กว่าจะสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ตอน ๖ หน้า ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๖ ณ พุทธสถานศีรษะอโศก
เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
ต่อจากหน้า ๑


นักปราชญ์ทั้งหลาย ชนะมารพร้อมทั้งพาหนะได้แล้ว ย่อมออกไปจากโลก ง่ายขึ้นแล้ว พอฟัง ออกไปจากโลก ก็เข้าใจแล้ว ไม่ต้องนั่งจรวดที่นาซ่าก็ออกได้ ถ้าฝ่ายรัสเซียก็ต้องไปที่แท่นจรวด เขามีอะไร อาตมาไม่ได้ศึกษา อเมริกาก็ได้ข่าวบ่อยว่า แหลมคาร์นาเวอรัล แหลมเคเนดี้ มีสถาบัน นาซ่าอยู่ที่นั่น ปล่อยจรวด ฐานจรวดของรัสเซียฐานอะไร ไม่มีใครรู้ พวกนี้ไม่มี ใครลูกน้องรัสเซีย

โอ้! นี่รับเงินอุดหนุนจาก ซีไอเอ พวกนี้รับทุนจากซีไอเอ ไม่รู้ รัสเซียเลย แต่เขาไม่มองเราไปทาง อเมริกา เพราะว่าพวกเรามันจน มันค้านอเมริกา มัน "บุญนิยม" มันค้าน "ทุนนิยม" เพราะฉะนั้น เขาไม่มองเราอย่างนั้น เขามองเราไปหารัสเซีย แต่พวกเรากลับโง่เรื่องรัสเซีย พวกรัสเซียขี้หมา อะไร โง่เรื่องรัสเซีย แต่ดันผ่าไปฉลาดเรื่องอเมริกา มันเห็นค้านแย้งกันไปหมด มันงงๆ อยู่นะ อาตมาก็ไม่ได้ไป ใส่ใจหรอกนะ แต่ข่าวคราวของเมืองเปิด คืออเมริกาเขามาก เราก็เลยรู้เรื่อง รู้ราวเขา มากกว่ารัสเซียหน่อยเท่านั้น ในสิ่งที่พูดนี่ เพราะฉะนั้น เราออกจากโลก ไม่ใช่โลก อย่างนั้น แค่โลกจริงๆ โลกอะไร คนที่รู้ก็มีปัญญาเท่าที่ตัวโง่

นักปราชญ์ทั้งหลายชนะมาร พร้อมทั้งพาหนะได้แล้ว พาหนะบอกแล้วว่า พาหนะไม่ใช่จรวด ชนะมาร นี่ก็เรียกว่าชนะพวกมารจับไม่ติด ไม่สามารถเอาเราเป็นทาสได้แน่นอน

คนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว อันนี้อาตมาให้ค้นพระบาลีเลยทีเดียว คำว่า คนล่วงธรรม อย่างเอกเสียแล้ว พระบาลีบอกว่า เอกัง ธัมมัง อตีตัสสะ คำว่าคนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว ล่วงธรรมอย่างเอก เอกัง เอก ธรรมะก็ธัมมัง ธรรมะอย่างเอกก็เอกัง ธัมมัง ล่วงก็คือ อตีตัสสะ นี่ ล่วงอดีตนั่นเอง ถ้าพูดกันภาษาไทยง่ายๆ อตีตัสสะ ก็คือพ้นมาล่วงมา ทีนี้ถ้าคุณไม่เข้าใจดีๆ คนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว ก็บอก เอ๊! นี่มันอะไรล่วง ธรรมะผ่านอันนั้นมา แต่ถ้าใครมี ปฏิภาณ บอกว่าธรรมอย่างเอก ก็คือ ธรรมะที่อาตมากำลังอธิบาย คนนั้นล่วง หรือปล่อย หรือละ หรือทิ้งเสียแล้ว แม้ได้ฟังก็เป็นอดีตแล้วเดี๋ยวนี้ล่ะ ทิ้งแล้ว ผ่านมาแล้ว ล่วงมาแล้ว ไม่เอาเนื้อหา ไม่เอาสาระของอันนี้ สาระที่เป็นธรรมอันเอก เอก ธัมมัง หรือ เอกัง ธัมมังนี่ ล่วงเสียแล้ว เป็นคนมักพูดเท็จ เป็นคนมักพูดเท็จ

เพราะฉะนั้น คนที่จะอธิบายให้ลึกขึ้นไปกว่านั้นอีก คำว่า คนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว นี่ก็คือ นักรู้ นักปราชญ์ที่เรียนธรรมอย่างเอกนี้มา แต่ไม่ได้อะไร ปล่อยทิ้ง ไม่ได้ธรรมอย่างเอกนี้ให้แก่ ตัวเอง ผ่านอตีตัสสะ นี่ผ่านน่ะ เรียน บางคนเอาใจใส่ เรียนจนหัวพัง เดี๋ยวนี้ยังเอามาบรรยาย ได้เป็นเจ้า เป็นนาย มาบรรยายได้เป็นนักปราชญ์เลย เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ได้ มาบรรยาย เป็นนักปราชญ์อยู่เลย แต่คนนี้เป็นเอกัง ธัมมัง อตีตัสสะ เสียแล้ว คนนี้เป็นคนมักพูดเท็จ เข้าสมัย ทันสมัย modernization ใครหนอ คนนั้น ชัดไหม

นี่พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่อาตมาว่าน่ะ แต่อาตมาขยายความ โมเมหรือเปล่า ฟังเอา อาตมา ขยายความนี่ โมเมหรือเปล่า โอ! อาตมาสัมผัสคำนี้บอกแล้วว่า ไอ้ย่า! ต้องค้นพระบาลีมาแล้ว ยิ่งค้นพระบาลีมาเจอ เอกัง ธัมมัง อตีตัสสะ โอ้โฮ! แล้วแถมขยายความไว้ว่า เป็นคนมักพูดเท็จ สุดสงสารผู้นั้น ที่จริงพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ลึกเหลือเกิน แล้วความเลว มันเลวลึกอย่างนี้ด้วย

