อำนาจโลก อำนาจธรรม หน้า ๒
แสดงโดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธครั้งที่ ๑๖
เมื่อวันมาฆบูชา ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก
ต่อจากหน้า ๑


การเมืองอย่างปุถุชน ก็บอกแล้วว่า อย่างนั้นน่ะ โดยตรงเลย มาล่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กันเต็มรูป ฉ้อฉล ทุจริตอย่างไร ที่สามารถจะใช้ อำนาจตำแหน่งหน้าที่ และไม่เป็นธรรม ถ้าเขาทำได้ เขาทำนั่น คนที่ไม่มีหิริ ไม่มีโอตตัปปะ ไม่เอาบาป ไม่เอาบุญอะไรกับเขาละ การเมืองอย่างนี้ละ มีมาก แล้วคนที่ไปทำอย่างนี้ ปุถุชนทำอย่างนี้ จะทำการเมือง ทำการค้า ทำกิจการธุรกิจ อะไรก็ตามใจเถอะ คนเหล่านั้นจะอยู่ในลักษณะเดียว เป็นคนโลกีย์ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มีกิเลสมาก ทุจริตมาก กิเลสน้อยลง ก็ทุจริตน้อยลงบ้าง นอกจากกิเลสมาก ทุจริตได้มากแล้ว กิเลสมาก ฉลาดมาก ทุจริตได้ยิ่งมหามากด้วย

เพราะฉะนั้น การเมืองที่เป็นปุถุชน ไม่มีคุณธรรม เรียกว่าจัดการด้วยอำนาจที่ไม่เป็นธรรม อย่างนี้ จึงเป็นเรื่องการเมืองที่น่าเศร้ามาก เป็นการเมืองที่เป็นไปได้อย่างทรมานทรกรรม มนุษยชาติ ก็ทุกข์ร้อนกันไปไม่รู้จบ มีคนที่ทำงานการเมืองที่ในลักษณะกัลยาณชน อยู่บ้าง แต่น้อยคนเหลือเกิน ความเป็นกัลยาณชน ก็คุณภาพไม่สูงพอ นอกจากน้อยคนแล้ว ยังคุณภาพ ของกัลยาณธรรม ไม่สูงพออีกด้วย กัลยาณธรรมขีดไหน ขีดยังไม่เข้ากระแสอริยะ แต่มีสามัญสำนึก มีสำนึกดี รู้จักบาปบุญคุณโทษบ้าง สังวรบ้าง แต่อำนาจกิเลสไม่ได้ลด ไม่ได้ละ ละกิเลสไม่เป็น

เพราะฉะนั้น คนพวกนี้ไว้ใจไม่ได้ ถ้าอำนาจของลาภมันสูงขีดหนึ่ง คนนั้นทนไม่ได้ อำนาจยศ อำนาจสรรเสริญ สูงถึงขีดหนึ่ง กัลยาณชนเหล่านั้น ยังไม่เที่ยงต่อกระแสนิพพาน ทนไม่ได้ ทนไม่ได้ นี่คือคนที่เป็นกัลยาณชน เขาทำดีส่วนหนึ่งบ้าง แม้กระนั้นก็ยังมีไม่มากคน ดังกล่าวแล้ว คุณธรรมของกัลยาธรรม ก็ยังไม่มากพอ เพราะฉะนั้น การเมืองทุกวันนี้ แม้จะมีกัลยาณชน ผสมทำงานการเมืองอยู่บ้าง ก็ยังไม่พาให้สังคมประเทศชาติ เป็นสุขได้ จะต้องมีคนในระดับของอริยชน ที่มีจิตแข็งแรง เข้ากระแส อำนาจของลาภ ยศ สรรเสริญนั้น ทำให้จิต อ่อนพ่ายแพ้เป็นทาส ไม่ได้มีความจริง จะไม่ทุจริต ถ้าเป็นโสดาบัน อาจจะกินตามน้ำ ถ้าสิ่งนั้น มีอำนาจของความยั่วยวนสูงมาก จนกระทั่งในระดับโสดาบัน ก็ยังมีกิเลสระดับหนึ่ง อาจตามน้ำได้ ซึ่งก็ถือว่ายุติธรรมสำหรับระดับนั้น แต่ไม่ใช่ทุจริต ซึ่งมีหิริโอตตัปปะ มากอยู่พอสมควร ยิ่งเป็นอริยชนระดับสกิทาคามี ก็ยิ่งจะแข็งแรง จิตแกล้วกล้ากว่านั้น โลภน้อยกว่า อาฆาตมาดร้ายน้อยกว่า มีพฤติกรรม มีบทบาทที่จะทำกับสังคม กาย วาจา ใจ เป็นพฤติกรรมที่เจริญ สามารถนำพา สังคมมนุษยชาติไปได้ เป็นอยู่สุขได้ดีกว่านั้น และจะดียิ่งๆ ถ้ามีจำนวนคน ที่เป็นอริยชน ทำงานการเมืองมากขึ้น ถ้าอยากให้มีการเมือง อย่างอริยชน ก็ต้องมีคนที่ เป็นอริยชนแล้ว คนที่เป็นอริยชนมีมากพอแล้วหรือยัง อย่าว่าแต่มากพอ จะไปทำงาน การเมืองเลย แม้แต่มากพอจะทำงานศาสนานั้น พอหรือยัง ยังไม่พอเลย ทุกวันนี้นี่นะ ในประเทศไทยนี่ อย่างพวกเรานี่ เรียนรู้โลกธรรม ปฏิบัติเข้าสู่ ความเป็นอริยชน เข้าสู่โลกุตรกันอย่างแท้จริง คุณเชื่อไหมว่า ทุกวันนี้ พวกคุณกำลังเดินทาง กำลังปฏิบัติ ประพฤติกัน เพื่อที่จะไปเป็น อริยชนที่แท้จริง เข้าสู่โลกใหม่ ปรโลก โลกที่พระพุทธเจ้าค้นพบ เรียกว่า โลกุตรโลก โลกโลกุตร โลกอุดร คุณเชื่อไหม แล้วคุณสัมผัสโลกุตรธรรมบ้างไหม

ได้ตั้งขึ้น มีบ้างแล้ว ญาณที่พอรู้ว่า เราได้ เรามี แต่มันยังไม่สุด มันยังไม่เป็นนิพพานญาณ ไม่ใช่ญาณที่รู้รอบ ไม่ใช่ญาณที่ถึงขีด ไม่ใช่ญาณที่เป็น วิมุติญาณทัสสนะ มันจึงไม่แหลมคม ไม่เฉียบขาด มันจึงไม่มั่นใจ เพราะว่า มันไม่ชัดเจนเพียงพอจริงๆ ตามันยังไม่ทิพย์จริง มันยังไม่ทิพย์สมบูรณ์ แต่มันก็พอรู้ แต่ละคน อาตมาเชื่อแน่รู้ อาตมาพาคุณมาปฏิบัติธรรมนี่ โดยลำบาก ถูลู่ถูกัง โดนโขก อาตมาก็โขกจัด ขนาดวันนี้ ปัจฉาสมณะ อุทธรณ์ต่อพวกคุณ เท่ากับว่าฟ้อง ประชาชนเจ้าข้าเอ๊ย พ่อท่านรังแก แปลเป็นไทยว่าอย่างนั้น ทั้งสองคนเลย อาตมารังแก เมื่อกี้นี้เสียงทางเท็ปก็เปิด

