บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๒ หน้า ๒ (ต่อจากหน้า ๑)
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เนื่องในงานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๘
เมื่อ วันที่ ๖ เมษายน ๒๕๓๗ ณ พุทธสถานศาลีอโศก


(เสียงผู้ฟังถาม : ถ้าเกิดกิเลสเขายังไม่ทำงาน ไม่เพลิดเพลินแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง กิเลสยังไม่ได้ออกมาทำงาน เขาจะอ้างอย่างนี้ได้ไหม เขาไม่เพลิดเพลิน และไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่กิเลสยังไม่โผล่ออกมา)

เอ้ากิเลสยังไม่โผล่ออกมาเขาก็หลงได้ ถามบอกว่า ถ้ากิเลสไม่เกี่ยวข้องในวาระใดๆ กิเลสไม่เกี่ยวข้อง ไม่ได้เพลิดเพลิน ไม่ได้เกี่ยวข้องอย่างนี้ ถือว่าอันนี้นี่ อยู่แต่ผู้เดียวได้ไหม ได้ อยู่ผู้เดียว เดี๋ยวเดียว อยู่ผู้เดียวตอนที่มันไม่มาเกี่ยว มันออกมาเกี่ยวเมื่อไหร่ มันไม่อยู่ผู้เดียวแล้ว ได้ ถูกไหม เอ้าถูก ตอบถูกแล้ว

ทีนี้ต้องให้ถาวรเลย เราต้องล้างกิเลส อย่าให้มันเกิด อย่างที่พูดมาแต่ต้น ให้มันตายสนิท ไม่ฟื้นเลย ถาวร ให้เป็นสามัญ ให้เป็นปกติ เป็นธรรมดา ไม่ฟื้น บอกแล้วว่า เที่ยงแท้ได้อันนี้ พระพุทธเจ้าค้นพบ ไม่เชื่อ คุณก็ลอง ให้มันเจอก็แล้วกัน เจอแล้วมาบอกกันบ้างนะ ฆ่ากิเลสตายหมดแล้ว ไม่เกิดอีกแล้ว มาบอกด้วยนะ ไม่บอกไม่รู้นะ

เพราะฉะนั้นท่านย้ำทีนี้ อีกบทหนึ่งท่านก็ย้ำ
ดูกรมิคชาละ รูปที่จะพึงรู้ด้วยจักษุอันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่นรูปนั้น เมื่อเธอไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่น ในรูปนั้นอยู่ ความเพลิดเพลินย่อมดับ ไม่มีความเพลิดเพลิน ก็ไม่มีความกำหนัด เมื่อไม่มีความกำหนัด ก็ไม่มีความเกี่ยวข้อง
ทั้งๆ ที่เราเกี่ยวเกาะกันอยู่นี่แหละ เราสัมพันธ์กันอยู่นี่ จิตมัน ไม่มีเสียแล้ว มันก็ไม่เกี่ยวข้อง

ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วยความเพลิดเพลิน และความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว ฯลฯ ธรรมารมณ์ ก็นัยเดียวกัน อาตมาไม่อ่าน มีปกติอยู่ผู้เดียว ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้ไม่ประกอบด้วย ความเพลิดเพลิน และความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว

ดูกรมิคชาละ ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะอยู่ปะปน กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม้จะปะปนอยู่กับพระราชา ปะปนอยู่กับมหาอำมาตย์ของพระราชา ปะปนอยู่กับเดียรถีย์ ปะปนอยู่กับสาวกของเดียรถีย์ ในที่สุดอยู่ในบ้านก็จริง ถึงอย่างนั้น เราก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว

