๒๕๕๑ มกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ ข่าวการสิ้นพระชนม์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวง นราธิวาสราชนครินทร์ นับเป็น ความสูญเสีย ที่ยิ่งใหญ่ ของพสกนิกรชาวไทย สื่อต่างๆได้นำ พระประวัติและพระกรณียกิจของพระองค์ ออกเผยแพร่ ส่วนใหญ่เป็นงาน สังคมสงเคราะห์ ทั้งด้านการแพทย์ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม การศึกษา ข้าพเจ้า มิบังควรกล่าวซ้ำ เพราะพระภารกิจ ของพระองค์ มากมาย เกินที่จะกล่าวในที่นี้ หากกล่าวไม่ถูกไม่ครบ จะกลายเป็น การระคายเคือง และลดคุณค่า อย่างมิบังควรยิ่ง คุณธรรม ความดีงาม ที่จริงของพระองค์นี้ ทำให้พสกนิกรที ซาบซึ้ง ประทับใจ อดไม่ได้ที่จะอาลัย ต่อการจากไปของพระองค์ การจากไปของหมอฟากฟ้าหนึ่ง อโศกตระกูล ก่อนสิ้นปีในคืนวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๐ นับเป็นความสูญเสีย ขุนพลของ กองทัพธรรมอีกท่านหนึ่ง อย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง งานศพของชาวอโศก มีธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันมานาน คือ เปิดโอกาสให้ผู้ที่รู้จัก ผู้ตาย ได้เปิดใจ กล่าวถึง ความประทับใจ ในคุณความดี ของผู้ตายที่แต่ละท่านได้สัมผัสเห็น งานศพของหมอฟากฟ้าหนึ่งนี้ก็เช่นกัน หลายๆท่าน กล่าวถึง คุณความดี ของหมอฟากฟ้าหนึ่ง ด้วยความซาบซึ้งประทับใจ อาลัยรัก จึงอดไม่ได้ ที่จะสะอึกสะอื้น ร้องห่มร้องไห้ น้ำตาคลอเบ้า พ่อท่านฯกล่าวถึงหมอฟากฟ้าหนึ่ง ในช่วงการแสดงธรรมหน้าศพ(๖ ม.ค.)ตอนหนึ่งว่า ...หมอฟากฟ้าหนึ่ง เป็นคนที่ทำงาน เอาจริง เอาจัง เป็นคนมีสาระเอาสาระ ทำแต่งานไม่ค่อยจะ เปิดเนื้อเปิดตัว แต่คุณความดี ของหมอนั่นแหละ ทุกคนเห็นทุกคนรู้ อย่างผู้มาร่วม งานเผาวันนี้ คนมากันมาก มันแสดงถึง ความดีความจริง ความประพฤติ ที่จริงของคน ไม่ต้องบอกใคร คนที่เห็นที่รู้ และเขาก็นับถือ เชิดชู เทิดทูนเอง ผู้ที่ทำคุณงาม ความดีไว้มาก ก็จะมีญาติมิตรแสดงตัวเยอะ เป็นเรื่องของ จิตวิญญาณที่จริง แสดงออกจริงๆ อาลัยอาวรณ์กัน คนที่ไม่ค่อยจะมีคุณงามความดีอะไรนัก ก็จะหามิตรสหายไม่ค่อยได้ นั่นเป็นเรื่องสามัญ เป็นความจริง ที่แสดงออก เช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ เป็นสัจจะที่ ไม่จำเป็นต้องบังคับ แต่โลกนี้มี การบังคับ มีการสร้างภาพ ทำอะไร ประกอบอยู่เยอะ แต่พวกเรานี่ ทุกอย่างให้เกิด ไปตามสัจจธรรม ไม่บังคับ ไม่สร้างภาพ มันก็จะเกิดไปตามที่รู้ ที่มีภูมิจริง ตามที่เห็นจริง สิ่งที่เกิด ก็เป็นไปตามจริง หมอเป็นคนที่มีคุณงามความดีในความเป็นมนุษย์ มนุษย์มีความสำคัญของคนที่ควรจะได้ ไปตามลำดับคือ นั่นเป็นความสำคัญที่เมื่อเกิดมาเป็นคนแล้วควรจะได้ ตามลำดับความสำคัญ แต่โลกทุกวันนี้ไม่เข้าใจ ความจริงอันนี้ ไปหลงแต่ว่า ควรได้วัตถุ วัตถุที่ไม่ควรได้ ก็ยังอยากได้ โกงเอา โลภเอา เอาเปรียบขูดรีดเอาจากคนอื่น ก็ทำเอา ไปหลงอยู่ในวัตถุ แย่งกัน โลกจะแตก สร้างบาป สร้างเวร สร้างอาชญากรรม ต่างๆ นานา เพราะคนอวิชชา หรือโมหะ ไม่รู้สัจจธรรมความจริง... หลังงานเผาศพผ่านไปแล้ว ทางปฐมอโศกได้ประชุมหาผู้รับภาระหน้าที่ต่างๆแทนหมอฟากฟ้าหนึ่งที่ได้รับทำไว้ ปรากฏว่ามีถึง ๑๓ รายการ อาจกล่าวได้ว่านี่คือ มรดกธรรม ส่วนหนึ่ง ของหมอฟากฟ้าหนึ่ง เป็นต้นว่า ประธาน มูลนิธิฅนสร้างชาติ กรรมการ กองทัพธรรมมูลนิธิ กรรมการ ชุมชนปฐมอโศก กรรมการอุตสาหกิจชุมชน ผู้ถือใบอนุญาต ผลิตยาสมุนไพร และผู้ปฏิบัติ การแพทย์แผนไทย ผู้ถือใบอนุญาต ทันตกรรมปฐมอโศก ผู้ทำการแทน ผู้รับใบอนุญาต โรงเรียนสัมมาสิกขา ปฐมอโศก รองผู้อำนวยการ พลาภิบาล กรรมการบริษัท ภูมิบุญจำกัด ที่ปรึกษานิสิต มหาวิทยาลัยอุบลฯ (ศิษย์เก่าฯ) ที่ปรึกษาทุ่งมะเซอย่อ ผู้ดูแลประสานงาน นาแรงรักแรงฝัน ก่อนที่หมอฟากฟ้าหนึ่งจะเสียชีวิต หมอฟากฟ้าหนึ่งได้ทุ่มเทเวลา แรงกาย แรงใจให้กับที่นาแรงรักแรงฝันมาก ถึงขนาดมีผู้นำมาเปิดเผย ในงานศพนี้ ถึงถ้อยคำที่หมอฟากฟ้าหนึ่งได้ กล่าวไว้ว่า เกิดมาใหม่ชาติหน้าจะไม่เรียนแล้ว ขอเกิดมาเป็นชาวนาดีกว่า สมบัติส่วนตัวของหมอฟากฟ้าหนึ่งแทบไม่มีอะไร ไม่มีแม้สมุดบันทึกด้วยซ้ำ เข้าใจว่า การเขียนบันทึก คงมีเป็น ครั้งคราว บันทึกลง ในกระดาษ เป็นแผ่นๆ ไม่ได้มีการรวบรวมไว้ อย่างเป็นกิจจะลักษณะ มีบันทึกของ หมอฟากฟ้าหนึ่ง อยู่แผ่นหนึ่ง เขียนเกี่ยวกับ นาแรงรักแรงฝัน ศิษย์เก่าฯ ลมเย็น(เอก) ที่ช่วยงานหมอฟากฟ้าหนึ่ง ได้ถ่ายสำเนาเอามาให้ ขอนำข้อความ ในกระดาษแผ่นนั้น ที่เขียนด้วย ลายมือ ของหมอฟากฟ้าหนึ่ง มาถ่ายทอด สู่กันดังนี้ ๑๕ ธ.ค.๕๐ การเก็บข้าวเปลือก แม้จะได้ข้าวเปลือก ๒๐ ตันกว่า มันก็ไม่ใช่ความภาคภูมิใจของเรา แต่จิตใจเรา กำลังเศร้า ล้มเหลว ในอุดมการณ์การมีผืนนา เราเคยตั้งใจว่า นาจะทำให้เรา ได้สร้างศักยภาพ ในการรวบรวม ผู้คนมาช่วยกัน (โฮมแฮงกัน) เป็นแหล่งที่ ได้สร้างพลังสามัคคีของชาวชุมชน ลงแขก ประเพณี อันดีงามของคนไทย เป็นความใฝ่ฝัน ตั้งแต่แรกๆ ของการมีนา เป็นของชุมชน ไม่ใช่ของเราคนเดียว ๒ ครั้งแล้ว ของการทำนา เป็นความล้มเหลว โดยสิ้นเชิง เราหมดความสามารถ ในการขอความช่วยเหลือ หรือ ทำให้ชาวชุมชน มาช่วยกัน (จิตใจมันเรียกร้อง) ทุกคนมีงานประจำ เป็นของตัวเองทั้งนั้น เราเองก็มีงานประจำ เหมือนกัน งานข้าว บัดนี้ ได้กลายเป็น งานประจำของเราอีก มันไม่ใช่สิ่งที่ เราปรารถนาเลย เราปรารถนา ให้เป็นงาน ของชาวชุมชน ที่จะได้แสดงน้ำใจ มาร่วมด้วย ช่วยกัน ทำไมพวกเรา ถึงใจดำ ไม่มีแม้สายตา หรือ คำพูด ใจมันเรียกร้อง ไม่เพียง แต่จะขอแรงงาน จากคุณๆเท่านั้น แต่..ขอน้ำใจ จากปาก หรือ สายตา อาจเป็นเพราะเรากำลังชดใช้วิบากที่เราก็เป็นคนเอาแต่งานไม่สนใจใครๆ. ข้อความข้างต้นนี้แม้จะสั้น แต่เนื้อความกินใจยิ่งนัก ท่านที่ได้อ่าน ก็คงจะสะกิดใจ ย้อนมองตน เพราะไม่ใช่แค่.. นาแรงรัก แรงฝัน หมอฟากฟ้าหนึ่ง และชาวชุมชนปฐมอโศก เท่านั้น จริงๆแล้ว งานอื่นๆ ชุมชนอื่นๆ ก็มีสภาวะ เฉกเช่น ข้อความข้างต้นนี้ เช่นกัน สิ่งสำคัญที่เราๆท่านๆควรเพิ่มให้มากๆก็คือ น้ำใจ และ ร่วมแรงลงแขก หวังใจว่า การจากไปของหมอฟากฟ้าหนึ่งและสภาวะจิตผ่านตัวอักษรข้างต้นนี้ จะช่วยให้กุศลจิตของหลายๆท่าน เกิดทวียิ่งขึ้น สมดังที่ หมอฟากฟ้าหนึ่ง ได้กระทำ และประสงค์ที่จะเห็น ได้ยินว่ามีศิษย์เก่าฯคนหนึ่งจะลาออกจากงานที่ทำอยู่ภายนอก เข้ามาช่วยงานในชุมชนปฐมอโศก รวมถึงญาติธรรม ที่อยู่ภายนอก พยายาม แบ่งเวลา มาช่วยสานต่องาน ของหมอฟากฟ้าหนึ่ง...