เขาพูดเท็จให้ประชาชนฟัง โดยคนเชื่อเขา แต่ไม่เชื่ออาตมา แต่คนนี้เป็นคน เอกัง ธัมมัง อตีตัสสะ คนนี้เป็นคนล่วงธรรมอันเป็นโลกุตรธรรมอย่างนี้แล้ว เขาไม่ได้ธรรมะโลกุตรธรรม เขาได้แค่เปลือก แต่ผิว เขาผ่านอตีตัสสะ เขาผ่านธรรมะพวกนี้ ข้อเขียนบัญญัติภาษา เล่าเรียน เขาเรียน แต่เขาไม่ได้อย่างไร เขาทิ้ง เขาละเลย เขาเปล่า เขาได้แค่เปลือก แค่ผิวอะไรมา คนเหล่านี้ จึงได้เปลือกผิวมาแล้ว มาพูดนี่ มันเป็นคำเท็จเสียส่วนใหญ่ จึงใช้คำว่า เป็นคน มักพูดเท็จ พูดไม่ค่อยตรงหรอก เบี้ยว นี่ แล้วก็อาตมาไม่ต้องไปโต้แย้ง อาตมาไม่ต้องไปโต้เถียง คนอื่นโต้แย้งก็ได้ว่าคนพูดนั้น ไม่ตรง ไม่อยู่กับร่องกับรอย ไม่จริง แย้งกันอยู่ ขนาดไม่ได้เรียน เปรียญมา ยังกล้าโต้เลย เรียนวิทยาศาสตร์มา ยังมาโต้เลย จับเท็จคนที่พูดได้ สุดสงสาร จริงๆ ที่จริง มันน่าจะดีนะ มีสิ่งดีในตัวเยอะ น่าจะได้ดี ทำไมไปถูกผี ไปถูกมารหลอก มันน่าสงสารจริง แหม! ฉล๊าดฉลาด แต่ถูกผีหลอกได้ แหม! ผีตัวนี้ใหญ่หรือเล็กไม่รู้ ทำไมมันเก่งจัง มันน่าจะดีให้สมดีให้สุด ให้ดีให้ตลอด ให้ดีเขามากกว่านี้

แต่นั่นแหละ สัจจะคือสัจจะ ถ้าไม่ได้สาระสัจจะที่เป็นเอกธัมมัง ที่เป็นโลกุตระ ที่เป็นโลกนี้ โลกหน้าจริงๆ สภาวะพวกนี้ ไม่ได้แล้วนะ มันจะเห็นแย้ง เพราะสภาวะไม่ ถ้าสภาวะ มันไม่ขัดแย้งกันแล้วนะ รับรอง ผู้นี้จะต้องสอดคล้องกับอาตมา ถ้าคุณเชื่อว่า อาตมาถูก นอกจากว่า อาตมาจะผิด อีกผู้หนึ่งนั้นถูก ถูก ผิดของอาตมาแล้วตอนนี้ ไปไตร่ตรอง ตรวจตราดีๆ จริงๆนะไม่ได้พูดประชด พูดด้วยใจจริง ตรวจตราดูดีๆ อย่าเป็นคนเผินๆ เอาให้แน่ใจชัดๆว่า ดีหรือไม่ดีจริง

อีกคำหนึ่ง ข้ามโลกหน้าเสียแล้ว ตัวนี้อาตมาก็ให้ค้นบาลี คนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว เป็นคน มักพูดเท็จ ข้ามโลกหน้าเสียแล้ว ไม่พึงทำบาปย่อมไม่มี ไม่พึงทำบาปย่อมไม่มี ก็หมายความว่า ต้องทำบาป ใช่ไหม ไม่พึงทำบาปย่อมไม่มี ก็หมายความว่า ต้องทำบาป คนเช่นนี้ต้องทำบาป ตั้งแต่อันแรก มาจนกระทั่งถึงข้ามโลกหน้านั่นแหละ ตั้งแต่เป็นคนล่วงธรรมอย่างเอกนี้ เสียแล้ว และ ก็ทั้งเป็นคนข้ามโลกหน้า นี่ใช้ภาษาไทยแปลคำว่า ข้ามโลกหน้า ถ้าคุณฟังแล้วก็บอก มันจะทำอย่างไร มันข้ามโลกหน้านี่นะ เรายังไม่ทันไปเลยโลกหน้า ปรโลกนี่ ถ้าเข้าใจโลกหน้า ปรโลกตัวนี้ หมายความว่าโลกหน้า ตายไปแล้ว เราค่อยไป ก็ยังไม่ทันไป จะข้ามไปได้อย่างไร ยังไม่ตาย โลกหน้ามันอยู่ข้างหน้าโน่นแน่ะ เรายังไม่ตายเลย ถ้าปรโลกอันนั้น แล้วก็ไปค้นบาลี ก็ได้คำว่า ปรโลก นั่นแหละมาจริงๆ เขาแปลไม่ผิดหรอก คำนี้บาลีว่า วิติณฺณปรโลกสฺส ปรโลกัสสะ ปรโลกนั่นเอง วิติณณะปรโลกัสสะ วิติณณะ ติณณะนี่แปลว่า ข้ามไปแล้ว วิติณณะ ณ เณร สะกด นี่ วิก็วิ ติณ ต เต่าสระอิ ณ เณรสะกดนี่ ณ เณรสองตัว ตัวหนึ่งสะกด ตัวหนึ่งอ่าน ณะ วิติณณะ นี่ แปลว่า ข้ามไปแล้ว เขาก็เลยแปล ปรโลกัสสะคือโลกหน้า ก็เลยแปลว่า ข้ามโลกหน้าเสียแล้ว ข้ามไปแล้ว ข้ามโลกหน้า คือข้ามปรโลกัสสะ คือ ข้ามปรโลกไปแล้ว

ถ้าคุณเข้าใจไม่ถูกทาง แล้วคุณก็บอกว่าข้ามโลกหน้าไปแล้ว คุณก็นั่งมึนอยู่ตรงนี้ อะไรวะ กูยังไม่ตายเลย จะไปข้ามโลกหน้าไปได้อย่างไรล่ะ เพราะฉะนั้น คุณจะมองไม่ออก อ่านไม่ได้ แล้วคุณ ก็จะไม่รู้สภาวะไอ้พูดมาอย่างนี้นี่ก็ไม่รู้เรื่อง ข้ามโลกหน้าไปเสียแล้ว ก็จะเป็นคนไม่พึง ทำบาป ย่อมไม่มี จะต้องกลายเป็นคนทำบาปนี่แหละ เราก็ไม่เกี่ยว เพราะเราไม่ได้เป็นคน อย่างนั้น เราไม่รู้นี่ อย่างไรก็ไม่รู้ หมดปัญญา เพราะฉะนั้น อันนี้ก็สอนไปเปล่าๆ คนภูมิไม่ถึง ก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้รู้เรื่องอะไร พระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าตรัสไว้เฉย ถ้าคุณเข้าใจโลกหน้า ปรโลก อย่างที่ อาตมาสอนคุณ ว่าโลกหน้านี้ ข้ามหมายความว่าละเลย คุณไม่ได้โลกหน้า ละเลย โลกหน้า ละเลยปรโลกนี้เสียแล้ว คนนั้นจะต้องไม่พึงทำบาปย่อมไม่มี คนนั้นจะทำบาป

ถ้าคนละเลยโลกุตระ โลกใหม่ โลกหน้า โลกปรโลกที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี่ โลกนั้นอยู่ที่ไหน ไหนว่าชัด ไหนว่าชัดจริงอย่างไร ขนาดนั่งอยู่ใกล้ๆ คุณยังไม่ค่อยชัดเลย โลกนั้นก็อธิบายไปแล้ว ไอ้โลกหน้านั้น อาตมาก็ปฏิเสธไปเมื่อกี้นี้ ว่าไม่ได้หมายถึง โลกหน้าอย่างนั้น ตายไปแล้ว ย่อมไปถึง เพราะฉะนั้น ปรโลกที่ว่านี้ ที่อาตมาสอน ที่อาตมาเน้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่ตัวเราเดี๋ยวนี้ ปรโลกนี้ เอาให้ได้ ขณะนี้มีปรโลกอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ อย่าละเลย อย่าข้ามไปเสียแล้ว แล้วจะไม่ทำบาปไม่มีนะ เป็นคนไม่พึงทำบาปไม่มีนะ

พระพุทธเจ้ายืนยันว่า ไม่ทำบาปไม่มี เพราะฉะนั้น คนที่จะต้องไม่ทำบาปได้จริงๆเลย ก็จะต้อง เป็นพระอรหันต์ คือเป็นคนปรโลกสมบูรณ์ ใช่ไหม คนที่ไม่ข้ามได้เลย ได้ปรโลก ได้เป็นคน โลกใหม่ เป็นโลกุตรบุคคลเต็มสภาพ คนนี้จึงจะอยู่ในเงื่อนไขที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ไม่พึงทำบาป ย่อมไม่มี ก็หมายความว่า ผู้นี้ย่อมไม่ทำบาป มีพระอรหันต์นี่แหละ พระอรหันต์ ย่อมไม่ทำบาป เพราะว่าท่านไม่ข้ามโลก ท่านเอาโลกนี้ให้ได้เต็มๆ เป็นคนโลกุตระเต็มๆ สมบูรณ์ ถือว่าจบกิจโลกุตระ ได้โลกใหม่ในตัวเองจนสมบูรณ์ มีความเป็นโลกใหม่ ปรโลกสมบูรณ์ เป็นมนุษย์ โลกใหม่สมบูรณ์ คนนี้ก็ไม่ทำบาป มี ไม่ใช่ย่อมไม่มี มี

คนล่วงละเมิดธรรมอย่างเอก ไม่ถูก ที่ท่านพูดนี่ไม่ถูก ล่วงละเมิดธรรมอย่างเอกนั้น มันหมายความว่า ไปทุบไปตี ไปละเมิด ไปทำร้าย ธรรมอย่างเอก ไม่ถูก ล่วงคำนี้หมายความว่า ผ่านไป อตีตัสสะ อตีตะ อดีตหมายความว่าล่วงเลย ไม่ได้ไปทำร้าย ในพระบาลีว่า อตีตัสสะ อดีต ล่วงเลยผ่านสิ่งนั้นไป ล่วงผ่าน ไม่ใช่ล่วงละเมิด ล่วงผ่าน อตีตัสสะ นี่ล่วงผ่าน ไม่ใช่ล่วงละเมิด ล่วงละเมิดหมายความว่า ไปทำอะไรกับอันนั้น ล่วงเลย ล่วงผ่านนะ ใช้คำว่า ล่วงละเมิดไม่ได้ อตีตัสสะนี่ล่วงเลยล่วงผ่าน ล่วงละเมิดนี่มันเป็นทำไปกระทำกรรมอันนั้น โดยกระทำกรรมอันนั้น กรรมอันนั้น เรียกว่าล่วงละเมิด ไปทำกรรมอันนั้น กรรมอันนั้น นี่ไม่ใช่ ไม่ทำกรรม นอกจากตรงกันข้ามไม่ได้ทำเลยผ่านมันดื้อๆ มันตรงกันข้ามกันเลย ทำกรรมอันนั้น กรรมอันนั้น เรียกว่าไม่ละเลย ไอ้นี่มันละเลย มันล่วงผ่าน มันผ่าน มันเจอเหมือนกัน แต่มันไม่เอา ล่วงเลยนะ เข้าใจไหม นี่ก็ มานี่ได้ขยายชัดขึ้นอีก แต่อันนั้นไม่ถูกแล้วละ ล่วงละเมิดไม่ถูก ล่วงเลย ถ้าจะใช้คำนี้ก็ว่า ล่วงเลยธรรมอย่างเอก เสียแล้ว นี่จะชัดขึ้นได้ ถ้าไปใช้คำว่า ล่วงละเมิด แล้วผิดความหมาย เห็นไหมว่า มันละเอียด

ธรรมะพระพุทธเจ้านี่มันละเอียด เพราะฉะนั้นบางอันอาตมาต้องหยั่งไปถึงรากพระบาลี นี่เหมือน คนเก่งแยกพระบาลีนะ แต่ที่ไหนได้ก็ไม่เบาเหมือนกัน อ้าว! จริง อาตมาหยั่งไปแล้ว ก็เห็น ชัดเจน เห็นไหม อาตมาต้องตามบาลีหลายตัว หลายคำ มาเห็นว่า เอ้! บาลีว่าอะไร เขามาแปล เป็นภาษาไทยนี่ มันชักกึ่งๆ กลางๆ มันชัก เอ้! มันจะอะไรก็ได้ อย่างที่ท่านชยสาโรว่า เอ้! มันกลายไปเป็น ล่วงละเมิด ไม่ใช่ไปล่วงละเมิด คือกระทำกับอันนี้ใช่ไหม แต่นี่กลับไม่ทำ ไม่ปฏิบัติ ไม่ประพฤติ กลับไม่เล่นด้วยเลย ผ่านมาดื้อๆ เฉยๆ มานี่ล่วงเลยมา ล่วงผ่านมาดื้อๆ เป็นอตีตัสสะ เป็นการผ่านอดีตเฉยๆ เจอแล้ว แต่ว่าผ่านเฉยๆ ผ่านไม่ได้อะไร ละเลยสิ่งนี้ ล่วงเลยสิ่งนี้ ผ่านสิ่งนี้มาเปล่าๆ ผ่านมาเปล่าๆ ไม่เอา ได้ก็ไม่เอา จะได้อีก

