซึ่งการเมือง หรือประชาธิปไตย ในคอนเซปต์ของเรา คงเข้าใจ ก็ยังยากอยู่แน่ๆ เพราะมันออกจะดูว่า สูงส่ง สุดโต่ง ดังที่มีคนว่าอยู่จริงๆ

ทุกวันนี้กฎหมายลูกออกมาจะให้เราต้องไปลงสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งความเห็นของพวกเรา การลงสมัคร รับเลือกตั้ง สมัครได้ แต่การสมัคร รับเลือกตั้ง ที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ก็คือ ประชาชน จะเป็นผู้เลือก ผู้สมัครเอง ไม่ใช่ไปบังคับให้คนมาเลือก หรือไปขอร้องไปเกณฑ์ให้คนมาเลือก ไปจ้างวานให้คนมาเลือก หรือ แม้แต่ตัว ผู้สมัครยัง ไปวิ่งหาเสียง ขอร้องให้คนมา เลือกเราอยู่นั้น มันก็ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง พรรคเราจะไม่ทำ เพราะงั้น จึงไม่เห็นว่า เราจะลงสมัครไปได้ไง ขณะนี้ เราจึงได้แต่ ทำงานการเมือง ในแบบของเรา ไปก่อนเท่านั้น

เราเห็นว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง จะเป็นอย่างนี้ เช่น เขตนี้ มีผู้สมัครคือคนนี้ เหมาะสมจะเป็นผู้แทนประชาชน ประชาชนเขาก็จะไปเลือก ไปลงคะแนนให้ โดยที่ประชาชน ในเขตนั้น มีความจริง ที่เป็นของประชาชน แต่ละคนเขาเองจริงๆ เพราะฉะนั้น ผู้สมัครแม้ไม่อยาก จะสมัครเลย แต่ประชาชน มาขอให้ลงสมัคร เป็นตัวแทน จึงต้องลงสมัคร นี่....ของ แท้ ลงสมัครแล้ว ก็ไม่ต้องหาเสียง ประชาชน จะลงคะแนนให้ ก็ไปลง ถ้าไม่ไปลง เราก็ไม่ได้คะแนน จนได้เป็นผู้แทน เราก็ไม่ใช่ตัวแทนประชาชน เราก็มาทำงานการ เมือง นอกสภา กับประชาชน แบบของเราต่อไป

การหาเสียง ยังไม่ใช่ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไปหาเสียงมันน่าอายจะตาย เออ..ถ้าประชาชนเขาเห็นเราว่าดี เหมาะที่จะเป็นผู้เข้าสภา ไปรับหน้าที่ในสภา เขาก็เลือกเราจริง แม้เราไม่ได้หาเสียง ไม่ได้โฆษณาตนเองอย่างไร เขาก็ยังเลือกเราไปเป็นตัวแทน เพราะเป็นหน้าที่ของเขาที่เขาเห็นจริง ไม่ใช่เราไปครอบงำ ทางความคิด หรือไปจ้างไปซื้อ แม้ไป ขอ ร้อง ไปอ้อนวอนให้เขามาเลือก หรือยิ่งใช้อำนาจ โดยบังคับ ให้เขามาเลือกเรา มันประชาธิปไตยจริงกันตรงไหนนั่นน่ะ อย่างนี้เป็นต้น นโยบายของพรรค ก็จะเป็นอย่าง ที่กล่าวมานี้ ทุกคนที่อาสา มาทำงานการเมือ งจะไม่รับเงินทอง เป็นรายได้ ส่วนตัวเลย ทำงานฟรี กินใช้ส่วนกลาง ถ้าได้รับเลือกตั้ง ก็ให้ทางรัฐ เลี้ยงไว้ คือ รัฐต้องมี สวัสดิการ สำหรับ ผู้รับหน้าที่ ทำงานการเมือง ตามนิตินัย ซึ่งจะไม่เหมือน พรรคอื่นๆ เขาเลย เราไม่ส่งง่ายๆหรอก เรื่องส่ง ส.ส. ลงเลือกตั้งน่ะ ถ้าประชาชน ไม่มาบอกว่า เอา..ท่านไปลง หรือเรารู้แล้วว่า ประชาชนต้องการเราจริงๆ เพียงพอ ไม่ต้องไปหาเสียงเนี่ย เราลงไปแล้ว เห็นว่าประชาชนเลือกเราแน่ เราก็จะไปลง แต่นี่เรารู้แล้วว่า ความเข้าใจ ของประชาชน นั้น ยังไม่มีความเข้าใจ ในประชาธิปไตย ในประเด็นที่ว่านี้เลย และความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ก็ยังไม่ใกล้ความจริง ดังกล่าวมา เล็กน้อยนั้นเลย แล้วเราจะไป ลงทำไม แต่เรา ทำงานการเมือง กับสังคมได้ไหม นอกสภานี่แหละ ซึ่งมันก็ทำได้ รับใช้ประชาชนจริงๆ ตามเรี่ยวแรง ความสามารถ และทุนรอนของเรา เป็นพรรคตามธรรม ชาติที่คนมี อุดมคติ มีทิฏฐิตรงกัน มาร่วมทำงาน การเมืองด้วยกัน พรรคเพื่อฟ้าดิน จึงไม่เหมือน พรรคการเมืองไหนๆแน่

ที่จริงแม้แต่การบังคับให้จดทะเบียนพรรค บังคับความเป็นสมาชิกพรรค การมีวิป อะไรพวกนี้ ก็ยังไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้ เพราะจริงๆนั้น ความเป็นพรรค จะเกิดเอง ตามธรรมชาติ ไม่ต้องบังคับ ให้ตั้งพรรค หรือบังคับ อะไรต่ออะไร อีกเยอะแยะ ซึ่งไม่ใช่อิสระเสรีภาพ ที่ได้ใช้สิทธิของตน สมบูรณ์แท้จริง การรวมตัว ก็จะเป็นเอง ตามสัจจะ แต่ละคนย่อม สมัคร ใจเลือกอะไรต่ออะไร ของตนเอง การบังคับใดๆ ของคนอื่น ยังไม่ใช่อิสระไง ยังมีอำนาจอื่น บังคับเรา ใช่ไหม " ดังนั้น หากจะมี การบังคับ เราเอง ก็เต็มใจ ให้บังคับ จึงจะ ชื่อ ว่าอิสระเสรีภาพ ของประชาธิปไตย"

งานการเมืองหรืองานศาสนาจึงเหมือนกัน เพียงแต่แบ่งหน้าที่กันเท่านั้น ศาสนาก็ทำงานกับประชาชน ช่วยเหลือประชาชน ให้พ้นทุกข์ คำว่า ช่วยเหลือ ประชาชน ให้พ้นทุกข ์นี่ คลุมหมดเลย ทุกด้าน ทั้งกายและใจ ทางด้านการเมืองอาจจะไม่คลุมลึกซึ้งทางจิตวิญญาณ ไม่ถึงจิตใจ แต่ก็ช่วยคนให้พ้นทุกข์ ทางวัตถุ ทางรูปธรรม เด่นชัด งานการเมือง คือ งานทำให้คนพ้นทุกข์ งานการเมืองจึงไม่ใช่งานหากิน" หรืองานอาชีพที่จะมาแสวงหาลาภ -ยศ -สรรเสริญ -โลกียสุข แต่เป็นงานเสียสละ โดยแท้ เป็นการรับใช้ ประชาชน จริงๆ ช่วยเขา ไม่ใช่เอา ไม่ใช่ตอแหลหลอกลวง

สรุปง่ายๆ ผู้ที่ทำงานการเมือง คือผู้ที่อาสาที่ไปช่วยงาน ช่วยประชาชน เราจะทำงานการเมืองอย่างไปเสียสละจริงๆ ต้องมีคนที่เข้าใจ "การเมือง" ดังว่านี้จริงๆ ก็จะทำ การเมือง เป็นจริง เราก็ฟูมฟักสร้างคนให้เป็นนักการเมืองไปเรื่อยๆอยู่ เราค่อยๆสร้างไป ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะให้ประชาชนม ีความรู้เรื่องการเมือง เรื่องความเป็น ประชาธิปไตย อย่างถูกต้อง ถ้าประชาชน ยังไม่เข้าใจ เราก็ไปทำงานไม่ได้ ประชาชนไม่เอาด้วย มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ที่สำคัญคือ ต้องเป็นนักการเมือง ที่จริง ที่ถูกต้อง และประชาชน ต้องเข้า ใจการเมือง เข้าใจความเป็น ประธิปไตย อย่างถูกธรรม

นี่กฎหมายลูกออกมาจะบังคับให้พรรคส่งสมัคร ส.ส. ถ้าเป็นเช่นนี้หนักๆเข้าเราก็คงจะต้องถูกยุบพรรค จนได้แหละ มีเกณฑ์ว่า ถ้าเราไม่ส่ง ส.ส. ถึง ๒ ครั้ง ยุบพรรค อะไรอย่าง นี้เป็นต้น เราก็คงจะต้อง ถูกยุบพรรคจนได้ อาตมายังไม่ได้อ่าน ร่างกฎหมาย..แต่ว่าได้ฟังข้อมูลมา อาจจะตกๆ หล่นๆ

ก็เท่าที่เป็นไปได้แหละ ยุบก็ต้องยุบ แต่เราก็ทำงานการเมืองอยู่แล้ว เราเชื่อว่าเราทำงานศาสนาคือการเมือง ทางด้านรูปธรรมเราก็ทำ ทางด้าน นามธรรมนี่ เราทำถึงขั้น ปรมัตถ์ คือถึงขั้น ให้มีการพัฒนา จิตวิญญาณ เพราะศาสนานี่ เน้นผลถึงจิตวิญญาณ ช่วยเหลือประชาชน ปานฉะนั้น พระพุทธเจ้านี่ คือนักการเมือง ผู้ยิ่งใหญ่ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๙ สามัญผลสูตร มีประวัติ ยืนยันหลักฐาน พระพุทธเจ้าประกาศศาสนาของท่าน ท่ามกลางศาสนาเทวนิยม ทั้งหลาย และในความเป็น สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในสังคม ขณะนั้น