สาธุ สาธุ สาธุ อุดมการณ์และปณิธาน ของหมอ ฟากฟ้าหนึ่ง เริ่มจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว คุณความดีของหมอฟากฟ้าหนึ่งเป็นที่ประจักษ์ชัดกับชาวอโศกทุกระดับ ทำให้มี ผู้ปรึกษาเสนอที่จะ สร้างอนุสาวรีย์ ของหมอ ฟากฟ้าหนึ่ง ไว้ที่ทุ่งนาแรงรักนั้น เพื่อจูงนำให้อนุชน รุ่นหลังได้ระลึกถึง คุณความดีของ หมอฟากฟ้าหนึ่ง นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของชาวอโศกที่มีผู้คิดเสนออย่างนี้ เนื่องด้วยทัศนคติของชาวอโศกที่หล่อหลอม มายาวนาน ไม่ได้เน้น ให้ความสำคัญกับ รูปเคารพ หรือวัตถุรูปมากนัก และนับเป็นครั้งแรก อีกเหมือนกัน ที่พ่อท่านฯ อนุมัติตอบรับ ให้ทำได้ ถ้าลำพังข้าพเจ้า คงไม่กล้า ตัดสินใจให้ทำ การที่พ่อท่านฯเห็นชอบตามที่มีผู้เสนอสร้างอนุสาวรีย์ของหมอฟากฟ้าหนึ่งนั้น เป็น ความหย่อนยาน หลงกระแส วัตถุรูปเคารพ กระนั้นหรือ ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นดุลยพินิจตามเหตุปัจจัยที่สมเหมาะ หนึ่ง บุคคลมีคุณความดีมากเพียงพอ ที่จะให้อนุชนรุ่นหลัง ถือเอาเป็นแบบ สอง ภูมิธรรมของ หมู่ชาวอโศก มีความแข็งแรง เพียงพอที่จะไม่หลง วัตถุรูป อย่างเทวนิยม สาม เกิดจิตวิญญาณจริง ของมวลสมาชิก ที่เคารพรัก หมอฟากฟ้าหนึ่ง มิได้ประจบ หรือ หวังผลประโยชน์ จากวัตถุรูปนั้น จากอดีตที่ผ่านมา สิ่งที่เคยเคร่งครัด ให้งดเว้นหรือห้ามกระทำ ต่อมาภายหลังระยะเวลาเปลี่ยน ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยน จึงได้ยืดหยุ่น อนุโลม ให้กระทำได้ นี้มิใช่ความหย่อนยาน เช่นเดียวกับ ภาพยนตร์ในยุคแรกตีทิ้งห้ามขาดว่าเป็นอบายมุข ต่อมาหมู่ชาวอโศก พอจะมีความแข็งแรง เพียงพอ จึงนำเอา ภาพยนตร์ มาใช้เป็นสื่อ อย่างหนึ่ง ในการเรียนการสอน ของผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อประโยชน์ ๑.เกิดอาริยญาณ ๒.ทำการปฏิบัติ ๓.อัดพลังกุศล ๔.ฝึกฝนโลกวิทู ๕.เพิ่มพูนพหูสูต เช่นเดียวกับ การสร้างพระพุทธรูป พระพุทธาภิธรรมนิมิต ในยุคนี้ เช่นเดียวกับ การส่งเสริมการศึกษาปริญญาตรี-โท-เอก ให้ชาวอโศกไปร่ำเรียนตามสถาบันต่างๆอย่างมาก ในช่วงนี้ ต่างจากยุคต้นๆ เหมือนจะปฏิเสธ หรือตีทิ้งการศึกษา ในระบบ ถล่มการศึกษา ที่เป็นไปเพื่อ โลกธรรมของตน ตำหนิความรู้ ที่ปราศจากคุณธรรม มาอย่าง ต่อเนื่อง ยาวนาน เช่นเดียวกับ ยุคแรกๆไม่ได้สนใจใยดีกับการบ้านการเมือง ฟูมฟักกันในหมู่คณะ เมื่อหมู่ชาวอโศกเติบโต และ แข็งแรงขึ้น จึงได้นำพา ผู้ปฏิบัติธรรม ชาวอโศก ร่วมเคลื่อนไหวกับ การเมืองภาคประชาชน สร้างสำนึก ให้ผู้ปฏิบัติธรรมมี จิตวิญญาณสาธารณะ ตระหนักถึง ปัญหาของชาติ ร่วมรับรู้ ร่วมคิด ร่วมทำ ส่งเสริมฝ่ายที่เป็นธรรม มีธรรมมากกว่า เพื่อให้ฝ่ายธรรม มีน้ำหนัก ที่จะหยุดยั้งอธรรมได้ ทั้งๆที่รู้แสนรู้ว่าฝ่ายอธรรมมีอำนาจ มีอิทธิพล มีกำลังพล มีกำลังทรัพย์มากมายมหาศาล สามารถแปรเปลี่ยนธรรม กลายเป็น อธรรม เปลี่ยน อธรรมกลายเป็น ธรรมได้ ทั้งๆที่รู้แสนรู้ว่าการร่วมเคลื่อนไหวกับการเมืองภาคประชาชน จะมีแต่เสียกับเสีย สูญเสียทั้งเวลา แรงงาน ทุนทรัพย์ที่มี น้อยอยู่แล้ว และอาจถูก ฝ่ายอธรรม เบียดเบียนทำร้าย ทำลายได้ ที่สำคัญยิ่งกว่า สูญเสียศรัทธา ประชาชนส่วนใหญ่ ของประเทศ รับไม่ได้ ไม่เข้าใจ เพราะภูมิรู้-ความยึดถือ ของประชาชนส่วนใหญ่นั้น เห็นว่า การเมืองคือการเมือง ศาสนาคือศาสนา แยกกัน โดยเด็ดขาด ผู้ปฏิบัติธรรม ควรจะปล่อยวาง ควรจะสงบ ไม่ควรมายุ่งเกี่ยว กับเรื่องของชาวโลก ทัศนคติเช่นนี้ พ่อท่านฯและชาวอโศกก็รับรู้ เข้าใจดีถึงความยึดถือและความปรารถนาดี ของคนส่วนใหญ่นั้น แม้พ่อท่านฯ และ ชาวอโศก จะพยายามบอก กับสังคมว่า การเมืองและศาสนา คือส่วนสำคัญ ของสังคม ที่จะต้อง ไปด้วยกัน แยกขาดจากกันไม่ได้ ด้วยเป้าหมาย ที่แท้จริง เป็นงานที่เสียสละ เหมือนกัน เพื่อความเป็นอยู่สุข ของสังคมเหมือนกัน แต่เป็นเรื่องไม่ง่าย ที่คนส่วนใหญ่ จะเข้าใจ และเห็นจริงตาม แม้ในกลุ่มพันธมิตร ด้วยกันเองก็เถอะ ยิ่งมีกรณีศาสนากับการเมืองในต่างประเทศที่ผ่านมา เช่น พม่า เขมร เวียดนาม ศรีลังกา หรือกรณีความรุนแรง ในตะวันออกกลาง ถึงกับมีการใช้ ถ้อยคำว่า กลุ่มศาสนาหัวรุนแรง เป็นภาพที่ไม่มีใครประสงค์ จะให้เกิดมีขึ้นในไทย แม้ชาวอโศกจะได้พิสูจน์มาหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นกลุ่มที่รักสันติ ไม่เคยก่อ ความรุนแรงใดๆเลย แม้สมณะ ชาวอโศก จะถูกริดรอน สิทธิ ถูกกลั่นแกล้ง ต่างๆนานาจาก ฝ่ายอำนาจ กระแสหลัก ถึงขั้นถูก จับกุมคุมขัง ชาวอโศกก็ยังสงบ สันติ อดทนได้ แต่สังคม ส่วนใหญ่ ยังรับไม่ได้ ไม่ศรัทธา อาจเป็นเพราะผลพวง จากข้อกล่าวหา ที่สงฆ์กระแสหลัก ยัดเยียด ให้ว่า เป็นลัทธินอกรีต ทำลายศาสนา เป็นเรื่องน่าเห็นใจ และต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความเป็นจริงของชาวอโศก จนกว่า น้ำหนักของความจริง จะปรากฏ มากพอ ขณะที่คนในสังคมส่วนใหญ่ปล่อยวางอย่างเห็นแก่ตัว ปล่อยวางอย่างคนขี้กลัว สงบอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ไร้จิตสำนึก สาธารณะ ไม่มีน้ำใจ ไม่มีเมตตาธรรมจริง มีชีวิตอยู่ เพื่อบำรุงบำเรอตน ด้วยโลกีย์สุข ที่เห็นแก่ตน ใครจะกอบโกย ทุจริต เอารัดเอาเปรียบสังคม อย่างไรไม่รู้ ไม่เกี่ยวด้วย สรุปก็คือ ผู้ที่ไม่สนใจไม่เอาธุระกับปัญหาของชาติ จะได้ชื่อว่าปล่อยวางได้ กระนั้นหรือ ถ้าอย่างนี้ โจร อันธพาล เด็กไร้เดียงสา คนบ้า คนวิกลจริต ฯลฯ เหล่านี้จะได้ชื่อว่า ปล่อยวางได้ด้วยใช่ไหม สังคมต้องการให้ นักการศาสนา มีสภาวะทางจิตใจ กับปัญหา ของบ้านเมือง เช่น คนเหล่านี้หรือ ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องสวนทิศกับความเข้าใจ สวนกระแสความนิยมของคนส่วนใหญ่ในสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง พระพุทธรูป - การศึกษา -ศาสนากับการเมือง จึงเป็นธรรมดา ที่คนส่วนใหญ่ ย่อมไม่เข้าใจ และวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิ แต่เมื่อประเมิน ประมาณผลได้ ที่จะเกิดขึ้นกับ จิตวิญญาณ ของชาวอโศก และสังคม ในอนาคต แม้จะต้องสูญเสีย ศรัทธาส่วนหนึ่งไป