บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๑ หน้า ๒
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๓๗ เนื่องในงานพุทธาภิเษกฯ ครั้งที่ ๑๘
(ต่อจากหน้า ๑)


แต่โลกุตระ บุญนิยมนั่นน่ะ สร้างเหมือนโลกียะ สร้างเหมือนพวกทุนนิยม แต่เราไม่ได้ใช้ระบบทุนนิยม สร้างแล้ว เราก็มีประโยชน์คุณค่าจริง เพราะเราให้จริง ยิ่งเก่งเท่าไร ยิ่งสามารถเท่าไร ก็ยิ่งสร้างได้มาก สร้างสรรได้เยอะ มีความรู้ความสามารถ เป็นนักก่อนักสร้าง คุณจะมีโรงงาน นี่เราก็เริ่มมีโรงงานขึ้นมาแล้ว คุณจะมีคนงาน มีพรรคมีพวก มีหมู่ มีกลุ่ม ช่วยกันสร้างสรร สร้าง เพราะเราต้องกินต้องใช้ โลกทุกวันนี้ ยิ่งไม่มีอะไร จะกินจะใช้ มันร่อยหรอ มันขาดแคลน มันทำลายแม้แต่วัตถุดิบ หรือมาปรุงมาแต่งมาใช้นี่ มันก็น้อย ขึ้นมาแล้ว เพราะมันพร่อง โลกพร่องอยู่เป็นนิจ มันพร่องไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราต้อง มาสร้างช่วย แต่สร้างอย่างเรานี่สร้างอย่าง "บุญนิยม" ไม่ใช่สร้างอย่าง "ทุนนิยม" แต่ก็ทำเหมือนทุนนิยม เขาทำทุกอย่าง ก็สร้าง แต่ก็ไม่ทำเหมือนทุนนิยมเขาทำ ตรงที่ไม่เอาระบบที่จะต้องไปเห็นแก่ตัว ระบบเป็นหนี้ ระบบ ไม่เป็นบุญ เข้าใจขึ้นไหม นี่พุทธเป็นอย่างนี้ พุทธไม่ได้หนีเป็นฤาษีชีไพรไปไม่สร้าง ไม่ทำอะไร ไม่เอาท่า ไม่ทำอะไร ปิดเงียบ ยิ่งหนี ยิ่งไปอยู่ป่า อยู่เขา อยู่ถ้ำ หลบลี้ ไปไม่รู้อยู่ที่ไหน หาไม่เห็น ไม่มีประโยชน์ คุณค่าอะไรเลย แล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ได้พิสูจน์ว่าเขาเอง เขาอยู่เหนือมันหรือไม่ก็เขาหนีมัน

พระพุทธเจ้าท่านตรัส มีตัวอย่างของคำสอนที่ซับซ้อนลึกซึ้ง คือโรหิตัส โรหิตัสสูตรนี่ สูตรของโรหิตัส โรหิตัส เป็นชื่อของ เทวดารูปหนึ่ง เขาก็บอกว่าเขาเองเขาเกิดมานี่ เขาพยายามที่จะไปให้ไกลสุดโลก มีวัน มีเวลา เขาก็พยายาม เอาวันเอาเวลาเพื่อไปให้ไกลสุดโลก หนี! ไปที่ที่มันจะไม่มีกิเลส ไม่มีทุกข์ ไปสู่โลกที่ไม่มีทุกข์ ก็หนีตะพึด ฟังให้ดีๆ เป็นธรรมะ ก็เหมือนกับฤาษีชีไพรนั่นแหละ หนีไป บางคนหนีคน เบื่อคน คนๆ นั้น กำลังโง่ ลงไปทุกที

คนจะไปเบื่อมันทำไม ก็เหมือนกันกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราไม่ต้องไปเบื่อมันดอก แต่ว่าวางให้มันเป็น อยู่เหนือมันให้ได้ อย่าไปเป็นทาส ไปเป็นอะไรกับมันแล้วให้ได้ อย่างที่อธิบายไปแล้ว เพราะฉะนั้น ขืนเบื่อ เมื่อไร นั่นกำลังฤาษีเข้า โรคฤาษีเข้าแล้ว เบื่อคน เบื่องาน เบื่ออะไรต่ออะไรที่มันเป็นของคน สังคมมนุษย์ นี่เบื่อ ไอ้ที่เบื่อนั้น เบื่อแบบฤาษี ชังแล้วก็หนี มันไม่ใช่นิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณ ไม่มีภาษาไทยจะแปล เขาก็แปลว่าเบื่อ เบื่อหน่ายนี่ มันเป็นเรื่องลักษณะไม่ทุกข์ มันยิ่งวาง ยิ่งเบื่อหน่าย ยิ่งปล่อย ยิ่งวาง มันยิ่งสุข ไอ้เบื่อหน่าย ไอ้นี่มันอยากวิ่งหนี ไอ้อยากวิ่งหนี มันทุกข์ต่างหาก หลบมันไปชั่วคราวเป็นลักษณะฤาษี หลบหนี มันไปชั่วคราวลักษณะฤาษี มันก็ไม่รู้แล้ว มันก็เนิ่นช้า มันก็ผัดผ่อนไปเท่านั้นเอง ผัดผ่อนไว้ หนักเข้า มันก็ไปไม่พ้นหรอก คุณจะต้องเกิดมาพบมันอีกน่ะ มันไม่ได้ตัดขาดจากกันได้ทางที่ตัดกิเลส คุณอยู่กับเสือ สู้เสือ ชนะเสือได้ คุณก็อยู่กับเสือไป ไม่ต้องหนีอีกแล้ว แต่คุณหนีเสือ คุณก็จะต้องมีวันมาพบเสืออีก แล้วคุณ ก็แพ้มันอีก คุณก็ต้องเกิดมาเจอมันอีก ตามวิบาก คุณไม่ได้สามารถอยู่เหนือมัน เจอมันอีก ดีไม่ดี เสือมันพัฒนาตัวมัน มันยิ่งร้ายกว่าเก่า เอ้าจริง ! มันยิ่งร้ายกว่าเก่า มาเจอมันอีก โอ้โฮ ! ยิ่งหนัก เจอมันอีก ยิ่งหนัก โดยวิบาก โดยความวนเวียน เรียกว่าโลก หรือวัฏสงสารนี่ มันไม่มีหนีกันพ้น

เพราะฉะนั้น ในโรหิตัสสูตรนี่ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ต่อให้นายเทวดาโรหิตัสนี่แกบอกว่าแกหนี มีเวลา แหม เวลาจะหายใจ เวลาจะขี้จะเยี่ยว แกก็เอาเวลาหนีตะพึด เพื่อที่จะไปให้สุดโลก พระพุทธเจ้าบอกว่า มันไม่มีทางหนีได้ดอก ท่านก็สอนตามของท่าน อย่าไปหนีเลย อยู่เหนือให้ได้ อาตมาสรุปง่ายๆ แต่ภาษาเขา มันลึกซึ้ง อาตมาไม่รู้จะพูดอย่างไรน่ะ อยู่เหนือให้ได้ก็แล้วกัน สรุปง่ายๆ ว่าอย่างนี้ก็แล้วกัน

