บรรลุธรรมด้วยสันโดษ
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๙
ณ พุทธสถานสันติอโศก หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑

การสงบ หยุด นิ่ง เฉย อย่างพวกที่เคยทำสงบแล้วหยุดเฉย นิ่ง ไม่มีอาการอะไรเลย นิ่ง ดับ เป็นอสัญญีด้วยซ้ำ แล้วมันก็รู้สึกว่า โอ๊ มันว่าง มันเบา มันไม่มีอะไร ดีเหลือเกิน ถ้าคุณมีวิจัย น้อยหนึ่ง ติดอร่อย และมันชวนติดด้วยนะ มันชวนติด ขนาดไม่ต้องถึงอสัญญีหรอกคุณ ขนาดที่หรี่ๆ หลับๆลงไปหน่อยหนึ่งเท่านั้น น่ะ พอหลับลงไปแล้วยัง โอ้โห ฟุ้งซ่าน ฝันเฟื่อง อะไรตั้งเยอะตั้งแยะ แต่มันไม่ต้องไปรับรู้อะไรมากมาย ไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรไป ไปตามเรื่อง ตามราว แล้วเราก็ไม่ติดยึดอะไรมากมายนัก ในอารมณ์นั้นน่ะ ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไร รู้ว่าฝันคือฝัน หรือว่าไอ้กิเลส มันก็ไปตามกิเลส เราก็ไม่เอามาเป็นจริงเป็นจัง เพราะว่ามันฟุ้งซ่าน มันก็เป็นเรื่อง ของความนึกคิดของจิต มันก็ไปของมัน แล้วคุณก็ไม่ยึดไม่ถืออะไร คุณก็สบาย นอนฝันไป ก็ช่างมัน ถ้ายึดติดมากๆ ประเดี๋ยวก็ออกมาตามหมัด ตามมือตามร่างตามกาย ดิ้นบ้าง อะไรบ้าง ไปตามเรื่อง แต่ถ้าไม่ดิ้นหรือไม่อะไรแล้ว มันก็เป็นไปตามแต่เพียงอาการของจิต เมื่อไม่ยึดมั่นมาก อาการของจิต ก็อยู่ที่จิต ไม่ออกมาเขยิบขยับ จนกระทั่ง ถึงไม้ถึงมือ ถึงเนื้อ ถึงตัว แล้วคุณก็เบา ก็ชอบใจ นอนบ้างฝันบ้าง ก็ไม่เป็นไร (หัวเราะ) ยิ่งนอนไม่ฝันเลย ยิ่งดับสนิทเลย นอนอสัญญีเลยก็ยิ่ง โอ้โห ทีนี้คุณมันยิ่ง อา-หย่อย น่าดู มันติด ถ้าเราไม่รู้ภพ ไม่รู้ภูมิ ไม่รู้ว่าเราจะติดในภพในภูมิ นั่นเป็นภพของภูมิจิต ที่จิตยึดจิตติดน่ะ ถ้าคุณไม่เข้าใจ อย่างนี้ คุณก็ไปติดไปยึดอยู่กับ โอ๊ ก็ซวยนั่นแน่ะ แต่ถ้าเรารู้ซะ แล้วเราก็ไม่ไปหลงใหล เสพติดอย่างนั้น เราก็หัด รู้แล้วก็หัดเพียรออก ไม่ใช่ง่ายเลย

เพราะฉะนั้นคนที่ติด อย่าว่าแต่ติดภพติดภูมิอย่างที่ว่านี่ ยิ่งไปเจตนาสร้างเอาเลย นั่งหลับตาเข้า เป็นรูปฌาณ อรูปฌาณ พอทำชำนาญแล้วนี่นะ มันไม่ต้องไปนั่งอยู่กับที่หรอก ยืนอยู่ที่ไหน มันก็ทำได้ อย่างพวกสายธรรมกาย เขาบอกเกาะรถมงรถเมล์ ก็ให้อยู่ที่เหนือสะดือ หนึ่งนิ้วนะ อยู่กับลูกแก้ว สว่าง แหม รถจะขับไปถึงไหนก็อยู่กับลูกแก้วเฉย ไม่รู้เรื่อง ตาบางทีนี่ มองอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง สะกดจิตตัวเอง อยู่กับลูกแก้วนี่นะ มันอร่อยไปอย่างนั้น ใครเคยเล่น สะกดจิตก็ดี ใครเคยเล่นฌานก็ตาม เหมือนกันน่ะ เล่นฌานหรือเล่นสะกดจิตก็ เหมือนกัน อยู่ในภพ อยู่ในภูมินั่นน่ะ สงบ มันก็มีจุดเกาะ จิตเกาะอันนั้น พระพุทธเจ้าบอก อย่างนี้ ก็ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่สวรรค์ ถึงขนาดอรูปฌาน ถึงขั้นเนวสัญญานาสัญญา อย่าว่าแต่ อากิญจัญญายตนะ แบบที่เขาอธิบายกันแบบฤาษีเลย ท่านก็บอก โอ อย่างนี้ไม่ใช่ทาง อย่างนี้ ไม่ใช่จิตหลุดพ้นที่แท้ ท่านก็ไม่เอา เพราะมาเอามารู้ๆนี่ ไม่ติดอะไรเลย ภูมิใดภพใดก็ไม่ติด อยู่กับปัจจุบันธรรม ขณะนี้ประสบด้วยตาก็รู้รูปเลย มีอัสสาทะมั้ย มีการเสพกิเลสมั้ย ไม่มี ก็...ว่าไปเลย จะแสงสี แดง เขียวอะไรก็ได้ ค่อยๆอนุโลมมาเป็นขั้นเป็นตอน ถ้ามันแรงมาก จนเราสู้ไม่ได้ ก็ถอยก่อน ถ้าสู้ได้ก็สู้ไป จนกระทั่งเราสามารถไม่มีกิเลสได้ ก็สบายไป นี่มันเป็น ความลึกซึ้ง ซับซ้อนอยู่อย่างนี้นะ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้แม้แต่อสังสัคคะนี่ ไม่ได้ง่ายๆเลย ไม่มีสวรรค์ ไม่เป็นสวรรค์ ไม่ปรุงสวรรค์ ไม่สร้างสวรรค์ ไม่ประกอบสวรรค์ ไม่ติดในสวรรค์ แต่มีสวรรค์อาศัย คำว่าอาศัยนี่แหละ มันมีภาษาอยู่ ๒ คำว่า อาศัยนี่หมายความว่า เราจะต้องอยู่ ที่จริงอาศย นี่ ศย ศะยัง แปลว่าตัวเรา มันเป็นตัวอยู่ เรายังมีตัวมีตน เรายังมี รูปนามขันธ์ ๕ เราก็มีศยัง อาศย อาศย อาศยัง อาศัยนี่ แต่เราไม่อาลัย

อาลัยเขาก็แปลว่า ที่อยู่เหมือนกันนะ มาแปลเอาไปเอามา อาศัยก็ที่อยู่ อาลัยก็ที่อยู่ อาลย เรา...แล้วความหมายพวกนี้ เรามาแยกออกอีกทีหนึ่ง อาลย เราไม่มีอาลย อาลัยเราก็รู้ ความหมายไทยๆ เราก็แปลกันมานานแล้ว เราไม่อาลัย เราไม่อาวรณ์ เราไม่เกี่ยวเกาะ เราไม่โหยหา มันไม่มีก็แล้วไป มันมีก็มี มีก็เป็นแต่เพียงมี เป็นสยัง เป็นแต่เพียงตัวตน ตัวตนที่ว่านี้ เป็นตัวตนที่มันยังมีรูปนามขันธ์ ๕ มันยังเป็นสอุปาทิเสสะ มันยังเป็นสอุปาทิเสส มันยังมีสิ่งเหลือ อุปาธิ ก็คือ ขันธ์ ๕ มันยังมีขันธ์ ๕ เหลือ สะ น่ะก็แปลว่ามี สะ-อุ-ปา-ธิ-เส-สะ อุทาธิก็คือ ขันธ์ ๕ เสสะ ก็คือเหลือ มันเหลืออยู่นะ ขันธ์ ๕ มันเหลือ ก็เท่านั้นเอง เข้าใจตรงนี้ ให้จบให้ได้ ว่า เออ มันยังเหลือขันธ์ ๕ ก็ให้ขันธ์ ๕ อาศัย จิตก็อาศัย อาศัยระดับไหนได้ก็อาศัย อาศัยระดับหยาบได้บ้างก็เอา แค่นี้ก็ได้ ถ้าหยาบกว่านี้เราสู้ไม่ไหวเราก็รู้ตัว อย่างอาตมา จะอนุโลมเกินตัวนี่ อาตมาก็ไม่เอา รู้ว่าถ้าอนุโลมเกินไปกว่านี้แล้ว อาตมาสู้ไม่ไหวหรอก อาตมาก็ไม่เอา ไม่อวดเก่งละ อนุโลมไปขนาดนี้ได้ เอา อย่าง อาตมาอนุโลมอยู่ขณะนี้ หลายๆอย่าง ที่ยกตัวอย่างมาอธิบายให้คุณฟัง อาตมาว่า อาตมาอนุโลมได้ก็เอา อนุโลมกว่านี้ ไปอีกได้มั้ย ไม่ได้ไม่เอาละ ไม่เอา อนุโลมไปอีก ไม่เอา