ก็ต้องยอมแลก ด้วยเชื่อมั่น ในกุศลเจตนา และเห็นจริง ในสิ่งที่ทำ ว่าเป็นไปเพื่อประโยชน์ ของมวลมนุษย์ เพื่อการลดละเสียสละ เพื่อผู้อื่นโดยแท้ ไม่ใช่ทำเพื่อผล คือโลกธรรม แก่ตนอย่างแท้จริง ความจริง ที่เกิดขึ้นปรากฏ จะเป็นเครื่องชี้ยืนยันได้ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา เป็นการพิสูจน์ พ่อท่านฯ จึงนำพาชาวอโศกลดละ เสียสละ ให้ความสำคัญกับความเป็นธรรม และความเป็นอยู่สุขของคน ในสังคม มากกว่า คำนึงถึง ภาพลักษณ์ของตน หรือหมู่คณะ สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้ เร่งสร้างธัมมัญญารังสี ฝ่าภัยพาล พ่อท่านฯประสงค์ให้บ้านราชฯมีประชากรสัก ๑,๐๐๐ คนขึ้น เพื่อสร้างรูปธรรมของ หมู่บ้านที่มีศีลธรรม มีระบบ สาธารณโภคี มีเศรษฐกิจ พอเพียง เป็นชุมชนเข้มแข็ง ที่เอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกัน พึ่งเกิด-แก่-เจ็บ-ตาย กันได้ เพื่อเป็น แบบอย่าง ที่ชัดเด่นยิ่งขึ้น อันจะส่งผล ไปสู่สังคม วงกว้างด้วย เพราะสิ่งนี้ เป็นความต้องการ ของสังคม อย่างยิ่ง ผู้รู้จะรู้ความต้องการจริงนี้ แต่คนส่วนใหญ่ ยังคิดไม่ถึง ยังมองไม่ออก ท่ามกลางสังคม ที่เต็มไปด้วย ความโหดร้าย รุนแรง การโกงกินทุจริต เอารัดเอาเปรียบกัน (ทั้งถูกกฎหมาย และ ผิดกฎหมาย) ไปทุกระดับ ตั้งแต่รากหญ้า ไปจนถึงผู้เป็นใหญ่ ในบ้านเมือง รวมไปถึง ความหลงใหลในอบาย -ไสยศาสตร์-เดรัจฉานวิชา นานาสารพัด คำว่า ขอสักชาติได้ไหม พ่อท่านฯใช้มาหลายปีแล้ว ในงานปีใหม่นี้ได้นำมาใช้อีก จึงขึ้นอยู่กับว่า ญาติธรรม จะตระหนัก ในถ้อยคำนี้ + ชีวิตที่เหลืออยู่ + วัฏฏสงสาร + ความจริงใจจริงจัง ในธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มากน้อยแค่ไหน ชัยชนะของกลุ่มอำนาจเก่า ในการเลือกตั้งล่าสุด ๒๓ ธ.ค.๕๐ ที่ผ่านมา ตอกย้ำปัญหาวิกฤต ความแตกแยก ของชนในชาติ ให้ทวี มากยิ่งขึ้น เป็นเรื่องยากยิ่ง ที่กลุ่มคนผู้รัก ความเป็นธรรม จะยอมรับ การกลับมามีอำนาจ ของกลุ่มอำนาจเก่า เนื่องจากคดีความ ปัญหาการทุจริต ที่มากมาย อย่างไม่เคยมีมาก่อน ในประวัติศาสตร์ ชาติไทย ยังไม่ได้รับการชำระ สะสาง ให้ถึงที่สุด ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่สนับสนุนอำนาจเก่า ส่วนหนึ่งได้รับผลประโยชน์ทั้งในระดับ เล็กๆน้อยๆ จนถึงคำโตๆ ก้อนใหญ่ๆ เหมือนปลา ข้องเดียวกัน เพื่อความอยู่รอด ของตน จำเป็นต้องหนุน ช่วยกันต่อไป อีกส่วนหนึ่ง ไม่ได้รับผลประโยชน์ ที่เป็นลาภยศโดยตรง แต่เป็น ความคิด ความเชื่อ ทางการเมือง ที่แตกต่างจริงๆ ส่วนสุดท้าย ที่มีเป็นจำนวนมากกว่า ส่วนใดๆ คือ ชาวบ้าน ที่คุ้นชินกับ ระบบอุปถัมภ์ ของนักลากตั้ง ทุกระดับ หัวคะแนน และผลประโยชน์ เล็กๆน้อยๆ ยังคงมีอิทธิพล ต่อการเลือกตั้ง อย่างยากที่จะแก้ไขได้ ในเร็ววัน เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ที่น่าเป็นห่วงยิ่งก็คือ ในกลุ่มคนสามส่วน ที่สนับสนุนอำนาจเก่านี้ มีเป็นจำนวนไม่น้อย ที่มองว่า การทุจริต ของกลุ่มอำนาจเก่า เป็นเรื่องธรรมดา พรรคอื่นๆรัฐบาลไหนๆ ก็โกงก็กินกันทั้งนั้น นี่เขาโกงกิน เขาก็ยังทำประโยชน์ ให้กับชาวบ้านบ้าง ส่วนรัฐบาลอื่นๆ ได้แต่โกงกิน อย่างเดียว ไม่ทำประโยชน์อะไรเลย หรืออีกมุมมองหนึ่ง ที่น่าอันตรายอย่างยิ่ง... แล้วทีตระกูล ที่กินบ้าน กินเมืองมา ๒๐๐ กว่าปีแล้วหล่ะ !!!!.....มิจฉาทิฐิกันถึงขนาดนี้ ?!! ยากแล้วที่จะคุย ทำความเข้าใจกันได้ ยิ่งผู้มีอำนาจหน้าที่ทุกระดับกลับไม่ใช้อำนาจหน้าที่ ปล่อยเกียร์ว่าง เอาตัวรอด ความแตกร้าว ก็ยิ่งจะฝังลึก เมื่อมีการตรวจสอบ ข้อมูล หลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริต ข่าว กกต. เตรียมแจกใบเหลือง ใบแดง หรือยุบพรรค หลายท่าน ในกลุ่มอำนาจเก่า ออกมาส่งเสียงขู่ ... บ้านเมือง จะลุกเป็นไฟ ความขัดแย้งนี้เลยขีดของเหตุผล ถูก-ผิด ดี-ชั่ว ข้ามเลยไปสู่อารมณ์ความชอบ-ชัง รอวันปะทุ จนอาจส่งผล ไปสู่การปะทะได้ ในที่สุด ดังที่ผู้รู้ หลายท่าน คาดการณ์ไว้ หลังเลือกตั้ง ไม่เกิน ๖ เดือนจะปะทะกันแน่ เพราะปัญหา ไม่ได้รับการสะสาง ก่อนการเลือกตั้ง ขณะที่มวลชน ของสองฝ่าย ถูกปลุกเร้าอารมณ์ จนยากที่จะ สมานประสาน กันได้แล้ว ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช ถึงกับฟันธง ไม่มีทางแก้ ปะทะแน่ สวนดุสิตโพล(๑๑ ม.ค.๕๑) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นเยาวชน อายุ ๘-๑๕ ปี เมื่อถามว่าโตขึ้น อยากเป็น นักการเมือง หรือไม่ ร้อยละ ๙๕.๑๔ บอกว่า ไม่อยากเป็น เพราะมีแต่ปัญหา ภาพลักษณ์โกงกิน ผมขอตั้งสมมุติฐานว่าการทุจริตคอรัปชั่นเชื่อมโยงกับการทุจริตซื้อเสียง ในการเลือกตั้ง แม้ขณะนี้ จะยังไม่มีหลักฐาน ชัดเจน แต่การทุจริต เลือกตั้ง เพื่อเป็นช่องทาง การเข้าสู่อำนาจ ทางการเมือง เมื่อเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว ก็ต้องถอนทุน ด้วยการโกง เพื่อนำเงิน มาซื้อเสียง ให้ได้ตำแหน่ง ที่สูงกว่า ในการเลือกตั้ง ครั้งต่อไป ชาวบ้านไม่รู้สึกอะไร ที่เลือกคนโกงเข้าไป เพราะคนที่ เลือกเข้าไป ให้ผลประโยชน์ แก่พวกเขา นอกจากเรื่อง การทุจริต ของนักการเมืองแล้ว ยังต้องระวัง การซื้อขาย ตำแหน่งราชการ คนพวกนี้ เมื่อเข้าสู่วงจร ซื้อขายตำแหน่ง ก็ต้องโกง เพื่อให้ได้ตำแหน่ง ที่สูงขึ้น จนสุดท้าย ต้องเข้าเป็นแนวร่วม ของฝ่ายการเมือง จรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม คำกล่าวข้างต้นนี้ เป็นความจริงที่รู้กันโดยทั่ว ไม่เฉพาะผู้บริหาร ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเท่านั้น ชนชั้นกลาง และชาวบ้านทั่วไปก็รู้ แต่ก็ยัง ไม่สามารถ ทำอะไรกับ วงจรอุบาทว์ เหล่านี้ได้ เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ของชนทุกหมู่เหล่า ไม่เว้นแม้คนดี ที่เอาตัวรอด วางเฉย ไม่ยุ่งไม่เกี่ยว การผนึกตัวของกลุ่มอำนาจเก่า การพลิกลิ้นเปลี่ยนขั้วของนักการเมือง การไม่กล้าใช้อำนาจหน้าที่ จัดการกับ ผู้กระทำผิด ฯลฯ สิ่งไม่ถูกต้อง ที่มีอยู่ เป็นจำนวนมาก เหล่านี้ เป็นสาเหตุทำให้ ประชาชนเบื่อหน่าย และท้อแท้ เงิน ยังคงมีอำนาจสามารถซื้อได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคะแนน คน ความถูก-ผิดทาง กฎหมาย ยศชั้น ตำแหน่งต่างๆ สิ่งเดียว ที่ซื้อไม่ได้ ก็คือ กรรม ดี-ชั่ว การเมือง ณ วันนี้ พ่อท่านฯมองว่า นักการเมืองเลวลง การเมืองภาคประชาชนดีขึ้น ผู้รู้หลายท่าน เห็นตรงกันว่า ประชาชน อย่าไปหวังพึ่ง หน่วยงาน หรือสถาบันไหนๆ ประชาชน ต้องรวมตัวกันไว้ และพึ่งกันและกันเอง วลีที่ว่า สังคมเลว เพราะคนดีท้อแท้ ยังศักดิ์สิทธิ์และมีมนต์ขลังเสมอ ยิ่งในยุคที่ความชั่ว กำลังจะครองเมือง ด้วยแล้ว คนดี ความดี ยิ่งจะต้องไม่ท้อ