อานนท์ เราจะกระหน่ำเธอแล้ว เราจะกระหน่ำเธออีก ไม่ยั้งมือ ผู้มีมรรคผล ที่เป็นแก่นสาร เท่านั้น ที่จะทนอยู่ได้ กระหน่ำนะ อาตมาขอยืนยัน ว่ากระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก แต่คุณยังทนน่ะ คุณทนไปเพื่ออะไร ทนไปเพื่ออะไร ลาภข้างหน้ามีให้คุณหรือ นี่ไม่ใช่จิตวิทยา ที่หลอกคุณไว้ ยศข้างหน้า มีให้คุณเหรอ แม้แต่สรรเสริญ ก็ยังมาสอน มาแนะนำกัน พูดกัน ว่าอย่าไปหลงใหล ได้ปลื้มกัน แม้แต่สรรเสริญ เยินยอ ยกย่อง โลกียสุขก็เรียนรู้มากขึ้นว่า อย่าไปหลงใหล ต้องละลด โลกียสุขลงไปจริงๆๆๆ รสอร่อยของโลกียะ ใดๆ เราต้องเรียนจริงๆ ต้องเลิก ละ ปลดปล่อยจริงๆ

อาตมาว่าอาตมาได้สอนตรง ได้กล่าวตรง ได้พูดตรง ไม่ได้อ้อมค้อม ไม่ได้เหลาะแหละ ไม่ได้อำพราง แล้วก็ยังลำบากลำบน แต่ละคนก็อุตส่าห์พากเพียร หลายคนก็จะท้อ จะแท้เอา จะไปไม่รอด จะคลอดไม่ออก จะแท้งกลางทาง จะรีไทร์ตัวเองหลายครั้ง หลายคราว คนหลายคน พวกเรามีจิตอย่างนี้เกิด แต่หลายๆ อย่างที่มันได้รู้ มันได้แจ้ง มันได้ชัด ถ้าไม่อารมณ์วูบวาบ ทบทวน ถ้าทบทวนดีๆ ก็จะพบความรู้ที่เราได้รู้ ยิ่งทบทวน ก็จะรู้ว่า เราโกหกตัวเอง ที่ได้รู้แล้วไม่ได้

ทำไมนะ ฟ้าสร้างให้เรามาเกิด จึงต้องสร้างโพธิรักษ์มาเกิดด้วย ไม่พบเสียได้ น่าจะดีกว่านี้ มันทรมานจริง ไปก็ไม่ได้ อยู่ก็ทุกข์ มันเรื่องอะไร อาตมาบังคับคุณเหรอ อาตมาบอกอยู่ทุกครั้ง ทุกคำว่า อิสรเสรีภาพ คุณจะไปก็ไป ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ใส่โซ่ผูกข้อ ร้อยดึงเอาไว้สักหน่อย แต่เราเอง เราปฏิเสธความจริงที่เรารู้ไม่ได้ คนรู้แล้ว โกหกตัวเองว่าไม่รู้ โกหกได้ยังไง โดยเฉพาะ สิ่งที่คุณรู้นั้น เป็นสารัตถะ เป็นสาระสัจจะ จะด้วยแค่เหตุผล อาตมาก็ว่า มันแทบจะพ้น วิจิกิจฉาแล้วนะ อาตมานี่เผื่อเอาไว้หน่อยว่าแทบ ความจริงมันน่า จะพูดว่า มันพ้นวิจิกิจฉาแล้ว สำหรับที่อาตมาพูดไปแล้ว ปากเปียกปากแฉะนี่ เพราะฉะนั้น หลายคนพ้นวิจิกิจฉา พ้นความสงสัย แล้วบอกว่าจริง ตรง แน่ ถ้าทำได้จริง นิพพานแน่

แต่เราเท่านั้นน่ะไม่แน่ จะไปมิไปแหล่อยู่นี่ แต่เสร็จแล้วเราก็รู้ว่าเราไปแล้ว จะไปไหนล่ะ ถ้าไปแล้วล่ะ ดันผ่าจะต้องกลับมาอีกล่ะ ประเดี๋ยวก็หน้าแตกหรอก อะไรอย่างนี้เป็นต้น อาตมาว่า เหตุผลที่อาตมาพูดเหล่านี้ อาตมารู้ในพวกคุณนี่ ถึงจำยอมอยู่ เพราะไม่มีทางไป ที่ไม่มีทางไปนี่ ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่รู้ว่า มันมีหลายทางเยอะแยะเลยในโลก ยิ่งคุณรู้ ทางของโลก มากเท่าไหร่ เชิญไปรู้ อาตมาอยากให้คุณไปรู้ทางของโลกให้หมด ให้ครบ แล้วเอามาเปรียบเทียบ ทางที่อาตมาพาไปกัน หลายคนสงสัย เพราะไม่ค่อยรู้ทางโลกมาก ก็เลยนึกอยู่ว่า มันถ้าจะดีกว่าทางนี้กระมังหนอ คนพวกนี้ ยังไม่พ้นวิจิกิจฉา