เพราะฉะนั้นของพุทธนี่ จึงไม่ใช่อย่างฤาษีเลย มันง่ายน่ะดูเผินๆ ดูเหมือนว่า เราหลุดพ้นนะ มีนี่ฉันก็โยนทิ้ง มันไปเท่านี้ หลับหูหลับตาลืม เหมือนมันหลุดพ้น แต่ไปเจอมันเข้าอีกล่ะ กิเลสขึ้นอีกแล้ว

ถ้าอย่างนั้น วิธีนั้นไม่ยากดอก มีตาใช่ไหม เจาะตาออกมันก็ไม่เห็นมันแล้วนี่ มีหูใช่ไหม ได้ยินเสียงใช่ไหม ทิ่มหูให้หนวก จมูกมันได้กลิ่น ตัดประสาทจมูก ลิ้นมันได้รส ตัดประสาทลิ้น พวกนี้มันไม่เป็นอัมพาต ตัดประสาทสัมผัส ให้มันเป็นอัมพาตไปเลย ไม่สุข ไม่ทุกข์แล้ว ไม่รู้เรื่อง มันจะไปยากอะไร วิธีที่จะไป นิพพาน แบบนั้นน่ะ ไม่ต้องวิ่งให้มันเหนื่อยยากด้วย ตัดทวารทั้ง ๖ ให้เรียบร้อย เป็นมนุษย์พืช เอ้า ! มนุษย์พืช มันไม่มีวิญญาณแล้วนะ มันมีแต่พลังงาน มันเป็น อนุปาทินกสังขาร เป็นสังขารที่ไม่มีวิญญาณ ครอง อนุปาทินกสังขาร คนนี่เรียก อุปาทินกสังขาร สังขารที่ มีวิญญาณ มันรู้สึก มันรับรู้ มันโน่น มันนี่ มันกิเลส พืชไม่มีกิเลสแล้ว มีแต่พลังงานสร้าง นิพพานแล้ว เอาไหมล่ะ เป็นมนุษย์พืช มนุษย์นิพพาน ถ้าจะเป็นอย่างนั้น มันจะไปยากอะไร เจาะให้หมดเลย นี่มันมี ประสาทรับรู้ทั้งนั้น ตัดประสาทหมด ได้ไปนอน ให้เขาป้อนข้าว ไม่รู้เรื่อง เคี้ยวเอง ก็ไม่เป็นด้วย ประสาท น่ะนะ ท่อใส่ท่อลงไปอาหาร เป็นมนุษย์พืชก็อยู่ไป ให้เขาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว เยี่ยวเอง ก็ไม่เป็น ขี้เองก็ไม่เป็น นี่ก็อธิบายให้เห็นชัดๆ เพราะฉะนั้น โลกุตระของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่อย่างมนุษย์พืช ไม่ใช่อย่าง ลักษณะหนี แต่อยู่เหนือ อยู่เหนือ

ทีนี้จะขอทวนโลกาภิวัฒน์หรือโลกอีกนิดหนึ่ง แล้วจะขอเริ่มต้นเข้าเจาะ เพราะเราพูดกันแต่หยาบมาก็มาก นี่พูดทบทวนอะไรๆมา คนที่เล่าเรียนมา คนที่อะไรมา ก็คงฟังเข้าใจ ฟังดี ฟังได้ ฟังรู้ ฟังตามได้ บางคน อาจจะมี อัตตามานะ ฟังแล้วบอก พูดซ้ำซากวนเวียน รู้หมดแล้วน่ะ หลับดีกว่า เอ็งเก่ง เอ็งรู้หมดแล้ว หลับก็หลับ ก็แล้วแต่นะ อาตมามันคนไม่เก่ง มันก็ต้องวนเรียนศึกษาไปเรื่อยๆ ตามประสาผู้น้อย ค่อยกราบกราน ท่านผู้ใหญ่ท่านก็เอาเถิด ตามสะดวก

เพราะฉะนั้นในโลกา ในโลกนี้ถ้าอนุวัตรตามโลก เป็นไปตามโลกเขาก็คือปุถุชน ก็คือคนโลกๆ นี่ มีอะไรมา เราก็รับรู้เขาไปถึงไหน เราก็จะไปถึงเขา ว่านี่เจริญเราก็เจริญแบบเขาว่า จะต้องปรุงต้องสร้าง ต้องทำอะไร ไปกันใหญ่ เสร็จแล้วก็ทำลายกันไปเลย อะไรคือได้ อะไรคือมี อะไรคือเจริญ อะไรคือ ประเสริฐ เขาก็ว่าอย่างนั้น ตีราคาไป ตีราคาความประเสริฐ คือจะต้องคิดเก่งๆ สร้างเก่งๆ เป็นเจ้าคนเอาอย่างตาม เป็นเจ้าแฟชั่น เป็นต้น คนมันอยากเป็นเจ้าแฟชั่นเยอะน่ะ ดารงดาราอะไรนี่ เขามาเอาตามอย่างฉัน โอย ! เฟื่องเห็นไหมนี่ คนนี้มาเอาอย่างฉัน ฉันแก้ผ้า เขาก็แก้ตาม ฉันทำบ้าๆ บอๆ เขาก็บ้าตาม ระวังเถิดพวกเรา ก็มีเหมือนกัน มันแฝงซ้อนอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม เขามาบ้าทางลดตาม มามีแฟชั่นทางลดมันก็ยังดีน่ะ มาลดละคลาย แต่ไม่ใช่ลด จนกระทั่ง น้อยเกิน ผ้านุ่งก็ไม่ค่อยนุ่ง อย่างนี้มันก็เกินไป มันเกินไปอย่างนี้ไม่เอา นี่ก็พูดให้เห็น มันมีมุม ของมันอยู่บ้างอย่างนี้ ก็มาลด มามักน้อยสันโดษอย่างที่เป็นไปอย่างนี้ เขาจะมาบ้า ตามแฟชั่นอย่างนี้ มันก็ยังดีใช่ไหม มันยังไม่ผลาญพร่า มันยังไม่เหนื่อยมาก แต่นี่บ้าไปตามโลกเขา ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ผลาญพร่า ทำลาย เอาอย่าง แล้วก็หลงใหลไปนั่นน่ะ