ถ้าเผื่อว่าอาตมาช่ำชองหรือถนัด อาตมาก็ทำ อะไรไม่ถนัดอาตมาก็ไม่ทำ ถนัดนี่ หมายความว่า รู้เท่าทันมันมากพอที่จะเอามาใช้กับพวกเรา แล้วอาตมาก็รู้กลไก มันเหมือนกับ ช่างไฟฟ้า เราจะอนุโลมเอาไฟฟ้ามาใช้ เรารู้ ไฟฟ้านี่เราเก่งพอสมควรน่ะ เราจะเอามาใช้กับเรา เพราะว่า เราถนัด เราสามารถแก้ไข สามารถรู้ทัน สามารถไม่เอาให้เราตายได้หรอก เราก็เอามาใช้ แต่เราไม่รู้เลย วิชาความรู้ทางไฟฟ้า เออ อย่างเพิ่งเอามา เราไม่รู้ท่ามันเลย เดี๋ยวมันก็เอา เราตาย เท่านั้นล่ะ เราก็ไม่เอามาใช้ เอามาใช้เราก็ตายเท่านั้น เราไม่มีปัญญารู้เท่าทันมัน อย่างนี้เป็นต้น

อันใดที่อนุโลมได้ อาตมาอนุโลม อาตมาถนัด รู้เท่าทันในศิลปะ ส่วนศิลปะ ด้านนี้ๆ ส่วนทางด้านกีฬา อาตมาไม่ถนัด อาตมาก็ไม่เอา อนุโลมเท่าที่เอาล่ะ จะเป็นหนังเรื่อง แด่ครูที่รัก เป็นหนังมีรักบ้ง รักบี้มาขนาดนั้น อาตมาเอา อนุโลมเอาเรื่องราวของรักบี้มา ขนาดนี้ อาตมาพอที่จะพูดกับพวกเราได้มั้ย พอที่จะทำให้เราติดหรือไม่ติดได้มั้ย อาตมาเห็นว่า ขนาดนี้ได้ อาตมาก็เอา อย่างนี้เป็นต้น เอามาใช้กับพวกเรา ในเรื่องอะไรหลายๆเรื่องที่ อาตมาคำนวณประมาณแล้วว่า มันพอเป็นไป เอามาใช้ได้ก็เอา มันมีเรื่องนั่นเรื่องนี่บ้าง มันเป็นเหมือนธรรมชาติ ที่เราจะได้พัดผ่าน เป็นเครื่องพิสูจน์ บางอย่างก็คุณต้องสัมผัสดูบ้าง สัมผัสแค่นี้ เป็นเครื่องพิสูจน์ เป็นแบบฝึกหัด ถ้าคุณเอง คุณเผลอๆ โดยไม่ต้องบอกให้คุณรู้ตัว สัมผัสพั้บ เกิดหรือไม่เกิดกิเลส คุณจะรู้เอง ถ้าตั้งใจไว้ก่อน มันก็สู้ได้ ถ้าไม่ได้ตั้งใจนี่แหละ เล่นทีเผลอนี่แหละ ไม่ได้รู้ว่า มีหรือไม่มี กิเลสเกิดหรือไม่เกิด แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่หยาบคาย จนเกินไป หรือ เนิ่นนานจนเกินไป พอเป็นพอไป พออาศัยใช้เป็นเครื่องทดสอบบ้าง ก็เอามีบ้าง อย่างพระพุทธเจ้า พาเจ้าชายนันทะไปชมนางงามอะไรอย่างนี้เป็นต้น ท่านแน่ใจนะ ว่าจะดึง เจ้าชายนันทะนั่น ออกจากนางงามได้ ไม่ใช่ไปจะชมนางงาม แล้วจมไปกับ นางงามเลย ท่านก็ไม่เอาเหมือนกันน่ะ แต่ท่านแน่ พระพุทธเจ้าท่านมีความสามารถ ท่านก็อนุโลมได้ ท่านก็พาไป เสร็จแล้วก็ เออ เสร็จ ท่านเก่ง พระพุทธเจ้าท่านเก่ง แล้วท่านก็ได้ผลเลย อาตมา เอามาให้คุณผ่าน

แหม มันก็ยังไม่เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเอาเจ้าชายนันทะไปดูนางงาม ถามไถ่ ประเดี๋ยว เจ้าชายนันทะก็เป็นพระอรหันต์ ไอ้เราก็ (หัวเราะ) ยังอยู่อย่างนั้นแหละ ให้ไปดูนางงาม ก็ นางงามจะเอาไปกินซะ ซะแน่ (พ่อท่านหัวเราะ) อะไรอย่างนี้ก็ยังไม่ได้ หลายอย่างอยู่ ก็เอาอะไรๆมาดู ผ่านไปผ่านมาอะไรต่างๆอย่างนี้พวกนี้ ก็ใช้ไปนะ ซึ่งวิธีการนี้ อาตมาเล่า ของตัวเอง ที่ทำกับพวกคุณให้ฟังด้วย คุณจะได้เข้าใจ บางคนเข้าใจไม่ได้ อาตมาบางอย่าง ไม่เล่า บอกแล้วว่า เล่าก่อนไม่ได้ บอกก่อนมันรู้ตัว แล้วมันก็ไม่เข้าท่า ต้องไม่ให้รู้ตัว ทีเผลอ นี่แหละสำคัญ ได้ แล้วคุณก็ได้เช็ค ได้สัมผัส อะไรๆที่อาตมาใช้มาแล้วนี่ เล่าระลึกย้อนไปดู คุณจะรู้สึกว่า เออ อาตมาทำอันนั้น กับพวกคุณ ไม่ใช่ทำโดยไม่มีความหมาย ไม่ใช่ทำโดย ไม่เข้าใจอะไรนะ

ก็สิ่งที่อาตมาพูดเรียกว่ากถา สิ่งที่อาตมาเอามาทำกับพวกเรา เรียกว่าวัตถุ วัตถุแปลว่าเรื่องราว มีกถาวัตถุ กถาแปลว่าคำพูด กถาวัตถุ คำพูดก็ดี เรื่องราวก็ดีที่เอามาใช้ กับพวกเราอยู่นี่ เป็นไปเพื่ออัปปิจฉะมั้ย ถ้าอาตมาพูดกับพวกคุณอยู่ หรือเรื่องราวอะไร ที่อาตมาเอามาเกี่ยวข้อง กับพวกคุณอยู่ เป็นไปเพื่อความมักน้อย นี่ พิสูจน์ให้ดี พาคุณมักน้อย เน้นไปหามักน้อย เน้นไปในสันโดษ หรือพยายามทำให้คุณ สงบระงับ วิเวก ทำให้คุณ ไม่ติดสวรรค์ ไม่ประกอบ สวรรค์ ไม่หลงสวรรค์อยู่ ทำให้คุณได้เป็นคน ปรารภความเพียร วิริยารัมภะ ขยันอยู่นะ ไม่ได้ขี้เกียจ ขี้คร้าน ไม่ได้กลายเป็นคนสิ่นไร้ไม้ตอก อย่างที่อาตมา ยกตัวอย่าง เมื่อวานนี้ว่า ยกตัวอย่างถนัดดีนะ ชัดดีว่า อย่างสายนั่งนี่ เขาไม่ได้ปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ เพราะฉะนั้น การงาน ที่จะต้องอาศัย ที่จะต้องเป็นคน ที่จะต้องมีการงานของหมู่มวล ผู้ที่อยู่ในพุทธบริษัท เราก็ทำด้วยกันนี่แหละ สพหรมจรรย์นี้ เรามีการงานต่ำ การงานสูง การงานน้อย การงานใหญ่ เราได้ทำกันมั้ย ถ้ามันเป็นอยู่ดี มันก็ไม่เสียหาย มีการงาน อันไม่มีโทษ มีการงานอันเป็นสิ่งที่ มันจะต้องอาศัย ไปในมนุษย์ การงานที่เป็นอกุศล เราก็ไม่ทำกันแหละ ทุจริตกรรม เราก็ไม่ทำกันแหละ มิจฉาชีพ เราก็ไม่ทำแหละ อย่างนี้เป็นต้น มันมีอยู่มั้ย