แหม! มันน่าสงสาร เจอแท้ๆน่ะ เหมือนกับช้อนทัพพีอยู่ในชามแกงก็ไม่ได้รสแกง ไม่รู้รสแกง เหมือนกับ เหมือนไก่ได้พลอยแล้วก็ทิ้ง เดินผ่านไปเฉยๆ เหมือนไก่เห็นพลอย ไม่เอาละ ชอบเมล็ดข้าวเปลือกมากกว่า ลิงเจอแหวนก็ทิ้งแหวน เจอกล้วยไปเอากล้วยดีกว่า อะไรอย่างนี้ มันไม่เห็นค่า น่าสงสาร แล้วไม่เอา ไม่กระทำเอา ไม่พยายามเอา ไม่ได้ล่วงเลยมา ละเลยมา ผ่านเลยมา เสียดายส่วนกลาง

เพราะฉะนั้น ข้ามโลกหน้าก็คือ ผู้นี้ก็เหมือนกันแหละ ก็ข้ามหรือเลยก็เหมือนกัน ไม่ใส่ใจ ในโลกหน้า ไม่ศึกษาโลกหน้า ไม่คว้าเอาโลกหน้ามาให้ได้ มันคล้ายกัน ผ่านโลกหน้า เพราะไม่รู้ โลกหน้า เพราะฉะนั้น แม้แต่จะบอกข้ามโลกหน้า แปลเป็นไทยอย่างนี้นะ หรือ จะทับศัพท์ลงไป ว่า ข้ามปรโลกเสียแล้ว เขายิ่งจะมืดหน้าเลยตอนนี้ ข้ามปรโลกเสียแล้ว มันไปข้ามปรโลกได้ อย่างไร เราพูดกันอยู่นี่ ยังไม่ทัน ปรโลกเขาไปแปลเป็นอนาคต หมด หา...ก็ได้ เอาตีความไป อย่างนั้นก็ได้ คือเป็นคนที่มองข้ามก็ได้ แต่ปรโลกนี่เขาแปลกัน บอกแล้วอธิบายตรงนี้ อธิบายว่า ปรโลก เขาหมายความว่า ตายแล้วค่อยจะไปถึงใช่ไหม ตายแล้วเราถึงจะไปสู่ โลกที่เราตายแล้ว เพราะฉะนั้น จะไปข้ามได้อย่างไร เรายังอนาคตอยู่เลย ยังไม่ถึงปรโลก ไปข้ามมันได้อย่างไร มืดหน้าเลยคนฟัง มันพูดภาษาอะไรวะ

ทีนี้ ถ้าคนที่ไม่เข้าใจ เขาก็จะคิดตามความเข้าใจของเขา แก้สำนวนนี่แหละ พระไตรปิฎกเพี้ยน คำสอน เพี้ยนมาตามอันนี้ เขาแก้สำนวน เพราะฉะนั้น มันไม่เข้าใจ มันน่าจะหมายความว่า อย่างนี้นะ แก้เลย นี่ดีว่าเขาไม่ สำนวนที่เขาแปลตามพยัญชนะมาไม่แก้ อาตมาก็ตามไปหา พระบาลี ภาษามันก็ชวนงงอยู่แล้วในภาษาคน โลกที่คิดเขาว่า เขาจะเข้าใจยาก แต่อาตมา เข้าใจนะ แต่อาตมาต้องการความแน่ใจให้ไปถึงรากเหง้าซิ นึกอยู่เหมือนกันว่า โลกหน้านี้ จะตรงแน่เลยว่าปรโลก แล้วมันจะมีอะไรก็จริง วิติณณะ นี่ก็คือ ข้ามโลกไปแล้ว โลกหน้า ปรโลกัสสะ ก็ถูกตรง เขาไม่ได้เบี้ยว เมื่อไม่เบี้ยว ชัด แล้วอาตมาเอามาขยายได้ ถ้าเบี้ยว อาตมา ก็ต้องทะเลาะกันแล้วนี่ ซึ่งอาตมาก็เลยต้องทะเลาะกันอยู่หลายเจ้านี่

สรุปแล้ว ก็ผู้ที่ล่วงธรรมอันเอก หรืออย่างเอกนี้ ก็คือโลกุตรธรรม คือหมายความว่าละเลย แปลว่า ละเลย นี่เข้าใจง่ายกว่า ภาษาธรรมะก็ว่ามัน อตีตัสสะ มาทำให้สิ่งนั้นผ่านไป ไม่ได้ปรโลก แปลอย่างนี้ จะชัดขึ้นไปเลย ไม่ได้ปรโลกเสียแล้ว หรือไม่มีเนื้อหาของปรโลก ถ้าจะทับศัพท์ปรโลกน่ะ ทับศัพท์โลกหน้า ไม่ได้โลกหน้าไว้ให้ตัวเอง หรือตัวเองเข้าสู่โลกหน้า ไม่ได้ ตัวเองเข้าสู่โลก นี่แปลว่า โลกหน้ามันก็ยังติดอยู่ เพราะว่าเราเคยชิน เข้าสู่โลกของ พระพุทธเจ้า เข้าสู่โลกุตระนั่นเอง เอาให้ชัด ไม่ได้ เพราะฉะนั้น อันนี้ก็คือ ผู้ที่เข้าสู่โลกุตระ ไม่ได้เสียแล้ว ไม่พึงทำบาปย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น คนที่เข้าสู่โลกุตรธรรมไม่ได้ ย่อมทำบาปอยู่ แน่นอน ไม่พึงทำบาปไม่มี คนตระหนี่ ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้