เพราะฉะนั้น คนอย่างอาตมาไม่เคยปิดทาง เชิญ จงไปตรวจทางที่ คุณสงสัยนั้นเถอะ แล้วกลับมาให้ได้ อย่าอาย อาตมาที่พูดอย่างนี้ หมายความว่า อาตมาเชื่อว่า ไอ้ทางที่คุณไปนั่น ประเดี๋ยวเถอะ เจอมหานรกอยู่ตรงนั่นน่ะ เดี๋ยวคุณจะนึกถึงที่นี่ แต่ถ้าคุณมีมานะมากมาย อาย จะมาไม่ได้น่ะซี อาตมาถึงบอกว่า มาให้ได้ กลับมาให้ได้ แต่ถ้าคุณจะไปแล้ว ก็ไปติดลมอยู่ที่ ทางโน้น ทางไหนก็แล้วแต่ อาตมาก็ไม่มีปัญหา เพราะเขาย่อมเป็นคนทางนั้น ถ้าทางนั้น เป็นสวรรค์ ก็จงอยู่กับสวรรค์เถอะ แต่อาตมาแน่ใจว่าทางนั้น มันเป็นทางนรกเปล่าๆน่ะนะ แล้วคนก็ ไปหลงว่า มันเป็นสวรรค์ ส่วนผู้ที่ไปแล้ว เห็นชัดแล้วว่า แหม มันสู้ทางนี้ไม่ได้จริงๆ จงกระเสือกกระสน กลับมาให้ได้ นี่ไม่ได้ไล่ ไม่ได้ชี้โพรงให้กระรอก แต่อาตมา กล้าพูด ตามความจริงใจนะ อาตมาแน่ใจว่า อาตมาว่าทางนี้ดีที่สุด บอกแล้วว่า ใครจะหาว่า อาตมาหลง จะหาว่าอาตมาบ้าทิศทางศาสนาอย่างนี้แหละ ใครจะบอกว่าศาสนาอย่างอาตมา ที่พาทำนี่ จะเป็นศาสนาแท้หรือไม่แท้ เป็นพุทธเทียม เป็นพุทธวิปริต เป็นอะไรก็ตามใจเถอะ อาตมาไม่ติด ในบัญญัติพวกนี้หรอก อาตมาก็ไม่ใช่ว่าไม่ติดบัญญัติ แล้วก็ไม่วิจัย ไม่วิเคราะห์ ไม่ศึกษา เข้าไปถึงแก่นแท้ โยนทิ้ง ดูถูกดูแคลน ไม่ใช่ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เป็นผู้ประมาท อย่างนั้น อาตมาว่า อาตมาพยายามที่จะศึกษา ใครจะว่าอย่างไร ว่าอะไรดี เราก็พยายาม ที่จะศึกษา สนใจในสิ่งนั้นๆ อยู่จริงๆ

มาถึงวันนี้ อาตมาทำงานมาทางศาสนานี่ ที่ถือว่าทำจริงๆ ก็ต้องถือว่า อาตมาบวชนั่นแหละ ลงมือทำจริงๆ ก็ตั้งแต่ ๑๓ มาจนถึง ๓๕ แล้ว ก็ย่างเข้าปีที่ ๒๒ แล้ว สำหรับอาตมา แต่สำหรับกลุ่ม ถือว่าเกิดเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖ เริ่มต้นเกิดกลุ่มอโศก ๒๕๑๖ ตั้งกลุ่ม มีกลุ่มขึ้นมา ก็เกือบยี่สิบปีแล้ว ๑๖ มาถึงปีนี้ ก็เกือบยี่สิบปี ที่จริงเราเริ่มต้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ นั้น เดือนกุมภาพันธ์ ปีนี้ พ.ศ.๒๕๓๕ เดือนกุมภาพันธ์ขณะนี้ มันก็ควรจะชนกันเป็นยี่สิบปี พอดีไหม สิบเก้าเหรอ ขึ้นปีที่ ๒๐ น่ะ กำลังจะขึ้นปีที่ ๒๐ ท่ามกลางศาสนาที่ล้มเหลว

อาตมากล่าวเช่นนี้ ด้วยความไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน แต่อาตมากล่าวว่า อาตมากล่าวโดยสัจจะ กล่าวด้วยความจริง มันล้มเหลว แล้วเราก็เลยพยายามที่จะกระทำ ในท่ามกลางศาสนา ที่ล้มเหลวนั้น โดยไม่มีหมู่ ไม่มีกลุ่ม ไม่มีผู้ส่งเสริม โดยเฉพาะผู้ใหญ่ จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใหญ่ ในวงการศาสนา ในประเทศไทยคนใด มาส่งเสริมช่วยเหลืออาตมาเลย และอาตมา ก็ไม่ได้ เสียใจเลย กลับดีใจอย่างยิ่งว่า นี่ คือเรา โดยไม่จำเป็นจะต้องมีใครมาอุ้ม อาตมาเป็นเหมือน เด็กน้อย ที่ไม่มีใครมาขออุ้มหน่อย แต่ก็ไม่เสียใจ ไม่ว้าเหว่ ไม่อ้างว้าง ยิ่งทุกวันนี้ อาตมายิ่ง ไม่อ้างว้างเลย ไม่ว้าเหว่เลย เกิดความอบอุ่นโดยตัวเอง พาพวกเรามามีความอบอุ่น กันขึ้น เป็นกลุ่ม เป็นก้อนขึ้น ไม่มีผู้ที่มาอุ้มอาตมาแต่เดิม ไม่มีผู้ที่ช่วยมาแต่เดิม จนกระทั่ง ทุกวันนี้ ที่พูดนี่ ไม่ใช่พูดอย่างเนรคุณนะ แล้วก็ไม่ได้พูดอย่างหยิ่งผยองด้วย อาตมาว่าจิตลักษณะ หยิ่งผยอง ที่เป็นจิต สารัมภะนี่แหละ หยิ่งผยองนี่ แข่งดีนี่แหละ สารัมภะนี่ หยิ่งผยองแข่งดี สาเถยยะ นั่นลามก จิตลามก จิตสารัมภะ ที่หยิ่งผยอง แข่งดี อาตมาไม่ได้มีจิตหยิ่งผยอง ไม่มีจิตแข่งดีนะ อาตมาจะแข่งดี จะแข่งที่อาตมาเอง ตัวเองแข่งตัวเอง ไม่แข่งกับคนอื่นหรอก จริงๆนะ อาตมาไม่ได้แข่งกับใคร ถ้าจะทบทวนไปหาพฤติกรรมตั้งแต่ต้น มาถึงบัดนี้ อาตมามี พฤติกรรมใดบ้าง ที่จะแข่งกับใคร เจ้าสำนักไหน ผู้ที่เก่ง ผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนใด ที่อาตมา เข้าไปแสดง กิริยา พฤติกรรมที่แข่ง ตอบอาตมาหน่อยซิ ผู้ใดจะรู้มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่พ.ศ.๒๕๑๓ มาจนกระทั่ง ถึงเดี๋ยวนี้ อาตมาไปแข่งใคร แข่งผู้ที่โด่งดัง ผู้ที่มีชื่อเสียงทางด้าน ศาสนาก็ได้ ผู้ที่ควรจะแข่งล่ะ อาตมาไปแข่งใคร มีพฤติกรรมไปแข่งใคร มีแต่ ใครมาข่มอาตมา ใช่ไหม อาตมาไม่ได้แข่ง และในใจของอาตมาแน่ใจว่า ไม่ได้คิดแข่งใคร เพราะอาตมารู้อยู่ว่า สารัมภะนี่ เป็นตัวแข่งดี เป็นตัวหยิ่งผยอง เป็นตัวไม่เข้าท่า แล้วหาว่าอาตมา ว่าเป็นคน อวดโอ่ โม้ คุยเป็นสโถโอ่อวด อาตมาก็ไม่ได้ สโถ สโถนี่ สาเถยนี่แหละ โอ่อวดก็ไม่ได้โอ่ ไม่ได้อวด