เมื่อลมเปลี่ยนทิศ แม่น้ำเปลี่ยนสาย อำนาจเปลี่ยนขั้ว หลังการจัดตั้งคณะเสนาบดีสีเทาได้ไม่นาน เหล่าขุนนางและบริวาร เริ่มเหิมเกริม อย่างไม่ละอายฟ้าดิน ลุแก่อำนาจ สั่งการโยกย้าย ข้าราชการ อย่างขาดความชอบธรรม แทนที่จะมุ่งประโยชน์ ของชาติ บ้านเมือง เป็นสำคัญ กลับเป็นไปเพื่อ ผลประโยชน์ของตน และพรรคพวก ข้าราชการที่เคยชินกับการเปลี่ยนไปตามขั้วอำนาจ เลื่อนไหลไปตามน้ำ รับสนองทันที กับนโยบายของ เหล่าเสนาบดี สีเทา วางปล่อยกับ ภาระหน้าที่ ที่ควรจะทำ ปัญหาของชาติ เอาไว้ทีหลัง เอาตัวรอดไว้ก่อน สังคมประเทศชาติ จะเป็นอย่างไร ข้าไม่เกี่ยว ตอนนี้ขอรับใช้ ท่านเสนาบดี สีเทาก่อน ประชาชน เอาไว้ทีหลัง คำว่า รักชาติ เป็นเพียงภาษาเท่ๆเอาไว้ใช้ตอนยืนตรงเคารพธงชาติเท่านั้น ไร้สำนึก จริงทางจิตใจ เช่นเดียวกับ ประชาธิปไตย ในวันนี้ก็เป็นเพียงภาษาเท่ๆ ที่บรรดานักลากตั้งที่หลงใหล ในอำนาจไว้อ้างเอ่ย หลอกตนเอง- หลอกสังคม ทุกวี่วัน อย่างไม่ละอาย ทั้งๆที่ต่างก็ รู้แสนรู้ว่า การเลือกตั้ง ทุกครั้ง การซื้อสิทธิ์ขายเสียง เต็มไปทุกหย่อมหญ้า ถึงขั้นขายตัว นักลากตั้ง นั้นเอง จนนักลากตั้ง ต่างประเทศ ถือเอาเป็นแบบ ประชาธิปไตยในวันนี้จึงเป็นประชาธิปไตยสีเทา เป็นประชาธิปไตยที่ได้มาด้วย อุปถัมภ์นิยม อำนาจนิยม ธนบัตรนิยม ซึ่งทั้งหมด คือทาส และบริวาร ในเงาร่างของทุนนิยม เมื่อเหล่าเสนาบดีสีเทา ผู้มั่งมีทั้งเงิน-อำนาจ-ข้าราชการ-ข้าทาสบริวารผู้นิยมหลงใหล ในประชาธิปไตยสีเทา ด้วยอำนาจ ที่ล้นฟ้า ล้นสภา ทำให้เหิมเกริม เหิ่มห่าม ย่ามใจ ใช้อำนาจที ไม่ชอบธรรม มากขึ้นๆๆ พร้อมกับขู่คำราม ผู้เคลื่อนไหว ต้านค้าน การใช้อำนาจ ที่ไม่เป็นธรรมนั้น ส่งผลให้ ผู้รักความเป็นธรรม ที่มิได้มีใจ อดทนมากพอ ชิงชังกับวาจา ท่าทีของเหล่า เสนาบดีสีเทา อวดเบ่ง หยาบต่ำ ผิดปกติวิสัย ที่คนในระดับ เสนาบดี ควรจะเป็น สิ่งเหล่านี้ มันบ่มเพาะ ความขุ่นเคือง โกรธแค้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ในหมู่ชน ผู้ปฏิบัติธรรม แล้วก็ตาม ป่วยการกล่าวถึง ผองชน ที่อยู่ในกระแส การเมืองล้วนๆ หลายคน ท้อแท้ และเบื่อหน่าย แต่พ่อท่านฯไม่ท้อ นอกจากไม่ท้อแล้ว กลับแสดงออกเหมือนไม่กลัวเกรงอำนาจ อธรรมที่หวนกลับ สื่อแสดงจุดยืน ที่ชัดเจน เลือกข้าง ที่เป็นธรรม มากกว่า วิพากษ์วิจารณ์ ตำหนิ ฝ่ายอธรรม ผ่านสื่อ ที่มีอย่างต่อเนื่อง มีเสียงสะท้อนด้วยความเป็นห่วง ผ่านมายังรายการประชาธิปไตยของคนหนุ่มสาว วันที่ ๕ มกราคม ที่ผ่านมา เป็นห่วงที่ พ่อท่านฯ มาร่วม รายการนี้บ่อยๆ จะไม่ปลอดภัย เหมือนกับจะชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านหรือเปล่า พ่อท่านฯ อาตมาก็พอมีไหวพริบรู้อยู่ ในเรื่องนี้ และก็ได้ประมวลประมาณดู ก็เห็นว่ าอาตมาควรจะต้อง ไม่ดูดาย หรือว่า ไม่ใจดำ ไม่มีใคร ขอร้องหรอก แต่ว่าเห็นควร ที่จะต้องติงเตือน ไม่ใช่อวดดิบ อวดดีอะไรหรอก แต่อาตมา มั่นใจว่า อาตมามีความจริงใจ เท่าที่มีความรู้ ในฐานะของ ประชาชนคนหนึ่ง มีสิทธิจะแสดง ความเห็น และคิดว่า จะเป็นประโยชน์กับสังคม โดยเฉพาะกับ ประชาธิปไตย อาตมาขอทำ หน้าที่ พลเมืองดี เท่าที่ควรจะทำ เท่านั้น ถ้าไม่ดูดำดูดีอะไร เรื่องสังคม ประเทศชาติเสียเลย เอาแต่ดูดาย ก็รู้สึกว่า ตนจะทั้งเลว ทั้งร้าย ทั้งอำมหิต อาตมาทำ อย่างนั้นไม่ได้ อาตมาเห็นว่า ความรู้ในเรื่องประชาธิปไตยในสังคมประเทศไทยขณะนี้ ขออภัยที่ต้องกล่าว แม้แต่นักการเมืองเอง ก็ตาม อย่าว่าแต่ ประชาชน ทั่วไปเลย ยังเข้าใจ ประชาธิปไตย ยังไม่สมบูรณ์แบบเลย หรือจริงๆแล้ว ประชาธิปไตย นัยที่สูงๆ สูงในระดับที่ พระพุทธเจ้า ได้นำพาทำมา แต่ต้น ตั้งกว่าสองพันปีมาแล้วนั้น ทุกวันนี้ ยังไปไม่ถึงประชาธิปไตย ตามพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้านี่ประกาศแสดงลักษณะประชาธิปไตย เช่นว่าท่านออกไปหาผู้บริหารบ้านเมือง ไปหาผู้ปกครองแคว้น เพื่อที่จะเผยแพร่ ความรู้ เผยแพร่ความจริงนี้ กับผู้ที่เป็น เจ้าบ้าน เจ้าเมือง เช่นไปพบพระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น แล้วก็ประกาศ เทศน์ให้รู้ว่า ธรรมะของ พระพุทธเจ้า เป็นเช่นนี้ พระเจ้าพิมพิสารฟังแล้ว แหม...ชื่นชม พอใจมากเลย โอ้โฮ....ถ้าหลักการบริหาร ประเทศชาติสังคม เป็นเช่นนี้แล้ว ออกมาเลย อย่าบวชเลย เป็นความเข้าใจของ พระเจ้าพิมพิสาร อีกเหมือนกันว่า ต้องมาเป็น ฆราวาส จึงจะทำงาน บริหารได้ นิมนต์สึกออกมา บริหารบ้านเมือง ด้วยกัน แบ่งเอาไปเลย ครึ่งหนึ่ง ให้แคว้นมคธ นี่คนละครึ่งเลย แคว้นมคธนี่ ใหญ่กว่า แคว้นสักกะ ของพระพุทธเจ้า ตั้งเยอะแยะนะ ครึ่งหนึ่งนี่ ก็ยังใหญ่กว่า แคว้นสักกะเลย กษัตริย์ตรัสไม่คืนคำ หรือว่าตรัสเล่นๆไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้า ก็ปฏิเสธ คือพระองค์ ก็รู้อยู่แล้วว่า ถ้าพระองค์ จะอยู่ทางโลก ไม่ออกมาบวช ท่านก็จะได้เป็น จอมจักรพรรดิ พราหมณ์ ๖ ท่านได้พยากรณ์ไว้ ถ้าอยู่ทางธรรม ก็จะได้เป็น พระพุทธเจ้า ซึ่งท่านไม่เลือกหรอก ทางโลกน่ะ ท่านจะเลือก ทางธรรม แต่ท่านก็มา แสดงความรู้ ที่เป็นรัฐศาสตร์ เป็นการบริหาร ปกครองสังคม เป็นการเมือง ที่วิเศษ พระเจ้ามคธ ถึงได้ชื่นชม ยินดี นิมนต์ให้สึก ออกมา บริหารบ้านเมือง ด้วยกันเลย เพราะอย่างนี้ ก็วิเศษเหลือเกิน นี่คือ การเมือง ตามภูมิพระพุทธเจ้า กับประเด็นต่อมา การเมืองปัจจุบันไม่เหมือนการเมืองยุคสมัยพระพุทธเจ้า ทั้งๆที คนละระบอบ เพราะปัจจุบันนี้ การเมือง มันจัดจ้าน เลวร้าย กว่ายุคโน้น ไม่รู้กี่เท่า พ่อท่านฯมาอยู่ ระหว่างการเผชิญหน้า มันจะรุนแรงนะครับ พ่อท่านฯ มันเป็นเช่นนั้น ก็ถูกแล้ว แต่อาตมาก็อาศัยความจริง อาตมาก็เห็นว่า ความจริงของการเมืองนี่ มันวิเศษ โดยเฉพาะการเมือง ในแนวคิด ของพระพุทธเจ้า ประชาธิปไตยนี่ มีหลักสำคัญอยู่ ๒ หลักใหญ่ ก็คือ อิสระเสรีภาพ กับสิทธิ จะต้องเข้าใจ จะต้องเข้าถึง ความมีสิทธิ สามารถที่จะแสดง สิทธิได้ ใช่ไหม