อย่าว่าแต่เรื่องของแฟชั่น เรื่องของการสร้างก่อ เรื่องของการร่ำรวย เอาอย่างตามคนอย่างนี้ ทำอย่างนี้ร่ำรวย คนนี้นี่ออกเทป คนนี้นี่เอาดารามาปั้นรวย เลยเกิดไม่รู้กี่ค่าย ปั้นดาราเอาดารานั่นแหละ มาทำปั้น แล้วก็ promote หาเงินหาทอง ผลาญพร่า คนมันจะติดอะไรก็เอากิเลสนี่มาล่อคน เด็กๆ หรือวัยรุ่น วัยหนุ่มๆ สาวๆ มันถึงไม่มีความคิด เป็นของตัวเอง เป็นทาสของสังคม ความจัดจ้านของสังคม มันเป็นทาสของสังคมมาก มันกำลังมีฮอร์โมน มันกำลังใฝ่หารส รสกิเลสนี่แหละ เขาก็ครอบงำง่าย เพราะฉะนั้น พวกเป้าหมาย หนุ่มสาววัยรุ่นนี่ หาเงินจากกระเป๋าพวกนี้มีอยู่เยอะ มีเยอะ แล้วก็เอาวูบวาบ เพราะพวกนี้ มันไม่มั่นไม่คง อะไรดอก มันวูบวาบเปลี่ยนไป จนกว่ามันจะได้หลักของตัวเอง เพราะฉะนั้น มันจะผ่านวัยอันนี้ แล้วมันเป็น ธรรมชาติ ของมันอย่างนั้น เขาก็หากิน เราก็กำลังแย่งประชาชน แย่งหนุ่มสาววัยรุ่นอะไรของโลก เขาบ้าง เหมือนกัน ซึ่งมันก็ยาก แต่ยากก็ไม่มีทางเลือก ต้องทำ เราก็พยายามช่วยหนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นกำลัง ๑๓-๑๔ เดี๋ยวนี้ก็รุ่นแล้ว แต่ก่อน ๑๓ อาตมานี่ว่าอาตมา ๑๓-๑๔ ยังแก้ผ้าอาบน้ำอยู่เลยนะ โดดน้ำตูม ! ตูม ! ตูม ! หัวสะพาน กลางถนน ใครไปใครมา เรากระโดดน้ำตูม! ตูม ! ของเรา อายุ ๑๒-๑๓ เรายังโดดของเราอยู่เลย เดี๋ยวนี้อายุ ๒ ขวบมันก็นุ่งกางเกงใน แล้วก็สอนกัน ไอ้นี่สอนกันทั้งนั้นแหละ อาย ! ทำเป็นเหนียมอย่างโน้น อย่างนี้ มันก็เป็นการสร้างเรื่องความรู้สึกทางเพศ อะไรไปให้แก่เด็ก มันก็โตเร็วน่ะซี แล้วไปบอกมันว่า แหม! อายุยังน้อยๆ น้อยๆ ดัดจริตไปทางโน้น แก่แดด! ก็เขาสอนกันเองทั้งนั้นแหละ พ่อแม่ พี่น้อง ญาติโกโยติกา เพื่อนฝูง สอนมันให้ซับให้มันเรื่อยใส่ให้มันเรื่อย ถ้ามันไม่ซะ มันก็ไม่ เด๋อๆ ด๋าๆ อะไรว่ะ อายด้วยเหรอ อายคืออะไร แปลว่าอะไร มันก็ไม่เกิด แต่นี่มันเกิด เพราะฉะนั้น มันสร้างกันไปหมด เพราะเป็นค่านิยม ไม่ว่าจะเป็น ค่านิยมทางอะไร ทางกาม ทางร่ำรวย ทางโก้เก๋ ทางเป็นอะไรเขื่องๆ เท่ๆ อะไรสร้างหมด ทำท่าอะไรบ้าๆ บอๆ ก็สร้างกันมา เป็นใหญ่เป็นโต เป็นอะไรก็แล้วแต่ พอในฐานะเข้าเป็นคนที่โตหน่อยขึ้นมา อายุ ๒๐-๓๐ ขึ้นมานี่สร้างหลักฐาน ก็ไปมีค่านิยมแบบแฟชั่น อย่างหลักฐาน ต้องเขื่อง ต้องมือถือ ต้องมีรถยนต์ขี่ อายุ ๒๐ ขึ้นมา ๓๐ แล้วก็ชัก แค่อายุในระดับ ๑๕ ขึ้นไปถึง ๒๐-๒๕ บางคน มันก็วัยรุ่นไปจนถึง ๒๕ มันก็ยังวัยรุ่นอยู่ ก็เป็นเรื่องของมัน บางคน มันก็ไม่แล้ว มันวัยรุ่น แค่อายุ ๑๕ ไปถึง ๒๐ มันก็พอแล้ว จาก ๒๐ ไป มันก็ชักจะต้องมีมือถือ ต้องมีฐานะ ต้องมีเสื้อผ้า หน้าแพรแบบไม่ใช่วัยรุ่นแล้ว ตอนนี้ชักมีมาด ชักต้องมีรถยนต์ ต้องมีบ้านเรือน ต้องมีมองไปโน่นแล้ว จะหาหลัก หาฐานแล้ว มันก็ไปตามเรื่อง ตามขั้นตอนของวัย แล้วยิ่งอายุ ๔๐ แล้วมาดอีกอย่าง อายุ ๔๐ ขึ้นมาดอีกอย่าง อย่างตอนนี้อื้อฮือ ! ไม่มีบางทีก็ข้างนอกนี่น่ะ โอ้โฮ ! มาด ข้างในก็ไปถึงก็มีอะไรกินบ้าง มีก้างปลา กินข้าวกับก้างปลา ข้างนอกละทำเขื่อง มาดอะไรหลอกกันไปอยู่อย่างนั้น ไปนิยมชมชื่น กับความหรูหรา ความร่ำรวย ความโอ่อ่า ความอะไรมันมีซ้อนๆ อาตมาพูดอย่างนี้ ก็ไม่ซ้อนเท่าไร

เมื่อเรามารู้แล้วเราก็บอก โธ่ ! มันไม่ต้องก็ได้ แล้วยิ่งเรามีระบบวิธีบุญนิยม เป็นความรวมกัน เป็นพี่เป็นน้อง มีภราดรภาพ สร้างสรรกันแล้ว ก็ไม่ต้องไปสะสมอะไรดอก แม้เราจะมีพลังรวม สร้างสรรได้มาก เราก็สะพัด ออกมากๆ ไม่ต้องสะสมกักดุนไว้ มีแต่พอทุนที่จะหมุนเวียนพอได้ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจทุน แต่ละคน ก็ไม่ดูด เอาไว้ของตัวเอง มันรวมอยู่กองกลาง แล้วก็เป็นทุนกลางที่จะรังสรรค์ ทุกคนมั่นใจในพลังสามารถ พลังความขยัน หมั่นเพียร พลังสมรรถนะที่มี ความสามารถ ความรู้ ความชำนาญสร้าง ทุกวันทำงาน มีงานเป็นบทบาท มีกรรมเป็นที่พึ่ง กรรมแปลว่าอะไร กรรมแปลว่าการกระทำก็ใช่ แล้วแปลว่าอะไรอีก การงาน โอ๊ะ! กรรมนี้ไม่ได้รู้เลยหรือว่าการงาน หา ? ไม่รู้หรือ โอ้! สอนตกหล่นน่ะ สอนตกหล่นมานาน เท่าไหร่แล้วนี่ สัมมากัมมันตะแปลว่าอะไร หา ? การงานชอบ เอ๊ ! มันก็ไม่หล่นนี่น่ะ แต่มันเก็บเอาไม่หมด มันก็ไม่หล่นนี่น่ะ แปลว่าการกระทำ หรือแปลว่าการงาน จำ ! เพราะฉะนั้นคนเรานี่ มีชีวิตอยู่กับการงาน หรือมีชีวิตอยู่กับการกระทำ คุณกระทำอะไรลงไปนั่นแหละคืองาน งานนั้นเรียกโดยภาษาไทยก็คือ สิ่งที่เกิดผล เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นกุศลกรรม ก็เป็นเกิดผลที่ดีหรือกระทำที่ดี แค่เริ่มคิดเริ่มพูด เริ่มลงมือทำ เป็นชิ้นเป็นอัน ลงมือทำก็เกิดแรงงาน เกิดแรงงานก็เกิดงาน แล้วมันก็เป็นผลผลิตออกมาตาม