คำว่า โอ่อวด คือการมีกิเลสตัวสาเถย หรือสโถนี่แหละ อาการของสโถ หรือสาเถยนี่เป็นอย่างไร เราต้องรู้ ลักษณะอาการนั้น อาตมาบอกคุณ บอกอุตริมนุสธรรมบ้าง บางครั้งบางคราว ดูเหมือน พูดตัวเองว่า ยกตัวเองบ้าง ขออภัย เช่น อย่างพระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า เรานี่แหละ ยิ่งใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าจะชมใครในโลกหล้า ว่าเป็นผู้ที่มีศีลอันยอด ต้องชมเราตถาคต อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้าไม่ได้มีสาเถยยะ ไม่ได้มีสโถ ไม่ได้มีความโอ่อวดในใจ ไม่ได้มี กิเลสอย่างนั้น อาตมาก็ว่า อาตมาพยายามที่จะไม่โกหกใคร อาการของกิเลส อย่างนั้น มีที่อาตมาไหม อาตมาว่า อาตมาปฏิบัติธรรมพระพุทธเจ้า ย่อมรู้อาการ ลิงค นิมิตของจิต ถ้าอาตมาไม่รู้ อาตมาก็เอามาสอนคุณไม่ถูก อาตมาสอนคุณถูก อาตมาย่อมรู้ของอาตมาเอง แน่นอน แล้วอาตมาก็ไม่ได้รับการเรียนรู้มาจากใคร อาตมามาสอนคน อาตมาย่อมรู้ อาตมาสามารถ บรรยายให้คุณรู้ คุณเข้าใจ ให้คุณรู้จริงในสภาพนี้ได้เอง ของตนเอง จากคำอธิบายของอาตมา อาตมาอธิบายนามธรรมได้ถึงขนาดนี้ อาตมาย่อมมีของอาตมา รู้ของอาตมา ต้องมีของอาตมาจริง มาก่อน แน่นอนเลย เพราะอาตมาไม่ได้เรียนมาจาก อาจารย์ไหน ที่เขามีอย่างนี้ แล้วอาตมาก็ไม่เคยเห็นอาจารย์ไหน มาสอนถึงขนาดอย่างนี้ อาตมาอาจจะไปเรียน ตามอาจารย์ต่างๆน้อยก็ได้ อาจจะมีอยู่ในมุมไหน ก็ไม่รู้นะ คุณที่เคย ไปเรียนกับ อาจารย์ต่างๆมาน่ะ ช่วยบอกอาตมาหน่อยเถอะ ว่ามีอาจารย์คนไหนบ้าง สอน ถึงปรมัตถธรรม ชี้อาการ ลิงค นิมิต อย่างที่อาตมาว่านี่ แล้วก็รู้ลักษณะกิเลสต่างๆนี่ เป็นสภาวะอย่างนี้ สาเถยยะ หรือ สโถต่างกันกับสารัมภะอย่างไร สารัมภะ ต่างจาก มัจฉริยะ ต่างจาก มักขะ ปลาสะ อย่างไร ต่างจาก มายา อย่างไร

อาตมาวิเคราะห์ให้พวกคุณฟัง อาการสภาวะ มันเป็นอย่างนั้นๆ อาตมาบอกคุณ อาตมาก็ต้องรู้ ของอาตมา อาตมาว่าอาตมาไม่ได้โกหกคุณ เพราะอาตมาไม่มีก็คือไม่มี เพราะฉะนั้น อาตมา อวดอุตริมนุสธรรม ก็ตาม หรือบอกว่าอาตมานี่แหละ รู้อย่างนี้ ได้อย่างนี้ อาตมาก็ไม่ได้มีกิเลส ตัวอวดตัวพวกนี้อยู่ อาตมาอวดด้วยจิตที่ว่าง จากกิเลสพวกนี้ อาตมาผิดตรงไหนนะ คุณจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ อาตมาบังคับไม่ได้หรอกนะ เพราะอาตมาว่า อาตมาได้เปิดเผยความจริง ที่อาตมาพูด สู่คุณฟังแล้ว อาตมาก็ขอร้องพวกคุณอย่าไปโกหก การอวดอุตริมนุสธรรมนี้คือ อาบัติปาราชิก คุณไม่มีคุณธรรมที่เป็นอุตริมนุสธรรมเหล่านี้ รู้กิเลส ละกิเลส ละไม่ได้ ละกิเลสก็คือ วิมุติ อวดวิมุติ อวดลดละวิราคะ อวดความสงบระงับ อวดฌาน อวดสมาธิ ก็คือ อวดปรมัตถ์พวกนี้แหละ การอวดพวกนี้ ปาราชิก ถ้าไม่มีอย่าไปพูด ที่ไม่จริงอย่าไปพูด อย่าไปอวด มันปาราชิกจริงๆ แล้วมันบาปจริงๆ มันเลวร้ายจริงๆ ศาสนาจะฉิบหายวายป่วง เพราะไอ้อย่างนี้

เพราะฉะนั้น ให้จริงเถอะ จริงแล้วคุณเอง คุณพูดโดยบริสุทธิ์ใจ แล้วคุณก็จะได้ไม่มีทุกข์ ไม่มีร้อน ไม่มีบาป ใครทำอะไรอาตมาได้บ้าง รู้ทั้งรู้ว่าอาตมา อวดอุตริมนุสธรรม นี่พูดเบาๆ กับพวกคุณ รู้ทั้งประเทศ คนที่เป็นนักรู้ รู้ว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรม ใครทำอาตมาได้บ้างๆ ขอให้จริงเถอะ ใครทำอะไรไม่ได้หรอก แต่ไม่จริงอย่าลองนะ บารมีย่อมเป็นบารมี สัจจะย่อมเป็นสัจจะ อย่าประมาท อย่าทำเล่นเป็นอันขาด ศาสนาไม่ใช่ของเล่น