ดูกรมิคชาละ เราเรียกผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวด้วยอาการอย่างนี้ว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตัณหาซึ่งเป็นเพื่อนสองเธอละได้แล้ว เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่ามีปกติอยู่ผู้เดียว
อยู่ผู้เดียวเป็น automatic แล้ว ชักพูดเฟื่องหมู่นี้ นี่เรื่องของผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว เพราะฉะนั้น ถ้าบอกว่า เอโก เอกี อะไร ชอบที่จะไปอยู่แค่นั้นแหละ แต่เราก็มีบ้าง สำหรับผู้ที่ต้องหลีกเร้น เพื่อพิสูจน์ แต่บางคนไม่ต้อง หลีกเร้น อย่างนี้หรอก ไม่ต้องออกไปอยู่ป่าเขาถ้ำ เพื่อพิสูจน์หรอก ปฏิบัติตามมรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้านี่ มันจะชัดเจน สะอาดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งที่สุด เป็นผู้อยู่แต่ผู้เดียวได้แล้ วคือกิเลสตายหมดแล้ว ตัณหาตายหมดแล้ว แม้จะอยู่พร้อมด้วยภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ ชาวบ้านชาวเรือนอะไรก็แล้วแต่ แม้กระทั่งอยู่บ้านอยู่เรือน อยู่กับทุกคน อบอุ่นมากมาย เกี่ยวข้อง แต่จิตไม่เกี่ยวข้องแล้ว จิตไม่เกี่ยวเกาะนั่นเอง จิตไม่เกี่ยวเกาะ แต่สัมพันธ์ สัมพันธ์แต่ ไม่เกี่ยวเกาะแล้ว ปล่อยวางได้ จิตเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีกิเลสไปเกี่ยวเกาะอะไรหรอก ตายรู้ตาย เป็นรู้เป็น ห่างรู้ห่าง ควรจะคิดถึงควร รู้ว่าควรคิดถึง คิดถึงไปทำไม ไม่ใช่คิดถึงเพราะโหยหาอาวรณ์ คิดถึงเพื่อระลึกถึง เพื่อระลึกถึงกัน พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสเสมอ ระลึกถึงกันได้ นี่มันลึกซึ้ง มันซับซ้อน มันไม่โด่เด่ เหมือนกับ เดี่ยวๆ พาซื่อ เหมือนเถนตรงอะไรนี่ มันซับซ้อน พระพุทธเจ้านี่ เหมือนพูดไปแล้ว เหมือนกลับไป กลับมา อยู่เรื่อย แต่แท้จริงแล้ว ชัดเจน เราต้องมีของจริง แล้วจะชัด

ทีนี้เมื่อพูดถึงอยู่ผู้เดียวแล้ว ก็พูดถึงเรื่องหลีกเร้นบ้าง เรื่องหลีกเร้นน ี่ก็เข้าใจผิดว่า จะต้องหนีไป หลีกไป หลบอยู่ในรู อยู่ในป่า อยู่ในไกลๆ อยู่ให้ห่างคนนั้นคนนี้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสถึงลักษณะ คุณลักษณะ ของความหลีกเร้น ที่เป็นชื่อว่าหลีกเร้นนี่ ไม่ใช่อย่างนั้น มันเรื่องของจิต มันเรื่องของธรรมะ ก็นัยคล้ายกันกับ อยู่แต่ผู้เดียว แม้จะอยู่รวมอะไร ท่านก็ไม่ได้หมายความว่า ท่านเป็นผู้ไม่ได้อยู่ผู้เดียว ท่านอยู่ผู้เดียว มีเพื่อน มีหมู่ มีใครต่อใคร ก็อยู่ผู้เดียว หลีกเร้นก็เหมือนกัน ว่าด้วยความประพฤติหลีกเร้น

อันนี้พระไตรปิฎกเล่ม ๒๙ ข้อ ๒๐๙ คำว่า ของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น มีความว่า พระเสขะ ๗ จำพวก เรียกว่า เป็นผู้ประพฤติหลีกเร้น คือพระเสขะ คือผู้ที่เป็นพระอริยะในระดับโสดาปฏิมรรค มาถึง อรหัตมรรค ๗ นี่ถือว่า ผู้ยังไม่บรรลุพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นองค์ธรรมที่ ๘ เพราะฉะนั้น ๗ นี่ยังเรียกว่าเป็น ผู้ศึกษาอยู่ เสขะแปลว่าการศึกษา ยังศึกษาอยู่ ยังไม่บรรลุสูงสุด ยังไม่จบ ยังไม่หยุดศึกษา ทั้ง ๗ นี้ เรียกว่า เป็นผู้กำลังประพฤติหลีกเร้น ประพฤติหลีกเร้น ไม่ใช่ประพฤติวิ่งหนีไปอยู่แต่ผู้เดียว ไปอยู่ที่ไหนๆ หลบ ไม่ใช่ พระอรหันต์เรียกว่า ผู้หลีกเร้น พระอรหันต์นี่เรียกว่า ผู้หลีกเร้นแล้วนะ หลีกเร้นแล้วแต่เสนอหน้าจัง พระอรหันต์นี่ ไม่ได้ไปไหนหรอก พระอรหันต์นี่อยู่กับหมู่นี่แหละ แต่เป็นผู้หลีกเร้นแล้ว ชื่อว่า ผู้หลีกเร้นแล้ว