คำว่า "ดี" นี่ก็หมายความว่าสอดคล้องกับโลก สอดคล้องขอยืนยัน ถ้าเราจะไปปรุงแต่งแฟชั่นแบบโลกๆ ที่เขาเฟ้อๆ มันก็สอดคล้องกับโลกเฟ้อๆ เราปรุงสิ่งที่มันเป็นเนื้อหาแก่นสาร เราก็สอดคล้องกับเนื้อหา แก่นสารของโลก แล้วเราก็มีปัญญารู้เลย บางทีมันอาจจะไม่นิยมมาก แต่มันเป็นเนื้อหาสำคัญ เช่น เราต้อง ทำผ้านุ่ง เพราะฉะนั้น เราต้องมีการทำเสื้อผ้า แต่ไม่ต้องไปเฟ้อเหมือนอย่างเขาเฟ้อ แต่เราต้องนุ่งผ้า เป็นเนื้อหา สอดคล้องกัน แต่การนุ่งผ้าของเราแค่นี้ก็พอ เขาเฟ้อแล้ว เราก็มีลักษณะด้วยปัญญา ถ่วงดุลเขาหน่อย เขานิยมแบบสวย เรานิยมแบบไม่สวย แต่ไม่ใช่เอาอย่างเหม็นน่ะ อย่างเหม็นนั้น ไม่นิยม เหมือนกันอยู่แล้ว เราก็นิยมอย่างไม่สวยนี่แหละ แต่มีประโยชน์ของมันอะไร ประโยชน์ของมัน กันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาด ครบหรือยัง ครบแล้ว มีจบ ไม่ต้องไปแข่งดี แข่งเด่น อย่างนี้ ไม่ต้องไปนั่งมองกัน ของเธอสวยกว่าของฉัน ของเธอดีกว่าของฉัน เชิงนั้นเชิงนี้ ไม่ต้องแล้ว พอ วันๆ คืนๆ เราก็มีสิ่งนี้ ใช้ประโยชน์ สมประโยชน์ของมันสมบูรณ์ มีกิน กินอย่างสมบูรณ์ ไม่ต้องไปเฟ้ออีก มีใช้ ถ้าจะมีเครื่องประกอบ ที่จะสร้างสรรอีก เราก็มีพอสมควร ถ้าสำหรับตัวเราเองแล้ว ไม่ต้องใช้ เครื่องประกอบทุ่นแรง เราก็พอแล้ว แต่ถ้าเผื่อว่าจะสร้างเพื่อผู้อื่นอีก แล้วก็เป็นเนื้อหาที่เราจะต้องสร้างอีก เช่น เราจะต้องทำข้าวให้ได้มากๆ ที่จริงไม่ต้องถึงขนาด ไม่ต้องไปทำนาดอกน่ะพวกเรานี่พอกิน ใช้หมุนเวียน อะไรพวกนี้ ทดแทนก็พอกิน แต่เราเห็นว่าการทำนานี่ มันชักจะหนีกันหมดแล้ว แล้วก็ทำนามีมลพิษ ทำนาขึ้นมา ก็ไปขูดรีด ยังไงๆ เราก็ต้องพึ่งตน ไม่ต้องไปขอคนอื่นกิน เพราะข้าวมันต้องกินแน่ๆ กินข้าว ที่สะอาดบริสุทธิ์ กินข้าวที่เราทำให้ดีๆ แล้วก็ทำไว้เผื่อคนอื่นด้วย การที่เราได้เผื่อคนอื่นได้ มันเป็นฤทธิ์เดช แห่งอำนาจ ที่ยิ่งใหญ่กว่า ผู้มีอำนาจโดยทาน ไม่ใช่ผู้มีอำนาจ โดยขูดรีดข่มขี่ คนฉลาดขูดรีดข่มขี่ จนคนอื่นต้องจำนน เป็นอำนาจชนิดหนึ่ง ยิ่งเจ้าพ่ออย่างนี้ มีอำนาจขูดรีดข่มขี่ได้ เขากลัวน่ะ เป็นอำนาจ ชนิดหนึ่ง นี่ยกตัวอย่างหยาบๆ ไอ้แบบนั้น แบบเจ้าพ่อ แบบลูกทุ่ง ทีนี้เจ้าพ่ออย่างลูกกรุง ขูดรีดโดย คนอื่นเขาซูฮก แหม ! ยิ่งใหญ่ มีแต่คุณงามความดีซับซ้อน เหมือนนายธนาคารใหญ่เป็นต้น เจ้าพ่อใหญ่ ขูดรีด มีลูกน้อง โอ้โฮ ! ซูฮก ความคิดประเสริฐ คนอื่นไม่รู้เลยว่าถูกขูดรีด มันเป็นเจ้าพ่อชนิดคนกรุง จอมโจรบัณฑิต แหมพูดอย่างนี้ อาตมาเท่ากับหาศึก หาศัตรู พอประกาศคำว่านายธนาคารอย่างนี้ ก็เท่ากับประกาศศัตรู ประธานนักกลุ่มธุรกิจใดๆ ก็แล้วแต่ เหมือนกันฉันใดก็ฉันนั้น นั่นแหละ เป็นเจ้าพ่อใหญ่ เก่งในทางวางแผนคบคิด โดยการหาลิ่วล้อมาช่วยคิด ช่วยอ่าน เพื่อที่จะขูดรีดคนอื่น ได้เปรียบมามากๆ คนอื่นก็ได้รับเบี้ยบ้ายรายทาง ที่แจกลูกน้องไปตามลำดับ ข้ารวยเอ็งรวยด้วย แต่อย่ารวยเท่าข้านะ ข้าประธานต้องรวยกว่า นี่ของแน่อยู่แล้ว ใช่ซูฮก ! นาย ฮ่องเต้ต้องยอดกว่าเพื่อน นอกนั้น ก็รองลงมา ใช้วิธีการอย่างคนกรุง จอมโจรบัณฑิต เป็นเจ้าพ่อใหญ่แบบคนกรุง คนเบื้องล่าง ไม่รู้สึกเลยว่า ไอ้คนนี้ดูด ไอ้คนนี้ขูด คนนี้โลภเอาไปเป็นของตัวเองเท่าไร ไม่รู้สึกว่าถูกดูด แต่อยากจะเป็น บริวาร ด้วยซ้ำไป ซูฮก ! แหม ดูดได้แนบเนียน ดูดได้คนไม่เจ็บไม่ปวด ไม่หยาบไม่คาย ใช้วิธีการชาญฉลาด หาวิธีการเอาไปให้ได้มาก เป็นอำนาจ นี่แหละทุนนิยม