ในพวกเรานี่ ศึกษากันมาจนกระทั่งขณะนี้แล้ว ขอให้รู้ความสำคัญในความสำคัญ ให้จริง รู้ความสำคัญ ในความสำคัญให้ดี แล้วจงเป็นคนจริง จงเป็นคนดี อาตมาเคยย้ำว่า จงเป็นคนตรง เป็นคนกล้า เป็นคนจริง สามสิ่งนี้รวมกัน เรียกว่าคนดี เป็นคนตรง คนกล้า เป็นคนจริง แต่นั่นแหละ ไอ้ตัวลวง ตัวหลง มันทำให้คนหลงตัว คนลวงตัวเอง ทั้งๆที่เรา เข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฐิดัวยซ้ำ ก็ยังหลงว่าตัวเองสัมมาทิฐิ หลงว่าตัวเองถูก มีได้ มีได้ แล้วไม่ง่ายเลย ที่จะรู้ตัว ว่าตัวเองหลง คนหลงจริงๆ ก็คือคนที่ไม่รู้ว่า ตัวเองหลงได้ง่ายเลย คนใดที่หลงแล้ว ก็มีคนแนะนำบอกแจ้งให้รู้ได้ง่ายๆนั้น บุญที่สุดเลย เป็นผู้มีบุญมากจริงๆ เพราะส่วนมากแล้ว คนที่หลงตัวเองแล้วนี่ คนอื่นบอกยังไง ก็ไม่ค่อยจะรู้ตัว ความหลงมัน เป็นอย่างนั้น ขนาดว่า อาตมาบอกยังไม่เชื่อเลย อาตมาว่า ใหญ่กว่าอาตมา มาบอกอีก ก็ยังจะไม่เชื่อนะ ความหลงมันเป็นถึงขนาดนั้น ไม่รู้ ก็ในสมัยพระพุทธเจ้า ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าบอกให้คนที่หลง เขาก็ไม่เชื่อ คิดดูซิ สมมุติว่าพระพุทธเจ้า อยู่ต่อหน้าคุณเดี๋ยวนี้ แล้วบอกกับคุณเดี๋ยวนี้ บอกคุณชี้ผิดบอกกับคุณว่า คุณหลงผิดอันนี้ๆ คุณจะเชื่อไหม อาตมาว่า คุณไม่กล้าแย้งเด็ดขาดเลย อาจจะกล้าแย้งอาตมา แต่คุณไม่กล้าแย้งพระพุทธเจ้าแน่ ถ้าพระพุทธเจ้า ไปปรากฏตัวขณะนี้ ปรากฏองค์ต่อหน้าคุณ ขณะนี้ บอกว่าคุณผิด บอกว่าคุณโมหะ หลง คุณจะไม่กล้าแย้ง แต่อาตมาไม่ถึงพระพุทธเจ้า อาตมาบอกคุณ คุณก็ยัง กล้าแย้งอยู่ บางคนไม่กล้าแย้งอาตมา อาจจะกล้าแย้งท่านวยัสโส อาจจะกล้าแย้งท่านอรณชีโว อาจจะกล้าแย้งท่านอัคคชโย อาจจะกล้าแย้งท่านติกขวีโร แต่ไม่กล้าแย้งอาตมา

มันก็เป็นความจริงของคนที่ยอมรับ ศรัทธา เชื่อถือ ยอมให้ มันก็เป็นลำดับของสัจจะ อาตมาก็ไม่อยาก จะให้คุณมายอม ไม่อยากให้คุณมายอม แต่อาตมาปรารถนา ให้คุณเกิดญาณ เกิดปัญญา เพราะฉะนั้น จึงสอนแล้วสอนอีก ไม่ใช่ต้องไปบีบบังคับให้คุณมายอมอาตมา เชื่ออาตมาซีนะ ใช้อาณาเข้าไปมากๆๆๆๆๆ อาตมาไม่ได้ต้องการเลย อาตมาต้องการ ให้คุณเกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดการรู้เอง เข้าใจเอง เห็นเอง แล้วยอมเอง ไม่ใช่ถูกบังคับ อาตมาไม่ได้ต้องการเลย ที่ได้มา ด้วยการบังคับให้ยอม ไม่ต้องการจริงๆ เพราะอย่างนั้น อาตมาถึงว่า มันไม่ใช่ เรื่องฝีมือเลย ฝีมือจริงๆ ต้องให้คุณได้เกิดญาณ เกิดปัญญาที่แท้จริง แล้วคุณก็เชื่อ เชื่อที่คุณเกิดญาณปัญญาของคุณ เมื่อคุณเกิดญาณปัญญาของคุณแล้ว คุณจะยอม นั่นแหละเป็นประสิทธิภาพ นั่นแหละเป็นผลที่สูงสุด เป็นสิ่งที่ดี อันนั้นอาตมา เรียกว่า สัจธรรม

เพราะฉะนั้น การไปบังคับให้คนยอม ไม่เป็นสัจธรรม แต่นั่นแหละ คนเราบังคับกันด้านปัญญา กันไม่ได้ง่ายๆ นอกจากบังคับปัญญาไม่ได้แล้วก็ มานะ ก็เยอะด้วย แล้วพวกท่านทั้งหลาย ทั้งแหล่นี้ คุณสังเกตไหม เวลาขึ้นไปเทศน์ ให้พูด อาตมาไม่ได้เชื่อพ่อท่านนะ อาตมาไม่ได้ เชื่อท่านง่ายๆ อาตมาไม่เคยถือสา และอาตมากลับพอใจด้วยซ้ำไป ที่พวกคุณ รู้สึกอย่างนั้น จริงๆนะ แล้วพวกคุณก็เป็น อย่างนั้นจริงๆ แต่เสร็จแล้ว พวกคุณก็ไปจากอาตมาไม่ได้จริงๆ อาตมาไม่มีปัญหาเลย ถ้าคุณจะไป อาตมาก็ไม่ได้เสียดายอะไรหรอก อาตมาเชื่อว่า อาตมาไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ ที่จะทำให้คุณเข้าใจได้ เกิดญาณ เกิดปัญญาได้ จนคุณเชื่อ และ คุณยอม นั่นเป็นสัจจะ แล้วคุณก็ต้องไปตามสัจจะ ไม่มีปัญหานี่ ไปโทษเขาได้ยังไง มันต้องโทษตัวเอง ตัวเองไม่มีความสามารถทำให้คนนั้นๆ เขามีปัญญา จนมีปัญญา มีศรัทธา โดยตัวเขา เกิดญาณเกิดปัญญา เกิดศรัทธาในตัวเขาเอง เป็นอินทรีย์ เป็นพละของเขาเองจริงๆ คุณทำให้เกิดสิ่งนั้นไม่ได้ แล้วคุณจะไปบังคับ ไปขอร้อง ไปงอนง้ออ้อนวอน อาตมาว่า อาตมาทำไม่เป็นนะ อาตมาก็ไม่ประสงค์จะทำด้วย เพราะอาตมาถือว่า ถ้าทำเช่นนั้นแล้ว ได้คนเช่นนั้นไว้ อาตมาว่าไม่ใช่สัจธรรม บอกแล้วว่า ไม่ใช่สัจธรรม อาตมาเรียกสัจธรรม ก็ตรง คุณต้องเกิด คุณต้องเป็น คุณต้องได้ ต้องลงร่องลงช่อง ตามสูตรที่ว่านี้ ตราบใดที่อาตมายังมี เรี่ยวแรง ยังมีความสามารถที่จะแสดงธรรม ยังต้องนำพา มีกำลังวังชา สรีระยังพอเป็นไปได้อยู่ ตัวเลขแห่งอายุ มันจะถึง ๕๐-๖๐-๗๐-๘๐-๙๐-๑๐๐-๑๑๐-๑๒๐ นั่น คือตัวเลข อาตมาจะต้อง ทำงานไปอยู่เสมอ ดังที่พูดไปแล้วว่า ถ้าอาตมายังมีเรี่ยวแรง ยังมีสมรรถภาพ ยังมีกำลังวังชา ที่จะทำงาน ขวนขวายได้อยู่ อาตมาก็ว่า เกิดมาเป็นมนุษยชาตินี้ มีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ ที่อาตมากล่าวมาแต่ต้น จนกระทั่ง จะสองชั่วโมงแล้ว เกือบจะสองชั่วโมงแล้วนี้ อาตมาก็ว่า อาตมาได้พูด สัมมาวาจา และก็เป็นสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีพของอาตมา ที่อาตมา จะดำเนินอาชีพนี้ จะทำงานนี้ สัมมากัมมันตะนี้ จะพูดอย่างนี้ๆ แหละ ใครจะว่าไพเราะ ใครจะว่า แหม! ผมเจ็บ ผมแสบ คงจะต้องพูดให้คุณเจ็บ ให้คุณแสบอีกอยู่ ถ้าจะขออภัย ก็เป็นเพียงโวหาร ขออภัยที่ทำให้คุณต้องเจ็บนะ ขออภัยที่ทำให้คุณต้องแสบนะ ก็คงจะเป็นเพียงโวหาร แต่ก็ต้องทำอยู่นั่นแหละ ตราบใดที่คุณยังต้องมีปฏิกิริยานั้น เรียกว่าแสบ เรียกว่าเจ็บ คุณเชื่อไหมว่าพระอรหันต์ ไม่มีแสบ ไม่มีเจ็บ เจ็บใจ หรือแสบอะไร ความหมาย ที่ว่านี่ คุณเชื่อไหม เชื่อจริงๆน่ะเหรอ เป็นความจริงหรือ จริงมั้ย พระอรหันต์ไม่มีแสบ ไม่มีเจ็บ ผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีแสบ มีเจ็บอยู่ แล้วอาตมาจะไปมีปัญหาอะไรเล่า ก็คุณบอกอาตมาว่า คุณยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ต้องเจ็บ ต้องแสบน่ะซี อาตมาลองเมื่อไร ก็เจอเมื่อนั้น มีปัญหาอะไร ประเดี๋ยวก็หาว่าอาตมาไม่รู้ว่า คุณเป็นพระอรหันต์หรือยัง อาตมาก็ต้องมี ของเช็คมั่งซี