พระพุทธเจ้าก็ตรัสยืนยันความเป็นศาสนาพุทธของพระองค์ต่อพระพักตร์พระเจ้าอชาตศัตรูพระเจ้าอชาตศัตรู ยอมยกให้พระพุทธเจ้า มีอำนาจเด็ดขาด ปลดปล่อย ความเป็นทาส ความเป็นวรรณะ อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งพระองค์ปลดแอกทาส สร้างอิสระเสรีภาพ ให้แก่คนในยุคทาส ยุคมีวรรณะ อย่างเป็นจริง พระพุทธเจ้า จับพระอุบาลี ซึ่งเป็นกัลบก คนตัดผม ในระดับจัณฑาล บวชก่อนกษัตริย์ เจ้าชายอานนท์ เจ้าชายอนุรุธ เป็นต้น แล้วพระ อานนท์พระอนุรุทธ ก็ต้องกราบเคารพ พระอุบาลี ที่เป็นคน วรรณะต่ำ มาก่อน พระพุทธเจ้า ปลดปล่อยศักดินา ปลดปล่อยความเป็นทาส ปลดปล่อยวรรณะ เป็นประชาธิป ไตย ทุกคนเสมอภาค มีสิทธิ วันแมน วันโหวต เท่าเทียมกัน ทุกคน คนละ ๑ เสียง การทำสังฆกรรม ทุกคน ๑ เสียง เท่าเทียมกันหมด พระพุทธเจ้าท่านทำมาแล้ว ตั้งแต่ยุค สองพันห้าร้อยกว่าปี สุดยอดแห่ง นักประชาธิปไตย สุดยอดแห่งนักการเมือง สุดยอดแห่งนักบริหาร และทำสำเร็จด้วย ยุคโน้น ทำได้เฉพาะ ในวงการสงฆ์เท่านั้น ยังไม่สามารถทำ ให้กว้าง เกื้อมาถึงฆราวาส เพราะประชาชน ฆราวาส ยังคงเป็นทาสอยู่ ท่านยังไม่สามารถ ล้มล้างลัทธิ สมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้ ยังยกเลิก สังคมทาสทั้งรัฐไม่ได้ ท่านจึงทำประชาธิปไตย หรือว่าสังคมอิสระเสรีภาพ แบบของท่าน ได้เฉพาะ ในวงสงฆ์ นี่เป็นการบริหารการเมือง หรือการมีชีวิต อย่างอิสระเสรีภาพ ของพระพุทธศาสนา ในยุคนั้น

มายุคนี้เป็นยุคที่ประชาธิปไตยเฟื่องฟู อิสระเสรีภาพเฟื่องฟูไม่ใช่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วทุกคน มีสิทธิเสรีภาพ สมบูรณ์ เข้าใจสิทธิบริบูรณ์ ทั้งสิทธิมนุษยชน กันแล้วทั่วโลก เพราะฉะนั้น อาตมาถึงขยายผลอันนี้ เอาธรรมะ เอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้านี่ มาขยาย เพื่อพิสูจน์ให้เห็น ว่าเราอิสระเสรีภาพ เท่าเทียมกัน เราทำได้ มีสาธารณโภคี ทุกคน ยินดีที่จะสละของตนเอง ด้วยตนเอง ไม่ยึดเป็นของตัวของตน ในธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติถึงการไม่ยึดมั่นถือมั่น เป็นตัวกู ของกู อย่างพวกคุณนี่ ได้ปฏิบัติตนแล้ว มีสาธารณโภคี มีสมบัติส่วนกลาง กินใช้ร่วมกัน มีสิทธิเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือเฟือฟายกัน มีการบริหารปกครอง แบบสาธารณโภคี ซึ่งเป็น นวัตกรรม อย่างยิ่งในโลก มันเป็น นวัตกรรม ทางรัฐศาสตร์ก็ดี เศรษฐศาสตร์ก็ดี สังคมศาสตร์ก็ดี เป็นนวัตกรรม ที่จะต้องพิสูจน์กัน ให้โลกได้เห็นได้รู้ ไม่ง่าย เป็นเรื่องยากจริง แต่เป็นเรื่อง ต้องทำ

เพราะฉะนั้น พวกเราได้มาพยายามศึกษาพากเพียร จนเกิดจนไปได้บ้างแล้ว มันเป็นพรรคการเมือง ขึ้นมาแล้ว เราก็ทำพรรคการเมือง ตามประสา ที่เราเข้าใจ ทำกับประ ชาชน ตามที่เราเข้าใจนี่แหละ เป็นการทำการเมือง ที่ยังไม่เอื้อม เข้าไปถึงสภา เราทำงานการเมืองอยู่นอกสภา ทำการเมืองอยู่ในวงของ ประชาชน โดยที่ไม่จำเป็นจะต้อง ไปมีตำ แหน่ง หน้าที่ในรัฐ แต่เราก็ทำหน้าที่ของประชาชน ที่มีความหวังดี ต่อมวลมนุษยชาติ ตั้งแต่สามารถ ทำในกลุ่มเล็ก ถึงขั้นอยู่ในหมู่บ้าน ชุมชน ขยายผลออกไป สู่ตำบล อะไร เราก็ทำกันไป จนสานเป็นเครือแห มันสานกัน อย่างมีความซ้อนกันข้างใน ด้วยถึงจิตวิญญาณ ไม่ใช่สานกัน เป็นเน็ท เป็นเครือข่าย ในแนวระนาบ เท่านั้น แต่นี่เป็น พีรามิดอลเว็บ Pyramidal web เป็นเครือแห ที่จะมียอด มีกลาง มีปลาย เหมือนปีรามิด หรือ เหมือนแห ที่มีหน่วยมวลสาน อยู่ในเนื้อใน ทั้งส่วนนอก ส่วนใน มีต้น มีกลาง มีปลาย มีเนื้อในเนื้อนอก เป็นระดับ เป็นรูปร่าง เป็นเครือแห สานกัน อย่างมีระเบียบ มีระบบ เราจึงใช้ศัพท์คำว่า เครือแห Pyramidal web เราไม่ใช้คำว่า เครือข่าย คือเน็ท เครือข่ายมัน ก็คือข่ายเป็นตาราง มีแนวระ นาบเท่านั้นเอง ต่อเชื่อมกันไป เหมือนลูกโซ่เฉยๆ บางๆ แถวเดียว ระนาบเดียว อะไรอย่างนี้ ของเรามันไม่ใช่แค่นั้น เรามีความซับซ้อน มีอินเทอเรค ชั่นที่ซับซ้อน มีปฏิสัม พัทธ์ซับซ้อน มากกว่านั้น

เราก็ขอยืนยันว่าเราเป็นนักการเมือง แต่เป็นนักการเมืองที่ไม่สร้างอำนาจ ไม่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่เป็นผู้ที่ไปเสียสละ เสียสละลาภด้วย คนที่เขาเข้าใจ เขาเห็น เขารู้ เขาก็ยกให้เอง เขาไม่ยกให้ก็ช่าง ไม่ว่ากัน ก็ทำกันไป ไม่ได้ต้องการอะไรแลกเปลี่ยน ไม่ต้องการได้อะไรมาให้แก่ตัวเอง

นี่เป็นวิถีทางหรือว่าเป็นนโยบาย เป็นทิศทางที่นักการเมืองในพรรคเพื่อฟ้าดินหรือพรรค ของเรากำลังกระทำอยู่ ที่เรากำลังพัฒนากันไป ศึกษากันไป ฝึกฝนกันไป ปฏิบัติกันไป สร้างระบบ สร้างวิถีการปฏิบัติ พร้อมกับการดำเนินชีวิต ยังชีพของเราไป หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ของพลเมือง ทำหน้าที่ของคน ในสังคม มีหน้าที่ทางการเมือง ตามฐานะ เราก็ทำไป ฝึกฝนไป สร้างสรรไป มาถึงวันนี้ก็พอสมควร เราตั้งขึ้นมา กี่ปีแล้วนะ....พรรคเพื่อฟ้าดินนี่ (เจ็ดๆ เจ็ดขึ้นจะแปดครับ)

๗-๘ ปีแล้วเหรอ โอ้โฮ...ไม่น้อยนา.... ๗-๘ ปี เพิ่งได้แค่นี้เองน่ะ ที่อาตมาพูดเพิ่งได้แค่นี้ก็คือ เราดูพฤติกรรม พฤติกรรมของทีม พฤติกรรม ของพรรคของเรา ซึ่งทำงานกันไป แต่กับผลงาน ที่พรรคของพวกเราทำนี่ ที่มีสาขาอยู่ประมาณนี้แหละ เราก็ทำไป ตามที่มีแรง มีทุนรอนรัฐ ท่านให้มาบ้าง เราออกเองบ้าง เราทำงานมา ไม่ได้หมายความว่า เราจะมาหาเงิน จะมาคอรัปชั่นเงิน ที่รัฐให้มา หรือว่าคนบริจาคมา คนช่วยอุดหนุนมาแล้ว ก็มานั่งคอรัปชั่น อย่างนั้นไม่ใช่ มีแต่เราเสียสละ ทั้งแรงงาน ทั้งทรัพย์สิน ของเราเอง แต่ละคนมานี่ ได้ค่า รถกันมาคนละกี่บาท (จ่ายเอง) โอ้....จ่ายเองทั้งนั้น เห็นไหม เราก็ทำอย่างนี้แหละ เราก็เสียสละจ่ายเอง เสียสละไป ทำงานไป ทำให้สังคมไป นี่เป็นจิตวิญญาณ อันประเสริฐ ของมนุษย์ ถ้ามีความรู้สึก มีความสำนึกกันอย่างนี้ ในหมู่ชนหลายๆ กลุ่มคนในประเทศ มีความตั้งใจ มีความอุตสาหะ เสียสละ สร้างสรรกันไป ทั้งๆที่ ไม่ได้มาก่อลาภ ยศ สรร

เสริญ โลกียสุข ไม่ได้มาหารายได้ ไม่ได้มาสร้างอำนาจอะไรอย่างนี้ แล้วก็ทำให้กับสังคมไป อย่างนี้แหละ อาตมาว่า มันเป็นความหวังดี มันเป็นเจตนาดี มันเป็น พฤติกรรมที่ดี ของมนุษยชาติ ที่จะเกิดอยู่ในสังคม อาตมาก็ ขอบคุณ ทุกๆคน ที่ได้พยายาม ได้เสียสละ อุตสาหะมาช่วยกัน ไม่ได้บังคับ ไม่ได้เอาเงินจ้าง ไม่ได้ล่อ หลอก ทุกคนมาทำ ด้วยความเข้าใจ ด้วยความจริงใจ พากเพียร เพื่อที่จะได้ทำประโยชน์คุณค่า ต่อมนุษยชาติ ต่อสังคม ต่อประเทศ ขอขอบคุณ ทุกคน เอาละ..วันนี้เราจะได้สัมมนา ได้ชุมนุม ได้พัฒนาบุคลากร จะมีวิธีการพัฒนา จะได้ช่วยกันทำความเข้าใจ จะได้มีอะไรที่ดี ก็ขอบคุณท่าน กกต. ที่ได้มาช่วย ให้ประโยชน์ คุณค่าต่อ ผู้ที่ทำงานด้านนี้ของที่นี่