แต่พวกเรานี่ยิ่งใหญ่ก็ไม่มี ไม่เอา ไม่เป็นของตัว ไม่ต้องรวย ข้ารวยกว่าแก ข้านี่มีสมบัติส่วนตัวกว่าแก ไม่ต้อง ยิ่งไม่ต้องเท่าไร ยิ่งหมดเนื้อหมดตัวเท่าไร ยิ่งเป็นเจ้าพ่อ เป็นเจ้าพ่อยิ่งไม่มี ยิ่งเจ้าพ่อไม่มี เราก็มาเคารพ นับถือเจ้าพ่อ ที่ยิ่งไม่มีของตัวมากๆ มากๆ

แต่มันก็มีภาวะซับซ้อน มันยิ่งไม่มี มันก็ยิ่งจะมี พวกเราเข้าใจอย่างนี้ ไอ้คนไม่เอานี่อยากให้ เอ้าจริงน่ะ ไอ้คนที่อยากเอา ไม่ให้มันนะ มันอยากได้ มันยิ่งอยากเอา มันยิ่งอยากได้ ใครจะไปอยากให้ นี่เป็นเรื่องของสัจจะ อีกอันหนึ่งเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น คนที่ไม่อยากเอานี่ จริงๆ เลยก็มีเล่ห์เหลี่ยมทำทีไม่อยากเอา ไม่อยากได้น่ะ เขาก็ยิ่งอยากให้ เสร็จแล้ว ก็ซ้อนแฝงพรางลวง ไม่ให้คนอื่นรู้ทัน แท้จริงตัวเองรวยเสียไม่รู้เรื่อง แล้วก็เอาไปฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไปซื้อไอศกรีมกิน ไปเมืองนอกบ้าง ไปซื้อไอ้นั่นไปนั่งเครื่องบิน ไปปีละขบวน ค่าเครื่องบินทีละมากๆ บ้าง อะไรบ้าง อู้ย ! เยอะแยะไป บำเรอตน เสร็จแล้วคนอื่นก็ไม่รู้เท่าทัน แต่โพธิรักษ์ผ่าไปรู้เท่าทันบ้างนิดๆ หน่อยๆ อาตมาก็ยังรู้เท่าทันไม่หมดดอกน่ะ เพราะว่าไปแอบผลาญอื่นๆ อีก อาตมาไม่รู้น่ะ รู้แค่เขาบอก สื่อสารมวลชนเขาบอก อาตมาไม่ได้ไปติดตามดอก ก็แล้วแต่ อะไรก็แล้วแต่ แอบเสพอยู่ในตัวนี่ แม้แต่อยู่ในนี้ ก็ตาม แอบซื้อ อื้อ ! เอาไอ้นี่มา แอบซื้อเสพซื้อใช้อะไรก็แล้วแต่ ซื้อเฟ้อบำเรอตนด้วย ที่เรียกว่า มีวิธีการซับซ้อน มันพอเห็นได้ดอกคนเรา ตรวจสอบได้ ผ้าก็อย่างดีเอามาใช้ เครื่องมือเครื่องใช้เอาอย่างดี หรืออะไรก็แล้วแต่ มันเสพได้ทุกอย่างแหละ แล้วมันก็ซ้อนนะ เสพอะไร ซ้อนๆ ไปได้ ก็อันนี้พวกนี้บ้าง เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น พวกนี้มันก็ยากที่จะแยกอยู่เหมือนกัน ต้องเรียนรู้ แล้วก็รู้ว่าจอมโจรบัณฑิตนี่ ก็เป็นอย่างนี้ นี้ไม่มีหมดดอก ทุกยุคทุกสมัยมีซ้อน แม้แต่อยู่ในนี้ก็ระวัง อาตมาจะหลอกเอาระวัง ทำเป็นมาให้ เดี๋ยวนี้อาตมากล้าพูดได้น่ะ เพราะว่ามีความจริง คนมาถวายทีละล้านก็มีได้ อาตมาก็ไม่นึกว่า ใครจะมา ถวายอาตมาได้ปานนั้นดอก เออ ! ก็มีได้ ถวายเป็นล้านก็ยังมี กล้า เอ๊..ทำไมไม่เสียดายหรืออย่างไรหนอ ? ไม่กลัวอาตมาเอาไปซื้อท็อฟฟี่กินหรือ แปลกดีนะ

นี่มันก็เป็นความจริงต่อความจริง ต้องอ่าน มันจะเป็นบททดลองเหมือนกันน่ะ อาตมานี่ เขามาให้แล้วนี่ เราหวงแหน แล้วเราก็เอามาไว้ใช้ส่วนตัว เอามาทำประโยชน์ส่วนตัว มาไว้สำหรับบำเรอตัว จะได้ซื้อ หรือจะได้แอบซื้อ อันนั้นอันนี้ จะได้แอบใช้แอบทำ แม้ไม่ซื้อให้ตัว เอาไว้สำหรับทำเป็นใหญ่ ไปบริการ มีเงินนี้มาไว้ แล้วเราก็จะได้เก็บไว้ที่เรา คนนี้ขาดแคลน เอ้า เอาไป มันก็เสพ อุ๊ย! ใหญ่น่ะข้ามี ที่แท้คนอื่นเขาให้มา เสร็จแล้วข้าก็เอามาไว้เหมือนของตัว คนนี้ขาดแคลนใช่ไหม ? เอาไป ขาดเท่าไร ๕ หมื่น เอาไป ขาดเท่าไร แสนเอาไป โอ๊ย ! เสพ สุข ใหญ่ ซ้อนทุกอย่าง ต้องศึกษา

นี่อาตมาบอกให้ลึก มันมี เปิดเผยให้ฟัง มันจะเป็นอย่างนี้ซ้อนไป เราจะต้องไม่เป็นเจ้าอำนาจ จะต้องไม่ไป ยึดครองอะไรเป็นอะไร อย่าไปแสดง อย่าไปเอาอันโน่นเป็นของฉัน ฉันมีสิทธิ์ยิ่งใหญ่อะไร มันซ้อนไปหมด

เพราะฉะนั้นในบุญนิยมนี่ จะซ้อนมากซ้อนมายอีกเยอะแยะ ที่เราจะต้องศึกษาเรียนรู้ เดี๋ยวอาตมา จะได้วิเคราะห์ ถึงเรื่องของจิต จะได้พยายามพูดหลักใหญ่ๆ ที่อาตมาจะเอามาขยายความให้ฟัง โพชฌงค์ ๗ อันเป็นหลักอันหนึ่ง ที่อาตมาเอง จะเอามาขยาย ตั้งใจจะขยายในบุญนิยมงวดนี้ พุทธาภิเษกนี้ คือโพชฌงค์ อธิบายมาแล้ว พวกคุณใช้เป็นบ้างแล้ว แต่มันยังมีนัยละเอียดอีก ที่จะอธิบายให้ฟัง ถ้าเรามีโพชฌงค์ในตน ใช้โพชฌงค์เป็น นั่นแหละจอมยุทธ จอมยุทธ เรียกว่า ให้อาวุธแก่พวกคุณ ติดอาวุธโพชฌงค์เข้าเมื่อไรแล้วก็ อาวุธที่คุณจะได้เป็นจอมยุทธใหญ่ โพชฌงค์นี่ เป็นยอดอาวุธ