แล้วจะไม่ให้อาตมาเช็ค โดยการบอกคุณเสียก่อนว่า ระวังนะ ตอนนี้ จะเจ็บแล้วนะ จะแสบแล้วนะ เรื่องอะไรล่ะ บอกข้อสอบก่อน ก็สอบได้กันหมด เท่านั้นเองน่ะซี ก็หลงคิดว่า คุณเป็นพระอรหันต์แล้วน่ะซี แต่แท้จริงเป็น พระอรหันต์เก๊ เพราะรู้ข้อสอบก่อน อาตมาคงไม่โง่ ขนาดนั้นมั้ง เอาเถอะ หลายคนอาจจะคิดว่า อาตมาพูดอันนี้คือข้อแก้ตัว ก็ไม่เป็นไร อาตมา ย่อมรู้ว่า อาตมาจะทำสังกัปปะ จะทำวาจา จะทำกัมมันตะ ดังที่อาตมาพยายามอธิบาย ให้พวก คุณฟังอย่างนี้ อาตมาย่อมรู้ก่อนคุณ และได้ปฏิบัติมาก่อนคุณ อาตมาย่อมช่ำชอง รู้ละเอียด มากกว่าคุณ คุณเองคุณยังสามารถฟังที่อาตมาอธิบาย และก็สามารถเอาไปประกอบ ปฏิบัติ อบรม ฝึกฝน

วาจาก็สามารถควบคุม กัมมันตะสามารถควบคุมให้มันกระทำขึ้นมาได้ อาตมาก็ต้องพูดจริง ใช่ไหม นอกจากพูดจริงแล้ว อาตมาก็ต้องมีจริง คำสอนนี้อยู่ใน มหาจัตตารีสกสูตร อยู่นานมาแล้ว แล้วอาจารย์ไหนเอาออกมาอธิบาย ให้คนเอามาปฏิบัติประพฤติ เป็นสภาวะจริง อย่างนี้บ้างล่ะ อาตมายังไม่เห็นจริงๆนะ ใครเอามหาจัตตารีสกสูตร ออกมาขยายความ ประพฤติปฏิบัติ ให้มีสภาวะรองรับ จริง จนแม้แต่คุณนี่ ยังสามารถปฏิบัติ มีสภาวะอันนี้ เกิดขึ้นรองรับ แม้จะรู้ยังไม่ถึงแม้ขนาด นิพพานญาณ แต่คุณก็ประพฤติจนมี ธัมมฐีติญาณได้ หมายความว่า มีญาณที่เกิดขึ้นในตัวเอง ตั้งขึ้นแล้ว ก่อขึ้นแล้ว จะมีมากหรือน้อย จะมีญาณ ที่ลึกซึ้ง ได้มาก ก็เป็นญาณทัสสนะวิเสสของคุณเองแต่ละคน จะมาก จะน้อย จะชัดเจน แค่ไหนๆ ก็แต่ละคน ซึ่งอาตมาพูดอย่างนี้ก็ คุณก็รู้ของคุณเอง เท่าที่คุณจริง อาตมาพูดถึง สังกัปปะ สังกัปปะอย่างไร มันเป็นสัมมาสังกัปปะ ซึ่งเราลดกามวิตก พยาบาทวิตก ลดวิหิงสาวิตก มันลดจริงอย่างไร คุณได้ลดไหม มันลึกซึ้งขนาดไหนของคุณ แล้วมันลดได้ถาวร เป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ขนาดไหน แล้วญาณ มันเกิดญาณ ถึงขั้นตรรกะ วิตรรกะ สังกัปปะ หรือเป็นวจีสังขารา เป็นญาณที่มุทุภูตธาตุนั้นเกิดอยู่ มีขนาดไหน

ที่อาตมาพูดขนาดนี้นี่ คุณฟังดูว่ามันหมายถึงอะไร หมายถึงจิตเจตสิก หมายถึงปรมัตถ์อะไร คุณฟังแล้ว คุณพอจะตามสภาวะกันได้บ้างไหมล่ะ ถ้าตามได้ แล้วคุณก็เห็นจริง มีจริง เกิดจริง เป็นจริง อาตมาไม่ได้พาคุณมาว่างเปล่ามา ลอยลม มาเล่นเละๆ เล่นลิเกละคร ซึ่งไม่มีของจริง ไม่มีสภาวะจริง อะไรเลย ไม่ใช่แน่ คุณตอบอาตมาได้ไหม แม้ในขณะนี้ อย่างที่อาตมา กล่าวขึ้นมา คุณตอบอาตมาได้ ตามที่คุณมีจริงเป็นจริง และรู้จริงนั้น ใครที่นั่งอยู่ในนี้ อาตมาพูดไป แล้วไม่รู้เรื่องเลย คุณก็ไม่รู้ แต่ถ้าใครรู้จริง มีอาการ ลิงค นิมิตอย่างไร คุณตามติด อาตมาพูดถึง ใช้สื่อภาษา คำที่พูดไปแล้ว คุณก็พยายามตรวจตาม ตรวจตนเองตาม ไอ้ที่เคยได้มา เดี๋ยวนี้ได้เท่าไหร่ มีจริงหรือไม่จริง คุณก็รู้ว่าอาตมากำลังพูดของจริง หรือ ไม่พูดของจริง ตอนนี้น่ะ ใช่ไหม มีบ้างไหมล่ะ มีไหม