อาตมาก็ว่า อาตมาพาทำอยู่อย่างมีความขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร มีการงาน มีมรรค ทั้งหมดครบ องค์มรรคเป็นมรรคคังคะ มีศีลมั้ย เป็นไปเพื่อศีลมั้ย เป็นไปเพื่อสมาธิมั้ย เป็นไปเพื่อปัญญา เป็นไปเพื่อวิมุติ เป็นไปเพื่อ วิมุติญาณทัสสนะมั้ย ถ้าอาตมาได้พูดกับ พวกคุณอยู่ ได้เกี่ยวข้อง มีเรื่องราวอะไรให้มาเป็นไป กันอยู่ ที่เป็นไปด้วยกถาวัตถุ ๑๐ อย่างนี้ อาตมาสอนไม่ผิดหรอก อาตมาพูดไม่ผิด อาตมาพากันไป ไม่ผิดหรอก แน่ใจ อาตมาแน่ใจ เพราะฉะนั้น พวกเราก็ดี เราจะไปพูดก็ดี เราจะไปกระทำกิจต่อไป เป็นการงาน เป็นโน่นเป็นนี่ก็ดี ก็ให้คำนึงถึง หลักสิบประการนี้ เราทำงานการ อาชีพเป็นไปผิดศีลมั้ย เป็นไปเพื่อขัดเกลา ให้เป็นสมาธิมั้ย เป็นไปเพื่อการเกิดญาณปัญญา หรือญาณัทสสนะวิเสส เป็นไปเพื่อปัญญา อธิปัญญานั่นแหละ เป็นไปเพื่อ วิมุติมั้ย หรือสุดท้ายก็ วิมุติญาณทัสสนะสมบูรณ์

ถ้าเป็นไปเพื่อ พวกนี้อยู่ ก็ไม่มีปัญหา หรือเป็นไปเพื่อกถาวัตถุ ๕ เป็นไปเพื่อความมักน้อย ความสันโดษ ความสงบระงับ เป็นไปเพื่อความไม่หลงสวรรค์ ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกับกิเลส เป็นไปเพื่อ ความขยันหมั่นเพียรอยู่ สิ่งเหล่านี้ ก็ใช้ได้ สิ่งเหล่านี้ก็ถูกต้อง ตามทางที่พระพุทธเจ้า ท่านพาเป็น อย่างนี้เราก็เอากถาวัตถุ ๑๐ เป็นหลักหนึ่งมาลองขยายความ มาอธิบาย แล้วก็มาใช้กับชีวิตเรา เอาเรื่องนั้นสูตรนั้นหัวข้อนี้ เอามาเรื่อยๆ หมุนเวียนไป ทดสอบไป แล้วมันจะลงตัว กินกันหมด สอดคล้องหมด มันไม่ค้านแย้งกันหรอก มันจะเป็นไป หนึ่งเดียวกันไป เอาละสำหรับวันนี้ ก็จบลงเพียงเท่านี้

คนฟัง สาธุ


 

------------------------------------- .pa

ก็ปล่อยให้พวกเราทำงานกันไป พวกเรานี่ทำงานกันได้ อาตมาแน่ใจ แล้วพูดมานานแล้วว่า แม้อาตมาจะตายไปวันนี้ อโศกไม่จบ อโศกต่อเนื่อง เพราะว่าเกิดแล้ว อาตมาเคยพูดคำนี้ มาปีไหน จำไม่ได้ ที่ได้แน่ใจโดยรอบโดยสัญญาณ โดยญาณของอาตมา เห็นสัญญาณของมัน ชัดว่า มันมีวงจรเกิดแล้วว่าอโศกนี่ เกิดแล้ว ไม่สูญ อาตมาตายวินาทีนี้ก็ไม่สูญ ต่อไปเท่าที่ มันจะมีเนื้อ มันมีเนื้อมีหาเท่าไหร่มันก็ต่อไป คนที่มั่นใจ คนที่เห็นดิบเห็นดี คนที่มีสัจจะ ในตนเอง หยั่งถึงญาณ หยั่งถึงสัจจะได้นั้น มันเป็นของจริง แล้วมันไปแน่ มันไม่เอาหรอกอื่น มันก็เอาอันนี้แหละ แล้วมันจะมีแรงเท่าที่มันมีจริง มันมีจริงเท่าไหร่ มันก็มีแรงเท่านั้น แล้วมันก็เจริญไป เท่าที่มันมีฤทธิ์ มีแรง หมดฤทธิ์หมดแรงมันก็จบ ศาสนาพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า จะห้าพันปี ก็เพราะฤทธิ์แรงของพระสมณโคดม ศาสนาของพระพุทธเจ้าบางองค์ เป็นถึงล้านปี อยู่ถึงห้าแสนปี อยู่ถึงแปดหมื่นปี เป็นฤทธิ์เป็นแรงของพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ไม่เท่ากัน มีฤทธิ์แรงเท่านั้น ๆ แล้วก็ประกอบไปด้วย ไม่ใช่ฤทธิ์แรงของพระพุทธเจ้า อย่างเดียว ฤทธิ์มีแรงของมนุษย์ด้วย ฤทธิ์แรงขององค์ประกอบมนุษย์ มนุษย์รับไม่ได้ ของพระพุทธเจ้า ดีจริง แต่มนุษย์รับไม่ได้ มันก็สั้น มันสั้นเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมนี่มีฤทธิ์แรงห้าพันปี ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธเจ้า ไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ไม่ใช่ พระพุทธเจ้าองค์นี้เก่งด้วยนะ พระพุทธเจ้าสมณโคดมนี่ เก่งด้วย แต่มนุษย์มันแย่ แย่จริงๆ เลย มนุษย์มันแย่จริงๆ พูดก็พูดเถอะ อาตมานี่เยี่ยมจริงๆ เพราะคนทุกวันนี้นี่ แหม แต่ละคนๆ กว่าจะเข็นมา หลุดรอดได้นี่ อื้อหือ คนหนึ่งมีค่าเท่ากับ ล้านคน จริงๆ คนคนหนึ่งนี่ มีค่าที่จะหลุดรอดมาได้นี่ มีค่าเท่ากับล้านคน มันยากแสนยาก มัน โอ้โห กิเลส ไอ้สิ่งสังขาร สังขารที่หุ้มที่พอก ที่มันหนา มันเตอะ มัน โอ๊ย อาตมาถ้าไม่ใช่ โพธิสัตว์อย่างนี้ อาตมาก็คงคิดว่า อาตมาหยุด แต่อาตมาเอง ก็มันไม่มีจิตท้อนะ ไม่มีจิตหยุด แต่อาตมาประมาณดูแล้วว่า อาตมาเห็นใจ ผู้ที่ทำงานศาสนา อื่นๆ คนอื่นๆ มันทำไปยาก มันทำไม่ไหว มันหนัก มันหนักจริงๆ มัน โอ้โฮ จะต่อจะสู้ เขาจะต้านจะโต้ เขาจะเอาตายเอาเป็น เขาไม่เอาเป็นหรอก เขาจะเอาตาย เขาจะเอาให้เรา มันดับเครื่องไปเลย เขาจะหยุดเราให้ได้ เขาจะหยุดเราให้ได้ เขาจะ คือโลกในโลกีย์นี่ มันก็จะหยุดธรรมะ มีอะไรขวางคอมัน มันก็จะหยุดแหละ มันยิ่งกว่าทางธรรมด้วย ทางธรรม เรายังอภัยนะ ทางธรรมเรายัง ไม่ไปเที่ยวได้ทะเลาะเบาะแว้ง เขาจะโต้ จะต้านอะไร ทางธรรมเราก็ยังมี การปล่อยการวาง เออ...เรื่องของเขา บาปใครบาปมัน มีวิบากใครวิบากมัน เราก็ยังวางนะ แต่ทางโลก มันไม่ได้นะ ไปเสียผลประโยชน์ ไปต้านไปโต้เขา เขาจะเอาตาย เขาจะเอาตาย ถ้าประมาณไม่ดี ไปยั่วยวน เกินขีดเกินเขต โอ๊ย ตาย แล้วเขาหมู่ใหญ่กว่า จริงๆนี่ เราต้องรับ ยอมรับว่า เขาหมู่ใหญ่กว่า โลกียะนี่ หมู่ใหญ่หมู่โต อำนาจใหญ่ ทั้งทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง อำนาจบาตรใหญ่ เขามีพร้อมหมด

เพราะฉะนั้น เขาเองเขาเขี่ยเราเมื่อไหร่ก็เขี่ยได้ หลายคน เขาพูดกัน เขาบอกว่า เรากำลังทำงาน แบบเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง อาตมาไม่เห็นอย่างนั้นเลย อาตมาเห็นว่า เอาไม้จิ้มฟัน ไปงัดไม้ซุง ไม่ใช่เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุงเขา ทุกวันนี้น่ะมันยาก มันหนัก แต่อาตมา ก็ไม่ได้เคยท้อ จิตใจยังไม่เคยท้อ เป็นแต่เพียงรู้สึก หนัก หนัก มันก็หนักก็เหนื่อย เหนื่อยก็ไม่ว่าหรอก เหนื่อยก็พักผ่อนเอา หนักก็แบก ก็หามไป เมื่อเรารักจะแบก จะหามแล้ว ก็ไม่มีปัญหาอะไร