พระเสขะ ๗ จำพวก เรียกว่าผู้ประพฤติ ประพฤติเพื่อจะไป เป็นผู้หลีกเร้น ประพฤติให้เป็นอรหันต์ให้ได้ เพราะเหตุอะไร พระเสขะเหล่านั้น ผู้ยังจิต ไปหาจิตแล้ว ไม่ใช่ไปพูดที่กายหลีกเร้น นี่ไม่ใช่พูดที่กาย ผู้ยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครองจิต จากอารมณ์นั้นๆ ย่อมประพฤติอยู่ เป็นไป หมุนไป รักษาไป ดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป ให้ตัวร่างกายนี่ดำเนินไป โดยดูที่จิต ปรับที่จิต นี่คือเป็นผู้ที่ประพฤติหลีกเร้น ประพฤติหลีกเร้น ไม่ใช่หมายความว่า ต้องหนีไปอยู่ป่า เขา ถ้ำ นี่ผู้ประพฤติ หลีกเร้นตามลัทธิของพระพุทธเจ้าโดยตรง ผู้ประพฤติหลีกเร้นนี่ เพื่อทำอย่างนี้ ให้ดำเนินไป ผู้ยังจิตให้หลีกเร้นหดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษาคุ้มครองจิต จากอารมณ์นั้นๆ ในจักษุทวาร มาแล้ว มาอีกแล้ว รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมาอีกแล้ว ประพฤติอยู่ เป็นไป หมุนไป รักษาดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป ผู้ยังจิตให้หลีกเร้น หดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษา คุ้มครองจิต จากอารมณ์นั้นๆ ในโสตทวาร มาอีกแล้ว หู ตา หู จมูก ลิ้น กาย เหมือนกันหมด ท่านจะตรัสซ้ำอย่างนี้แหละ ให้มันหดกลับ รักษาตรงจิตที่มันไปกระทบสัมผัสแล้ว มีภาวะที่มันไม่ไปลิ้มไปเลีย ก็เหมือนกับ อย่างนี้ไปเกี่ยวข้อง ไปเกี่ยวเกาะ ไปหาอัสสาทะ ความเพลิดเพลินเมื่อทำได้แล้วนี่ ผู้ยังจิตให้หลีกเร้นหดกลับ ถอยกลับ ปิดกั้น ข่ม ห้าม รักษาดำเนินไป ให้อัตภาพดำเนินไป เปรียบเหมือนขนไก่ หรือเส้นเอ็น ที่ใส่เข้าไปในไฟ ย่อมหดหู่งอ ไม่คลี่อออก ฉันนั้น

นี่หลีกเร้นหดไปอย่างนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเอาเจ้านี่ไปเที่ยวได้ หนีไปฝังไว้ที่ในถ้ำไหน เอาไปฝังไว้ที่ในหลุมไหน ไอ้อย่างนั้นมันไม่มีทางหดหรอก เอามันไปทิ้ง เฉยๆ

เพราะฉะนั้นก็เปรียบเหมือนขนไก่หรือเส้นเอ็น ที่ใส่เข้าไปในไฟแล้ว ย่อมหดงอเข้าไม่คลี่ออกฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พระเสขะ ๗ จำพวกจึงเรียกว่าเป็นผู้ประพฤติหลีกเร้น คำว่าของภิกษุ คือ ของภิกษุผู้เป็น กัลยาณปุถุชน หรือของภิกษุผู้เป็นพระเสขะ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าของภิกษุผู้ประพฤติหลีกเร้น

เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีการประพฤติหลีกเร้นอยู่ ก็จะมีของภิกษุ ผู้ใดหมดการประพฤติหลีกเร้นแล้ว เป็นผู้หลีกเร้นได้ เป็นพระอรหันต์แล้ว การประพฤติหลีกเร้นนี้ ก็ไม่มีของภิกษุอีก ภิกษุก็ไม่ต้องมีของภิกษุ คือการประพฤติ เพื่อหลีกเร้นไปอีกก็ไม่มี เพราะเป็นผู้หลีกเร้นได้แล้ว เป็นผู้หลีกเร้น พระอรหันต์จึงชื่อว่า เป็นผู้หลีกเร้น เห็นไหม ถ้าแปลเป็นไทยง่ายๆ ขยายความว่า ผู้หลีกเร้นก็คือ ผู้หลบหน้าหลบตานะ แปลความ อย่างพาซื่อ อย่างผู้ไม่เข้าท่า ผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรในธรรมะ ผู้หลีกเร้นก็ผู้หลบหน้าหลบตา ตรงกันข้ามกับของจริง ของจริงผู้หลีกเร้นคือ พระอรหันต์เจ้า พระอรหันต์เจ้าคือ ผู้เสนอหน้า

เพราะฉะนั้นผู้ใดเจอหน้าพระอรหันต์ ถือว่ามีบาปใช่ไหม หือ บุญหรือ พอเจอหน้าพระอรหันต์ มาอีกแล้ว เบื่อหน้าจริงเลย พระอรหันต์นี่ อย่าเบื่อหน้าพระอรหันต์น่ะ อย่าเบื่อหน้าพระอรหันต์ เห็นหน้าพระอรหันต์ แล้ว ยิ้มเข้าใส่ ตั้งหน้าตั้งตารับสิ่งประเสริฐจากท่าน หา ! สมณานัญจ ทัสสนัง ... เอตัมมังคลมุตตมัง การได้พบพระ ได้พบสมณะ พระอรหันต์นี่ สมณะที่ ๔ เชียวนะ เป็นมงคลอันประเสริฐสูงสุดนะ แล้วพระอรหันต์ ก็มักจะเสนอหน้า เพราะว่าท่านเป็นผู้หลีกเร้นแล้ว มันกลับกันไปหมด

เพราะฉะนั้นภาษาคน ภาษาธรรม หรือว่าคนทุกวันนี้ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจแล้ว ก็ไปหลงฤาษี แล้วก็ไปเข้าใจ แบบง่ายๆ ตื้นๆ อย่างนั้นใครก็เข้าใจ หลีกเร้นคือหนี จิตให้หดกลับ ทำจิตให้รักษา ให้จิตมาเป็นตัวเอง มาเป็นลักษณะของจิต ก็เป็นจิตไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรที่จะไปเกี่ยวไปเกาะ กับกิเลสตัณหา อุปาทาน อัสสาทะ โลกียะ ไม่ไปเกี่ยวไปเกาะกับโลกียะ แต่อยู่กับโลกียะ อยู่กับโลกนี่แหละ แต่เราหลีกเร้น ได้แล้ว อยู่ผู้เดียว อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ที่สุด ตนพึ่งตนได้แล้ว ตนพึ่งตนได้แล้วจริงๆ พึ่งตนได้ ที่สุดคนเรานี่ แม้ในที่สุด จะตายเดี๋ยวนี้ เราก็ตายเอง ใครว่าไม่จริงละ ไม่ตายเอง ให้คนอื่นประหาร หรืออย่างไร ไม่ดี ไม่สนุก ให้คนอื่นประหารนะ เราก็ตายเอง แม้จะเป็นอย่างไร เราก็ไม่มีความวุ่นวายในใจ ไม่ทำให้ผู้ใดเดือดร้อน ถ้าคนอื่นจะหนัก คนอื่นจะเหนื่อย คนอื่นจะเอาภาระเรา เขาก็เต็มใจ เต็มใจ ที่จะเหนื่อยกับเรา เต็มใจที่จะอุปการะเรา เต็มใจที่จะช่วยเหลือเรา เพราะเราเป็นผู้มีบุญ เพราะเราเป็นคน ที่มีคุณ เพราะเราเป็นคนที่มีประโยชน์ เขาก็จะทดแทนบุญคุณนี้ เขาก็ยังนึกด้วยซ้ำไปว่า เขาทดแทน บุญคุณนี้ ก็ยังไม่พอ ทดแทนบุญคุณนี้จนถึงที่สุด หมดลมหายใจ ก็จะหมดเวลา ที่จะได้ทดแทนบุญคุณ อีกแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ใช้บุญ ยังไม่ได้ใช้คุณ ยังไม่ได้ใช้หนี้พอเลย จะได้ทดแทน จะได้เสียสละ จะได้ช่วยเหลือ เกื้อกูลเท่าไร ก็ยังไม่พอเลย มันก็เป็นเรื่องของผู้ที่เขาจะทดแทน บุญคุณนั่นเอง เราก็ไม่ต้อง ไปบังคับ หรือไม่ต้องไปต้านเขานัก ก็ให้เขาได้แสดงบ้างซิ เขาได้แสดงบุญคุณ เขาจะได้ทดแทนบุญคุณ มันก็ดีแล้วนี่ เป็นความดีของมนุษย์ เพราะมันมีที่จบของมัน ไม่ใช่สะดิ้ง เขาจะทดแทนบุญคุณ ก็ไม่ต้องช่วยฉัน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็จะเดินไม่ได้แล้ว เดี๋ยวก็... พ่อท่านทำท่า ในเท็ปไม่รู้ว่า อาตมาทำอะไร พวกเราหัวเราะ อาตมาก็แสดง เดี๋ยวนี้ชักจะเป็นพวก... พวกที่เล่นตามคาเฟ่ พวกตลกน่ะ มันเครียด หรือว่า มันไม่ค่อยร่าเริง เบิกบาน มันก็ต้องมีตลกผสมบ้างอะไรอย่างนี้ หรือไม่เวลาฟังธรรมะ หนักๆ เข้าก็จะตื้อ เอ้าก็มีบันเทิง ประกอบบ้าง เราอย่าไปติดในบันเทิงเลย นี่เป็นเพียงอนุพยัญชนะ เป็นแต่เพียง องค์ประกอบเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องเนื้อแท้ ไม่ใช่อรรถ ไม่ใช่สาระ ไม่ใช่แก่น อนุพยัญชนะ ไม่ใช่อรรถ ต้องรู้จักเนื้อ รู้จักองค์ประกอบ