มี

อาจหาญหนอ กล้าตอบ นั่นอุตริมนุสธรรมนะที่พูดนั่นน่ะ ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล ในกาล ที่เราพูดกันจริง ก็ต้องพูดกันจริง ไม่ได้พูดโอ้อวดอะไร อาตมาแน่ใจว่าท่านวยัสโส ไม่ได้โอ้อวดอาตมา ท่านก็พูดตามความจริงใจที่ท่านเป็น จริงตอบคำถามอาตมา แม้จะต่อหน้า พวกคุณนี่ เยอะแยะก็ตาม อาตมาเชื่อมั่นว่าไม่ มีสโถ ไม่มีสาเถยยะอะไร ไม่ได้มีความโอ่อวด อะไร ไม่ได้เป็นบาปเป็นภัยอะไร ถึงวาระที่จะต้องถามอุตริมนุสธรรม อันเธอมีได้แล้ว มีอยู่หรือไม่ เก้อเขิน ไหม เมื่อเวลาเราถามในกาลภายหลัง ไม่เก้อเขิน มีได้ ตอบได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่ มันน่าอายอะไร แล้วเราก็ไม่ได้เก้อเขินจริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้โอ่อวด อะไร มีความผิดที่ไหน แต่พูดอุตริมนุสธรรม ไม่ได้โกหก ไม่ได้โอ้อวด ไม่ได้มีมุสา ไม่ได้มีมุสา ไม่ได้มีสาเถย ปลอดอาบัติทุกอย่าง นี่เป็นสัจจะที่ เราพิสูจน์กัน ก็พยายามอบรมฝึกฝน แล้วก็ทำความจริง พวกนี้กันจริงๆ

อาตมาได้ขยายความกันขึ้นมาถึงขั้นสัมมาอาชีพ มีกรรมกิริยา มีกิจกรรม มีพฤติกรรม พฤติการณ์อะไรขึ้นมา ตอนนี้เรากำลังจะเกิดสัมมาอาชีวะของ สังคมหมู่กลุ่ม คนอย่างพวกเรานี่ ที่ท่านเรียกว่า เมืองพระศรีอาริย์ สังคมพระศรีอาริย์ ก็คือสังคมแห่งอริยชน สังคมของอริยชน ในแนวทาง ทิศทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาตมาเคยบอก เคยบรรยายไว้ ในหนังสือ ทางเอก ก็เคยพูด เคยบรรยายเอาไว้ว่า ศรีอริยเมตตรัยนั้น นามเหมือนว่าที่ พระเทพเวที อย่างนี้ ก็เป็นตำแหน่ง เท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นเจ้าคุณประยุทธ ไม่ใช่เจ้าคุณอะไร ไปว่าไปที่พระเทพเวทีก็ได้ สมเด็จพุฒโฆษาจารย์ สมเด็จพระวันรัต อะไรก็เป็นที่ องค์ไหน ไปรับตำแหน่งหน้าที่ ที่อันนี้ก็คือหน้าที่อันนี้ ศรีอริยเมตตรัยก็คือที่เป็นตำแหน่ง อีกกี่ปาง กี่ปาง ก็มีศรีอริยเมตตรัย ก็คือข้างหน้า พระพุทธเจ้าองค์ข้างหน้า องค์ไหนก็แล้วแต่ นั่น พระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุคคล แต่ศรีอริยเมตตรัยจริงก็คือ สังคมอริยชน ซึ่งจะมีกิจกรรม มีพิธีกรรม มีพฤติกรรม ของอริยชน มีจารีต ประเพณี มีวัฒนธรรม มีกลไกของสังคม มีบทบาทลีลาของสังคม มีจักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว นางแก้ว แก้วมณี คหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว มีจริงๆ แล้วคุณต้องเข้าใจสภาวะ ธรรมาธิษฐาน ของจักรแก้ว คืออะไร ช้างแก้วคืออะไร ม้าแก้วคืออะไร แม้แต่นางแก้ว แก้วมณี คหบดีแก้ว ปริณายกแก้วก็ตาม ก็มีสิ่งเหล่านี้จริง

ตอนนี้ในกลุ่มสังคมพวกเราก็มีรูปร่าง มีสภาวะก่อเกิดขึ้นอยู่ คนมีญาณ มีปัญญา มีตาทิพย์ มีธรรมจักษุ ย่อมรู้ ย่อมเห็น ย่อมแจ้ง ในสิ่งที่เกิดจริง มีจริง เป็นจริงนั้นๆ ในคำสอนของ พระพุทธเจ้า ที่สอนว่า สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา สจิตตปริโยทปนัง ก็สอนในนัย ที่จะให้ละกิเลส ซึ่งอาตมาได้ สรุปมาแต่ต้นแล้วว่า นั่นคือบาปที่แท้จริง ให้ฆ่า ให้ดับ ให้ไม่เกิดอีก ให้กิเลสนั้น ตายจนไม่มีในแต่ละคนๆ แต่จะมีกุศล จะยังกุศลให้ถึงพร้อม จะขวนขวาย จะไม่สันโดษในกุศล จะสร้างกุศล เป็นการสร้างสรรเสียสละ อยู่ในสังคมนี่ ต่อไปด้วย จิตที่บริสุทธิ์ขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นๆๆๆๆๆ จนถึงบริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีกิเลสเหลือจริงๆ แม้แต่ทำกุศล ก็ไม่มีกิเลสที่จะเป็นอุปกิเลส ที่ยังไปหลงยินดีในกุศล หรือไปหลงติดกุศลว่า เป็นเรา เป็นของเรา จะสูงสุดถึงปานฉะนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นคนไม่ดี เป็นคนมีดี ดีมาก มีดีเยอะ แต่ว่าไม่ได้หลงดีเป็นของเรา ที่จริงอีก ก็เป็นของท่านผู้นั้นนั่นแหละ คนอื่น แย่งไปไม่ได้หรอก ปล้นก็ไม่ได้หรอก แต่ใจในใจที่ท่านได้ฝึก ได้ปรือ ได้ปฏิบัติแล้วจริงนี่ ในใจแท้ๆนี่ ไม่ได้ติดยึดว่าเป็นเรา เป็นของเราจริงๆ ต้องฝึก ผู้นั้นรู้เอง ของตนเอง เป็นตถตา มันเป็นเช่นนั้นได้เอง เป็นสยังอภิญญา เป็นของผู้นั้นเอง ทำได้เอง เป็นเอง เป็นอัตโนมัติ ของตนเอง ไม่มีคนอื่นมาทำให้ท่าน แล้วก็ไม่มีใครรู้เห็นของท่านได้ง่ายๆ สัจจะนี้โกหกคนอื่นได้ คนนั้นก็เป็น คนโกหก ถ้าไม่ใช่การโกหก เป็นของจริง คนนั้นก็เป็นของจริงของผู้นั้น คนที่ปฏิบัติธรรมมาสูง สูงส่งขึ้น ยังจะมาโกหก ในสิ่งที่สูงส่งอย่างนี้ มันก็ไม่ถูกสัจธรรม ความจริง มันเป็นคนต่ำมากต่างหาก ที่มาโกหกในสิ่งที่สูง คนที่สูงไปโกหกสิ่งที่สูง มันเป็นไปได้อย่างไร คนที่โกหกสิ่งที่สูง ก็คือคนที่ต่ำมาก คนที่สูงจะไปกล้าโกหกสิ่งที่สูง ได้อย่างไร เพราะย่อมรู้สิ่งที่สูง สิ่งที่ต่ำ สิ่งที่น้อย สิ่งที่มาก