เพราะฉะนั้น การที่ได้มาปฏิบัติประพฤติแล้ว ก็แหวกวงล้อมของโลกียะที่แสนหนาเตอะ และ เน่าหนัก ฤทธิ์มาก แหวกออกมาได้นี่ มันไม่ใช่เรื่องง่าย อยู่ท่ามกลางกรุงเทพฯ นี่คุณจะเห็นได้ ท่ามกลางกรุงเทพฯ นี่กิเลสทั้งนั้น กองยิ่งกว่าภูเขา อาตมาเคยอธิบาย พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ผู้ที่เดินไป ผ่านทะลุภูเขา ทะลุกำแพง เหมือนเดินในที่ว่าง ภูเขาหรือกำแพงที่ว่านี่ มันแข็ง ยิ่งกว่าอะไร ภูเขามันโตมันใหญ่ มันหนา ยิ่งกว่าอะไร ภูเขาของกิเลส กองของกิเลส แต่ผู้ที่หลุดล่อนได้ ผู้ที่ปลงวางได้ มีฤทธิ์มีปาฏิหาริย์จริง ก็เดินผ่าน เดินทะลุ เดินไปมาได้ เหมือนเดินอยู่ในที่ว่างจริงๆ เหมือนเดิน...มีปาฏิหาริย์ อย่างนั้น สำหรับศาสนาพุทธ ไม่ใช่ไปเดิน ทะลุหัวชนกำแพงออกไป ยังไม่เคยเห็น ในประวัติศาสตร์ ก็ไม่มี ในตำนาน พระไตรปิฎกก็ไม่มี ที่มีใครมีปาฏิหาริย์ เดินทะลุภูเขา ออกไปเลย ไม่มี เอาหัวยันกำแพงออกไป ไม่มีหรอก ไอ้นั่น มันเป็น ภาษาธรรมะ เป็นภาษา บุคคลาธิษฐาน แล้วเป็นภาษา ธรรมาธิษฐาน มันเป็นอย่างนี้ ส่วนใครจะมีฤทธิ์มีเดช ทะลุภูเขา ไปเฉยๆ ก็ทะลุไปเถอะ อาตมาไม่ได้ไปยิ่งไปใหญ่ อาตมาไม่เห็นว่า มันน่าพิสดารอะไรนักหนา แต่มันก็พิสดารตามภาษาล่ะ ว่าเก่งจริงๆ เหมือนกัน อาตมาก็ไม่ว่าไม่เก่ง เดินทะลุภูเขา ไปได้จริงๆ มันก็เก่ง ไม่มีปัญหาอะไรหรอก คนจะไปเดินได้ง่ายๆเหรอ อาตมาก็ยังไม่เคยเห็น ใครเดินได้สักที เหมือนกัน มันเดินได้ก็เก่ง เดินทะลุภูเขา เดินลุย แหม เดิน พั้บ พั้บ เดินภูเขา ไม่ต้องขึ้นข้างบนหรอก เดินลุย...ผลุบ... ไปออกทางโน้นเลย ก็เก่งน่ะซินะ ไม่เก่งได้อย่างไร

แต่อาตมาเห็นว่า มันไม่เป็นประโยชน์อะไรหรอก มันก็เป็นประโยชน์ตัวเองน่ะแหละ รวยลาภ รวยยศ รวยคนนับถือ เท่านั้นเอง อาตมาไม่นะ ไม่หลงจริงๆว่า จะต้องมามีคนนับถือ มารวยลาภ รวยยศ มารวยสรรเสริญ รู้กันดีอยู่ว่า อาตมาทำงานนี่ มีคนจริง ที่มาสรรเสริญนั่นน้อย น้อยไม่ว่า แม้แต่ในพวกเราเองนี่ ยังสรรเสริญ พอมาใหม่ๆสรรเสริญ พอต่อๆไปไม่สรรเสริญ อาตมาก็ไม่ได้ น้อยใจอะไร อาตมาถือเสียว่า อาตมาเอง อาตมาไม่มีความสามารถ อาตมาไม่เก่งพอ ที่จะให้คน แม้ใกล้ชิด เห็นอยู่นี่ เอ๊ะ เขาเห็นเราอย่างไรนะ ว่าเราเลวลง เราก็ต้องมาตรวจตัวเอง แก้ไขตัวเอง อาตมาถือว่า เขาเป็นประโยชน์แก่อาตมา เขามองเขาไม่ศรัทธาเลื่อมใส คนที่มาเอาสิ่งที่ดี ถ้าเราไม่ดี เขาก็ต้องไม่ศรัทธาเลื่อมใส มันมีอย่างเดียวเท่านั้นล่ะ คนที่จะมาเอาดี แต่ปัญญา เขาด้อย เขาเห็นผิดเป็นถูก เห็นถูกเป็นผิด เห็นความคิดอาตมาปฏิบัติ ดีจริง แต่เขาเห็นกลับกัน ไปเป็นไม่ดี อ่ะ ก็เป็นได้เหมือนกัน เพราะว่าสภาพหมุนรอบเชิงซ้อนพวกนี้ มันมีเยอะ ก็พยายาม ดูความหมายพวกนี้ ดูความจริงพวกนี้ ให้มันชัดเจน ให้ลึกซึ้งจริงๆ ถึงแก่นถึงที่จริงๆ ก็พยายาม ดูอยู่ แล้วก็ไม่ได้ถือสา ว่าคนเขาจะไม่นับถือ คนเขาจะไม่สรรเสริญเยินยอ ไม่มาพินอบพิเทา อะไร อาตมาว่า อาตมาไม่มีปัญหานะ ไม่มีปัญหา ใครจะพินอบพิเทา ใครจะมา ยกยอปอปั้น ใครจะมายกยอ อาตมาเข้าใจอยู่ว่า อาตมารู้ในกิเลส ตัวสรรเสริญนี้ ของตัวเอง ดีเท่าใด เรายังมีเหลือเชื้ออยู่ ไม่เหลือเชื้ออยู่เท่าใด อาตมาว่า อาตมาพอรู้ ส่วนจะบอก ก็บอกกันยาก ไอ้เรื่องสรรเสริญนี่ บอกกันยาก เพราะแม้ว่า เราบอกว่าเราไม่ ไม่ ไม่ คนอื่นเขามารู้ด้วยเรา ไม่ได้หรอก ในจิตในใจลึกๆนะ ก็ทำอยู่ แต่ส่วนลาภส่วนยศนั้น บางคน ยังข้องใจอยู่เลย ในที่กรรม กิริยาหรือการงาน ที่อาตมาพึงทำนี่ มันมีอะไรต่ออะไรต้องซับซ้อน เพราะเรา ต้องทำงาน เราทำงาน มันก็มีอะไร ต่ออะไร ต่างๆนานา จะว่าไม่มีลาภ มันก็มี จะว่าไม่มียศ มันก็มี จะว่าไม่มีสรรเสริญ มันก็มี จะว่าเราหลงหรือไม่หลง เราก็บอกว่าเราไม่หลง เราไม่ติด ไม่ยึด ลาภเราก็ไม่ได้หลงใหล ยินดีอะไร ยศเราก็ไม่หลงใหลยินดี แต่ว่า...ก็รู้นะว่า อาตมา เหมือนมียศ ว่าเป็นพระผู้ใหญ่ เป็นประธานชาวอโศก เป็นอะไรอย่างนี้เป็นต้น ขนาดนั่งๆ อยู่ทุกวันนี้ นั่งๆก็มีคนมาคอยพัดคอยวีให้ อะไรต่ออะไรต่างๆนานานี่ อาตมาก็ดูมา แต่ไหน แต่ไหนแล้ว เอ๊อ มันดูเข้าทีมั้ย แต่เชิงดีมันก็มีว่า เออ คนมีกตัญญูกตเวที อาตมาไม่ได้ไปใช้ เอ๊ย มาพัดให้หน่อย เขาก็ไม่ได้...ไม่มีใครเขาใช้กันนะ อาตมาออกกระดาก ด้วยซ้ำ บางครั้งบางคราว แต่อาตมาก็วางใจว่า เอ๊ะ เราจะไปกระดากทำมั้ย ในคนที่เขาทำดี เป็นตัวอย่าง อันดีงาม ของมนุษย์ ผู้ใดทำประโยชน์ ผู้มีมาคอยช่วยเหลือเกื้อกูล กตัญญูกตเวที ต่อผู้มีประโยชน์ อาตมาก็ว่า อาตมามีประโยชน์ต่อเขาเหล่านั้น เขาเหล่านั้น ก็มาเกื้อกูล มาพัดมาวี ด้วยใจ ของเขาเอง กตัญญูกตเวที ไม่ได้มีใครบังคับกัน เขาทำด้วยความนอบน้อม ความคารวะ ด้วยความพอใจ อย่างนี้เป็นต้น อาตมายกตัวอย่างให้ฟังน่ะ อาตมาก็ว่าไอ้อย่างนี้ มันก็เหมือนกับ เป็นเจ้าใหญ่นายโต นั่งมีคนคอยพัดคอยวี พระพุทธเจ้าก็มีคนพัด คนวี อย่างพระสารีบุตรนี่ บรรลุธรรมในขณะพัดวีให้พระพุทธเจ้า ใครศึกษาตำนาน ประวัติศาสตร์มา พระไตรปิฎกมาก็รู้ พระสารีบุตรบรรลุธรรม ในขณะที่นั่งพัดให้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสอน ...สอนน้องชายหรือ อย่างไร หือ น้องชาย หรือหลานชาย (พ่อท่านถามคนฟัง)