เทวโลกคำนี้ มันจะแปลเป็นความหมายโลกียะก็ได้นะ คนตระหนี่ก็รวยน่ะซี ใช่ไหม รวยซี ก็มีเงินซี มีเงินแล้วก็เอาไปซื้อสวรรค์เสพก็ได้ แล้วจะว่าไปสวรรค์ไม่ได้อย่างไร ไปเทวโลกไม่ได้ อย่างไร ได้เทวโลกหลอก คนตระหนี่ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้ เอาละ ไม่ต้องขยายความต่อน่ะอันนี้ ถ้าจะขยายอีกก็ได้อีกเยอะแยะ หลายมุมด้วย คนตระหนี่ไปได้ก็ไปเทวโลกปลอม หรือตระหนี่ จริงๆ แม้เก็บเงินเก็บทองได้ ก็ไม่ซื้อเสพไม่บำเรอ โอ้โฮ! กองเป็นภูเขาเลากา ไม่ใช้บำเรอตนเลย ไม่ซื้อหาสวรรค์เสพเลย ขี้เหนียว หวง เสียเงินเสียทอง ก่อนตายก็บอก ไหนดูซี ยอดของฉัน มีเท่าไหร่ แล้วก็ตายไป โอ้โฮ! ชาตินี้ได้หมื่นแสนล้าน ขี้เหนียวจนกระทั่งไม่ทำอะไรเลย ไม่กิน ไม่ใช้ให้แก่ตัวเอง ไม่บำเรอสุขอะไรเลย ก็ไม่มีเทวโลกเลยแน่อย่างนี้ ก็ตระหนี่ ตระหนี่จริงๆ แบบนี้ ตระหนี่เป็นจริงๆเลย ก็คงหายากเหมือนกันนะ ตระหนี่แบบนี้ เพราะฉะนั้น ตระหนี่ก็คือ ไม่ให้ใคร ได้มาฉันก็ร่ำรวย ได้มาฉันก็บำเรอตน ก็เป็นโลกโลกีย์หลอกๆ

แต่แท้จริงแล้ว คนตระหนี่ ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้เลย เทวโลกตัวนี้ก็คือ แปลว่า สวรรค์แท้ เทวโลกตอนนี้ ต้องหมายถึงสวรรค์แท้ คนพาลเอื้อเฟื้อเจือจาน ไม่เอาเปรียบเอารัด เสียสละ สร้างสรร เกื้อกูล เป็นคนมีคุณมีประโยชน์ในโลก แต่แท้จริง เอาเปรียบเอารัด ตักตวงกอบโกย หลอกพราง จนคนอื่นรู้ไม่เท่าไม่ทัน อันธพาลแบบนี้ไม่รู้จะทำอย่างไร แก้ปัญหามันไม่ตก ตรงคนที่ มันเก่งอย่างนี้ เก่ง ฉลาด ยอดเยี่ยม โดดเด่นก้าวหน้า ทว่าล้มเหลว เลวซ้อนความเลว เพราะเก่งแล้วทราม ทั้งกินเกียรติกาม สูงเด่นงดงาม อยู่ โอ้โฮ หรูหรา ฟู่ฟ่า งดงาม กิน เกียรติ กาม พร้อม แล้วมันก็ฝัง ความทรามลงไปในสังคมให้คนหลงตามกันไป คุณก็เคยหลงตาม กันมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย อย่างนี้ มันยากแล้วมันไม่ดี

อันนี้อาตมาขยายความให้มันละเอียดๆ ให้ฟัง เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า โอ้โฮ พารากราฟนี้ สูตรนี้ อ่านแล้ว อื้อฮือ มันซ้อนเชิง ซ้อนนะ ลึกซึ้งนะ อาตมาไม่ใช่ดูถูกพวกเรา ก็ไปอ่านดูเถอะ คุณจะเข้าใจ ได้ง่ายๆหรือนี่ ขยายความกันมาขนาดนี้ ว่าไหมคุณเมฆผา แหม ตอนนี้ modernization ทันสมัยเปี๊ยบเลยนี่ชื่อ เมฆผา ได้ใหม่ๆ ในงานอันเป็นมงคล คือปลุกเสกคราวนี้ ใช่ไหม? อ่านภาษาไทยแท้ๆ ก็ไม่ใช่เข้าใจง่ายๆ เมื่ออ่านพวกนี้ไม่รู้เรื่องอย่างที่ อาตมายกตัวอย่าง ให้ฟัง บอกว่าคนล่วงธรรมอย่างเอกเสียแล้ว หรือว่าข้ามโลกหน้าเสียแล้ว อะไรวะ ข้ามโลกหน้า ไม่รู้เรื่อง ผ่าน เพราะมันหยั่งไม่ถึงน่ะ มัน ก็...รู้แล้วล่ะ ข้ามเป็นข้าม โลกหน้าคือโลกหน้า จบ ไม่ต้องไปขยายความมาก ปวดหัว เพราะขยายไป มันก็ยังไม่ถึง ขยายไปยังไม่เข้าใจชัด

ถ้าได้ฟังธรรมะอาตมาแล้ว เมื่อคุณเข้าใจปรโลก ปรโลกัสสะนี้ วิติณณะปรโลกัสสะ คุณก็จะรู้ว่า อ๋อ! คนที่ได้ละเลย ไม่ได้ปรโลกนี้เสียแล้ว ก็ย่อมเป็นคนที่อย่างนี้ ไม่พึงทำบาป ย่อมไม่มี คนตระหนี่ย่อมไปสู่เทวโลกไม่ได้ คนพาลย่อมไม่สรรเสริญทานโดยแท้ ส่วนนักปราชญ์ อนุโมทนาทาน เพราะการอนุโมทนาทานนั่นเอง ท่านย่อมเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า มีความสุข ในโลกหน้า เพราะอนุโมทนาทานนั่นเอง ท่านย่อมเป็นผู้มีความสุขในโลกหน้า โลกหน้าไหนล่ะ? ปรโลก เพราะฉะนั้น ปรโลกอยู่ในนี้ ไม่ต้องไปตายแล้วค่อยเป็นสุข อ้า! ลิ้มรสให้มันทันทีทันใดซี suddenly เห็นไหมน่ะ เมื่อวานนี้ใครน่ะ เทศน์บอกว่า suddenly มุทุกันโต แหม suddenly เสียด้วย คนที่ เรียนเมเจอร์ภาษาอังกฤษ เขาเรียนมา แหม suddenly ตาม แหม suddenly เสียด้วย ทันที ทันใดเลยเดี๋ยวนี้ซิ โลกหน้าเดี๋ยวนี้ suddenly อย่าไปรอโลกหน้าอนาคตโน่น แหม! มันพิสูจน์ กันไม่ได้