ส่วนมรรคองค์ ๘ นั้นน่ะ เป็นทุกอย่างในโลก เป็นครรลองของชีวิต ทั้งคิด ทั้งพูด ทั้งกระทำ ทั้งทำงาน การอาชีพ ทำอะไรนี่เป็นครรลองของชีวิตอยู่ในสังคม แต่ส่วนตัวน่ะ อาวุธสำคัญติดตัวต้องโพชฌงค์ มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา ที่ไม่เด๋อ อุเบกขาที่เป็นของพระพุทธเจ้า เราจะได้พูดกัน เราจะได้ขยายกัน เพราะในโลกนี้อาตมาขยายไปบ้าง เมื่อกี้นี้ยกตัวอย่างแฟชั่น ยกตัวอย่าง โลกที่มันจะต้อง ไปเฟ้อ ไปอะไรต่ออะไรกันอีกบ้างนิดหน่อย ตามภาษาของอาตมาที่เคยพูด ไม่ต้องไปเอาภาษา อย่างที่เขาว่า เป็นบทความพวกนี้มาขยายก็ได้แล้ว คุณไปทำความเข้าใจเอา เพราะฉะนั้น ใช้ภาษาร่วมสมัยไป สมัยใหม่ พวกเราก็มี

มันมีสองอย่างน่ะ มันต้องบางทีนี่แขกบางทีต้อนรับขับออก ต้อนรับขับแขกก็มี ต้อนรับขับสู้ก็มี ต้อนรับขับสู่ก็มี ต้อนรับขับสู้นี่ก็หมายความว่าต้องเลือกเฟ้น เอ! ดูก่อนน่ะ ต้อนรับขับสู้ ต้อนรับขับสู่ เอ้า เลือกแล้ว รับ Entrance รับ ผ่านได้เข้ามาเป็นสมาชิกได้ หรือว่าเข้ามาร่วมศึกษาด้วย คนที่ยังไม่แน่ไม่ชัด ก็ต้อนรับขับสู้ก่อน ดูกันไปสู้กันไปก่อน มันจะไหวไหมคนนี้ มันจะมาทำเสียหายไหม มันจะพอมีคุณภาพไหม หวังดีหรือหวังร้ายอะไรก็แล้วแต่ ต้อนรับขับสู้

ส่วนพอบางคนมาเห็นแล้ว แหมนี่ต้อนรับขับแขกเลย คนนี้ไม่ไหวจะหาวิธีใดที่จะให้เขา ไปๆ เสียเถิด ต้องมีมารยาท ต้องมีวรยุทธเหมือนกัน ต้อนรับขับแขกนี่แหละยิ่งสำคัญ เพราะว่าถ้าฝีมือขับไม่ดี คุณก็สร้างศัตรู อยู่รอดไม่ได้แล้ว อยู่ยาก เพราะไปสร้างศัตรูไว้มากๆ ขับแขกออกอย่างร้ายๆ เลวๆ ไม่ได้ ต้องใช้ฝีมือมากเลย ต้อนรับขับแขกนี่

เพราะฉะนั้นนี่เราต้องรู้ตัวว่า นี่เรากำลังจะเปิดประตูบ้านขึ้นไปอีกแล้วน่ะ นี่เรามีสื่อสัมพันธ์กับโลกนอก ให้เขารู้ด้วย เพิ่มขึ้น เขากำลังแสวงหากันเหมือนกันในข้างนอก เราเองน่ะ เราปิดประตูอยู่แล้วสำหรับเขา เกือบจะเป็นฤาษีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวดอกว่า เราเองเราจะได้ไปเที่ยววุ่นๆ วายๆ คนอื่น คนอื่นน่ะ จะมาวุ่นวายกับเรา แต่เราก็ต้องมีประโยชน์กว้างขึ้น โลกานุกัมปาย ต้องอนุเคราะห์โลก เพิ่มขึ้นเป็นพหุชนะ เพื่อชนมากขึ้นไปตามลำดับ เป็นประโยชน์เพื่อชนมากขึ้นไปตามลำดับ ไม่ใช่อยู่เท่าเก่า

๑.มันไม่เป็นประโยชน์ถ้ามันอยู่เท่าเก่า มันก็เป็นประโยชน์เท่าเก่า มันไม่เจริญขึ้น

๒.มันใจดำ มันมีดีมันก็ไม่แจกคนอื่น มันผิด ผิดหลักการ ผิดอุดมการณ์ มันต้องเผื่อคนอื่นขึ้นไปเรื่อยๆ มันจึงจะเป็นสัจจะที่ว่ าเกิดมาเรามีคุณค่า เกิดมาเรามีประโยชน์ เราก็ต้องเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ก็คือความเจริญ เพิ่มขึ้นได้ก็คือ ความเจริญ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น ก็ได้โอกาส ได้เวลา อาตมาถึงบอกตอนนี้จะให้สัญญาณแล้วน่ะ ว่าเราจะต้องเพิ่มขึ้นแล้ว เราจะต้องรับแขกเพิ่มขึ้น ได้โอกาส ได้เวลา ได้วาระที่จะได้เปิด เปิดม่าน ไม่ใช่ม่านไม้ไผ่ ไม่ใช่ม่านเหล็ก ม่านทองคำ ยกตัวยกตนจังเลยหนอ พูดแล้วยกตัวยกตนจัง เปิดม่านทองคำออกไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะขี้เกียจ คุดคู้ไม่ได้แล้วน่ะ

ก่อนจะเจาะไอ้นี่ อาตมาว่าเอาสนุกๆ หน่อยดีกว่าน่ะ เดี๋ยวลองเริ่มต้นนิดหนึ่ง ที่จริงอันนี้นี่คือบทเนื้อหา ของคนคืออะไร ที่ขยายใหม่ อาตมาเพิ่งทำใหม่ๆ สดๆ เลยนะนี่ ท่านวยโส print ออกมาให้ ยังไม่มีเวลาตรวจ ว่าจะเอาตอนไหนมาพูดเลย

เอ้า ! เอานิดหนึ่ง เอาตอนแค่โพธิสัตว์ แน่ะ เริ่มต้นตรงโพธิสัตว์ แถมน่ะจริงๆ เคยพูดแล้ว แต่ว่าพวกเรา ก็ต้องขยายขึ้น จะได้ลึกซึ้งๆ ตรงไหนมันก็ต่อเนื่องไปหมดเลย ไม่รู้มันจะเริ่มตรงไหนดี มันคงเริ่มตั้งแต่ต้น นี่ละกระมัง คืออาตมาเริ่มด้วยว่า