ขอบคุณทุกคน



ผ่าตัดครั้งแรกในชีวิต

ปลายเดือนสิงหาคม (๒๓ ส.ค.) พ่อท่านฯเข้าโรงพยาบาล เพื่อผ่าตัดไส้ติ่ง ซึ่งมีอาการอักเสบมานาน พ่อท่านฯ รู้สึกเจ็บเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่า คืออาการ ไส้ติ่งอักเสบ การทน กับเวทนาได้ หรือการวางเวทนาที่เกิดขึ้นได้ ของพ่อท่านฯ ทำให้ผู้ที่อยู่ดูแลใกล้ชิดเอง ก็ไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เพราะดูพ่อท่านฯ ก็เหมือนคนปกติ ที่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร เดินเหิน ดูกระฉับกระเฉง เทียบกับคนวัยเดียวกัน พ่อท่านฯ แข็งแรงกว่าเยอะ ที่สำคัญ พ่อท่านฯ ไม่ใช่ผู้สูงวัยที่อ้อน หรือเรียกร้อง การดูแล จากใครๆ เช่นผู้สูงวัย หลายท่าน เป็นกัน

จนกระทั่งเช้าของวันที่ ๒๓ ส.ค.นี้ พ่อท่านฯรู้สึกเจ็บมาก จึงได้เปรยกับพยาบาลที่ดูแลว่า มีอาการเจ็บบริเวณท้องด้านขวา แต่ก็ยังไม่แน่ใจทีเดียวว่าเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบ

คุณหมอวีรพงษ์ ชัยภัค เชี่ยวชาญด้านรังสี ได้มากดตรวจและคลำดู ก็ยังไม่มั่นใจทีเดียวว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบหรือไม่ พร้อมกับแนะนำ ให้ไปตรวจ กับแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ อีก ที ให้แน่ใจ คุณเพ็ญเพียรธรรม พยาบาลดูแลสุขภาพ จึงได้นิมนต์ให้พ่อท่านฯ ไปตรวจ ที่โรงพยาบาล นพรัตน์ ซึ่งอยู่ใกล้ เป็นเบื้องต้นก่อน เนื่องจาก รศ.นพ.สุรินทร์ ธนพิพัฒนศิริ และ นพ.สมพงษ์ โชติพันธุ์วิทยากุล ญาติธรรม ได้ประสานกับหมอ ที่รู้จักฝีมือ และอัธยาศัยไว้ให้แล้ว

พบคุณหมอเธียรชัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่โรงพยาบาลนพรัตน์ ระบุชัดเจน ไส้ติ่งอักเสบอย่างไม่ลังเล เมื่อทราบว่าพ่อท่านฯ จะต้องกลับไปพบฝรั่ง ตามที่ได้นัดหมายไว้ ท่าทีของหมอ อยากให้ยกเลิก นัดหมาย หรือเลื่อนออกไปก่อน

ถ้าจะอยู่รักษาทำการผ่าตัดที่โรงพยาบาลนพรัตน์นั้น คุณหมอเธียรชัยไม่ได้ทำการผ่าตัดเอง เป็นคุณหมออีกคนหนึ่ง ที่ยังไม่รู้ว่า ฝีมือและอัธยาศัย จะเป็นอย่างไร ที่สำคัญ โรงพยาบาล ในระบบราชการ เรื่องห้องพัก และการผ่าตัด ยังไม่ทราบว่า จะสะดวกไหม ได้ทันทีเลยหรือเปล่า อีกทั้งคุณหมอเอง เพิ่งจะย้ายมาจาก โรงพยาบาล ในต่างจังหวัด อำนาจในการดำเนินการ อาจจะยังไม่มากพอ หรืออย่างไร กอปรกับ คุณหมอสุรินทร์ และคุณหมอสมพงษ์ ได้ประสานกับ หมอที่ชำนาญ ฝีมือดี และอัธยาศัยดี เอาไว้แล้ว ซึ่งอยู่อีก โรงพยาบาลหนึ่ง ทางฝั่งธนบุรี จึงได้แจ้งให้ คุณหมอเธียรชัยได้ทราบ

หลวงพ่อต้องรีบผ่าตัดโดยด่วนนะครับ เพราะถ้าไส้ติ่งเกิดแตกขึ้นมาคราวนี้จะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่ายังไม่แตก คุณหมอเธียรชัยย้ำด้วยความเป็นห่วงพ่อท่านฯ ขอบคุณกับ คำแนะนำของคุณหมอ

ออกจากโรงพยาบาลนพรัตน์ ระหว่างเดินทางกลับมาที่สันติอโศก ยังคงมีความพยายามต่อรอง อยากจะนิมนต์พ่อท่านฯ ไปโรงพยาบาล ทางฝั่งธนบุรี ทันที ไม่ต้องแวะ ที่สันติ อโศก แล้วแจ้งให้อาจารย์ขวัญดี กับคณะฝรั่ง ได้ทราบถึงเหตุจำเป็น เร่งด่วนนี้ แต่พ่อท่านฯ เห็นว่า เวทนาทางกาย ยังพอเป็นไปได้ เขาอุตส่าห์นัดหมาย มาหลายครั้งแล้ว ถึงอย่างไร ก็ต้องผ่าน สันติอโศกอยู่แล้ว โดยพ่อท่านฯ รับว่าจะทักทาย เพียงเล็กน้อย

การสนทนากับคณะฝรั่งเป็นไปอย่างปุบปับ ฝรั่งหลายคนยังรับประทานอาหารไม่เสร็จ แม้กระนั้น การสนทนา ก็ใช้เวลากว่า ๔๐ นาที จึงจะออกเดินทาง ไปโรงพยาบาลได้

เหตุการณ์นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันในเวลาต่อมา หลายเสียงกล่าว อย่างประทับใจ ชื่นชมในความอุตสาหะ พากเพียร ยังมีใจ ที่จะให้ความรู้ ให้คำแนะนำ ทั้งๆที่กายขันธ์ มีเวทนา ควรได้รับการผ่าตัด โดยเร็วแล้วก็ตาม แต่หลายเสียง มองว่า ไม่น่าเสี่ยงเลย ได้ไม่คุ้มกับเสีย ที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ระหว่างเดินทางไปโรงพยาบาล พ่อท่านฯไม่ได้แสดงท่าที วิตกกังวลอะไร กับการจะต้องผ่าตัด ยังคงพูดคุย เหมือนเป็นเหตุการณ์ปกติ ธรรมดาของชีวิต

โรงพยาบาลทางฝั่งธนบุรี หมอธีระเป็นหมอที่หมอสุรินทร์ แนะนำให้มาพบ บุคลิกของหมอ ยิ้มแย้มหัวเราะ แสดงออกเปิดเผย อย่างเป็นกันเอง ราวกับ คนรู้จักกันมานาน

หลังการซักถามอาการและตรวจดูแล้ว หมอธีระก็เห็นตรงกันว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบแน่ ต้องรีบผ่าตัดทันที คุณเพ็ญเพียรธรรม ถามความเห็น หมอธีระว่า ถ้าไม่ผ่าตัด จะมีวิธี การอื่นไหม" ได้รับคำตอบจากหมอธีระว่า ไม่มี เพราะถ้าใช้ยาห รืออะไรอื่น ยังไม่เคยปรากฏว่า จะหายได้ ยิ่งถ้าไส้ติ่ง เกิดแตกขึ้นมาก่อน ยิ่งเป็นเรื่องยุ่งยาก การรักษา จะใช้ เวลาที่นานกว่า ซึ่งนี่เป็นคำแนะนำ และความเห็นของหมอ ที่สุดแล้ว ก็ต้องให้หลวงพ่อ ได้ตัดสินใจว่า จะให้ผ่าตัดหรือไม่ครับ" พ่อท่านฯ ตอบรับยิ้มๆ จะเอายังไงก็เอา ผ่าก็ผ่า อาตมาไม่มีปัญหาอะไร" หมอธีระนิมนต์ให้พ่อท่านฯ ไปอีกห้องหนึ่ง เพื่อให้ยาระงับ การอักเสบ กับน้ำเกลือ เนื่องจากการผ่าตัด คนไข้จะต้องงดน้ำ -งดอาหาร จึงต้อง ให้น้ำเกลือ เพื่อชดเชยน้ำ ที่ร่างกายควรได้รับ ให้ได้สมดุลในช่วงระหว่าง ที่ยังต้องงดน้ำ -งดอาหาร เป็นช่วงต่อเนื่อง หลายชั่วโมง ระหว่าง การให้น้ำเกลือ และยา ระงับการอักเสบ มีเจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลฯ มาแนะนำตัวเองว่า ติดตามมานานแล้ว คุณพ่อก็ปฏิบัติธรรม ฟังรายการท่านจันทร์ ตั้งแต่ยังไม่มีลูก แล้วบอกเล่าว่า เห็น ชื่อ สมณะโพธิรักษ์ สงสัยว่า จะใช่หรือเปล่า จึงได้มาดู ดีใจมากค่ะ ที่ได้เห็นท่าน" คุณหมอดวงพร ได้มานมัสการ แนะนำตัวเองว่า เป็นพี่ของ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัตร และเป็นหมอ อยู่ที่โรงพยาบาลฯนี้ด้วย โดยทราบจาก คุณจุฬา สุดบรรทัด ว่าพ่อท่านฯ มาที่โรงพยาบาล สนทนากันเล็กน้อย ก่อนคุณหมอ ขอตัวไปทำกิจ เสร็จจากการ เอ็กซเรย์ และให้น้ำเกลือ ไปพักรอก่อน เข้าห้อง ผ่าตัด ที่ห้องพักชั้น ๕ ในห้องที่หัวเตียง มีป้ายชื่อ หมอเจ้าของไข้ หมอธีระ และชื่อของพ่อท่านฯ พระโพธิรักษ์ รักพงษ์ อายุ ๗๓ ปี ป้ายถัดลงมา งดน้ำ-งดอาหาร ถัดลงมาอีก ตวงน้ำ-ตวงปัสสาวะ

หมอวีรพงษ์ ได้พาหมอสุเมธ ชโยสำนึก และ หมอตรีวรรณ ชโยสำนึก สองสามีภรรยา มากราบนมัสการพ่อท่านฯ หมอตรีวรรณ ช่วยงานอยู่ที่ โรงเรียนผู้นำ ส่วนหมอ สุเมธ เป็น หมอ ทางศัลยกรรม เคยอยู่โรงพยาบาลตากสิน ปัจจุบัน ออกจากราชการแล้ว หลังจากหมอสุเมธ ได้ตรวจดู ก็เห็นตรงกันว่า เป็นอาการไส้ติ่ง อักเสบแน่

คุณหมอสุเมธได้ไปตามเพื่อนหมออีกคนที่อยู่ที่โรงพยาบาลธนบุรีนี้เช่นกันให้มาดู ขณะที่เพื่อนของหมอ มาตรวจดู พ่อท่านฯ มีอาการเห่อคันแดง บริเวณตาทั้งสอง ข้าง บวมแดง เห็นได้ชัดเจน สรุปได้ว่า เกิดจากการแพ้ยาระงับการอักเสบ ที่เพิ่งฉีดมาก่อนหน้านี้

พยาบาลหัวหน้าตึกเข้ามาดูด้วยสีหน้าตื่นๆ ต่อมาจึงได้รับการแก้ไขด้วยการฉีดยาแก้แพ้ให้

คณะพยาบาลได้นำชุดให้พ่อท่านฯได้เปลี่ยนเพื่อเข้าห้องผ่าตัด ตามระเบียบของโรงพยาบาล เป็นชุดสีชมพู หวานแหวว ดูสดชื่น เหมาะกับฆราวาส กระมัง แต่สำหรับนัก บวชสวม ใส่แล้วดูแปลกๆ ยังไงชอบกล แต่พ่อท่านฯ ไม่ได้ว่าอะไร และแนะนำให้พ่อท่านฯ ไปเข้าห้องน้ำ ทำกิจ ก่อนที่จะต้องไปผ่าตัด

ประมาณ ๑๕ นาฬิกา เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมาเข็นเตียงนำพ่อท่านฯเข้าห้องผ่าตัด และผ่าเสร็จ ออกจากห้องผ่าตัด กลับมาที่ห้องพัก ในเวลา ๑๘ นาฬิกาเศษ พ่อท่านฯ มีอาการไอ คันคอ ทำให้เจ็บ บริเวณแผล ที่ผ่าตัดใหม่ๆ พยาบาลแนะนำ ให้ใช้หมอน กอดเข้ากับลำตัว บริเวณแผล เพื่อจะได้บรรเทา อาการเจ็บได้บ้าง

ดูเหมือนว่าพ่อท่านฯ เป็นห่วงเรื่องงานเขียนหนังสือ สาธารณโภคี" ที่กำลังเร่ง พูดเปรยด้วยเสียงแหบหาย ถึงนิมิตเกี่ยวกับงานเขียน ในขณะที่กำลัง ได้รับการผ่าตัด ส่วนการ ที่เสียงแหบหาย หมอวีรพงษ์บอกว่า เนื่องจากก่อนผ่าตัด หมอให้ยาสลบ ซึ่งการให้ยาสลบ จะต้องสอดท่อ เข้าไปในช่องปาก ท่อนั้น จะทำให้เกิด การระคายที่คอ คนผ่าตัด ที่ดม ยาสลบทุกคน จะมีอาการนี้ทั้งนั้น เหมือนเสียง จะแหบหาย ๑-๒ วันจึงจะเป็นปกติ

พ่อท่านฯถามถึงการประชุมคณะทำงานสื่อโทรทัศน์ เกี่ยวกับเท็คนิค การส่งสัญญาณ นอกจากนี้ยังอยากจะตรวจดู รายการโทรทัศน์ เพื่อแผ่นดิน แต่พอดีโทรทัศน ์ของ โรงพยาบาล ไม่ได้รับช่องสัญญาณไว้ มีแต่ช่องสัญญาณ ของโทรทัศน์ทั่วไป และยูบีซี

คุณหมอวีรพงษ์ลากลับไปได้ไม่นาน คณะของชาวปฐมอโศกได้แวะมาเยี่ยม พอดีจังหวะที่ได้มาเยี่ยมลุงเฉลิม (ใจเดียว) สนทนากันสัก พักข้าพเจ้าส่งสัญ ญาณให้หมอ ฟากฟ้าหนึ่ง และชาวปฐมอโศก ที่มาได้รู้ว่า อยากจะให้พ่อท่าน ได้พักแล้ว ดีที่พวกเรา เข้าใจสถานการณ์อยู่แล้ว จึงกราบนมัสการลา ได้ทันที หลังจาก ออกมาจากห้องแล้ว เราตามออกมา บอกชาวปฐมอโศกว่า ช่วยบอกกันด้วยว่า อาการของพ่อท่านฯ ไม่ได้ร้ายแรงอะไร ถ้าไม่มีอะไร วันมะรืน ก็กลับได้แล้ว ไม่ต้องมากันหรอก เสียเวลากัน
เปล่าๆ พ่อท่านฯ จะได้พักได้เต็มที่ด้วย ทุกคนพยักหน้า ตอบรับอย่างเข้าใจ

หลังจากคณะของปฐมอโศกและสันติอโศกกลับไปแล้ว พ่อท่านฯพักนอน สองทุ่มพยาบาลเวรเข้ามาตรวจวัดชีพจรและความดัน ทุกอย่างปกติ

๒๐.๓๐ น. หมอสมพงษ์ได้มาตรวจดู ซักถามอาการเล็กน้อยก่อนขอตัวลากลับ เพื่อให้พ่อท่านฯ ได้พักนอนได้เต็มที่

มีเสียงพ่อท่านฯเปรยว่าไม่อยากจะอยู่โรงพยาบาลนานหลายวันมันเปลืองเงินเปล่าๆ วันเดียว ก็น่าจะพอ

หมอสมพงษ์ปฏิเสธว่าไม่ได้ครับ เขายังต้องสังเกตอาการก่อน อยู่ที่หมอเจ้าของไข้ว่าจะเห็นอย่างไร

๒๑ นาฬิกาเศษ พยาบาลเวรสองคนได้มาตรวจไข้ ทั้งชีพจรและความดันยังคงปกติ พยาบาลเวรได้ฝากให้ช่วยเก็บปัสสาวะของท่าน ใส่ลงในขวดแก้วไว้ด้วย

๒๑.๓๗ น. พยาบาลอีกคนเอายาแก้อักเสบมาเติมให้ในขวดน้ำเกลือ ระหว่างกลางคืน พยาบาลจะเข้ามาดูเป็นระยะๆ ดูเหมือนจะทุกชั่วโมง กระมัง ข้าพเจ้านอน ตอนสี่ทุ่มเศษ รู้สึกตัวว่า มีพยาบาลเข้าออก ก่อนเที่ยงคืน ครั้งหนึ่ง และเที่ยงคืน อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ไปตีสอง กับตีสาม

ตีสามนั้นพยาบาลเข้ามา ข้าพเจ้ารีบลุกตื่นเพื่อดูว่าพยาบาลจะทำอะไร ให้ช่วยอะไรหรือเปล่า เข้าใจว่า คงมาเติมยา แก้อักเสบ ที่ให้ตามเวลา หลังจากพยาบาล ออกไปแล้ว ข้าพเจ้าถามพ่อท่านฯ ว่าจะปัสสาวะหรือไม่ เพราะไหนๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้ว พ่อท่านฯตอบรับ คราวนี้เสียงพ่อท่านฯ ได้ยินชัดขึ้น กว่าเมื่อวาน เข้าใจว่า อาการทางคอ คงทุเลาลงแล้ว

เช้าวันรุ่งขึ้น ๒๔ ส.ค. หมอสุรินทร์ได้แวะมาตรวจดูอาการก่อนไปทำงาน ซักถามอาการ พร้อมกับช่วยปรับหัวเตียง ให้สูงขึ้น เพื่อพ่อท่านฯ จะได้สะดวก ในการพัก เพราะเมื่อคืน ก็อยู่ในท่านี้ ทั้งคืน และดูเหมือนจะนอนต่ำ จากหมอนไปหน่อย หมอสุรินทร์ใช้เวลาไม่นาน เพื่อให้พ่อท่านฯ ได้พักได้เต็มที่

คุณเพ็ญเพียรธรรมนิมนต์พ่อท่านฯ ทดสอบลุกนั่งกับเก้าอี้แล้วจะมีอาการมึนหรือเปล่า พ่อท่านฯ ทำตามแล้ว ไม่มีอาการใดๆที่ผิดปกติ หลังจาก เช็ดตัวทำ ความสะอาด เปลี่ยน ผ้านุ่งห่มแล้ว พ่อท่านฯ โกนหนวดเคราแล้ว เปิดให้ดูบริเวณแผล ที่ผ่าตัด ยาวเพียงนิ้วเศษๆเอง มีผ้าเท็ปปิดไว้ หมอธีระ ได้มาตรวจดูสภาพแผล และซักถามอาการ พร้อมกับได้ นำเอาภาพถ่าย ไส้ติ่งที่ผ่าตัด ออกมาให้ดู

วันนี้พ่อท่านฯเริ่มฉันอาหารเหลว ที่ได้จัดเตรียมมาจากสันติอโศก ไม่ได้ฉันของโรงพยาบาลซึ่งมีกลิ่นคาว แม้จะทำเป็นอาหาร มังสวิรัติ แล้วก็ตาม บอกงดก็ไม่ได้ เพราะเป็น ระบบของเขา คุณเพ็ญเพียรธรรม จัดน้ำเก๊กฮวย ถวายให้เท่านั้น ที่เหลือคืน

หลังฉันแล้วพ่อท่านฯออกเดินบริหารกายและท้อง เดินด้วยจังหวะก้าวย่างที่ช้าๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสีย ต่อแผล ที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดมา

ญาติธรรมหลายคนอยากจะมาเยี่ยมพ่อท่านฯด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานข้าพเจ้าได้โทรไปฝากให้ท่านจันทร์ ช่วยบอกกับพวกเราว่า พ่อท่านฯ ไม่ได้เป็นอะไรมาก ถ้าไม่มีอะไร วันมะรืนก็จะ ได้กลับแล้ว จึงไม่อยากให้พวกเรา เสียเวลา เสียงาน กับการเดินทางมา เพื่อให้พ่อท่านฯ ได้พักอย่างเต็มที่ด้วย

ถ้าญาติธรรมมากันมากๆ อย่างน้อยๆคำถามที่จะต้องเจอกับทุกคณะทุกกลุ่มก็คือ พ่อท่านฯ มีอาการเป็นอย่างไร เจ็บตรงไหน เจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่...อะไรทำนองนี้ เป็นคำถาม ที่มักได้ฟังคนไปเยี่ยมคนป่วยจะถามกันอย่างนี้เป็นหลัก นอกจากคนป่วยจะต้องตอบกับแพทย์-พยาบาลแล้ว จะต้องตอบกับ คนมาเยี่ยมด้วย ถ้าเป็นคนที่หงุด หงิดรำคาญ ก็คงจะเบื่อน่าดู แต่พ่อท่านฯ จะมีมุขขำๆให้ผู้ฟังได้ฟังแล้วสบายใจ คือ จวนจะหายแล้ว เดี๋ยวจะไปวิ่งแข่ง กับนกกระจอกเทศ