แต่ถ้าพิสูจน์นี้โลกหน้าเดี๋ยวนี้ สัจจะพระพุทธเจ้าท้าทายให้มาพิสูจน์เอง เอหิปัสสิโก ไม่ใช่ไป รอกัน โอย! แล้วคนที่พิสูจน์โลกหน้า ก็ไม่ยอมมาบอกเราสักที ตายไปแล้วก็หายไป มาเข้าฝัน ก็ไม่จริงสักทีหนึ่ง โอ้ย! อย่างไรจะชัดแท้ แล้วจะพิสูจน์อย่างไร มันจึงจะยืนยัน ชัดแท้ ไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ ยืนยันกันได้ ท้าให้พิสูจน์ด้วย คุณทำถึงคุณได้ คุณทำไม่ถึง ไม่ได้ มันอยู่ตรงนี้ เท่านั้นแหละ เสร็จ ถ้าคุณทำถึงคุณได้ ทำไม่ถึงอยากรู้ว่านิพพานเป็นอย่างไร ทำนิพพานให้ได้ ท้าทายให้พิสูจน์เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปนิพพาน ไม่! นิพพานเดี๋ยวนี้ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ คุณทำถึงเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ รู้เดี๋ยวนี้ พอรู้กันแล้ว ก็ อ๋อ! นิพพานเข้าใจแล้ว จิตมันว่างจากกิเลส อย่างนี้ เดี๋ยวนี้ เป็นเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น ได้โลกหน้า ได้ปรโลก ได้โลกุตระ ปรโลกตอนนี้จึง หมายถึงโลกุตระ

อาตมาขอพูดต่อไปนิดหนึ่งว่า ถ้าไปถึงขั้นข้อที่ ๑๐ นะ ตอนนี้เอามาไว้นิดหนึ่ง ถ้าไปถึงขั้นข้อที่ ๑๐ ภาคสมณพราหมณ์ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจะ โลกัง ปรัญจะ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ภาคสมณพราหมณ์ นี่

สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลก ถ้าผู้ใดเห็นว่า นัตถิ โลเก เอานัตถิเติมเข้าไปข้างหน้า นัตถิ โลเก สมณพราหมณา นัตถิ แปลว่า ไม่มี ไม่เห็น ไม่ได้ ผู้ใดไม่เห็นสมณะแบบนี้ หรือไม่มีสมณะ แบบนี้ เป็นอาจารย์ เป็นครู เอาง่ายๆ ผู้นั้นก็ยังมิจฉาทิฏฐิอยู่ นอกจากผู้นั้น จะเป็นปัจเจกภูมิ ไม่ใช่สาวกภูมิ ปัจเจกภูมิหมายความว่ามีของตนเอง บอกก็ได้ อย่างอาตมาเป็นต้น มีของตนเอง ถ้าคุณไม่เป็นปัจเจกภูมิ คุณจะต้องมีอาจารย์ คุณจะต้องเจอสมณพรหมณาผู้นี้ ผู้นี้ท่าน บอก บรรยาย ในเนื้อความบอกว่า จะประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศ ก็ขยายความสมณพราหมณานั้น ขยายสมณะนั้น สมณะนั้นเป็นผู้ ประกาศโลกนี้ โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง เพราะท่านได้แจ่มแจ้งได้ เพราะอะไร เพราะท่านรู้ยิ่งด้วยตนเอง เป็นปัจเจก หรือ เป็นผู้ที่มีแล้ว ปัจเจกหมายความว่า เดี๋ยวนี้คุณก็เป็นปัจเจกได้

คุณได้พังอาตมาไป แล้วคุณก็เอาไปปฏิบัติเป็นของตนเอง สิ่งที่คุณได้เกิด สยัง อภิญญา ในตนเองนั่นแหละ คือคุณได้เองเป็นเอง เรียกว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ นั่นแหละ เรียกว่า ปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเอง ทำของตนเอง จนรู้ได้ด้วยตนเอง เห็นได้ด้วยตนเอง ของตนเองนั้น เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ นี่คือ สยัง อภิญญา ของคุณ ความรู้เองอันนี้ ของคุณ เกิดบัดนี้ แต่เป็นสาวกภูมิก็ได้ ถ้าได้อันนี้แล้ว ต่อไปได้อีกไหม มีติดไปกับตัวไหม ไปได้แน่แท้ ไปอีกชาติหน้า คุณไม่มีครูสอน คุณก็มีนี่แหละเป็นปัจเจกของคุณแล้ว ไม่มีครูสอน แล้วมันก็ยังอยู่ มันเที่ยงแท้น่ะ

บอกแล้วว่า สัจธรรมของพระพุทธเจ้าที่สมบูรณ์ที่สุดนี้เที่ยงแท้ พระโสดาเที่ยงแท้ต่อนิพพาน ความเที่ยงแท้ที่ได้จริงแล้ว สุดยอดแล้ว เป็นหนึ่งเดียวไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยงแท้ไม่แปรปรวน เพราะฉะนั้น อย่างที่คุณทำได้ ให้มันถึงที่สุดจบ ได้เท่าไหร่ มันยิ่ง.. คุณไม่ต้องห่วงว่า มันจะหายไปไหน ไม่หาย จะเกิดอีกกี่ชาติ กี่ชาติๆๆๆๆ ก็ไม่ต้องกลัว ข้อสำคัญ เอามันให้ได้ แต่ชาตินี้ก่อนนะ นี่มันน่ารีบเอาไหม น่ารีบเอาจริงๆ พูดไปแล้วก็หมดเวลา สีแดงขึ้นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่พบ แค่คุณไม่พบพระอริยะที่เป็นสมณพราหมณ์ ผู้ประกาศ โลกนี้ โลกหน้า แล้วโลกหน้าที่ประกาศนี้ เขาประกาศมาเยอะแล้ว มีผู้ประกาศโลกนี้โลกหน้า ตั้งเยอะ ตั้งแยะ แล้วไอ้โลกนี้ โลกหน้าอย่างนั้นน่ะ มันเป็นอย่างไรล่ะ ไม่เหมือนอาตมาประกาศนะ เพราะฉะนั้น ใครเห็นว่าโลกนี้โลกหน้า อาจารย์เหล่านั้นประกาศถูก คุณก็ไปสัมมาทิฏฐิ กับอาจารย์เหล่านั้น