พ่อท่าน : นั่นแหละ เอาล่ะก็พอเข้าใจ อาตมาไม่แม่นตรงนี้นิดหน่อย ว่าพระพุทธเจ้าสอนใคร แล้วพระสารีบุตรนี่พัดวีพระพุทธเจ้าอยู่ แล้วก็ฟังธรรมไปด้วย แล้วพระสารีบุตรก็บรรลุธรรม ในขณะพัดวี นี่เป็นหลักฐานทั้งนั้น หลักฐานเอามา ไม่ใช่ว่าอาตมาจะยกตน เทียบเท่า พระพุทธเจ้าหรอก เป็นหลักฐานว่า การพัดการวี มันไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องโตอะไร แต่คนมันชอบ มอง ชอบมอง โอ๊ย ศักดินา แหม ทำเป็นใหญ่เป็นโต มีคนคอยพัดคอยวีให้อะไร ต่างๆนานา พวกนี้

ที่จริงไม่ทำน่ะ อาตมาก็ไม่เคยเรียกร้องหรอกนะ ใครมาพัดมาวีให้ก็ไม่เคยเรียกร้องหรอก ไม่ทำก็ไม่เป็นไร หรือจะทำบ้าง อาตมาก็ห้ามด้วยซ้ำบางครั้งบางคราว บางทีบางครั้ง อาตมาก็ห้าม อันนี้ไม่เหมาะนะ ตอนนี้อย่าทำเลย ไม่ดี ก็ดูบางครั้งบางคราว แต่อยู่ด้วยกันเอง ที่นี่ที่ไหน... ที่อย่างนี้ ถ้าจะไปพัด ไปวีอาตมานอกสถานที่นะ อาตมาไม่เคยให้พัดนะ ถ้าอยู่ในที่อย่างนี้ ก็พัดวีกันไปเถอะ ถ้านอกสถานที่ อาตมาไม่เคยให้ไปพัดหรอก ไปพัดนอกสถานที่ มันดูน่าเกลียดจริง มันดูอย่างไรไม่รู้ อาตมาก็ไม่เคยให้ไปพัด แต่อยู่ใน พุทธสถาน อยู่ในอะไรอย่างนี้ ไปรเวทของพวกเราส่วนตัวอะไรนี่ อาตมาก็เอา ก็ทำไป อย่างนี้ เป็นต้น ฯลฯ..

ทีนี้พวกเราก็...เออ...ก็อยากจะมามอบมาให้ผ่านมืออาตมาอะไร ต่างๆนานา ที่จริงเขารู้ๆอยู่นะ เขารู้อยู่ แต่ใจคนเราน่ะมันติดน่ะ แหม ไม่ผ่านมือ มันไม่สบายใจ (หัวเราะ) อะไรอย่างนี้เป็นต้น เขาก็อย่างนั้นแน่ะ อาตมาก็อนุโลมนิดหน่อย แต่ทีนี้ก็แข็งขึ้นอีก ไม่เป็นไร...ดี พวกเราจะได้ แข็งขึ้น ทำไมจะทำบุญ จะต้องผ่านมืออาตมา ก็รู้อยู่ว่านี่งานนี้วงศ์วานนี้ ก็อันเดียวกัน ไม่ต้องผ่านมืออาตมาก็ได้ แต่ที่จริงก็มีนะ คนไปบริจาคโดยไม่ผ่านมืออาตมาก็มี มีต่างหาก อยู่ทางโน้น เขาก็มี ไม่ต้องมาผ่านมืออาตมา เขาก็ทำ เขาก็เข้าใจแล้ว เขาก็ทำกันไป โดยไม่ต้อง รู้เลยว่า ใครเป็นใครด้วยซ้ำ ไอ้นี่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่ได้ประกาศ ไม่รู้ว่าของใคร ต่อของใคร ไม่รู้เรื่องหรอก ไม่ได้เขียนชื่อเขียนเสียง มี...บางคนเขียนชื่อเขียนเสียงมา ก็ไม่ประกาศ แต่ส่วนใหญ่ ไม่ได้เขียนหรอก ยิ่งรายเซ็นเช็คอย่างนี้ ไม่รู้เรื่องเลย ว่าชื่ออะไร

คนนั้นคนนี้บริจาคเท่านั้นเท่านี้ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ล่ะเงินของใครเท่าไหร่ อะไรไม่รู้เรื่อง ก็ว่ากันไปนะ จะว่าไม่มีลาภ พระพุทธเจ้าน่ะมีลาภถึงขนาดมีคหบดี มีอุปัฏฐาก จ่ายเท่าไหร่ไม่อั้นไม่ว่า สำหรับอาตมา มันก็เท่าที่อาตมา อาตมาเอง อาตมาไม่ได้นึกว่า เออ เรานี่นะ ช่างไม่มีคน ที่จะมาทำบุญ กันเป็นเรือนล้าน แหม มามอบมาให้ ทำบุญทีละล้านสองล้าน ห้าล้าน แล้วก็น้อยใจ ไม่นะ อาตมารู้ความจริง พยายามดูความจริงเสมอ เออ เรานี่มีคนกล้ามาทำ บุญกับเรา เป็นแสนนะ แสนหลายแสนอยู่บ้างอะไรก็เออ...เอาขนาดนี้ เราก็รู้ตัวเรา ถ้าเราไม่มีบุญ เราจะไปเผยอทำไม เผยอว่า โอ๊ เราจะต้องได้เป็นล้านๆ แล้วก็ทำเชิง ทำเรื่องทำราว ทำวิธีการ เพื่อที่จะให้คนอื่นมาทำบุญกับเราเป็นล้านๆ แล้วเราจะได้โก้ ได้เก๋ได้ใหญ่ เอ๊ อาตมาว่า ถ้าทำอย่างนั้น อาตมาโง่นะ ทำท่าทีอย่างนั้นอาตมาโง่ แต่ไม่ต้อง ทำท่าทีเลย มันเป็นไปตามธรรม ถ้ามันมาก็จะได้รู้ว่า เออ..มันเป็นจริงนะ มีคนอุปัฏฐาก พระพุทธเจ้า อาตมาไม่สงสัยหรอก อุปัฏฐากท่าน จะเอาเท่าไหร่ล่ะ จะเอากี่ล้าน กี่ล้าน ท่านก็ได้ เพราะบุญบารมีของท่าน บำเพ็ญมามากมาย อาตมาไม่สงสัยพระพุทธเจ้า ไม่สงสัย แล้ว อาตมาก็ยินดี ที่จะทำตนให้เป็นจริง