ดีที่ญาติธรรมส่วนใหญ่เข้าใจ จึงแทบไม่มีใครมาเยี่ยมกันเหมือนรายอื่นๆ ทำให้พ่อท่านฯได้พักอย่างเต็มที่ มีเวลาอ่านข่าว จากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ได้มาก รวมถึงการเปิดด ูข่าว ต่างๆจากโทรทัศน์ในห้อง

ก่อนออกจากโรงพยาบาลคุณเพ็ญเพียรธรรมได้ไปติดต่อจ่ายค่ายา ค่าห้อง และอื่นๆ ได้รับใบเสร็จทั้งหมด ประมาณ ๓๖,๖๙๙ บาท

ทราบว่าหมอสุรินทร์ก็รับเหมาจ่ายค่ารักษาทั้งหมดไว้แล้ว นอกจากคุณขวัญบุญ และครอบครัวดีรัตนา ยังมีคุณหมอตรีวรรณ ที่นำมาถวาย ให้ด้วยตนเอง ตั้งแต่เมื่อวาน

ขณะออกจากโรงพยาบาลแล้วได้รับโทรศัพท์ จากหมอสมพงษ์ ต้องการจะออกค่ารักษา ด้วยเหมือนกัน แม้แต่หมอธีระ ที่เป็นผู้ทำการผ่าตัด ก็ไม่คิดค่าหมอ ถือเป็นการทำบุญ

สร้างชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง
การศึกษากับวิถีอาริยธรรม

ที่ชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยอุบลฯ ญาติธรรมที่มารวมตัวกันอยู่ที่นั่น ยังจะต้องปรับตัว ปรับทิฏฐิ ปรับวิธีคิด ปรับวิธีการทำงาน ร่วมกันต่อไป เนื่อง ด้วยหลายคน ประสบความสำเร็จ ทั้งในการทำ และการคิด ที่เป็นของตนมาก่อน ถึงขั้นมีชื่อมีเสียง ได้รับการยอมรับ กันมาแล้วส่วนหนึ่ง อยู่ที่บ้าน การจะทำอะ ไรก็สามารถ ตัดสินใจ ทำไปได้เลย ไม่มีหมู่คณะที่จะต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำ แต่เมื่อมาอยู่ที่ชุมชนมหาวิทยาลัยอุบลฯนี้ คิดเอง ทำเองไม่ได้ จะทำได้ ก็ต่อเมื่อ มีมติของ หมู่คณะ เสียงส่วนใหญ่เห็นชอบจึงจะทำได้ ชีวิตอยู่ในระบบขบวนการกลุ่ม

นั่นก็คือการอยู่ร่วมกันย่อมได้รับการขัดเกลา ขัดอก ขัดใจกันไปในตัว ได้ฝึกลดละอัตตามานะ แม้จะดีแสนดีแต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ เขายังไม่เห็นด้วย ก็ต้องปรับ ต้องละ ต้องลด ทิฏฐิของตน

เป็นการปฏิบัติธรรมตามมรรคองค์ ๘ ที่มีกัลยาณมิตร มีเพื่อนสพรหมจรรย์ มีมิตรดี สหายดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ ตามที่พระพุทธองค์ ทรงตรัสไว้

นอกจากการปรับตัว ปรับทิฏฐิ ในการอยู่ร่วมกันของชาวชุมชนมหาวิทยาลัยอุบลฯแล้ว การประสานและการปรับทิฏฐิในการทำงานร่วมกับ คณะอาจารย์ และชาว มหาวิทยาลัย ก็เป็นสิ่งสำคัญ ที่ยากยิ่งกว่า เพราะทิฏฐิของชาวมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็คือโลกียธรรม

การที่พ่อท่านฯนำพาชาวอโศกมาสู่แนวทิศโลกุตรธรรม เป็นเรื่องแปลก แตกต่าง จากสังคมส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องศาสนา การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ฯลฯ คนส่วนใหญ่ในสังคมไทยยังเข้าใจไม่ได้ ถึงขั้นรับไม่ได้ก็มีให้เห็นๆกันอยู่ น่าเห็นใจเขาเหล่านั้น แม้แต่คณาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอง ก็เป็นเช่นนั้น ข้อมูล จากบุคคล ที่น่าเชื่อ ถือหลาย ฝ่ายระบุตรงกันว่า คณาจารย์ส่วนใหญ่ ค้าน-ต้าน แม้หลายท่าน จะไม่ได้ค้าน ไม่ได้ต้าน ชาวอโศกโดยตรง แต่เป็นการค้าน -ต้านวิธีคิดวิธีการ ทำของอาจารย์ ที่ริเริ่ม และสนับสนุน การนำชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง เข้ามาเชื่อมกับหลักสูตร การศึกษาเศรษฐกิจพอเพียง ของคณะบริหารศาสตร์

คณาจารย์ที่ค้าน-ต้านเหล่านั้น อาศัยข้อบกพร่องของโครงการร่วมระหว่างมหาวิทยาลัยกับชาวอโศก ไม่ได้ผ่านมติของ สภามหาวิทยาลัยก่อน ผิดหลักการ ของ การทำงาน ร่วมกัน ยึดติดกับหลักการ จนเผินข้ามผ่านเนื้อหา ความเป็นจริง แม้จะผิด หลักการ แต่ถ้าไม่เกิด ผลเสียหายอะไร กลับเป็นประโยชน์ ต่อมหาวิทยาลัย และสังคม ประเทศชาติ ด้วยซ้ำ การยึดติดกับ หลักการอย่างนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง แน่แท้แล้วหรือ แม้จะยังไม่เห็นผลดีทันตา จนเป็นที่ปรากฏชัด แต่โครงการร่วมสร้างหลัก สูตรการ ศึกษาเศรษฐ กิจพอเพียง ของคณะบริหารศาสตร์ ซึ่งสอดคล้องกับ พระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นสิ่งที่ควร ส่งเสริมหรือทำลาย

นอกจากนี้การหยิบยกเอาข้อบกพร่องอื่นๆ ที่เกิดขึ้นมาเป็นส่วนสำคัญ ในการต้าน-ค้าน ไม่ว่าจะเป็น สถานที่ตั้ง ของชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจ พอเพียง เป็นพื้นที่อยู่ ในแผนงาน ของการสร้าง อาคารชุมชน (ขณะที่มหาวิทยาลัย ยังมีที่ว่างๆ อื่น นับเป็นพัน เป็นหมื่นไร่) หรือข้อบกพร่อง ที่มหาวิทยาลัย ได้เคยเวนคืนที่ กับชาวบ้าน หลายครอบครัว ที่มาอาศัย พื้นที่ ของมหาวิทยาลัย ทำมาหากิน แต่กลับอนุญาต ให้ชาวอโศก มาสร้างชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียงได้ ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ (การอ้างเหตุ ที่คล้ายๆ กัน แต่ผลที่เกิดขึ้น ต่างกันนั้น เป็นเหตุที่ควรยึดถือ ปฏิบัติจริงๆแล้วหรือ เป็นดุลพินิจ ที่ถูกต้อง ชอบธรรมแล้วจริงๆหรือ) แม้กระทั่ง ข้อผิดพลาด ของการทำปุ๋ยหมัก ที่นำเอา ขี้ไก่ มาเป็นส่วนผสม อย่าง ผิดขั้นตอน ของสมาชิกชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง บางท่าน ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น รบกวนโรงเรียนอนุบาลฯ และชาวแฟลต ของมหาวิทยาลัย ที่อยู่ติดพื้นที่ ก็เป็นข้ออ้าง หนึ่งในการต้าน-ค้าน

ข้อมูลล่าสุดปฏิกิริยาค้าน-ต้าน ด้วยการลดขนาดพื้นที่ของ ชุมชนฝึกฝน เศรษฐกิจพอเพียงลงมา ดีที่อาจารย์ที่ส่งเสริม แม้จะเป็นเสียงข้างน้อย แต่ก็ยังคงเดินหน้า สานโครงการ หลักสูตร การศึกษา เศรษฐกิจพอเพียงต่อไป

สิ่งที่ยากที่สุดของชุมชนฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ คณาจารย์ที่ส่งเสริมก็ใช่จะเข้าใจและเห็นดีกับแนวทางโลกุตระ ไปทั้งหมด ชาวชุมชนฯ ก็มีอัตตา ของชาวชุมชนฯ คณาจารย์ ก็มีอัตตาเป็นของตน ถ้าต่างฝ่าย ต่างใช้อัตตา เป็นตัวตั้ง ในการทำงาน ก็คงจะเจริญก้าวหน้า ร่วมกันไปได้ยากด้วย

๖ กันยายน ๒๕๕๐ ที่ชุมชนมหาวิทยาลัยอุบลฯได้มีการฝึกการอบรม การบริหารจัดการกลุ่ม" โดยคณาจารย์ คณะบริหารศาสตร์ ได้มา ให้คำแนะนำ ให้ความรู้กับ ชาวชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง มหาวิทยาลัยอุบลฯ ก่อนการฝึกอบรม ได้นิมนต์ พ่อท่านฯ ให้โอวาท เปิดการอบรม จากเนื้อหาบางส่วนดังนี้

ก็ขอขอบคุณท่านอาจารย์ทั้งหลายที่ได้ช่วยกันมาเพื่อที่จะได้มาสัมมนา ช่วยบอกช่วยสอน

อาตมาก็ขอย้ำ อยู่อย่างหนึ่งกับพวกเราว่า ที่เรามาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ เรามาทำเพื่องาน เรามาทำ เพื่อสิ่งที่คิดว่า เป็นสิ่งที่ จะเกิด ประโยชน์ กับมนุษย์ กับมนุษยชาติ ที่จะเอา ไปใช้อาศัย ได้จริงๆ พวกเราไม่ได้ทำ เพื่อที่จะมาหา ประโยชน์ ทางลาภยศอะไร หรือ แม้แต่สรรเสริญ หรือมาเสพสุข ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้ลาภ แลกเปลี่ยน ไม่ได้มาสุข เพราะ ได้ลาภ ตอบแทน ได้ยศตอบแทน ได้สรรเสริญ ตอบแทน หรือว่าได้เสพ ได้ทำแล้วก็เลยได้เสพสุข เพราะได้ทำ อาจจะมีบ้าง เสพสุข เพราะได้ทำ เพราะเป็นงาน ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ เหน็ดเหนื่อยเราก็ทำ แม้ไม่ได้ลาภแลกเปลี่ยน ไม่ได้ยศแลกเปลี่ยน ถูกตำหนิติเตียนด้วยซ้ำ ก็ไม่เป็นไร