ถ้าคุณเห็นว่า อาตมาประกาศโลกหน้าอย่างอาตมาประกาศถูก คุณก็มาสัมมาทิฏฐิกับอาตมา ใครก็เถียงสัมมาทิฏฐิทั้งนั้นแหละ อาตมาก็เถียงว่าสัมมาทิฏฐิ เขาเข้าใจอย่างนั้น ซึ่งตรงกันข้าม กับอาตมาเสียด้วย เขาก็ว่าของเขาสัมมาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น สัมมาทิฏฐินี่ ต่างคนต่างสงวนสิทธิ์ ต่างคน ต่างแย่งนะ เพราะฉะนั้น ใครจะได้สัมมาทิฏฐิแท้ หรือไม่แท้ มันก็อยู่ที่คุณที่มีปัญญา เท่าที่คุณโง่ คุณมีเท่าไหร่ก็เท่านั้นแล้ว คุณต้องตัดสินเอาเอง คัดเลือกเฟ้นเอาเอง อันนี้มัน จริงๆเลยนะ อาตมาไม่รู้จะอธิบาย จะพูดว่าอย่างไร มันบังคับกันไม่ได้เลย ถ้าบังคับได้ อาตมา ไม่ต้องมานั่งปลุกเสกให้ยากหรอก แต่ละวันๆ เชิญมาบังคับให้มีปัญญาไปวันละหมื่นคน ให้ได้ เมื่อยก็จะพยายามทำ บังคับให้มีปัญญาให้ได้ บังคับเอาวันละหมื่นคน ประเดี๋ยวประเทศไทย ก็เจริญเท่านั้นเอง เพราะบังคับให้มีปัญญาได้ มันบังคับไม่ได้ จะโง่ จะฉลาด มันก็เท่านั้น

ตรงนี้แหละ เป็นเรื่องที่อาตมาวันนี้พูดเปิดเผย วันนี้พูดอะไรมากขึ้น เหมือนกับอวดตัว อวดตน สมณพราหมณาผู้นั้นคืออาตมา ประกาศโลกนี้ โลกหน้า อย่างนี้ ด้วย สยัง อภิญญา อาตมา ไม่ได้เรียนมาจากใคร สยัง นี่แปลว่า ตนเอง อภิญญา แปลว่า ความรู้ ยอดรู้ อภิญญา ความรอบรู้ ยอดรู้อันนี้วิชาอันนี้ อาตมามีเอง รู้เองมา แล้วอาตมาเอามาประกาศ ประกาศ อยัง โลโก ปโร โลโก อันนี้ไม่ใช้คำว่า อยัง ใช้อิมัญจะ อิมะ อิมัญจะ แล้วก็ ประ ปรัญจะ ประ ปรโลก อยู่แล้ว ตัวหลังน่ะ ปะระอยู่อย่างเก่า แต่ตัวแรก อิมะ อิมัญ โลกนี้ นั่นแหละ เพราะฉะนั้น อันเดียวกัน นั่นแหละ อิทะ อิมะ อยัง โลกนี้ ทั้งหลายทั้งแหล่ ที่เราร่วมอยู่รู้

อาตมาประกาศโลกนี้โลกหน้าอย่างนี้ ให้กระจ่างให้ชัด ให้พวกคุณรู้จักโลกนี้โลกหน้า จนพิสูจน์ รู้จักโลกนี้ เหมือนแสนวิจิตร เปรียบประดุจราชรถ เสร็จแล้ว เราก็ไม่ติดจมอยู่กับราชรถนี้ เพราะว่า เราไม่ใช่คนเขลา เราก็ไม่ได้หมกอยู่ เราก็หลุดออกมาได้อย่างนั้นจริงๆ ท้าให้คุณพิสูจน์ ว่า คุณจะหมกอยู่ หรือจะหลุดออกมา ใครยังหมกอยู่ คุณคนหนึ่งใช่ไหม จะหมกอยู่อีก นานเท่าใด เอาผ้าใยบัวมาเช็ดภูเขาให้สึกราบขนาดเป็นภูเขาเรียบราบกี่ลูก ภูเขาสึกกี่ลูก จะหมกอยู่กี่ลูก ภูเขาสึกเอาผ้าใยบัวมาลาก ร้อยปีมาลากทีหนึ่ง แล้วมันก็สึก จนภูเขาสึกราบเลย ภูเขาสิเนรุนี่ ไม่ได้เถียงพระพุทธเจ้า ก็พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่าอย่างนั้นน่ะ หา มันนานกัปหนึ่ง น่ะ ขนาดนั้นน่ะ แล้วจะโอ้โฮ! กัปเดียวก็ไม่ไหวแล้ว แค่คิดกัปเดียว ก็ตายแล้ว แล้วยังอีก มหาแสนกัปอีก ไอ้ย่า! ยังยี่สิบมหาแสนกัปอีก นั่นเป็นพระพุทธเจ้าน่ะ นานที่จะเป็น ยี่สิบมหาแสนกัปนั่น พระพุทธเจ้า ยี่สิบอสงไขยมหาแสนกัป เอาละ อาตมาขยาย ความไป ก็มีคำพูดมากนะ นี่ เอาอันนี้ เอา