เพราะฉะนั้น ส่วนประกอบที่มาประกอบเพื่อนั่นเพื่อนี่ เพื่อคนอื่นก็ต้องรู้ เพราะฉะนั้น อาตมาเอง อาตมามีตลก ก็เผื่อคนที่เขา.. พอสมควร คนที่ตั้งใจอยู่ ดีแล้ว ก็อย่าไปรังเกียจรังงอน แหม แสดงท่าที อะไรน่าเกลียด แต่มันก็ไม่ถึงน่าเกลียด อะไรหรอก อาตมาก็ไม่ได้ทำถึงขนาดนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ใดไม่ได้เรียนปรมัตถ์ เรียนเข้าไปเถอะ จนกระทั่งถึงภาษาธรรม เรียนเข้าไปลึกซึง อย่างที่ว่านี้ ได้จริงๆ แล้ว จนกระทั่งละลดไปได้จริง จนเห็นรู้ เกิดญาณ อย่าให้ใครมาหลอก คุณต้องเกิดญาณจริงๆ เกิดญาณ เกิดปัญญา ที่จะเข้าใจเอง รู้เอง เรียนเป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ ญาณรู้ อ๋อ อย่างนี้กิเลส อย่างนี้ หดกลับบ้างแล้ว แต่ก่อนนี้ ไม่หดกลับ ถ้าอยู่กับนั่นน่ะ หมู่ข้างนอกเขานั่น ก็ไม่กลับหรอก ไปกับเขาเลย มาเอาด้วย ไปใหญ่เลย เสร็จแล้วลืมไปเลย อยู่เป็นโลกีย์ไปหมดเลย หนักเข้าก็ไปรีดนาทาเร้น ทำบาป สร้างเวร ปรุงแต่งอะไรเป็นโลกเป็นโลกีย์ไป หมด เสร็จแล้วก็เอร็ดอร่อย รื่นเริง อู๊ย ชื่นชม ไปกันใหญ่เลย อาตมาละกลัวๆอยู่หลายอย่าง