อันนี้เป็นเรื่องหลักใหญ่ ของประชาธิปไตยเลย อำนาจใหญ่ เป็นของประชาชน ประชาชนทุกคน มีสิทธิ แต่ว่าทุกวันนี้นี่ มันไม่เป็นเช่นนั้น แต่ถ้าเป็นอย่างพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตนเอง ตามระบบทฤษฎี ของพระพุทธเจ้าแล้ว จะเป็นคนที่อิสระเสรีภาพ จะเป็นคนที่มีสิทธิ อย่างสมบูรณ์แบบ และจะให้สิทธิแก่ผู้อื่น เหมือนอย่างที่ พระพุทธเจ้า ท่านได้พาทำแล้ว สำเร็จผลมาแล้วตั้งแต่ยุคของท่าน พระพุทธเจ้าประกาศเลิกทาส ก็เป็นเรื่องของบริหารบ้านเมือง เรื่องของการเมือง เลิกวรรณะปลดปล่อยเลย ปลดแอก ให้มนุษย์ ได้อิสระ เสรีภาพเต็มที่ ผู้มาบวชตามสายพระพุทธเจ้า แล้ว ทุกคนได้อิสระเสรีภาพ แม้แต่ในยุคสมัยนั้น อันเป็นยุคทาส ยุคสมบูรณาญา สิทธิราชย์ ยุคที่คนยังไม่มีสิทธิ เสรีภาพเลย พระพุทธเจ้า ก็สามารถประกาศรัฐอิสระ ที่เป็นประชาธิปไตยของ พระองค์ได้สำเร็จ พระเจ้า อชาตศัตรู ตรัสตอบพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้า ทรงถามว่า ถ้าเผื่อว่าทาสอำมาตย์ของท่าน มาบวชแล้ว ท่านจะมาเอาทาส ของท่าน คืนไปเป็นทาส อย่างเก่าไหม พระเจ้า อชาตศัตรูบอกว่า โอ....มิได้พะย่ะค่ะ มีแต่ข้าพระพุทธเจ้าเอง จะต้องกราบเคารพเขา เห็นไหมว่า พระเจ้าแผ่นดิน ระดับพระเจ้าอชาตศัตรู จะต้องกราบเคารพ ทาสอำมาตย์ของตัวเองเลย เมื่อมาเป็นคน อย่างพระพุทธเจ้า พาเป็น นี่เป็นการเมือง ที่ยิ่งใหญ่ ปลดปล่อย มีอิสระเสรีภาพ มีสิทธิของความเป็นมนุษยชน เพราะมาบวชแล้ว ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน วรรณะ จัณฑาล มาบวช ก็มีสิทธิ์ เท่าเทียมกับ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพราหมณ์ มีสิทธิ์ออกเสียง เท่ากันทุกคน วันแมน วันโหวต one man one vote หนึ่งคนหนึ่งเสียง เท่ากัน ออกสิทธิ์ออกเสียง เท่ากัน อย่างนี้เป็นต้น หรือว่า แม้แต่วรรณะ จัณฑาลบวชก่อน วรรณะกษัตริย์ บวชทีหลัง กษัตริย์ก็ต้อง กราบเคารพ จัณฑาลผู้บวชก่อน ถึงปานนี้ นี่คือเรื่องของ การเมือง อันวิเศษสุด เหตุการณ์บ้านเมืองขณะนี้ มันกำลังร้อนแรง อาตมาจำเป็นต้องออกมาให้สติกันบ้าง มาช่วยกัน เพื่อที่จะให้เกิด ความเข้าใจ ให้มันเกิด ความเย็น ให้มันเกิด ความถูกต้อง แม้ว่าจะเกิดภาวะ ที่น่ากลัว อาตมาไม่ได้ห่าม ไม่ได้ท้าทายอะไร และอาตมา ไม่น่าจะเห็นแก่ตัว ไม่น่าจะใจดำ ไม่น่าจะรักตัว กลัวตายซะ จนเกินการณ์ เราไม่ได้ มาเป็นศัตรูใคร อาตมามาพูดมาทำนี่ เพื่อให้ความรู้กลางๆ ให้ความรู้ ที่เป็นสัจธรรม และในประเด็นคำถามสุดท้ายที่น่าสนใจ สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ประชาชน หลายส่วน เครียดกับบรรยากาศ ทางการเมือง พ่อท่านฯ จะให้คำแนะนำ อย่างไรครับ พ่อท่านฯ ก็ใส่ใจศึกษาธรรมะ ถ้าปฏิบัติธรรมะ ศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมะโดยลดละกิเลส ลดละความเห็นแก่ตัว จริงๆแล้ว คนลดละ กิเลสจริง จะเห็นแก่ประชาชน จะรักประชาชน จะเป็นผู้ที่มีประโยชน์ ต่อประชาชน เป็น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อย่างแท้จริง อาตมาขอยืนยันว่า คำว่า พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะนี้ เป็นเรื่องของ ประชาธิปไตย
บุญนิยมฝ่าวิกฤต ขณะที่ภาคการเมืองใกล้ถึงจุดวิกฤตอีกครั้ง ด้วยปัญหาสารพัดนานา ยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้ ภาวะโลกร้อน ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ และ สิ่งแวดล้อม ทั้งโลก ก็ยากที่จะแก้ไข เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ของมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่า ระบบทุนนิยม เป็นเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาทั้งหมด ไม่ใช่แค่ก่อปัญหาทางเศรษฐกิจเพียงเท่านั้น ปัญหาสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ล้วนเป็นผลพวงของ แนวคิดทุนนิยม หรือ แนวคิดโลกียะทั้งสิ้น ผู้รู้จำนวนไม่น้อยที่ออกมาบอกถึงโทษภัยของทุนนิยมและบริโภคนิยม พ่อท่านฯ ก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้รู้ ที่พร่ำบอก แถมเสนอ แนวทางแก้ และปฏิบัติให้ดู เป็นแบบอย่าง ระบบบุญนิยม เป็นถ้อยคำที่พ่อท่านฯประดิษฐ์ขึ้นมาล้อเลียนระบบทุนนิยม แม้จะยังไม่ได้รับการยอมรับ จากนักวิชาการ แต่พ่อท่านฯ ยืนยัน หนักแน่นว่า นี่คือหนทางรอด พร้อมกับนำพาชาวอโศก ปฏิบัติสวนทิศกับ ระบบทุนนิยม ทั้งวิธีคิด วิธีการทำงาน และ เป้าหมายของชีวิต ที่สำคัญระบบบุญนิยมมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนา ขณะที่สังคมส่วนใหญ่ปฏิเสธ ความเป็นพุทธศาสนา ของชาวอโศก จึงเป็นธรรมดา ที่ระบบบุญนิยม ย่อมถูกมองเมินไปด้วย เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทาง การดำรงอยู่ และปฏิบัติตน ที่พระบาทสมเด็จ พระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดำรัส แก่พสกนิกร ชาวไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๗ และพูดถึง อย่างชัดเจน ในวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๐ (ภายหลัง วิกฤติเศรษฐกิจ พ.ศ.๒๕๔๐) เพื่อเป็นแนวทาง การแก้ไขเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ให้ดำรงอยู่ได้ อย่างมั่นคง และยั่งยืน ในกระแส โลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขาจะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทย ไม่มีสิ่งใหม่ แต่เราอยู่อย่าง พอมี พอกิน และขอให้ ทุกคน มีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ ช่วยกันรักษาส่วนรวม ให้อยู่ที่พอสมควร ขอย้ำพอควร พออยู่พอกิน มีความสงบ ไม่ให้คนอื่น มาแย่งคุณสมบัตินี้ ไปจากเราได้... พระราชกระแสรับสั่งในเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก่ผู้เข้าเฝ้าถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๑๗ การจะเป็นเสือนั้นมันไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราพออยู่พอกิน และมีเศรษฐกิจการเป็นอยู่ แบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกิน หมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง พระราชดำรัส เศรษฐกิจแบบพอเพียง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช พระราชทานเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๐ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชิดชูสูงสุดจากองค์การสหประชาชาติ (UN) โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะ เลขาธิการ องค์การ สหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แด่พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๔๙ และได้มีปาฐกถาถึง ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่าเป็นปรัชญา ที่มีประโยชน์ ต่อประเทศไทย และ นานาประเทศ และสามารถ เริ่มได้จากการสร้าง ภูมิคุ้มกัน ในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจ ในวงกว้างขึ้น ในที่สุด โดยที่องค์การ สหประชาชาติ ได้สนับสนุนให้ ประเทศต่างๆ ที่เป็นสมาชิก ๑๖๖ ประเทศ ยึดเป็นแนวทาง สู่การพัฒนาประเทศ แบบยั่งยืน (ข้อความข้างต้นนี้ คัดลอกมาจาก บางส่วนของ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี) ผู้รู้หลายท่านส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ด้วย แต่ดูเหมือนว่า สังคมไทย นำเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ เพียงแค่เป็น สังคมศาสตร์ หรือใช้อย่าง จิตวิทยาสังคม เท่านั้น ส่วนด้านปฏิบัติ ด้านเศรษฐศาสตร์ หรือ เศรษฐกิจของประเทศ ยังไม่เห็น วี่แววว่า จะนำมาใช้จริง แม้ในคณะรัฐบาล ที่ผ่านมา จวบจน ปัจจุบันก็ตาม ได้แต่ยกย่อง เชิดชู พระราชดำรัส ของพระเจ้าอยู่หัว ที่จะถึงขั้นกระทำ ให้เป็นผลจริง ยังน้อย อาจเป็นเพราะ เหล่าผู้มีอำนาจ ทั้งหลาย ไม่มีใจจริง เพราะวิถีชีวิตจริง ยังไม่เคยพอ ลาภ ยศ อำนาจ ที่ได้ในวันนี้ ล้วนมาจากวิถีทาง ของทุนนิยม หรือ โลกียนิยมนั่นเอง ศ.ดร.อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้รับการยอมรับว่า เป็นผู้ทุ่มเท ให้กับงานด้าน เศรษฐกิจ พอเพียง ทั้งด้านทฤษฎี และการปฏิบัติ จากการที่ผ่านงานวิจัยและหลักสูตรการศึกษาต่างๆ มากมาย ทำให้กลายเป็น หัวหอกสำคัญ ในการเชื่อมต่อ เครือข่ายขับเคลื่อน พลังเศรษฐกิจพอเพียง ระดับชาติ กับระดับพื้นที่ ให้ขยับไปพร้อมๆกัน ...วันนี้กระแสเศรษฐกิจพอเพียงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันทั่วโลก คือ ต่างคนต่างมองว่าจะหาทางออกอย่างไร จึงจะพ้นจาก ทุนนิยม ไม่ว่าจะฝ่ายซ้าย ฝ่ายขวา ทุกคนบอกตรงกันว่า ช่วงนี้เป็นการเปลี่ยนผ่าน ที่จำเป็น สำหรับมนุษยชาติ เป็นช่วงที่ โหดร้าย ทารุณ เพราะฉะนั้น จะต้องให้ เปลี่ยนผ่าน ให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ ในฐานะคณบดี คณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีก็จะค่อยๆปรับหลักสูตรการศึกษาให้สอดรับกับการทำธุรกิจ ในแนวทาง ของ เศรษฐกิจ พอเพียง ทั้งเรื่องความคิด และวิถีชีวิต เพราะนักธุรกิจ จำนวนมาก ยังไม่เข้าใจ แก่นของเศรษฐกิจพอเพียง มีเพียง เกษตรกร คนในชนบท ที่มีความรู้เข้าใจ เรื่องเหล่านี้ มานาน เพียงแต่ต้องไป ตอกย้ำว่า สิ่งที่ชาวบ้าน ทำมานั้น ถูกต้องแล้ว อย่าไปวิ่ง ตามกระแส ของทุนนิยม ซึ่งก็ทราบกันดีว่า ที่ผ่านมา นายกฯ ทักษิณมี ส่วนสำคัญ ในการที่ทำให้สังคมไทย จมดิ่งไปกับทุนนิยม แต่ประเทศไทยก็ยังโชคดีที่ปีนี้(พ.ศ.๒๕๔๙)เป็นปีเฉลิมฉลองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เจริญพระชนมายุ ครบ ๘๐ พรรษา และยังทรง ครองราชย์ ครบ ๖๐ ปี หน่วยงานต่างๆ จึงได้พยายามผลักดัน เผยแพร่ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ปลายเดือนพฤศจิกายน ทางสำนักงานกองทุนสนับสนุนงานวิจัยก็ได้จับมือกับภาคีต่างๆ จัดงานเศรษฐกิจพอเพียง ให้ความรู้ เรื่องการประยุกต์ ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ในสาขาต่างๆ ตั้งแต่การศึกษา ธุรกิจ ภาคประชาสังคม รวมไปถึง การพัฒนาพื้นที่จังหวัด ระบบสหกรณ์ นอกจากนั้นทางมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ยังจะชูเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ในการจัดงาน เกษตรแห่งชาติ ในปีนี้ด้วย ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เรื่องของ เศรษฐกิจพอเพียง แผ่กระจายมากขึ้น อย่างรวดเร็ว และในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ ก็ชูเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ชัดเจน คณะรัฐมนตรี ในรัฐบาลชุดนี้หลายคน ก็มีความเข้าใจเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ดีพอสมควร ด้วยปัจจัย เหล่านี้ ทำให้เรื่องของ เศรษฐกิจพอเพียง แผ่กระจายมากขึ้น อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.อภิชัย กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ทุกคนพูดถึงเรื่องเศรษฐกิจ พอเพียง แต่ก็ยังมี ช่องว่างอยู่มาก ก่อนหน้านี้ มีนักศึกษา ได้เข้าไปทำวิจัย เรื่องความพอเพียงใน องค์กรต่างๆ โดยเก็บข้อมูล ๖๐๐ กว่าตัวอย่าง แบ่งความพอเพียง ออกเป็น ๓ ระดับ คือ ๑. เข้าถึง ๒. เข้าใจ ๓. เป็นตัวอย่างได้ ผลปรากฏว่าองค์กรที่ทำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงดูเหมือนจะมีเยอะประมาณ ๗๐-๘๐% แต่ที่เข้าใจจริงๆ มีเพียง ๒๐% และที่พอ จะหยิบมา เป็นตัวอย่างได้จริงๆ มีแค่ ๒-๓% เท่านั้น นั่นเป็นตัวเลข ที่เกิดขึ้นในอดีต มาวันนี้ หลังจาก ที่รัฐบาล ประกาศเดินหน้า เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ชัดเจน เชื่อว่าทั้งประเทศ น่าจะมีเศรษฐกิจพอเพียง ในระดับที่ปฏิบัติได้ เพิ่มขึ้นสัก ๕% ส่วนที เข้าถึงจริงๆ คาดว่า ตัวเลขน่าจะอยู่ที่ ๒๐% และใน ๑ ปี เชื่อว่าการเข้าถึง อาจจะเพิ่มขึ้นเป็น ๔๐% การเข้าใจและปฏิบัติได้ อาจจะยกระดับ ได้ถึง ๑๐% หากทำได้เช่นนี้ การก้าวเข้าสู่ สังคมเศรษฐกิจ พอเพียง ในช่วง ๑-๒ ปี ก็น่าจะมีความเป็นไปได้สูง ข้อความข้างต้นนี้จากหนังสือพิมพ์ ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ อาจารย์อภิชัย มีชื่อเสียงในระดับประเทศผู้หนึ่ง ในวงการนักวิชาการ นักวิจัย ล้วน ให้การยอมรับ เป็นอย่างดี อาจารย์ อภิชัย เป็นศิษย์ คนหนึ่ง ของ อาจารย์ป๋วย อึ้งภากรณ์ นอกจาก เจนจบทะลุแจ้ง ในวิชาเศรษฐศาสตร์ กระแสหลักแล้ว ยังได้ศึกษา พุทธธรรม อย่างถึงราก ความรู้ทางปริยัติ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่า นักการศาสนาทั้งหลาย จากการที่มีความรู้ ทั้งเศรษฐศาสตร์ และ พุทธศาสน์ เป็นอย่างดี จึงกล้าใช้คำว่า พุทธเศรษฐศาสตร์ ทั้งได้นำ พุทธเศรษฐศาสตร์ ประยุกต์ใช้ สนองพระราชดำรัส เศรษฐกิจพอเพียง ของพระเจ้าอยู่หัว การที่อาจารย์อภิชัยกล้านำชาวอโศกเข้าร่วมโครงการกับคณะบริหารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลฯ เปิดการเรีย นการสอน สาขา เศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ ในการสร้างชุมชน ฝึกฝนเศรษฐกิจพอเพียง ในมหาวิทยาลัย อุบลฯ ทั้งๆที่มีอาจารย์หลายท่าน ในมหาวิทยาลัย ต่อต้าน และรังเกียจ อาจารย์หลายท่าน ไม่ยอมรับ ความเป็นนักบวช ชาวอโศก แต่อาจารย์อภิชัย ก็อดทน และยังคงเดินหน้า ร่วมโครงการ กับชาวอโศกต่อไป นับเป็นความกล้าหาญอย่างยิ่งของอาจารย์อภิชัย เพราะรู้ทั้งรู้ว่าสังคมวงกว้างยังรังเกียจ และต่อต้าน ชาวอโศก โดยเฉพาะ พุทธกระแสหลัก การร่วมโครงการ กับชาวอโศก อาจทำให้เสื่อมเสีย ชื่อเสียงเกียรติยศ ที่ได้สั่งสมมา อาจารย์อภิชัย คงจะมีภูมิจิต มีภูมิปัญญา ที่แข็งแรงมากพอ จึงข้ามผ่าน ความเกรงกลัว กับสิ่งเปลือกผิว ของชีวิตนั้นได้ และด้วยความรู้ที่มากมีในปริยัติ ก็พอจะใช้ดุลพินิจตรวจสอบได้ว่า ชาวอโศกไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจาก หลักพุทธธรรม อย่างที่เป็นข่าว จึงทำให้แยกออกได้ว่า ข่าวก็คือข่าว ความจริงก็คือ ความจริง ยิ่งอาจารย์อภิชัยเชี่ยวชาญในเศรษฐศาสตร์ ทำให้มีภูมิพอ ที่จะตรวจสอบ เศรษฐกิจบุญนิยม ที่ชาวอโศก ประพฤติ ปฏิบัติกันนั้น เป็นอย่างไร มีความเป็นไปได้ มากน้อยเพียงใด พอจะสอดคล้องกับ เศรษฐกิจพอเพียง ได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าพอเป็นไปได้ จึงอาจหาญร่วมโครงการกับชาวอโศกที่มหาวิทยาลัยอุบลฯ แม้จะมากไปด้วยเสียงต้านค้าน แต่ด้วย เห็นประโยชน์ ต่อสังคม ประเทศชาติ ที่มากกว่าเสียงนินทา ต่อต้านที่ได้รับ ปี ๒๕๓๒ ชาวอโศก เผชิญกับวิกฤต ครั้งสำคัญ ทั้งศาสนจักร และอาณาจักร ใช้อำนาจอธรรม รวบรัดกล่าวโทษ ผิดหลักสัมมุขาวินัย ผิดหลักนานาสังวาส อ้างอำนาจ ที่มีในพระราช บัญญัติ คณะสงฆ์ อย่างผิดหลัก ธรรมวินัย ฝ่ายอาณาจักรร่วมใช้อำนาจอย่างไร้ธรรม สั่งห้ามสื่อต่างๆนำเสนอข่าวที่เป็นบวกเกี่ยวกับพระชาวอโศก การถูกริดรอนสิทธิความเป็นนักบวช ถูกปิดกั้นจากสื่อต่างๆในการเผยแพร่ กลายเป็น ผลดี ทำให้ชาวอโศก มีเวลาฟูมฟัก สร้างชุมชนของ ชาวอโศก ขึ้นมาหลายชุมชน โดยไม่ได้คาดการณ์ ไว้ล่วงหน้าว่า จะกลายเป็นตัวอย่าง ของชุมชน เข้มแข็ง ในวันนี้ เมื่อคดีถึงที่สุด พ่อท่านฯและสมณะชาวอโศกถูกรอลงอาญา ในปีต่อมาเกิดเหตุการณ์วิกฤตเศรษฐกิจ ที่เรียก เป็นสำนวน ล้อๆว่า ต้มยำกุ้ง คือประเทศไทยเป็นเหตุแล้วลุกลามไปยังประเทศอื่นๆ ธุรกิจต่างๆล้มระเนระนาด เศรษฐีกลายเป็นยาจก ในพริบตา ธนาคาร และบ รรษัทเงินทุน หลายแห่ง ต้องปิดตัว หลายแห่งต้องขายหุ้นให้ต่างชาติ คนตกงานจำนวนมาก ชาวบ้านก็เดือดร้อน รายได้ ไม่พอกับรายจ่าย ฝืดเคืองเดือดร้อน ไปทุกหย่อมหญ้า แต่ชุมชน ชาวอโศก ไม่ระคายเคือง เดือดร้อนเช่นนั้น เริ่มมีสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับชุมชนเข้มแข็ง พึ่งตนเอง โดยยกเอาชุมชนชาวอโศก หลายที่หลายแห่งม านำเสนอ เป็นข่าวเล็กๆ และ สื่อโทรทัศน์ บางสถานีเท่านั้น แต่ข่าวความเคลื่อนไหวใดๆ ของสมณะชาวอโศก ยังไม่มีสื่อใด กล้านำเสนอ แม้สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ จะจัดรายการ หลายสถานี วิทยุและโทรทัศน์บ้าง ก็ยังไม่เปิดเผยตัว ความเป็นสมณะ ชาวอโศก อย่างชัดเจน อาจจะประเมิน ประมาณ แล้วเห็นว่า ให้ประชาชน รับธรรมอย่างเดียว โดยไม่ต้องมาติดใจ กับความเป็นตัวตน สมณะชาวอโศกดีกว่า มีเสียงสะท้อน ด้วยความเสียดาย หากเป็นพระ ในการปกครอง ของสงฆ์กระแสหลัก จะมีสื่อต่างๆ กล้านำเสนอมากกว่านี้ จนถึงวันนี้สื่อต่างๆกล้านำเสนอเกี่ยวกับชุมชนชาวอโศกมากขึ้น ในรูปของชุมชน เข้มแข็ง พึ่งตนเอง เมื่อกระแสของ เศรษฐกิจพอเพียง ได้รับการขานรับ กันไปทั่ว ทำให้มีสื่อ ต่างๆ กล้าอ้างเอ่ย ชุมชนของชาวอโศก เป็นตัวอย่าง ดังเช่นหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๑ คอลัมน์ของคุณ เปลว สีเงิน จั่วหัวเรื่องไว้ว่า กระแสโลก ที่ฉุดลาก กระแสไทย จากเนื้อความช่วงต้นกล่าวถึงสหรัฐ-ยุโรปกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ประเทศ ผู้นำธุรกิจอุตสาหกรรมใหม่ อินเดีย จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น กำลังตื่นตัว รับสภาพสงครามเศรษฐกิจ แย่งชิง -กักตุน พลังงานน้ำมัน ตอนนี้ทั้งทองคำ และทองดำ คือน้ำมัน ล้วนมีค่า มหาศาล ส่วนท้ายของบทความวกกลับมาที่ความเป็นไทย โดยตั้งคำถามพร้อมกับเสนอทางออก จากตัวอย่างจริง ที่เกิดแล้ว ดังนี้... จุดแข็งของความเป็นชาติเราอยู่ตรงไหน และในภาวะโลกกำลังหลอมเหลวสังคมทุนวัตถุ เราจะรับมือช ่วงเปลี่ยนถ่าย วิถีมนุษยชาติ ด้วยความได้เปรียบ บนจุดแข็งตัวเอง ด้วยวิสัยทัศน์อย่างไร? ผู้นำในการบริหารคนใหม่ต้องใช้ ผลึกวิสัยทัศน์ ร่างเป็นพิมพ์เขียวประเทศ เพื่อนำสังคมชาติ เดินไปแต่เดี๋ยวนี้ ถ้ายังขืนพร่ำ แต่คำว่า รับด้วยเกล้าฯ กับทฤษฎี เศรษฐกิจพอเพียง แต่ไม่เคยก้าวนำ ทำอะไรไปตามนั้นเลย เราจะเป็น แผ่นเสียงทองคำตกร่อง ที่น่าเสียดายและน่าสมเพช! ของใหม่ เราก็เกาะตามไปกับกระแส และของเก่า เราไม่เพียงรักษา แต่ต้องฟื้นฟู และฟูมฟัก ให้เป็นเอกลักษณ์แข็ง เหนือกระแส สมมุติตัวอย่าง แค่ใช้ควายไถนา กลบหว่าน-ดำกล้าด้วยแรงกาย โดยไม่แตะสารเคมี ระบบยุ้งฉาง ซังข้าวสุม นวด-สีด้วยประเพณีเดิม แค่นี้เราก็อยู่ เหนือกระแสด้วย เอกลักษณ์แข็ง เป็นสินค้าขาย ที่ไม่มีใครแข่งได้แล้ว วิถี สันติอโศก ในด้านการอยู่-กินกับธรรมชาติ ผมว่าเป็นวิถี เศรษฐกิจพอเพียง ที่เป็นรูปธรรมตัวอย่างให้เห็น ให้จับต้อง ให้สัมผัสได้ ดีที่สุด ในยุคนี้ วันนี้ ใช้เป็น ต้นแบบ ชีวิตพอเพียงรองรับอนาคตได้ และต้นแบบอย่างที่ สันติอโศก นี้ จะกลายเป็น จุดแข็ง-จุดขาย เหมือนอย่าง ประเทศแถบยุโรป เขารักษา สถาปัตยกรรมเก่าๆ ใช้ หากินด้านท่องเที่ยวอยู่ได้ตลอด ไม่มีใครในโลกมาเมืองไทยเพราะอยากมาดูตึกสูง อยากมาช็อปปิ้งตามศูนย์การค้า อยากมาดูรถใต้ดิน -บนดิน หรืออะไรๆ ที่ไทย ไปเลียนแบบ วิทยาการก้าวหน้า มาจากเขา แต่เขามาเพราะอยากมาดู มาเห็น ในสิ่งที่บ้านเมืองเขาไม่มีให้ดู-ให้เห็น แค่เห็น คนไทยนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อคอกระเช้า