บทที่ ๑๐ นี้มาเติมไว้หน่อยหนึ่ง ให้เห็นว่าเรื่องนี้ โลกนี้ โลกหน้า นี่ไม่ใช่เรื่องเล่น คนจะอธิบาย โลกนี้โลกหน้าได้ชัดเจน แล้วท้าทายให้คุณพิสูจน์ด้วย จนกระทั่งคุณมีโลกนี้โลกหน้าได้จริง คุณมีจริง คุณจึงเชื่ออาตมา คุณจะเชื่ออย่างพ้นวิจิกิจฉา คุณจะเชื่ออย่างศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ อาตมาไม่ได้บังคับความเชื่อคุณเลย คุณไม่เชื่อ อาตมาก็ไม่ง้อ จริงๆ เพราะฉะนั้น คุณไม่ได้ คุณก็ไม่เชื่อ คุณได้คุณจึงจะเชื่อ แล้วอาตมาต้องการคนที่จะเชื่อเพราะคุณได้ มากกว่า คนเชื่ออะไรๆก็เชื่อ พูดอะไรนิดหน่อยก็เชื่อ หลอกง่ายๆ อาตมาอยากได้คนถูกหลอก ง่ายๆ หรืออยากได้คนที่ไม่ถูกหลอกง่ายๆ ฮื่อ! มีหรือ คนเราคนฉลาด จะต้องไปอยากได้ คนถูกหลอกง่ายๆ แต่ในโลกนี้ คนเขาอยากได้คนถูกหลอกง่ายๆ หรือคนที่ถูกหลอกไม่ง่าย ในโลก ในโลกเขาอยากได้คนที่ถูกหลอกง่ายๆ

แต่อาตมาพูดด้วยความจริงใจนะ เพราะฉะนั้น จึงคัดเลือก จึงทำอย่างไม่ง้อ คล้ายๆ ไม่ง้อ อย่างนี้ เพราะไม่ต้องการคนที่ถูกหลอกง่ายๆ คนที่ถูกหลอกง่ายๆ คือคนโง่ แล้วเอาคนโง่ มาทำอะไร ทำสากกระเบือยังทำไม่ได้เลย นี่ภาษาไทยนะ แล้ว ชัดไหม คนโง่นี่ เอามาทำ สากกระเบือ ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะเอามาทำอะไร มีประโยชน์กว่านั้นน่ะ เอามาทำไม ให้หนัก ให้เมื่อย อาตมาต้องการคนมีปัญญา คนที่เข้าใจอย่างถึงสาระสัจจะได้ชัดๆ อย่างนี้ เสร็จแล้ว มาสอน ขนาดนี้คุณว่าคุณฉลาดไหม ฉลาดไหม ยังเมื่อยขนาดนี้เลย ขนาดว่าตัวเองฉลาด แล้วอาตมาเชื่อว่า คุณพูดจริง คุณก็ไม่ยอมว่าคุณโง่หรอก คุณก็เชื่อว่าคุณฉลาด อาตมาก็คัด เลือกมาแล้ว อาตมาก็เชื่อว่าคุณฉลาดจริงๆ อาตมาคัดมันได้ฉลาดเท่านี้ อยากได้ฉลาดมาก กว่านี้อยู่ แต่มันได้เท่านี้ ไม่รู้จะทำอย่างไร มันได้คนฉลาดจริงๆ อยู่ แล้วมันได้แค่นี้ มันได้ฉลาด เท่านี้ แต่แน่ๆว่าคุณฉลาด ก็ขนาดว่าคุณฉลาด คุณเชื่อว่าคุณฉลาด อาตมาก็เชื่อว่าคุณฉลาด อาตมายังเหน็ดเหนื่อยหนักหนาอยู่ขนาดนี้ แล้วอาตมาจะไปเอาคนโง่มาทำอะไร

อาตมาไม่ต้องการลาภ ยศ จากคุณที่เอามาประเคนให้ อาตมาจะต้องไปหลอกคุณมาทำไม เพราะอาตมาไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้น อาตมาต้องการคนมาพัฒนา ให้คุณนั่นแหละพัฒนาขึ้น ไม่ได้ไปหลอกเอาคุณมาแล้ว ได้มาล้วงตับกินไส้คุณ จะได้เงิน ได้ทอง ได้ลาภ ได้ยศ ได้คำ สรรเสริญ เยินยอ คุณก็มานั่งป้อยอ อาตมาก็ยิ่งจะใหญ่ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ป้อยอ อาตมา ก็ใหญ่ในโลก เสร็จแล้วอาตมา ก็สวาปามโลกียสุข เสวย

อาตมาไม่ต้องการ สิ่งเหล่านั้นแล้ว ไม่เชื่อก็ช่าง อาตมาทำอย่างนี้ เพราะฉะนั้น อาตมาจะต้อง ไปเอาคุณมาทำไม จะเอาประเภทโง่ๆ มาให้โลกียะ อาตมาไม่เอาละ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข โลกียะ อาตมาเอามาเพื่อที่จะทำงานกับคุณ เหนื่อยก็จำเหนื่อย เหนื่อยก็ยังสู้เหนื่อย ยินดีที่จะเหนื่อย เพราะฉะนั้น เรื่องอะไรจะเหนื่อยมาก เอาแต่คนโง่ๆ มาสอน โง่ตาย โง่ไม่เกิด ไม่ผุด เพราะฉะนั้น ไม่เอาละ เอาคนที่คัดมาให้ฉลาดแค่นี้มาสอน ก็ยังเมื่อยเหนื่อยมากแล้ว ฟังให้ชัดๆ อาตมาพูดวนไปวนมา ซ้อนเชิงให้ฟัง แล้วคุณจะเห็นชัดจริง

นี่เป็นสัจจะที่อาตมาพูดจากใจ เป็นอย่างนี้ เอาละ มันหมดเวลาลงแล้ว อาตมาก็พูดไปอีก บอกแล้วว่า แม้ตั้งใจว่า จะขยายให้มันเลยข้อนี้ไปบ้าง ให้เข้าไปถึงโลกนี้บ้าง โลกนี้แล้วน่ะ ยังไม่ขึ้นโลกหน้าใช่ไหมนี่ เพิ่งจะโลกนี้อยู่ ยังไม่ก้าวขึ้นโลกหน้าเลย แต่มันก็ได้อธิบายโลกหน้า ไปบ้างแล้วล่ะ พอไปถึงโลกหน้า ก็จะง่ายขึ้น แล้วก็ขยายไปเจาะนัยโลกหน้า ให้ละเอียดขึ้นไป กว่านั้น เข้าใจดี แล้วคุณก็เป็นคนโลกหน้าให้ได้ เรียนแล้วมันต้องทำจนได้ จะยากจะเย็น อย่างไร ก็ต้องเอา เพราะสิ่งประเสริฐสิ่งวิเศษมันอันนี้

เอ้า เอาละ พอ

สาธุ


ถอด โดย นายจอม ศรีสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๑๕ เม.ย.๓๕
พิมพ์ โดย สม.มาบรรจบ
ตรวจทาน ๒ โดย เพียงวัน ๕ พ.ค.๓๕
:2312K.TAP