อย่างเมื่อคืนนี้ ยกตัวอย่างนะ ไม่ว่าจะเป็นทุเรียนโภชนาการ หรือว่าจะเป็นอ้วนโภชนาการก็แล้วแต่เถอะ อาตมาละกลัวอยู่เหมือนกันนะ กลัวจะหดกลับไม่ได้ เพราะว่าไปทำเพื่อเขาเพื่อเขา มันก็ดูยินดีปรีดา กับการที่ว่า ไปปรุงให้เขา เขาก็ชอบใจ นอกจากเขาชอบใจแล้ว เราก็ไปมองลึกลงไปอีกว่า เขามาชอบใจ แค่ไม่กินเนื้อสัตว์นี่ ก็ทำให้สัตว์ไม่ตาย ดีแล้ว ว่าอย่างนั้นนะ มันก็มีเหตุผลทั้งนั้น แหละ มันก็รื่นเริง บันเทิงอยู่ กับอย่างนั้นไป จะทำให้สูงขึ้นมันก็ไม่สูงขึ้นละนะ มันก็จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยละนะ ก็ถ่ายวรยุทธ ให้คนอื่น เขาทำไปเป็นขั้นๆ ตอนๆ เราก็จะเข้าหาฐานที่มันสูงขึ้นบ้างนะ..ฯลฯ...

แล้วเราก็เอาเวลาของเรา มาพากเพียรศึกษาฝึกฝนเข้าไป คนโน้นก็รับถ่ายทอด ก็ให้เขาอีกเหมือนกัน สอน ถ้าเขาได้แล้ว ก็มาอย่างพี่นะ ก็มาอย่างป้านะ อย่าไปอยู่อย่างนั้นอีก ไล่มาตามลำดับ มันจะถ่ายทอด บุญนิยม จะขยายออกไปอย่างนี้ เสร็จแล้วก็จะไปอยู่ทุกแห่งนะที่เป็นสัมมาอาชีพ ส่วนมิจฉาชีพนั่น ไม่ไปอยู่แล้ว ปล่อยให้เขาบ้าๆบอๆเขาอยู่เถอะ แม้แต่สัมมาอาชีพที่จะ แหม นี่ริมๆ แล้ว นี่มันจะตัด ตัดว่ามิจฉา หรือสัมมาหนอ นั่นแหละสุดแล้วตอนนั้น อาตมาก็ไม่รู้จะไปพูดตรงไหน ตรงนี้นะ จะตัดเขต อันไหนจะเป็นสัมมาอาชีพ อันไหนจะมิจฉา ขนาดไหนนี่ อาตมาก็ยัง เอาละ เอาไว้ค่อยกำหนดกัน ในอนาคต ตอนนี้ อย่าเพิ่งกำหนดเลย ไปก่อน มากๆ ก็ค่อยเตือนกันไปพลาง ยังไม่ถึงกับตราลงไป ยังไม่ตรา เป็นกฎหมาย เอาไว้ก่อน นี่เราพูดถึงอาชีพ ในด้านมังสวิรัติ มันก็มีองค์ประกอบที่จะขยายความได้ ดูกว้างอยู่ เดี๋ยวค่อยไปหาลึก พอไปหาลึกๆ ถึงขั้นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็ตั้งใจ อย่าหลับ ให้ดีก็แล้วกัน ตอนนี้ก็ไปอย่างนี้ก่อน