ถ้าเราจะมีบุญต้องมีบุญจริง ไม่ต้องเรียก ดันเท่าไหร่มันก็ไม่อยู่ ดันเท่าไหร่มันก็จะต้องมา มันมีมันต้องเป็นจริง อาตมายืนยันแน่ใจในเรื่องสัจจะ ถ้าไม่เป็นมันก็ต้องไม่มา จะไปเรียกร้อง เอามาทำไม เหมือนกู้หนี้ยืมสิน ไปกู้เขามาทำไม เหมือนกู้สร้อยกู้เพชร มาห้อยตัวเอง อวดหน้า อวดตา ไม่ได้เรื่องอะไร ถ้าของเราจริง มันก็เป็นของจริง จะไปตกอยู่ที่ไหน หนไหน มันก็เป็น ของเรา เพราะฉะนั้น อย่าไปอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา อย่าไปโลภโมโทสัน อย่า ได้โน่น อยากได้นี่ เผยอเอาโน่นเอานี่ไม่ต้องหรอก สร้างสัจจะไปเถิด บุญบารมีของเรา เสียสละไป สร้างสรรไป เราช่วยเหลือเฟือฟาย ออกเรี่ยวแรง อะไรนิดอะไรหน่อย มันก็เป็นบุญ ทั้งนั้นน่ะ ยิ่งออกเรี่ยว ออกแรงมาก ซื่อสัตย์ สุจริตใจ สร้างสรรไป ไปๆ บำเพ็ญธรรมไป มีทานมัยที่แท้จริง มีปฏิทานมัยที่แท้จริง มันก็เป็นความจริง มันความจริงของความจริง เราทำมันก็เป็นทำ ออกเรี่ยว ออกแรงมาก ซื่อสัตย์ สุจริตใจ สร้างสรรไป บำเพ็ญธรรมไป มีทานมัยที่แท้จริง มีปฏิทานมัย ที่แท้จริง มันก็เป็นความจริง มันความจริงของความจริง เราทำมันก็เป็นทำ ไม่มีใครคด ใครโกงได้ ไม่มีใครมาปล้นมาจี้กันได้ แต่เราไม่ทำ แล้วเราไปทำคุยเขื่อง เอาโลก เอาคนนั้น มาคุยเขื่องของตัวเอง อันโน้น อันนี้ ยิ่งซวยใหญ่นั่นน่ะ ไปเที่ยวได้โกงเขามา โกงอะไรไม่โกง โกงบุญ โอ้โห โกงเงินโกงทอง มันก็ยังบาปแล้ว โกงบุญนี่มันบาปกว่านะ เพราะมันเป็นนามธรรม มันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นทรัพย์ชั้นนามธรรม มันน่าเกลียดมากกว่า มันบาปกว่าน่ะ

นี่ คิดให้เห็น ไปโกงบุญโกงทานมา ยุ่ง ขายขี้หน้าตาย ถ้าคนเขารู้ก็ขายขี้หน้า ถึงคนไม่รู้ ตัวเอง ก็ต้องควรรู้ด้วยปัญญา ว่ามันไม่สมควรจะทำ ใครจะโกงบุญเราไป ก็โกงไปเถอะ แต่เราอย่า ไปโกงบุญใครเขา แต่เราก็ไม่สนับสนุน ให้ใครโกงหรอก โกงบุญ มันบาป บอกแล้ว มันบาป มากกว่าโกงวัตถุด้วยซ้ำไป โกงมาทำอะไรกัน นี่อาตมาเห็นว่า คนเรานี่ มันเรียนมันยากตรงที่ว่า มันมีสภาพซ้อน จะว่าไม่มีลาภก็มี จะว่าไม่มียศก็มี จะว่าไม่มีสรรเสริญก็มี พวกคุณก็สรรเสริญ อาตมาอยู่ อาตมาก็พยายามต้าน ในบางที่ ต้านในบางกาละ ในบางเวลา เขาก็สรรเสริญ สรรเสริญด้วยใจจริง เขาว่ามันดีนะนี่ อย่างสรรเสริญ นี่วันยกยอปอปั้น วันสรรเสริญ เขาก็สรรเสริญกัน อาตมาก็พยายามลดๆอยู่บ้าง ไม่ให้สรรเสริญไปเที่ยวได้หลงระเริงไป จนกระทั่ง เขาสรรเสริญ ก็เลยตีฆ้องร้องป่าว ร่วมไม้ร่วมมือทำกันไปใหญ่ ก็พยายามดูอยู่ มันมากไป ก็ปรามเขาลดลงบ้าง บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ บางคนเชื่ออยู่ แต่ก็พยายามจะทำ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้องเห็นใจเขาบ้าง เขาจะทำ ว่าเอ๊ ก็มันไม่เห็นเสียหายอะไร จะสรรเสริญสิ่งดี ยกย่องบูชาชูเชิดคนที่ดี สิ่งที่ดี มันก็ไม่ใช่ความเลว ความชั่วอะไร มันเป็นสิ่งดี ในสังคม จะต้องมีรูปแบบ มีกิริยา มีพฤติกรรม มีจารีต มีประเพณี อันนี้ อาตมาก็เข้าใจอยู่ ในเรื่องเหล่านี้ มันก็ซับซ้อนอยู่นะ เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ ก็มันรู้ยากอย่างที่กล่าวนี่แหละ มันมี มันมีสภาพพวกนี้ซ้อนๆ ก็ค่อยๆ ดูกันไป แล้วก็ค่อยๆศึกษากันไป แล้วเราก็ต้องปฏิบัติจริง รู้จริง จะเข้าใจจิตวิญญาณ ของเราเองนี่แหละ เรารู้ เราเองนี่เราจะรู้ของเรานี่แหละ ชัด เราถึงจะไปรู้ รายละเอียด พวกที่อาตมากล่าวนี้ได้ชัด ขนาดที่ว่าเรารู้ ด้วยปัญญาภาษาฟังนี่นะ มันก็ไม่ใช่ว่า จะไปรู้รายละเอียด ของสภาวะของนามธรรมนี้ ได้ง่ายนะ มันไม่ง่ายนะคุณ มันไม่ง่าย ที่เราจะรู้ตัว เพราะฉะนั้น บางทีบางคนนี้ ไม่รู้ตัวนี่ โอ้ เราก็เห็นใจเขา มันไม่รู้ตัวจริงๆ คนอื่นเขารู้กัน ตั้งร้อยคน ตัวเองก็ยังนึกว่า ตัวเองถูกอยู่นั่นแน่ะ เออ มันไม่รู้จริงๆนะ ก็นึกว่า ตัวเองถูกอยู่คนเดียว เด๋อๆอยู่อย่างนั้น คนอื่นเขาก็บอก ปัดโธ่เอ๊ย ไม่เปลี่ยนเสียที ไอ้ อย่างนี้นะ ใครเขาเห็น ทั้งบ้านทั้งเมืองแล้วว่า มันไม่ดี แกก็นึกว่าแกดีอยู่นั่นแน่ะ อย่างนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องศึกษากันจริงและมีจริงให้ได้นะ ปรากฏการณ์ต่างๆ พฤติกรรมต่างๆ หรือว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็มีมาเรื่อย คนศึกษาดี ก็เห็นช่องเห็นทาง เป็นข้อมูลเสริมหนุน ให้เราเชื่อมั่น ในความจริงขึ้นเรื่อยๆ ความจริงปรากฎขึ้น มีขึ้น อโศกก็โตขึ้นตามความจริง ที่มันมีจริง เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วอาตมาก็พยายามที่จะคั้นน่ะ จะคั้น ให้แน่นใน ให้แน่นแก่น แน่นเนื้อให้มากขึ้น เรื่องโต อาตมาก็พูดมากมานานแล้วว่า เรื่องโต อาตมาไม่ต้องการ เรื่องโตแล้วกว้างไปใหญ่แพร่หลายไป ฟ่ามๆอะไร อาตมาไม่ประสงค์ ประเด็นนั้น ในความหมายนั้น อาตมาประสงค์เนื้อๆแก่นๆ เพราะฉะนั้น จะมีท่าที ที่อาตมา จะคั้นขึ้นมาเรื่อยๆ ตี คัดเลือกออก คัดเลือกออก

เพราะฉะนั้น คนที่โดนคัดเลือกออกไปนี้มีจริง จะเห็นได้ว่าอโศกนี้มีคนตกร่วง มีคนตกหล่น หลุดออกไปด้วยเรื่อยๆ เข้ามาก็เข้ามา หลุดออกไปก็หลุดออกไป เจตนานะ ไม่ใช่ว่า ไม่ว่าหลุดออกไป โดยที่ดึงเขาไว้แล้วก็ซูเอี๋ยเขาไว้เรื่อย ทั้งๆที่ไม่ดีก็ซูเอี๋ยเขาไว้เรื่อย ไอ้อย่างนี้ เน่าในแน่ แต่นี่ไม่เน่าในหรอก เพราะว่าเราคัดเลือกอยู่ คนนี้นึกว่าดีๆๆ มาสามปี สี่ปี ห้าปี สิบปี นึกว่าดี อ้าว ดีแตก หรือว่าไม่ได้เรื่อง หลายปีเข้าไม่ได้เรื่อง จะหลุดออกไป เอ้า นานปีเขามี ทำดีบ้างเหมือนกัน ในขณะกดข่ม ในขณะที่พยายามฝืนทน แต่พอสุดฝืน สุดทน มันก็ออกลายมา ออกลายไอ้โน่นไอ้นี่มากไป ไอ้ความดีเหล่านั้นมันก็ไม่คุ้ม ที่อุตส่าห์ฝืนทน ทำมา มันก็ไม่คุ้ม ไม่คุ้มก็ตกร่วงไปนะ ในเรื่องนี้เจ้าตัวจะรู้ตัวเองดีว่า ตัวเองกดข่มไปไม่ไหว จะออกไปแล้ว จะมาโทษอโศก เขาจะโทษได้ไม่ถนัด จริงๆนะ นอกจากคนที่มันหลงตัวเองน่ะ หลงตัวเอง แล้วอยู่ในอโศกไม่ได้ ถ้าคนดีจริงๆ อยู่ในอโศกได้นะ