เมื่อเราชัดเจนอยู่แล้วว่าสิ่งนี้เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์เราก็มาทำ แล้วเราจะมาทำอะไร เรามาทำสิ่งที่เรามั่นใจว่า เป็นสิ่งที่ดี เป็นอาชีพ เป็นการงาน ของมนุษย์ ก็มีอาหาร เป็นกิจ กรรมหลัก แต่ก็มีหลักเศรษฐศาสตร์อยู่ในตัวของมันเอง ถึงจะมีกสิกรรม เป็นหลักก็จริง แต่ก็มีอื่นๆ ที่จะแปรรูป ที่จะปรุงแต่งเพิ่มเติม เป็นอะไร ที่ต่อเนื่อง เกี่ยวโยงยาว ไปถึง มนุษย์ ในหลายๆ ลักษณะ หลายๆรูปแบบ

ซึ่งเราได้ฝึกฝน เราได้เรียนรู้มาแล้ว เราได้ทำมาจริงแล้ว แล้วก็มาใช้พื้นที่ ซึ่งพื้นที่ตรงนี้เราก็ยังไม่รู้จักมันดีเท่าไหร่ เราเพิ่งจะมาทำ เราจะได้พิสูจน์พื้นที่ ได้เรียนรู้ พื้นที่ไปด้วย และเราก็ได้ทำกัน อย่างที่เรียกว่า เราไม่ได้มาทำเล่น ไม่ได้มาทำชั่วคราว ถ้ามันจะเป็นจริง ถ้ามันจะเป็นประโยชน์ ที่เป็น หลักเป็นฐานเลย เราก็ทำไป โดยไม่ยึด มั่นถือ มั่นเป็น ของเราด้วย เราทำขึ้นมา ให้เกิดขึ้นมา ในพื้นโลก แผ่นดินโลก ทำขึ้นมาให้เป็นสิ่งที่ดีงาม ทำขึ้นมาแล้วจะให้เราออกไป ใครจะมายึดก็ไม่ว่า สืบสานก็แล้วกัน เรา ทำแล้ว แล้วจะมา ล้มทิ้ง ก็น่าเสียดาย เท่านั้นเอง แต่ถ้าเผื่อว่าทำแล้ว ไม่ให้เราทำต่อ ใครจะมาสานต่อ เราก็ยินดี สืบสานต่อ ให้เราออกไป เราก็ออกไปได้ ขอยืนยันเลย ว่าพวกเราออก ไป อย่างไม่ติดไม่ยึด ไม่ได้ถือสาด้วย เพราะสิ่งนี้ มันมีอยู่แล้วในโลก เป็นธรรมดา

เราจะมาทำงาน งานอย่างที่เรานักกระทำ เป็นนักปฏิบัติ แต่เราไม่ใช่เป็นนักวิชาการ ความรู้ในวิชาการ เรายังไม่ดี เรายังไม่เก่ง เรายังไม่คล่อง เมื่อทางด้าน อาจารย์ อภิชัย อยากจะได้ ให้เรามาเป็นตัวปฏิบัติ แล้วทางนี้ ก็จะได้ผสมผสาน ได้จัดสรร ให้มัน สมบูรณ์แบบ เราก็ยินดีมากเลย เราจึงมาทำ ด้วยความเต็มใจ แล้วก็ทำขึ้นมา อย่างที่เป็น ที่เห็น นี่แหละ

ก็เกิดการขัดแย้ง เกิดการไม่เข้าใจอยู่หลายท่าน หลายอันอยู่ แต่อาตมาก็พยายามพูดว่าเราไม่ได้มารุกราน เราไม่ได้มาแย่งชิง เราไม่ได้ มาทำอะไร ที่จะเป็น การรบกวนอะไร เรามาทำ สิ่งที่คิดว่า มาเสริมให้ มาเพิ่มเติมขึ้น เพื่อประโยชน์คุณค่า ต่อมนุษย์ ต่อสังคมเท่านั้น จริงๆ

เรามีงานมีอาชีพ มีที่มีทางมีอะไรทำของเราอยู่แล้ว เราไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอกอะไรหรอก แต่ที่เรามาทำนี่เราก็เห็นว่า เอ้อ มันเป็น การก้าวหน้า ชนิดหนึ่ง มันเป็น การพัฒนา ชนิดหนึ่ง ที่จะประสานกัน เพื่อที่จะให้เกิดอะไรที่เราก็ขาด ทางด้านโน้นก็อยากได้ ก็จึงมา รวบรวมกัน ทำสิ่งนี้ ขึ้นมา นี่เป็นเหตุหลัก เป็นเหตุใหญ่ ยิ่งมาถึงวันนี้แล้ว ก็มีผู้รู้หลายท่าน เห็นด้วยเห็นดี ก็จะมาร่วมไม้ร่วมมือ เราก็ยินดียิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ประสาน เพื่อที่จะได้รู้ เพราะฉะนั้น เราทั้งเด็กรุ่นใหม ่ที่จะมาสืบสาน ทางด้านวิชาการ เป็นปริญญาตรี ทั้งคนเก่า ที่จะทำ ปริญญาโท ปริญญาเอก เราจึงเต็มใจ อย่างที่ปรากฏแล้ว ที่จะร่วมรังสรรค์

ยังไง้..ยังไงเราก็ขออยู่นิดหนึ่ง ตรงที่ว่า พวกเรามันลูกทุ่งอยู่บ้าง หรือว่ามันไม่ประสีประสา ในเรื่องของทางวิชาการ ขอให้เข้าใจ อันนี้ว่า เราเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว ก็คงจะสาน อะไรกัน ต่อได้ดีขึ้น ส่วนในเรื่องทำนั้น เราทำเต็มที่ บอกเรา ก็แล้วกัน แต่มีอยู่บ้างที่.. ถ้าอะไร ที่เรามั่นใจว่า อันนี้ถูกต้อง อันนี้ดี แล้วทางด้าน ทางวิชาการ ซึ่งก็มีวิชาการ แบบทาง ของวิชาการเอง เอามาให้เราทำจะมาให้เราเปลี่ยน จะมาให้เราแก้ที่เราทำเรามั่นใจอยู่นี่ อันนี้ก็อยากจะให้คุยกันอย่างดี เพราะว่าบางที เราก็มั่นใจ ที่เราได้ทำว่าจริง หลายอย่าง เราก็อยาก จะยืนหยัด ยืนยัน สิ่งที่เรามั่นใจนี้ บ้างเหมือนกัน อันนี้เป็นประเด็น ที่อยากจะฝากไว้ ยังไงๆก็มาช่วยคุย มาช่วยปรึกษากัน มาช่วย ตกลงกัน ถ้าเผื่อว่า ต่างคน ต่างมั่น ใจ ก็แบ่งส่วนให้ก็แล้วกัน จะจัดสรรแบ่ง ๕๐:๕๐, ๖๐:๔๐, ๗๐:๓๐ อะไร ก็ค่อยมาตกลงกันบ้าง มันคงก็ต้องใช้ การตกลง เพราะว่าเรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญ

พระพุทธเจ้าท่านตรัส นานาสังวาสเป็นหลักเกณฑ์ที่ สุดท้ายคนเรามันยึดแล้วนี่ เชื่อแล้วของตน ต่างฝ่ายต่างเชื่อว่าของตนเองถูกต้อง อันนี้มันเป็นธรรมชาติ ของมนุษยชาติ ท่านถึงตั้งนานาสังวาสไว้ว่าต่างคนต่างยึดของตนเองถูก ท่านก็บอกว่า อ้าว.... ต่างคน ต่างยึด ก็แล้วกัน ใครจะทำอย่างไร ของใครก็ของมัน นี่เป็นหลักการ สุดท้าย ทำอย่างท ี่ตน เองมั่นใจของตนเองก็แล้วกัน สุดท้าย ถ้าต้องแยกเราก็แยก

ส่วนคนกลาง คนทั่วๆไปจะทำอย่างไร ก็ให้มาศึกษาทั้ง ๒ ฝ่าย ใช้ภูมิของตนเอง ใช้ปัญญาตนเอง เป็นตัววินิจฉัย ศึกษาเอา ตามภูมิปัญญา ของตนเอง ฟังธรรมทั้ง ๒ ฝ่าย ให้ครบ ศึกษาทั้ง ๒ ด้าน แล้วตัดสินว่า อันไหนที่เราเห็นว่า อันนั้นถูก อันนั้นผิด ก็เป็นของตัวเอง เป็นสิทธิของตนเอง ตนเองตัดสิน ด้วยปัญญาภูมิตนเอง นั่นเป็นสุดท้าย นี่คือหลักนานาสังวาส

มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมาบังคับคน ทั้ง ๒ ฝ่าย เพราะว่าเขาปักใจอันนี้ถูก บังคับกันไม่ได้หรอก สุดท้าย ก็คงเชื่อมั่นกัน คนละอย่าง เพราะฉะนั้น หลักอันนี้ จึงเป็นหลัก สุดยอด ของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ ที่เป็นจุดสุดท้าย แห่งวิสัยมนุษย์ ก็จบกันด้วย ให้ใช้หลัก นานาสังวาส แต่คนไม่เข้าใจ แล้วก็เอามาใช้ไม่เป็น อาตมาถึงบอกว่า ให้ศึกษา ธรรมะของ พระพุทธ เจ้าข้อนี้ สุดยอดทีเดียว นานาสังวาส เนี่ย อย่างเราเกิด กรณีของเราเนี่ย อโศกเราก็มั่นใจว่า เราถูก เถรสมาคม ก็มั่นใจ ของท่าน ว่าถูก แล้วเราก็ยื่น นานาสังวาส ให้ท่านใช้ ท่านไม่ใช้ ท่านเอาอำนาจบาตรใหญ่ ของท่านมาเล่นงานเรา ซึ่งเราเล็ก เราโดนตึ๊บไป อย่างที่เป็นไปแล้ว เราเล็ก เราก็โดนตึ๊บ ท่านไม่ใช้ นานาสังวาส ตามธรรมวินัย ท่านทิ้ง นานาสังวาส ท่านไม่เอากับเรา ท่านเล่นพวกมาก ซัดเต็มที่เลย เราก็โดนตึ๊บไป ไม่เป็นไร เราก็ทนเอา เราก็เลี่ยงเอา เราก็หลีกเลี่ยง ทำเท่าที่ทำได้ ไม่ทะเลาะ ไม่ต่อสู้ ไม่ไปปะทะ ไม่ไปทำอะไรให้มันรุนแรง เท่าที่เราทำได้มาจนทุกวันนี้ เราก็ทำได้ พิสูจน์ความจริง