เดินตามถนน เขาก็จะตื่นตา -ตื่นใจ ยิ่งกว่าเห็นคนไทย ย้อมหัวแดง เจาะจมูก แต่งตามแค็ตตาล็อก ล่าสุดซะอีก คิดแล้วก็ต้องชม เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ที่เขาอยู่กับของใหม่ แล้วไม่ทิ้งของเก่า และสามารถนำ เก่ากับใหม่ มาใช้ประสาน ร่วมกัน กลมกลืน จนเกื้อประโยชน์ ได้มหาศาล เห็นผู้หญิงญี่ปุ่น-เกาหลีแต่งชุดประจำชาติเดินตามถนน ไปงานไปการ ไม่เห็นมีใครหัวเราะว่าเชย ว่าโบร่ำโบราณ เป็นที่ขายหน้า ประเทศชาติ แต่ของเรา ลองใครนุ่งโจงกระเบน นุ่งผ้าถุงเดินถนน ไปตามงาน จะกลายเป็น ตัวประหลาด ได้ขึ้นหน้า ๑ ทันทีเลย! ที่คุยมาทั้งหมดนี้ก็หวังจะบอกเรื่องเดียว คือ ประเทศไทยมีคนดี คนเก่งเยอะ แต่ ไม่มี คนนำ กะเทาะทะลุถึง จุดแข็ง ในความเป็น สังคมชาติไทย และใช้จุดแข็งนี้เป็นฐานเพื่อ การนำทางไปสู่ ขืนไปแข่งขันตลาดโลกด้วยสิ่งที่เราเป็น ทั้งทาสทุน ทาสวัตถุ ทาสเทคโนโลยี มัน มีรูไหนจะไปทันเขา เตรียมสู้ในสนามที่เรามีพร้อมด้วยพอเพียง นั่นจึงจะไม่เพลี่ยงพล้ำในศึกเศรษฐกิจรอบนี้ ต้นปีนี้ในงานปีใหม่ พ่อท่านฯประกาศเชิญชวนชาวอโศกให้มาร่วมกันสร้างบ้านราชฯ พันคน เพื่อให้เกิดรูปธรรมของ ธัมมัญญารังสี ที่ชัดเด่น ยิ่งขึ้น แทนที่จะต่างคนต่างอยู่ต่างทำ รวมกันทำ จะเกิดผลสู่สังคมได้มากกว่า ชัดเด่นเร็วกว่า เพื่อเป็นตัวอย่างนำ ของชุมชน เข้มแข็ง พึ่งตนเอง เป็นหมู่บ้าน ที่ปลอดอบายมุข ทุกคนถือศีล มีศีล ๕ เป็นอย่างน้อย มีระบบสาธารณโภคี คือ กินใช้ร่วมกัน ทำงานร่วมกัน ทุกคนไม่มีรายได้ใดๆ ตอบแทน เป็นจุดแข็ง ที่ไม่เคยมีใน ชุมชนไหนๆมาก่อน บ้านราชฯ เมืองเรือ บ้านไม้ เมืองหิน เป็นวลีที่พ่อท่านฯเรียบเรียงขึ้นมา เพื่อบอก ถึงลักษณะของบ้านราชฯ เป็นหมู่บ้านที่มี เรือ ไม้ หิน จำนวนมาก นั่นก็คือ นอกไปจากงานกสิกรรมธรรมชาติ รวมถึงงานสัมมาอาชีวะอื่นๆ งานขนเรือ ขนหิน ก็เป็นงานที่ใช้กำลังคน จำนวนมากด้วย งานสร้างบ้านแปลงเมืองที่บ้านราชฯ จึงเป็นงานสำคัญอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันงานสื่อโทรทัศน์ เพื่อมนุษยชาติ งานขยะวิทยา ด้วยหัวใจ และงานอื่นๆ ก็ยังต้องเดินหน้า ต่อไปด้วย ปลายปีที่แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้ให้ใบประกาศเกียรติคุณ ยกย่องว่าชุมชนราชธานีอโศก เป็นองค์กร แผนที่ความดี จังหวัด อุบลราชธานี ประเภทองค์กรศาสนา เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ข้าราชการผู้ใหญ่ของจังหวัด อาจหาญ กล้าให้เกียรติบัตร ยกย่องอย่างนี้ แม้จะเป็นเพียง กระดาษแผ่นเดียว แต่อย่างน้อยๆ ก็บอกให้รู้ว่า ยังมีผู้มีดวงตาเห็นธรรม เป็นธรรมเหมือนกัน การเมืองภาคประชาชน ฉบับ บุญนิยม บุญนิยมคือหนทางรอดทางเดียวจริงหรือ ๒๔ ม.ค.๒๕๕๑ ที่ชมรมมังสวิรัติแห่งประเทศไทย สาขาเชียงใหม่ ก่อนไปร่วมงานฉลองหนาวที่ภูผาฟ้าน้ำ มีประชุมกรรมการ พรรคเพื่อฟ้าดิน โดยสาขาพรรคต่างๆ รายงานกิจกรรม ที่ได้ทำมา นอกจากนี้มีการบอกเล่าถึง สถานการณ์บ้านเมือง พ่อท่านฯได้ให้นโยบายถึงการเมืองภาคประชาชนที่ชาวบุญนิยมจะดำเนินไป การเมืองขณะนี้เลวร้ายเบ็ดเสร็จ เราจะทำการเมืองในภาคประชาชน คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการเมืองคือภาครัฐเท่านั้น แล้วก็ไปคิดว่าการเมืองคือเลือกตั้งเท่านั้น อาตมาขอปฏิเสธร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าการเมืองไม่ใช่แค่นั้น เราจะทำการเมืองอย่างที ไม่ใช่ภาครัฐเท่านั้น อะไรที่ไม่สุดทน ก็ปล่อยไป ให้มันเสียไปเลย การเมืองภาคประชาชนที่เราจะทำก็คือ หนึ่ง เราสร้างคน สอง สร้างงาน สาม การศึกษา สุดท้ายพ่อท่านฯ ได้บอกถึงเหตุผล ที่ทำไมสังคมจึงจะต้องหันมาเอาบุญนิยม หนึ่ง ความทุกข์ในโลกมีมากขึ้น มันเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่อบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงมากขึ้น ทำร้ายทำลายกันรุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบยิ่งขึ้น แต่บุญนิยม ตรงข้ามกับที่กล่าวมา สอง ทรัพยากรของโลกร่อยหรอ ขาดแคลนจนไม่พอกันจริงๆ แม้ว่ามนุษย์จะพยายามสังเคราะห์ สร้างขึ้นมา ทดแทนแล้ว แต่ก็ไม่พอ บางอย่าง ทดแทนไม่ได้ อย่างน้ำมัน ใช้เวลาหลายล้านปี หรือ แร่ธาตุ ที่เอาใช้อยู่ทุกวันนี้ สาม ไม่มีทางอื่นให้เลือกดีเท่าอีกแล้ว สี่ มีตัวอย่างของสังคมที่ไปรอดได้แล้วจริงๆ ในทิศทางนี้ มีให้ดู มีให้ยืนยัน เป็นเอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาพิสูจน์ เรียกร้องให้มาดูได้ อยู่กัน อย่างอบอุ่น มีกินมีใช้อุดมสมบูรณ์ ห้า ระบบบุญนิยมเป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อในที่สุด ถ้าเราจริง มันก็จะพิสูจน์ตนเองไปอีก ตามกาละ ที่ยาวนาน ไปเรื่อยๆ ความยอมรับ และความเชื่อถือ ก็ยิ่งจะมากขึ้นๆๆ ตราบเท่าที่ พวกเราเอง ไม่กบถ หรือทำให้มัน เสื่อมลงไป หก โลกทุกวันนี้เป็นโลกโลกาภิวัตน์ ฟ้าบ่กั้น ชาวนรกก็มองเห็นชาวสวรรค์ ชาว สวรรค์ก็เห็นชาวนรก หมายความว่า มันรู้ความจริง กันไปหมด อะไรดี อะไรชั่ว อะไรทุกข์อะไรสุข หลอกกันไม่ได้ การเคลื่อนตัวอย่างไรก็เห็นกันหมด คนที่แสวงหาคนที่มีดวงตารู้ เขาก็ต้องมาเอา ถ้าเราเป็นยอดแก้ว หรือ ยอดทองคำ คนที่มีตารู้ ก็จะรู้ได้ว่า ยอดแก้ว ก็คือยอดแก้ว ยอดทองคำก็คือยอดทองคำ ปิดท้ายบันทึกฉบับนี้ จากบางส่วน ที่พ่อท่านฯ โอวาทปิดการประชุม ชุมชนราชธานีอโศก ๑๐ ก.พ. ๒๕๕๑ ดังนี้ เราทำดีแต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ต้องสำนึกสำเหนียก อย่าขี้เกียจ เป็นสันดานของกิเลส ที มันซ้อนอยู่ จริตนิสัยเสีย เป็นหนี้ติดตัวไปด้วย และ มีความจำเป็น ต้องขยันขึ้นด้วย เราต้องการ แรงงานมากขึ้น ต้องการมวลมากขึ้น สังคมเรียกร้อง ต้องการเรามากขึ้น ต้องการสิ่งดี เข้าไปทดแทน คนดีที่ทำดีจึงต้องเข้ามาทดแทน ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียง เป็นตัวนำ ติดอันดับไปแล้ว ต้องสำนึก สำเหนียก อย่าปล่อยปละละเลย เศรษฐกิจพอเพียง ต้องมีคุณธรรม ศีลธรรม พวกเราต้องพยายามจริงๆ ต้องรู้ตัวว่าเราอยู่ยุคไหน รุ่นที่มาสืบทอด คือนักเรียน ช่วยกันดูแลเอาใจใส่ เด็กเขายังไม่รู้ตัวหรอก สิ่งที่เราได้ สังคมก็ได้ ส่วนข้างนอก ตัวเขาไม่ได้ สังคมก็ไม่ได้ คือ ตรงกันข้าม รักข์ราม. (บันทึกจากปัจฉาสมณะ สารอโศก อันดับที่ ๓๐๘ เม.ย. - พ.ค. ๒๕๕๑) |