นี่ฟังความนี้ให้ชัด ถ้าคนดีจริงๆน่ะ จะมีบีบจะคั้นจะกดจะขี่อย่างไรนะ มันก็อยู่ได้ อยู่ได้ มันไม่หนักหนาเกินการณ์อะไรนักหนาหรอก ทางโลกเขาหนักหนากว่านี่แยะ โลกด้วยนะ ได้ลาภ ได้ยศ ได้โลกีย์ด้วย หนักกว่านี่แยะ ทางเรานี่ไม่หนักหนาถึงขนาดนั้นหรอก ไม่หนักหนา ถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่าอยู่ในอโศกไม่ได้นี่ คนนั้นจะไปพูดไปว่า อโศกเต็มปาก เต็มคำไม่ได้ นอกจากเขาจะไปหลงเลอะจริงๆ เพราะฉะนั้น คนที่ออกไป จะเห็นได้ว่า คนที่หลุดออกไป ไม่กล้ามาย้อนแย้งตี นี่สิบกว่าปีแล้วไม่กล้า ออกไปแล้ว ก็มากระหน่ำ ย่ำยีว่า โอ๊ย อโศก เลอะเละอย่างโน้นอย่างนั้น รักษาอันนี้ให้ดีนะ

อาตมาเห็นแต่ว่าหลายๆสำนัก หลายๆแห่ง พอคนที่ในสำนักนั้นไปศึกษา ในสำนักนั้น ออกมาปั๊บ แล้วมาโพนทนาด่าย้อนรังเก่า ด่าย้อนรังเก่านี่เยอะนะ อาตมาเห็นเยอะ แต่อโศกนี่ สิบกว่าปีแล้ว แม้ผู้ที่ตกหล่นตกร่วงออกไปๆจากนี่ ก็ไม่ได้มาด่าอโศก เต็มคำอะไร พูดไปก็บางที มันมีกิเลสอยู่บ้าง มันก็ว่าบ้างนิดๆหน่อย เพื่อรักษาหน้าตัวเองอะไรบ้าง แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่นะ นี่ยังไม่มีปรากฏ บางคนนี่ ถูกออก ถูกให้ออกไปอย่างร้ายๆแรงๆด้วยบางคน เขาก็ไม่กล้า ก็ไม่กล้าที่จะมาถล่ม ทำลายอะไรอโศกนะ อันนี้ก็เป็นหลักฐานยืนยันอยู่ว่า สิ่งจริงนี่มีอำนาจ สัจจะ นี่มีความจริง ที่มันสามารถปราบ หรือปรามผู้นั้น ๆ ไม่ให้ละเมิดในสัจจะนี้ได้มาก แม้จะมีกิเลส มันก็ยังไม่กล้าละเมิดสัจจะนั้นได้มาก เพราะอำนาจสัจจะนี่มันสูง อาตมาถือว่า อันนี้เป็นหลักฐาน ยืนยันพิสูจน์ได้ พวกคุณก็ดูก็แล้วกัน ถ้ายิ่งใครคบหาอโศกมากๆ ก็จะเห็น เป็นเช่นนั้นนะ

ก็หลายปีมา ปีนี้ก็มากขึ้นแล้ว ตั้งปีที่ ถ้าถือว่าปี ๒๕๑๖ มันก็ ๑๓ ปี อาตมาถือว่า เป็นรอบ นักษัตรหนึ่ง แล้วขึ้นรอบใหม่ปีที่ ๑๓ ตั้งแต่ปี ๒๕๑๖-๒๕๑๙ มาก็ปีที่ ๑๓ ...ปีที่ ๑๒ ครบ นักษัตรหนึ่ง ๑๓ ก็ขึ้นนักษัตรใหม่ เข้ารอบใหม่รอบสองแล้ว ปีที่ ๑๓ เพราะฉะนั้น อาตมา ก็จะเคี่ยวใน ระบบนี้แหละ ในระบบที่จะเอาใน ใครจะมาก็มา จะไปเที่ยวได้กว้านๆ ข้างนอก เมื่อเช้านี้ ท่านสมณลักขโณ ก็มาบอกข่าวว่าทาง สปพ.เขาจะมา ต้องการให้เราไปเป็น วิทยากร ทางโน้น โดย ระบุท่านสมณลักขโณ ให้ไปเป็นวิทยากร อาตมาก็บอกว่า เราตั้งใจ จะหรี่ๆแล้ว งานนอก เราก็ไอ้นั่นแล้ว รู้สึกว่าเรื่องนี้นี่ เป็นแต่เพียงประสาน ถ้าเราจะไปประสาน ไปร่วมกับเขา เอาอะไรๆ ไปแจก ถ้าไปถึงขั้นไปแสดงตัวแสดงตน โอ่ๆ อ่าๆ อาตมาว่า ลดนโยบาย หรือ ลดท่าทีดีกว่า เราอย่าไปอย่างนั้นเลย เอ้า ไปเป็นผู้ร่วมกับเขาบ้าง ประสาน กับเขาบ้างก็เอา แต่ถึงขั้นเชิญ ไปเป็นวิทยากร อาตมาว่าอย่าเลย อย่าไปแสดงเลย เป็นวิทยากร มันก็ไปอย่างโน้น อย่างนี้มากมายอะไร ใหญ่โตเกินไป น้อยลงดีกว่า เล็กลงดีกว่า อย่าไปแสดงเลย จะอุดหนุนเขา ก็อุดหนุน ท่านก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้น จะเอาหนังสือ หนังหา ไปแจกเขามั้ย ไปให้อะไรแก่เขา เผื่อแผ่เขาบ้าง ตกลงเอาหนังสือไป ถ้าจะไปโอ่เอ่ ไปเป็นยศ เป็นศักดิ์ ไปเป็นผู้วิทยากร ไปแสดงของตัวเรามากๆอะไรขึ้นอีกชัดๆเจนๆ ไม่ต้องล่ะ ลดบทบาท นั่นลง ก็บอกไปอยู่ เมื่อเช้านี้ ก็บอกไปแล้ว แล้วท่านก็ได้ดำเนิน ตามที่อาตมาว่า

ขณะนี้ข้างนอก เขาจะเข้าใจอย่างไรก็เข้าใจไปเถอะ อาตมาว่าเขาก็จะเข้าใจไป เขาก็จะอะไรๆไป เราหย่อนหรือว่าเราลดบทบาท ข้างนอกนั้นลงบ้าง แล้วเราจะทำข้างในนี่ ให้ดีขึ้น เพราะเรามา ตั้งใจฝึกฝนอบรม พากเพียร ปฏิบัติ เน้นเข้าเป้า ให้มีการปฏิบัติ ที่มีโพธิปักขิยธรรม ได้ชัดเจนขึ้น จริงจังขึ้น ไม่ต้องไปกล่าวถึงผล ถ้าปฏิบัติถูกทาง และ มีความเพียรพอ ไม่ต้องกล่าวถึงผล ต้องได้ อาตมาใช้คำว่าต้องได้ ถ้าปฏิบัติถูกทฤษฎี ถูกวิธีการ และมีความเพียรพอ ไม่ขี้แยนัก ต้องได้ ต้องอาศัยความอดทน ต้องอาศัยพากเพียรนะ คุณปฏิบัติธรรม ไม่พากเพียรไม่ได้หรอก ขอยืนยัน อย่ามาทำสัมมาปฏิบัติ ก็ไป อยากกินก็กิน อยากนอนก็นอน ทำอะไรสบาย อย่าให้มัน เป็นทุกข์ ทำอะไรอย่าให้มันเป็นทุกข์ อย่าให้มัน เป็นทุกข์ แล้วรู้ทุกข์อริยสัจแค่ไหนน่ะ

พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกขายะ อัตตานัง ปทหติ ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ก็ตั้งตนอยู่ในทุกข์ นั่นเอง ทุกขายะ ศัพท์บาลีคำเดียวกันนั่นแหละ แล้วกุศลธรรมจะเจริญยิ่ง มันก็ค้านแย้ง ตายเลย อย่าให้ทุกข์ อย่าให้ทุกข์ แล้วไม่ศึกษาทุกข์อริยสัจให้ชัด ไม่ง่ายนะ กว่าจะรู้ ทุกข์อริยสัจนี่ อาตมาเริ่มต้นอธิบายรอบนี้ อธิบายทุกข์อริยสัจขึ้นมา ยังมีคนเสนอ ข้อมูลมาอีก นี่อาตมาอธิบายทุกข ๑๐ ระดับ ๑๐ ประเด็น แล้วก็ขยาย อันไหนทุกขอริยสัจ อันไหนทุกข์ ที่จะต้องล้าง อันไหนทุกข์ที่จะไม่ต้องล้าง ทุกข์อันไหนที่จะต้องฆ่า ด้วยระบบ ขบวนการอริยสัจ ทุกข์อันไหน ไม่ต้องหรอก ใช้ความรู้แค่สามัญลักษณ์ ไตรลักษณ์เท่านั้น ว่า เออ...มันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันก็เป็นเช่นนั้นเองแหละ แบบท่านพุทธทาส ก็พอแล้ว แต่ทุกข์ที่จะต้องฆ่า ด้วยขบวนการ อริยสัจ ซึ่งเป็นทางเอกนั้น เป็นทุกข์อะไรบ้าง ก็เน้นให้ฟังแล้ว ต้องจับเป้า จับสาระ สภาวะนั้น ให้ชัดๆๆๆ อ้อ อันนี้เข้าหลักนี้ อันนี้เข้าหมวดนี้ อันนี้เข้าเรื่องนี้ แล้วเรา ก็จะต้อง รู้มันจริงๆ แล้วก็ทำอย่างไร มันถึงจะลดละ มันก็วิธีการโพชฌงค์ ๗ โพธิปักขิยธรรม นี่แหละ เป็นหลักใหญ่ รู้จริงๆ แล้วก็มีการประหาร มีสัมมัปธาน สังวรจริงๆ สัมผัสรู้อาการจริง แล้วก็ทำ ด้วยสำคัญเลย สมถธุระ วิปัสสนาธุระ อย่างไร ทำๆๆเข้า มันก็จะลด ถ้ามี เพียรจริงแล้ว ก็เป็นคนที่ปฏิบัติถูกเรื่องถูกทางจริง ถูกตัวเองจริงๆ อย่างแม่น อย่างมีปัญญา มีพลังปัญญา ที่พอเพียงจริง ต้องได้ผล ไม่ต้องไปกลัวหรอกผล ไม่ต้องไปคำนึง ไม่ต้องไปวุ่นวาย กับมันเรื่องผล ผลได้มันมีจริง และมันจะรู้ คนส่วนมากน่ะ ได้ผลน้อย แล้วหลงเป็นผลใหญ่ ด้วยซ้ำไป แหม...ลูกค่อยๆ แง้มเข้ามา ได้...ผลเท่านี้ นึกว่าตัวเอง ผลเท่านี้ อะไรอย่างนี้ มันขี้มันจะหลงตัวอย่างนั้น ด้วยซ้ำไป เรื่องจริงน่ะ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวหรอกว่า ผลเรา จะมีโตไปเกินการณ์ไม่ต้องกลัว กลัวแต่จะหลงผลน้อย เป็นผลใหญ่น่ะซิ มันจะไม่เข้าเรื่องนะ

เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมเรานี่มีเนื้อหาสารสาระในหมู่ชน ในขณะที่ โลกจะลุกเป็นไฟ อยู่แล้ว ทุกอย่างร้อนเร่าทั่วรอบไปหมดเลย เราจะเห็นได้ พฤติกรรมของมนุษย์ ทุกวันนี้ แย่งชิงอำนาจ บาตรใหญ่ แย่งชิงลาภยศ แย่งชิงโลกียสุขบ้าๆบวมๆ มากมหาศาล บรรยากาศ มันบอกเรา ไม่โง่เกินไปศึกษาก็รู้ดีอยู่ สิ่งเหล่านี้น่าเบื่อหน่าย น่าคลายจริงๆ แต่เขาไม่เบื่อ เขาตั้งหน้า วิ่งเข้าสู่วิ่งเข้าใส่ เฮ้อ มันไม่รู้จริงๆ มันก็ได้แต่น่าสมเพทเวทนา ไม่รู้จะไปทำอย่าไรเขา เพราะฉะนั้น ผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตามาศึกษาสนใจก็ดีแล้ว อนุโมทนาสาธุ อาตมาก็ยังรู้สึกว่า มันยังมีคุณค่า ยังมีประโยชน์นะ ยังไม่ถึงกลียุคที่แท้ จนพูดกันไม่รู้เรื่อง ถูกมอมเมาซะจน พูดกัน ไม่มีใครจะสามารถมีดวงตา พูดกันอย่างไร ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย มันก็ไม่ถึงยุค ขนาดนั้น ก็แสดงว่า มันไปได้ จะน้อยจะมาก แล้วอาตมา ก็รู้ด้วยว่า มันไม่มากหรอก มันได้นี่ก็ บอกแล้วว่า คนหนึ่งเท่ากับ เป็นล้านๆ คนเลย ได้มาคนหนึ่งนี่ จริงๆนะ ค่ามันเท่ากับ ล้าน ล้านคน ล้านคน จริงๆนะ เอาอัตราล้านเดียวก็ได้ คนหนึ่งนี่มันเท่ากับค่า เป็นล้านคนนะคุณ อย่านึกว่า ย่อยๆ น้อยๆนะ มันล้านคนนะ น้ำหนักของคน แต่ต้องเป็นคนที่หลุดล่อน ออกมาจริงๆนะ ไม่ใช่เอาแค่ มาจิ้มๆ แล้วก็ว่า...เอ้า ชั้นนี่ มีค่าเท่าล้านคน เดี๋ยวมีมานะซะอีกล่ะ (หัวเราะ) ประเดี๋ยว ก็จะไปกันใหญ่อีก แหม มุมเหลี่ยมนี่ มันคิดไปได้ ทุกมุมน่ะ มันเป็นวิภัชวาที พูดไปแล้ว ก็ต้องมอง ๒ มุม อย่าไปมอง เป็นเอกังสวาที มองไปแต่มุมเดียว ซื่อบื้อ แหม ติดเครื่อง แล้ว ใบพัดล็อคเลย เดินชนแหลกเลย อย่างนั้น ซื่อบื้ออย่างนั้นก็ไม่เอา ก็ต้องมีแววไว มีปฏิภาณ ปัญญา เข้าใจมุมเหลี่ยมรอบด้าน เป็นวิภัชวาทีให้ได้นะ

เอาล่ะ...อาตมาก็ย้ำยืนยันพวกเราก็เท่านี้นะ อาตมาก็คงจะไม่ได้พูด ได้คุยอะไรอีกต่อไป กับพวกเราเยอะแยะ ท่านถิรจิตโตก็ฝึกปรือ ได้พยายามอบรม สั่งสอนเราด้วย ท่านก็บำเพ็ญด้วย ผู้อื่นๆช่วยกัน เปลี่ยนกันไปเปลี่ยนกันมา ร่วมไม้ร่วมมือกัน ซับซ้อนอย่างนี้แหละ ทั้งเราช่วยตน ช่วยผู้อื่น แล้วทั้งตนก็ทำหน้าที่ ให้มันเป็นศรัทธา ที่เป็นพาหุสัจจะ เป็นธรรมกถึก เป็นผู้แกล้วกล้า แสดงธรรมในบริษัท จะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะเรื่อยไป เป็นผู้ทรงวินัย เป็นผู้ยินดี ในความสงบ เป็นผู้ที่จะต้องได้ฌานไม่ยาก ได้วิมุติพร้อม อุภโตภาค

นี่เป็นศรัทธา จะต้องศรัทธาถึงขั้น ๑๐ ระดับอย่างนี้จริงๆตามที่ พระพุทธเจ้าท่านยืนยัน ต้องศึกษาสอดคล้องตามธรรมะพระพุทธเจ้าแต่ละบทแต่ละ บาท แต่ละสูตร เอามาสอดคล้อง เอามาเทียบเคียง เอามาประกบแล้วมันลงตัวกันได้หมด มันจริงจังหมด มันไม่ค้านแย้งกันหรอก แล้วอันนั้น เราเป็นเครื่องมั่นใจได้ แล้วมันจะเห็นลึกซึ้งไปเองเลยว่า อ๊อ ธรรมะมันลึกซึ้ง คัมภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา อย่างนี้ มันลึกซึ้ง มันรู้ได้ยากเห็นได้ยากนะ ไม่ง่ายจริงๆ แต่รู้แล้ว มันจะชัด ตัวปัญญา ที่มันจะชัด ตัวอธิปัญญาหรือตัวญาณทัสสนะวิเสสนี่มันจะชัด ชัดแล้วจริงๆแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก ใครจะว่าอย่างไรก็ชัด ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เปลี่ยน ท่านถึงยืนยันมั่นคงไง ธรรมะพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ เมื่อสมบูรณ์แล้ว เที่ยงแท้ นิยตะ ไม่ใช่คำว่านิจจัง แต่เป็นคำว่า นิยตะ แปลว่า เที่ยงแท้

เอาล่ะ...สำหรับวันนี้ พูดกันแค่นี้

สาธุ


ถอด โดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๕ ธันวาคม ๒๕๓๔
พิมพ์ โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา ตั้งเผ่า ๓๑ มกราคม ๒๕๓๕

บรรลุธรรมด้วยสันโดษ / FILE:2105B.TAP