แม้ว่าทั้งๆ ที่ข้าพเจ้านี่ทราบดีเรื่องของไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ของโลก ที่บอกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่เป็นไตรลักษณ์ที่รู้กัน ศาสนาอื่นเขาก็รู้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนี่ ก็เป็นเรื่องตื้นๆ จนกระทั่งถึงไตรลักษณ์ของ พระพุทธเจ้า ก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเหมือนกัน แต่ของท่านมีชื่อลงไปว่า เกิดขึ้นอย่างอนิจจสักษณะ ๑ ทุกขลักษณะ ๒ อนัตตลักษณะ ๓ นี่เป็นของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แล้วก็เป็นลักษณะ ๓ เหมือนกัน

อนิจจลักษณะเกิดขึ้น ไอ้ที่อะไรเกิดก็ตามไม่เที่ยง ตั้งอยู่อะไรก็ตาม ที่ตั้งอยู่ทุกข์ทั้งสิ้น ดับไป ที่ดับไปก็ไม่จริง ไม่จริง ยังไม่เป็นอนัตตา อนัตตาคือ ดับอย่างไม่มีตัวตน ดับอย่างสูญสนิท ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ของพระพุทธเจ้า ไตรลักษณ์ของพระพุทธเจ้านี่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนิจจังก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นมานี่ มันเกิดมาอย่างไรมันก็ไม่เที่ยงไม่แท้ดอก เกิดมามันก็ไม่จริงไม่จัง ไม่เที่ยงไม่แท้ มันต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เกิดมาก็โลกานุวัตรไปเรื่อยๆ แล้วโลกานุวัตรอย่างงมงาย หรือโลกานุวัตร อย่างไม่มีปัญญา นี่แหละเรียกว่าทุกข์ โลกานุวัตรนี่แหละเรียกว่าทุกข์ เมื่อไม่รู้ก็ทุกข์กับมัน แต่ไม่รู้ว่าทุกข์ แล้วก็ไม่มีทาง ออกจากทุกข์ ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ยังเปลี่ยนไปให้สงบชั่วคราว ดับหรือสูญ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แล้วมันก็ดับ แต่ดับไม่จริง ดับไม่ถาวร ดับไม่เที่ยงแท้ ดับไม่ปรินิพพาน ดับไม่เป็นอนัตตาที่แท้ ไม่มีตัวตน อย่างสมบูรณ์สุด ในโลกนะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของพระพุทธเจ้า อนิจจังเป็นอย่างไร สอน เกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่เป็นทุกข์ ทุกข์อย่างไร อยู่เหนือทุกข์นั้นให้ได้ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังมีรูป นาม ขันธ์ ๕ เรายังอยู่กับทุกข์ พระอรหันต์เจ้าถึงได้พูดว่า "ทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป" แต่ท่านไม่ได้เดือดร้อนกับทุกข์แล้ว เพราะท่านเข้าใจแล้ว ทุกข์ที่เลี่ยงพ้นก็คือที่เลี่ยงพ้นได้โดยอริยสัจ พระพุทธเจ้า ก็สอนจนหมดแล้ว จนทำได้แล้ว พระอรหันต์ท่านก็ยิ้มหวาน พระอรหันต์ยิ้มหวานนะ มีคนเคยชมว่า อาตมายิ้มหวาน อาตมาก็ฟังแล้วก็ เอ๊! แกล้งพูดชมเราหรือเปล่า อาตมาไม่มีใครเคยชม ว่ายิ้มหวานนี่ บอกว่าเรายิ้มหวานได้

นี่เริ่มต้นตั้งแต่แรกก็ขยายความแล้ว ไตรลักษณ์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั่วไปก็รู้ แต่รู้ยังไม่ครบดอก พอแจกมา เป็นของพระพุทธเจ้า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจลักษณะ ทุกขลักษณะ อนัตตลักษณะ ลักษณะของอนิจจัง อนิจจะเป็นอย่างไร ลักษณะของทุกข์เป็นอย่างไร ลักษณะของอนัตตาเป็นอย่างไร ที่จริงอาตมา สอนพวกเรามาหมดแล้ว ให้ตามดู อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี เรียนรู้เจาะลงไป อนัตตา อาตมาก็เคยอธิบายว่า อนัตตาของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่อนัตตา ประเมินเอานะ ตรรกอะไรก็ไม่มีตัวตน อะไรก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อะไรก็ไม่ใช่ของเราของเขาอะไรดอก ได้ ความเข้าใจได้ แต่คุณจับเป้าได้ไหมว่า ไอ้ที่ไม่มีตัวตน จนกระทั่งสนิทเลยว่า เอาอะไรแน่ไม่ให้มีตัวตน เอาอะไร อะไรเป็นเหตุแห่งใหญ่ที่สุด กิเลส กิเลสตัณหาเป็นตัวเหตุใหญ่ที่สุด เป็นสมุทัยของทุกข์ สมุทัยของ การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปของวัฏสงสาร คุณต้องมาเรียนรู้จับให้มั่นคั้นให้ตายเลยว่า นี่กิเลสนี่กิเลส หน้ามันเป็นอย่างนี้ ตามันเป็นอย่างนี้ หน้าตามันเป็นอย่างนี้ จับให้มั่นอาการ ลิงค นิมิต อุทเทส จับอ่านให้ได้ ในตัวเรานี่แหละ กิเลสในตัวเรานี่แหละ จับได้แล้ว หยาบ กลาง ละเอียด ลดมันจนกระทั่งเหลือกลาง เหลือละเอียด จนกระทั่งเหลือน้อย จนกระทั่งหมด แหม! แรงนะ จนกระทั่งหมด ไม่มีตัวตนของกิเลสตัวนั้น อนัตตา ต้องรู้ชัดเจนเลยว่า ไม่มีตัวตน มันมีเป้าหมายไหม มีตัวแท้ไหม โอ๊ ! ตัวตน ตัวแท้เป็นอย่างนี้ หมดตัวตน ตัวแท้อย่างนี้ ใครมีตัวอย่างในใจแล้วก็กรึ่มเลย แหม ! เรามีแล้วหลายตัว อนัตตา สูญได้ หลายคน ยังไม่ถึงกับ ยังไม่มีตัวตน ยังมีอยู่บ้าง แต่ตัวมันเล็กลงแล้ว ก็ยังพอทำเนา เอาให้หมด เอาให้เป็น อนัตตา พิสูจน์ลักษณะของอนัตตาให้ได้ พิสูจน์ลักษณะของอนิจจังให้ได้ เสร็จแล้วเราก็จะมาเข้าใจ อนิจจัง ทุกอย่าง มันก็วนเวียน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เที่ยงดอก มันจะซ้อนเข้าไปเรื่อยๆ เมื่อเราไม่ยึดมั่นถือมั่น กับมันแล้ว เราก็ดับกิเลสเข้าไปได้เรื่อยๆ แล้ว เราจะอยู่เหนืออนิจจัง เราจะอยู่เหนือทุกข์ เพราะคุณมีอนัตตา อนัตตลักษณะ นั้นจริง โดยเฉพาะ อนัตตลักษณะตัวตนของกิเลส กิเลสกับอะไร เอามาพิสูจน์เลย เป็นตัวๆ ที่คุณไปเป็นทาสมันอยู่ กิเลสตัวนี้ เรามีกิเลสกับมันแน่ เหตุปัจจัยนี้ล้างจนกระทั่ง พิสูจน์ อนิจจลักษณะ อนัตตลักษณะได้เลย หมดทุกข์ คุณก็จะรู้ว่าหมดทุกข์คืออะไร อนัตตลักษณะคืออะไร นี่เป็นของ พระพุทธเจ้า อาตมาไม่อ่านเนื้อความพวกนี้ไปดอก อาตมาหยิบมาพูด เป็นเรื่องๆ