พระพุทธเจ้าท่านให้พิสูจน์ความจริง ของใครของใครที่เชื่อมั่นของตน จนเปลี่ยนไม่ได้จริง ของเราเองนี่แหละ ก็ให้ทำไปซี แล้วมันจะเป็น การพิสูจน์ผล ในอนาคตเอง ระยะทาง พิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน เป็นเรื่องธรรมดา มันก็จะพิสูจน์ ตัวมันเองจริงๆ ส่วนปัจจุบันนั้น ก็ส่วนตัว อย่างที่พูดไปแล้ว ส่วนใครเห็นว่า เป็นอย่างไร ก็ทำใจเป็นกลาง ให้ศึกษา ทั้ง ๒ ฝ่าย อย่าไปอคติ ศึกษาแล้ว ก็ใช้ภูมิปัญญา ของเรา เป็นตัวตัดสิน ซึ่งอันนี้ก็สุดยอด อีกเหมือนกัน ตัวใคร ก็ตัวใคร มีความโง่ เท่าที่ตัวฉลาด ทุกคนแหละ หรือ ทุกคนก็ ฉลาด เท่าที่ตนโง่ มันมีเท่านั้นจริงๆ เราก็ตัดสิน ของเราเอาเอง อันนี้มันสุดทางแล้วนี่ นี่คือ หลักตัดสิน นานาสังวาส ของพระพุทธเจ้า สุดยอด อ้า นี่ก็ฝากทิ้งไว้ว่า ให้เข้าใจ ธรรมะของ พระ พุทธเจ้าตรงนี้ดีๆ แล้วเราก็จะได้ไม่เกิดทะเลาะวิวาท หรือว่าเกิดเรื่องราวอะไร นอกจาก ใครจะรังแกใครบ้างก็ทนเอา ทนได้ก็ทน ทนไม่ได้ก็ สุดท้าย มันก็แค่ตาย ทำร้ายกัน สุดท้าย มันก็เอากันตาย แล้วมันก็จบ ถ้าไม่ตาย ถ้าจะทำไปได้ก็ทำ อย่างเราเนี่ย ก็พยายามเลี่ยงมา ยอมสิ่งที่ยอมได้ สิ่งที่ยอมไม่ได้ เราก็ไม่ยอม เราก็เลี่ยง มาทำของเราไป หาว่า เราดื้อดึง เราก็บอกว่า เราไม่ได้ดื้อดึง เราทำอย่างยืนหยัด สิ่งที่เราเชื่อมั่นว่า มันเป็นสิ่งที่ดี แต่เขาก็ไม่ฟัง ก็ไม่เป็นไร ก็ยืนหยัดสิ่งที่ดี ทำไป

อยากจะฝากอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือเรื่องของตัวตน ใครก็ดี อย่าเอาเรื่องของตัวของตนมาเป็นตัวอำนาจในการที่จะทำอะไรในกลุ่ม ขอให้ใช้ ขบวนการกลุ่ม ช่วยกันคิด ช่วยกันวิจัย มันมีหลักเกณฑ์ไว้แล้ว พระพุทธเจ้าทำมา ตั้งแต่ยุคของท่าน วิธีตัดสินความ วิธีการพิจารณาคดี ระงับความขัดแย้ง เป็นหลักนิติศาสตร์สมบูรณ์ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภุยยสิกา ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกวินัย มีทั้งวิธีตัดสินต่างๆ ที่สังคมมนุษย์ จะพึงใช้ พระพุทธเจ้า ตราหลักเกณ ฑ์ต่างๆ ไว้ตั้งแต่ สองพันกว่า ปีมาแล้ว ทันสมัยที่สุด นักนิติศาสตร์ น่าจะศึกษาดูให้ลึกซึ้ง แม้แต่หลัก นานาสังวาส ตามที่กล่าวมาแล้วนี่ วิเศษสุดจริงๆ

พระพุทธเจ้าเป็นสุดยอดประชาธิปไตย สุดยอดอิสระเสรีภาพ สุดยอดไม่ยึดตัวยึดตน ไม่มีอคติใดๆ สุดยอดแล้ว เอาล่ะ ขอบคุณทุกคน ที่ได้มาร่วมสัมมนา

ขยะพัฒนาจิตวิญญาณ
โทรทัศน์เพิ่มศักยภาพ

สถานการณ์โทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน ตั้งแต่เริ่มใช้สื่อโทรทัศน์นี้ในเดือนเมษายน ๖ เดือน เงินที่หน่วยงานต่างๆรวมถึงชุมชนอโศกที่มี ขูด-ขอดมา จนหมดเกลี้ยง จ่ายไป ร่วมสิบล้าน จดๆจ้องๆ ทำท่าจะไปบอกคืน ช่องสัญญาณ กับทางเอเอสทีวี เพราะไม่สามารถ หาเงินมาจ่าย ให้ต่อไปได้อีก แต่ก็ได้รับการขออนุเคราะห์ จากผู้ดูแล ช่องสัญญาณว่า ขอให้ทำ ต่อไปเถิด เพราะโทรทัศน์เพื่อแผ่นดิน เป็นสถานีเดียว ที่สื่อเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ได้อย่างเป็นรูปธรรม เงินมีให้ไม่ครบ ตามที่เคยจ่าย ก็ไม่เป็นไร มีเท่าไหร่ ก็จ่ายเท่านั้น ไม่ก็ไม่ต้องจ่าย และไม่ถือเป็นหนี้ อะไรด้วย หนังสือสัญญา ที่ทำกันไว้แล้ว ก็แล้วกันไป ถ้อยคำนี้ ถือเป็นสัญญา สุภาพบุรุษ แม้จะไม่ได้เป็น ลายลักษณ์ อักษร ก็ให้ถือคำกล่าว นี้เป็นสัญญาใจ ที่มีต่อกัน

คณะกรรมการบริษัทถอยหลังเข้าครรลองจำกัด ได้ประชุมหาแนวทางแก้ปัญหานี้ อยู่หลายต่อหลายครั้ง ที่ประชุมเห็นควรให้จ่าย ตามที่ทางเราหาให้ได้ อย่างไม่ลำบาก เกินไป

นอกจากนี้ยังจะต้องปรับปรุง อุปกรณ์รับ -ส่งสัญญาณ เพื่อให้ได้คุณภาพ ที่ดีขึ้นในการส่งสัญญาณภาพ และเสียง แม้จะได้รับการลด ราคาแล้วก็ตาม แต่ก็ยังต้องจ่าย อีกเป็น ตัวเลข ๗ หลัก ขึ้นกันทั้งนั้น

นับตั้งแต่มีการแพร่ภาพออกอากาศทางโทรทัศน์ เพื่อแผ่นดิน และการปลุกสำนึกเพิ่มการจัดเก็บขยะ ขึ้นมาเป็นรายได้ เพื่อช่วยเหลือ ค่าใช้จ่าย ต่างๆ ของโทรทัศน์

ด้านจิตวิญญาณนั้นเป็นผลดีอย่างยิ่ง ทำให้เกิดความประณีตประหยัด อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพ ในการทำงาน ให้มากขึ้นด้วย

ชุมชนหลายแห่งสามารถจัดเก็บขยะจนมีรายได้เป็นแสนหลายแสนได้ในหนึ่งเดือน ทั้งๆที่แต่ก่อนนี้ ไม่มีรายได้ถึง ระดับแสน อย่างนี้

ผู้ชมรายการโทรทัศน์เมื่อทราบข่าวหลายท่านนำเอาของเก่าเหลือใช้มาบริจาค

ร้านดินอุ้มดาว เป็นร้านขายของเก่าที่มีผู้นำมาบริจาค ได้รับความสนใจ มีผู้มาจับจ่ายซื้อสินค้ากันอย่างต่อเนื่อง

พ่อท่านฯมองผลทางจิตวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อนเป็นเรื่องน่าภาคภูมิของชาวอโศก มีการประชุมคณะทำงาน สถาบัน ขยะวิทยา ด้วยหัวใจ (สขจ.) และการ ประชุม คณะทำงานโทรทัศน์ กันหลายต่อหลายครั้ง ทั้งประชุมย่อย ประชุมใหญ่ รวมคณะ ทำงาน จากต่างจังหวัด เข้ามาร่วมด้วย จากบางส่วน ที่พ่อท่านฯ ให้โอวาท ปิดประชุมดังนี้

อาตมาเห็นพัฒนาการความเจริญ ไม่ใช่เรื่องเงิน เรื่องเงินอาตมาถือว่าเป็นผลพลอยได้ แต่เรื่องของ การจัดชีวิต ชีวิตของเรา ได้เกิดงาน เกิดพฤติกรรม อะไรขึ้นมา อันเนี้ย.. เป็น ความเจริญ ที่พัฒนาขึ้นมา คนเองนั่นแหละ เจริญพัฒนา เป็นผลดีต่อสังคม เป็นผลดีต่อโลก สิ่งแวดล้อม

เรื่องขยะนี่พูดกันมาตั้งไม่รู้....๒๐ ปีได้มั้ง มันไม่ก้าวหน้าอะไรเลย พอมาถึงตอนนี้นี่ โอ้โฮ..ถ้าไม่มี FE.TV. เนี่ย ขยะมันคงตายแห้ง เป็นเขียด เหยียดขาตาย ไปเลยจริงๆ ด้วย TV นี่มาเป็นเหตุปัจจัย กระตุ้นแล้วก็ผลักดัน ให้เราเอาจริงเอาจัง กันขึ้นมา ทั้งๆที่ เราน่า จะเอาจริง ได้มาตั้งนานแล้ว

ส่วนรายได้ก็แปลกแล้ว ดูซิ อยู่ดีๆ น่ะเดือนหนึ่ง เอ้าที่นี่สองแสน ที่โน่นสองแสน สามแสน ก็สี่ห้าแสนบาท เกิดจากอันเนี้ย..ในวงจรของ พวกอโศกเราน่ะ เอ้อ ....อยู่ดีๆ มันไม่ใช่น้อยนา ..เงินตั้งแสน สองแสน ห้าแสนต่อเดือน อะไรของพวกเรา ที่ได้ขึ้นมาจากขยะ

โอ....ถ้าทำอย่างนี้ ๒๐ ปีที่แล้ว ป่านนี้นี่ ตึกนี้เสร็จหมดแล้ว สร้างตึกข้างหลังแล้ว เอาเถอะ อาตมาบอกแล้วว่า เงินๆทองๆนี่ มันได้มาก็เพียง เป็นผลพลอยได้ แต่เรื่องของ มนุษยชาติเนี่ย เป็นเอก เป็นหลักใหญ่ เกิดพฤติกรรม เกิดการเอาภาระ ทำงานขึ้นมา เป็นงาน เป็นระบบ เป็นวิธีการ เป็นการเรียนรู้ นี่คือการศึกษา เราจะได้รับความ รู้จาก ไอ้สิ่งเหล่านี้ ขึ้นมา ที่สุด ทำให้เป็นวัฒนธรรม ของชาวอโศก ที่ปฏิบัติกับขยะ อย่างมีระบบวิธี และเป็นประโยชน์แท้