เพราะฉะนั้น คนจะสูงจะไปโกหกสิ่งที่สูงๆ ถ้าเผื่อว่า ยังเป็นคนที่สูง แต่ยังมีเศษความชั่ว ก็คงจะโกหกก็น้อยๆ หรือสิ่งที่ต่ำๆ ไอ้สิ่งที่หยาบ ไอ้สิ่งที่ใหญ่ ไอ้สิ่งที่มโหฬาร สิ่งที่วิเศษ จะไปกล้า ละลาบละล้วงเหรอ เพราะรู้คุณค่า รู้บาป รู้บุญของมันอยู่ สิ่งสูงมันไปทำชั่ว ทำกับสิ่งสูง มันก็บาปหนัก เรื่องอะไรจะไปกล้าทำ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องศึกษาดีๆ จริงๆแล้ว เราจะรู้ว่า คนย่อมมีค่าของคน คนย่อมมีสัจจะของคนกำกับ คนจริงที่สูงจริง ก็ย่อมมี ความบริสุทธิ์ที่จริง คนไม่จริง ก็ย่อมไม่สูงจริง ก็ย่อมไม่มีความบริสุทธิ์ที่จริง มันก็เป็นสัจจะ อยู่อย่างนั้น

อาตมาก็ได้สาธยายเรื่องที่จริงทั้งหลายแหล่ในวันสำคัญ คือวันมาฆบูชานี้ ให้แก่พวกเราได้ฟัง ก็ขยายหลายๆอย่าง ที่กว้างออกไปมาก และ อาตมายืนยันกับพวกคุณเองนี่ เป็นฐานรองรับ เพราะฉะนั้น ใครตั้งใจฟังแล้ว มีบุพเพนิวาสานุสติ ระลึกเกิดญาณ ระลึกไปแล้ว ก็ตรวจสอบ ไปด้วย คุณก็จะมั่นใจ ในสิ่งที่เกิด ที่เป็นที่มีจริงๆ นั้นๆยิ่งขึ้น อานิสงส์ในการฟังธรรม จะเกิด สำหรับผู้ที่มี บุพเพนิวาสานุสติ แล้วเกิดญาณ แล้วก็มีจุตูปปาตญาณ รู้ความเกิด ความดับ รู้กิเลสเกิด และรู้ว่าเราได้ฆ่ากิเลสดับ หรือกิเลสลดละ มีจริงมากหรือน้อย อะไรต่ออะไร แค่ไหนจริง บางจุดบางอัน คุณได้ถอนอาสวะ เกิดญาณในการถอน อาสวะ เป็นอาสวักขยญาณจริง

ในการฟังธรรม นี่เตวิชโช ต้องใช้ด้วย ประกอบเสมอแหละ โดยอัตโนมัติ คุณว่า คุณไม่ได้รู้สึกว่าได้ระลึก ก็ระลึก อาตมาพูดไปนี่ เพราะอาตมารู้อยู่ว่า วิธีพูดให้พวกคุณฟัง เพื่อให้คุณระลึกนี่ ทำอย่างไร อาตมาว่าอาตมาเจตนาพูดให้คุณเกิด เตวิชโช ได้ระลึก ได้มีบุพเพนิวาสานุสติอยู่เสมอ โดยที่คุณเอง บางคนไม่รู้ว่า อาตมาพูดอย่างนี้ เพื่อจูงนำ ให้คุณมี บุพเพนิวาสานุสติ ให้มีสติ ระลึกย้อนความเดิม ระลึกย้อนสิ่งที่ผ่านมา แต่อาตมาพูดนี่ คุณนึกออกไหมว่าจริง ที่อาตมาพูดนี่ ใช่ คุณย้อนระลึกเอง เราทำมาอย่างนั้น เราผ่านมา มีอะไรๆบ้าง คุณจะได้ระลึก ใช้เตวิชโช โดยอาตมานำพาให้คุณใช้ แม้จุตูปปาตะ การเกิด การดับ กิเลสเกิด กิเลสดับ คุณก็มีญาณเท่าที่คุณมี ตรวจสอบ มันมีจริงไหม ไม่มีจริงไหม คุณฟังไป คุณก็ตรวจสอบไป การสอนธรรมะ หรือว่าการแสดงธรรมะ มีสัจจะ รองรับ มีของจริงรองรับ มีญาณเกิดอย่างนี้ๆ มันก็เป็นการแสดงธรรมที่ดีแล้ว ถ้าแม้ยังบกพร่อง ยังไม่เก่งกว่านี้ อาตมาก็จะพยายามเก่งกว่านี้ จะพยายามพากเพียรให้ดีกว่านี้อีกต่อไป ขอสัญญา ถ้ายังไม่ตาย จะพยายามอย่างยิ่ง เพื่อคุณๆทั้งหลายจะได้เจริญ นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ จะได้เจริญ จะได้พัฒนา อาตมาไม่อยากเห็นพวกคุณทุกข์เลยจริงๆ ไม่อยากเห็นพวกคุณทุกข์ ปรารถนาอย่างยิ่ง อยากเห็นพวกคุณเจริญ แต่ แหม ทำไมดื้อจัง จริงๆ ไม่ดื้อเอาเท่าไหร่

เพราะฉะนั้น ก็ก่อนจะจบ ก็ขอกันอย่างหนึ่ง ได้โปรดอย่าดื้อกับอาตมามากนักเลย แล้วก็จะได้ พากันพ้นทุกข์จริงๆ ในวันสำคัญอย่างนี้ ขอกันนิดเดียว เอ้า เอวัง

สาธุ


ถอด โดย นาคดงเย็น จันทร์อินทร์ ๒๗ มี.ค.๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย เพียงวัน มั่นรักวงศ์
พิมพ์ โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา
FILE:2327B.TAP