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดที่ทำได้ ก็ลดลงไปได้ แม้แต่รสอะไรทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ที่เรียกขานกันว่า ความรู้สึก ความรับรู้ต่างๆ เป็นต้นว่า เจ็บ ปวด หวาน หอม นุ่ม แข็ง แรง ร้อน ฯลฯ อันใดทั้งหลายก็ดี ทุกข์รันทด ขมขื่น รวดร้าว สนุก ซาบซึ้ง สุขแสน ฯลฯ ใดๆ ก็ตาม ทั้งนั้น ทั้งสิ้น ก็ล้วนแล้วแต่ทรงอยู่ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราจะรู้รสมันเลย จนกระทั่งหมดรส อนัตตา เมื่อไม่มีกิเลสก็ไม่มีรส เมื่อหมดรสต่างๆ ที่กล่าวนี้ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทรงอยู่ไม่ได้ เพราะเราทำลายมัน เพราะเราฆ่ามัน เกิดขึ้นมามีอายุอยู่ชั่วระยะหนึ่ง แล้วก็ดับสลายแปรไป เป็นดั่งนี้ ทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่ ความเกิดมาเป็นศาสนาพุทธ อันได้เกิดขึ้นแล้ว มีพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่าโคดม เป็นพระผู้ให้กำเนิด ให้ชีวิตขึ้นมาเป็นตัวเป็นตน ของศาสนาพุทธ หรือของพุทธศาสนา แล้วมีชีวิต ที่แท้จริง บริสุทธิ์ผุดผ่อง ถูกต้อง

เมื่อแรกเกิดนั้น ก็เป็นชีวิตแท้ๆ จริงๆ บริสุทธิ์แท้ บริสุทธิ์จริง มีแต่ความถูกต้อง ความผุดผ่อง ไม่มีสิ่ง ที่เรียกว่า ของปลอม ของเทียม พุทธศาสนาเกิดขึ้นใหม่ๆ ไม่มีกิเลส กิเลสของพุทธศาสนานะ ไม่มีข้อผิด เจือปน ไม่มีแม้แต่เศษฝุ่นธุลี แห่งข้อขัดแย้งแตกต่างจากเนื้อแท้ของพุทธศาสนา มาฉาบแปะ หรือ เปื้อนทาอยู่ แต่อย่างใด

ในวาระที่เกิดมาใหม่ๆ เกิดมาแต่แรก สมัยที่พุทธองค์ทรงมีการก่อกำเนิดสร้างตัวตนแท้ๆ ของพุทธศาสนา ขึ้นมา ตราบจนเวลายาวนานเพิ่มขึ้น ชีวิตร่างกายของพุทธศาสนาเป็นตัวตนเติบใหญ่ขึ้นมาในโลก มีผู้คนรู้จักเพิ่มขึ้น ก็ย่อมมีความรัก ความชังเข้าไปพัวพัน มีกิเลสเข้าไปสัมปยุทธ หรือเข้าไปร่วมกับชีวิต เข้าไปประกอบร่วมประสม ร่วมแทรกปนในชีวิต และก่อเกิดสังขารธรรม นำให้ชีวิตพุทธศาสนา วิวัฒนาการขึ้นมา ก่อให้ชีวิตหรือตัวตน อันมองให้เห็นครบทั้งหมด ในความเป็นรูปของพุทธศาสนา หรือ ของความเป็นพระพุทธศาสนาไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็เป็นรูปธรรม คือมีรูปร่างของชีวิตพุทธศาสนาอยู่ ซึ่งประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพุทธบริษัท รวมทั้งวัตถุทางโลก วัตถุทางธรรม อาการทางโลก อาการทางธรรม ที่พุทธศาสนิก ที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ร่วมกันสังเคราะห์ ประกอบขึ้น และเป็นอยู่ แต่ละสิ่งแต่ละส่วน นั่นแหละร่วมกัน แต่ละอณู ปรมาณูรวมแล้วทั้งหมด เป็นรูปของ ชีวิตพุทธศาสนา และมีนามธรรม ร่วมอยู่ด้วย นามธรรมที่ต้องศึกษาอย่างสำคัญ คือ รสของชีวิต พุทธศาสนา เรียกง่ายๆ รส รสของศาสนานี่เป็นชีวิต ชีวิตหนึ่ง แล้วมีรสด้วย ชีวิตพุทธศาสนามีรส รสเรียกง่ายๆ ก็ได้แก่คุณธรรมของพุทธศาสนา คุณธรรมของพุทธศาสนาคือรสของชีวิตพุทธศาสนา คือคุณลักษณะ อันลึกซึ้งถึงขั้นสัจจะสูงส่ง ทั้งด้านวัตถุจนสูงสุด ทั้งด้านจิตใจ นั่นแหละเป็นนาม ของชีวิตพุทธศาสนา รูปนามจึงรวมเป็นชีวิตแท้ๆ อันหนึ่ง และมันก็เริ่มแปดเปื้อน ความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เดิมแท้ ก็ถูกฉาบถูกทาด้วยอำนาจแห่งโลก ด้วยอำนาจแห่งกฎของความแท้จริง ด้วยความจริง แห่งไตรลักษณ์ พุทธศาสนาก็จะดำเนินต่อไป

อาตมาก็จะได้ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ อธิบาย ค่อยๆ เชื่อมโยงเข้าหาโพชฌงค์ เอาเรื่องสนุกนำก่อน เล่าเรื่อง โพธิสัตว์ เล่าเรื่องชีวิตพุทธศาสนา เล่าเรื่องอะไรให้เป็นตัวใหญ่ก่อน ประเดี๋ยวเล่าไปๆ เจาะเข้าไปๆ ถึง โพชฌงค์ จนกระทั่งลึกได้ที่ ตัดเลย ตัดเชื้อ ตัดเชื้อสุดยอดนี่

เอ้าสำหรับวันนี้หมดเวลา เอาไว้ก่อน


ถอดโดย จอม ศรีสวัสดิ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปรานี ๒๕ พ.ค. ๒๕๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว
ตรวจทานโดย เมฆใส วงศ์พิวัฒน์
# GLB1B.TAP