โอ้โฮ....อาตมาว่ามันเป็นการศึกษาอย่างมากเลย มหาวิทยาลัยนี่มันน่าจะต้องแหม..ทำวิจัยแล้วก็สร้างทำหลักสูตร ตั้งคณะขยะวิทยา แต่ไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครทำ เต็มจริงจัง อาตมา ก็ไม่รู้ว่า ทำไมเขาไม่คิด คิดไม่ออกยังไง คนขนาดอาตมา ไม่ได้เป็นด็อกเตอร์ ไม่ได้เป็นปริญญาตรี โท เอก อะไร ยังคิดออก

เราทำแล้วจะเห็นได้ว่า เรื่องที่มันเกิดเป็นกิจกรรมกิจการเป็นเรื่องราวอะไรขึ้นมานี่มันเยี่ยม แล้วสิ่งแวดล้อม เป็นผลกระทบ สังคมเป็นผลกระทบ ที่ต่อเนื่อง มันเกิดการพัฒนา เกิดอะไรๆ ดีขึ้น

สันติอโศกเรานี่ ดีขึ้น มีระบบ มีระเบียบ ขึ้นมา หนี้ไม่มี อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเผื่อมันเป็นจริงเป็นจัง ขึ้นมาแล้ว เรื่องสามอาชีพกู้ชาติ กสิกรรมก็ดี เราก็ถึงขั้น ระดับของชาติ กันไปแล้ว ปุ๋ยก็ตาม ขยะนี่มันยังไม่ขึ้น ถ้าขึ้นระดับชาติ เมื่อไหร่อีก ก็เป็นสามอาชีพกู้ชาติ เต็มรูปเลย มันน่าจะขึ้น ก็เราพึ่งทำกัน ไม่เท่าไหร่ กสิกรรม เราก็ทำมานาน โอ้โฮ.. เข็นฝืด มาตั้งเท่าไหร่ แล้วก็ตามมาเป็นปุ๋ย นานพอสมควร นี่ถึงเริ่มเกิดหน๊อ เพิ่งเป็นรูปเป็นร่าง เป็นอะไรขึ้นมา

คืออาตมาก็มั่นใจว่า ถ้าในอนาคตขึ้นมาแล้ว มันก็จะขึ้นมาในระดับชาติ เมื่อนั้นจะเห็นผล อาตมาว่าจะเห็นผลว่า สามอาชีพกู้ชาติ เป็นเรื่องจริงอย่างไร ที่จริงมันลึก ไปถึง ขั้นนามธรรม

ทำไม ทำไมอาตมาไม่กำหนดให้ไปค้าเพชรค้าพลอย ทำไมไม่ไปสร้างเครื่องบิน สร้างวิทยุโทรทัศน์ ไปทำอุตสาหกรรม ที่มันเขื่อง มันหรูนา..ไฮโซ ทำไมอาตมา ไม่ไปคิดถึง เรื่องพวกนั้น ที่จะเป็น อาชีพกู้ชาติ ทำไม มาอันนี้กู้ชาติ โดยเฉพาะขยะ เอาไปกู้ชาติ มันฟังแล้วมัน ตาหลก หน๊อ มันจะไปกู้ชาติยังไง สังคมเขามอง กู้ชาติ ก็จะต้องทำ เศรษฐกิจ เงินทอง สะพัดตัวเงิน ขึ้นมามากๆๆๆ คือ การกู้ชาติ อาตมาว่า สังคมมันมองตื้นๆ อย่างนี้ทั้งนั้น

อาตมาว่าการกู้ชาตินี่ มันกู้มนุษย์ มันกู้ความเป็นอยู่ของสังคม ที่จะเกิดพิษ เกิดภัย เกิดโทษ เกิดนิสัย เกิดจิตวิญญาณ แล้วจะอยู่กัน อย่างมีความประณีต ประหยัด รู้สาระ เป็นสาระ รู้อสาระเป็นอสาระ มีการรู้โทษรู้คุณ ที่แท้จริง อย่างลึกซึ้ง รู้อะไรต่างๆนานา อย่างแท้จริง แล้วก็มีความขยัน อดทน ลดรังเกียจ สรุปว่า ลดกิเลสแท้ๆเลย อันนี้ต่าง หากเล่า มันเป็นการพัฒนา มันเป็นการเจริญ งอกงาม ที่จะพัฒนาประเทศชาติ สังคม คือเขาไปมองแต่เรื่องวัตถุ เงินทอง การกินดีอยู่ดี แบบเผินๆน่ะ กิน เสพ ร่ำรวย หรูหรา อาตมาพูดไป เหมือนไปข่ม ไปดูถูกเขา เขามองตื้นไปหรือเปล่า มันน่าจะมอง ได้ลึกซึ้ง

เอาละ...เราก็ก้าวมาถึงวันนี้ ทุกอย่างก็พัฒนากันขึ้นมาตามลำดับๆๆ ก็จะเห็นรูปร่าง ความเป็นจริง ขึ้นมา เมื่อมันเป็นจริงแล้ว พวกเราทำขึ้นไป เป็นตัวแท้ ตัวพิสูจน์ ความจริง อันนี้เป็นชิ้น เป็นอัน เป็นรูปธรรม เป็นสิ่งยืนยันขึ้นมา ก็คงจะทำให้ คนเขาได้มาศึกษา ได้มาเข้าใจ แล้วก็นำไปพัฒนา หรือว่านำไป สร้างสังคมอื่นๆ ต่อไปอีก

เราพิสูจน์ของเราก่อน ถ้าเราพิสูจน์ เราจะเห็นชัดเจนว่ามัน มันมีคุณค่า มันมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ มนุษยชาติมีคุณค่า มากขึ้น เพราะ เรื่องขยะ ทำให้เกิดมนุษยชาติ มีคุณค่า ไม่ใช่ว่า เงินมากเงินมาย หรูหรา ฟู่ฟ่า รุ่งเรืองแบบโลกีย์เขา คือเจริญอย่างตื้นๆ เขามองผิวเผินไป

มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจสัจจะโลกุตระ เช่น กว่าจะรู้แจ้งเห็นจริงว่าสังคมพากันมาจนให้ได้อย่างมหัศจรรย์นั้น ดีแท้เจริญแท้ เป็นสุขแท้ ช่วยสังคม ให้เจริญ พัฒนาแท้ และยั่งยืนแท้กว่า "พากันมารวย" มันไม่ใช่สามัญ ที่คนจะรู้กัน อย่างเป็นสัจจะได้ง่ายๆ

ก็พากเพียรกันไป อาตมาบอกแล้วว่าขยะนี่มันยากหน่อย เพราะว่ามันมีอุปาทาน มันยึดติดว่า มันเป็นของต่ำ มันสกปรก เลอะเทอะ มันเป็นสิ่งที่ ทิ้งขว้าง มันไม่น่า จะมานั่ง วุ่นวาย อะไรกับมัน มันเป็นของ ที่มันไม่มีค่า มีคุณ อะไรต่างๆ นานาสารพัด อุปาทาน ในการยึดถืออย่างนี้มันเกิดมานานแล้ว นานมาก แล้วมันก็เป็น ลักษณะอย่างนั้นด้วย ความจริงแล้ว มันเป็นโทษ เป็นภัย แล้วทำ ให้มันเป็น คุณค่าซะ จากโทษจากภัยพวกนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ไม่ใช่มนุษย์ เราก็ไม่รู้เรื่อง เป็นเดรัจฉาน อะไรจะเกิดในโลก เกิดโทษ เกิดภัยขึ้นในโลก เราก็ไม่รู้เรื่อง เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันไม่รู้เรื่องหรอก สัตว์เดรัจฉานมันไม่เอาภาระนี่ มันไม่เกี่ยว มันไม่รู้เรื่อง เราคนนา..เราไม่ใช่ สัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะ นั้นเราอย่าไปได้เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มันคงไม่ได้ ใครเขาไม่คิด ใครเขาไม่เห็น ช่างเขาเถอะ แต่เราว่า เราเป็นคน ที่มีความรู้ มีธาตุวิญญาณ มีธาตุรู้ ที่ควรจะรู้ สิ่งที่มันควร ไม่ควร ดีไม่ดีอะไรอย่างไร มันเป็นโทษ เป็นภัย เป็นพิษเป็นคุณอะไร เราก็รู้เข้าใจ ใครไม่ทำ เราก็ทำก็แล้วกัน

เรื่องขยะนี้ไม่มีทางสิ้นสุดในโลก เพราะคนขี้เกียจก็สร้างขยะ คนไม่ขี้เกียจไม่ขยันก็สร้างขยะ ยิ่งคนขยันนั่นแหละ ตัวการสร้างขยะ ขึ้นเก่งที่สุดในโลก ไม่มีจบ ขยะจึงสำคัญ มากในโลก

เอ้า..ขอบคุณทุกคน ที่ได้เอาใจใส่ และพากเพียรทำกัน ช่วยกัน ศึกษาฝึกฝนกันไปอีก อาตมาก็ชื่นใจนะ..ที่พวกเรา ก็ยังมีความสุข ยินดีปรีดา แอ็พพีชีเอช ขึ้นมา จากการ ทำเรื่อง ขยะนี้

ช่วงปลายเดือนกันยายน ๒๘ ก.ย.รายการเจาะลึกฝึกธรรม ช่วงตอบปัญหา มีประเด็นคำถาม เกี่ยวกับกรณีพม่า ที่มีพระเป็นแกน ในการเดินขบวน ประท้วง รัฐบาลทหาร แล้วถูก รัฐบาล ปราบปราม อย่างรุนแรง และกรณี ภิกษุสันดานกา ที่พระสงฆ์ ออกมา เคลื่อนไหว ให้เอาผิดกับศิลปิน ที่วาดภาพนี้ นอกจากนี้ ยังมีคำถาม พาดพิง ไปถึงการปฏิบัติ ของหลวงตา มหาบัว

อีกทั้งรายการวิถีอาริยธรรม หรือ พุทธที่ไปนิพพาน ๓๐ ก.ย.นั้น มีประเด็นเกี่ยวกับการออกกฎหมาย ผ่อนปรนกับ บริษัทน้ำเมาต่างๆ ในการโฆษณา ให้โฆษณา ได้มากขึ้นนั้น เป็นเนื้อหา ที่น่าสนใจ แต่เสียดาย ไม่สามารถ นำมาลง ในบันทึกนี้ได้แล้ว ผู้สนใจ สามารถติดตาม ได้จากฝ่ายเผยแพร่ ธรรมทัศน์สมาคม หน้าสันติอโศก

รักข์ราม.
๑ พ.ย. ๒๕๕๐

[บันทึกจากปัจฉาสมณะ อันดับ ๓๐๕ ต.ค.-พ.ย. ๒๕๕๐]