เพราะฉะนั้น เมื่อเราเองเราขยายบุญนิยมของเราออกไป มันก็เหมือนกับเราไปท้าชิง เราไปขายอย่างนั้น เราเอา เงินเขามาก เอาเงินเขามากนี่ เราก็ได้มาก ได้มากแล้ว เรามีความจำเป็นจะต้องเอามากไหม จริง จริ๊งน่ะ มีความจำเป็นเหมือนกันนะ อย่าบอกให้ใครเขารู้นะ... เพราะว่าเราเองน่ะ เรายังทุนน้อย เรายังจน แต่นั่นแหละ ถ้าเราจะไปเอามันก็ซ้อน ถ้าเอาเขามา เอามามากๆ มันก็เหมือนเราเป็นหนี้อยู่ มันซ้อนเห็นไหม แต่จริงๆ ถ้าเราเอาของเขามามากนั่นน่ะ ซ้อนนี่แหละ เหมือนเป็นหนี้นี่แหละ แต่เราไม่ได้เอามา ใช้บำเรอเรา ไม่ได้เอามา เพื่อโลกๆ ไม่ได้เอามาสร้างโลก แต่เอามาทำซ้อน เป็นโลกุตระ เอามาขยายงานของโลกุตระ เอามา เพื่อธรรมะอันนี้ มันจะต้องใช้เงินไปด้วยอะไร ก็แล้วแต่ ทางวัตถุก็ตาม ทางอะไรที่...ในเศรษฐกิจ สังคม มันก็ต้องใช้อย่างของเขา ถ้าโลกเขาซื้อวัตถุดิบชิ้นนี้ ราคานี้ เราก็ต้องซื้อ ถ้าเราต้องการเอามาใช้ เราต้องการซื้อ เครื่องวิดีโอเอามาใช้ เพื่อที่จะเผยแพร่ มาในทางที่จะสื่อสาร ไม่เอาไปถ่ายวิดีโอ ไปถ่ายอะไร อย่างโลกๆเขา แล้วไปหาเงินได้มากๆ เราไม่เอาไปทำหรอกอย่างนั้นน่ะ เราก็ทำอย่างของเรานี่แหละ เราใช้อย่างนี้ เราก็ไปสื่อ เป็นโสตทัศนศึกษา เป็นประโยชน์มากนะ รู้เร็ว เห็นเร็ว เข้าใจดี เรียกว่า มีประสิทธิภาพ ที่ช่วยได้มากมาย อะไรก็แล้วแต่ เป็นเครึ่องศึกษา เป็นอุปกรณ์ในการใช้ศึกษาได้ดี เราก็ใช้ ราคามันแพงนะ เราทำเองก็ไม่ได้ กว่าจะไปทำเองได้ กว่าจะตั้งโรงงานนี่ พอดีตาย พอดี ซื้อเขาดีกว่า ซื้อเขาก่อน แล้วเอามาใช้ แล้วก็มาใช้ในทางนี้ อย่างนี้เป็นต้น เราทันสมัย ไม่ตกสมัยหรอก แต่ว่าเรา ก็รู้จักกุศล รู้จักด้านดีที่เราจะใช้ เขาถึงคอมพิวเตอร์เราถึง เขาถึงเลเซอร์เราถึง แต่เราไม่ได้เอาคอมพิวเตอร์ เอาเลเซอร์ ไปใช้ในทางที่จะไป... คอมพิวเตอร์ก็ไปคิดข้อมูล ไปที่ว่า เมื่อไหร่หุ้นมันตก หุ้นตัวไหนมันดี ตัวไหนไม่ดี ไม่ใช่ ไปเก็บข้อมูลอะไรๆก็แล้วแต่ ที่จะเป็นข้อมูลเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ ในทางที่จะได้เปรียบ ในทางที่จะไป โลภโมโทสัน เราก็ไม่ใช่ เราก็มาในทางการศึกษา ที่จะละลดหน่ายคลาย เพื่อที่จะเกื้อกูล ช่วยเหลือ โลกเขาทั้งนั้น ส่วนตัวเรานั้นทำให้ตัวเรานี่น้อยลงๆ น้อยลงจนกระทั่งเราไม่กลัวนะ ถ้าเราไม่มี ของตัวเอง เราไม่ต้องมี เราก็ไม่ต้องทำ เรามีเราก็ทำ เราใช้เป็น เราก็ใช้ให้มันเป็น มันทุ่นแรง มันรวดเร็ว มันมีประสิทธิภาพ ที่ทำอะไรได้ดี เราก็เอานะ

อย่างอาตมานี่ เล่นคอมพิวเตอร์ พิมพ์ออกมา โอ้โหงามเฉ่งเลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะหรือรับรองลายพร้อย ต่อนั่นโยงนี่ ดูแล้วยิ่งกว่าลายแทง... ดูแต่ลายแทงนี่ไม่ต้องไปเดินแล้ว หลับก่อน... มึนหัวหมดเลย จริงๆ ต้นฉบับ ของอาตมา เดี๋ยวนี้นี่ออกมา โอ้โห...พริ้ง เพราะแก้ในตัวได้เสร็จ ไม่ต้องโยงไปไหนเลย จะแก้หรือ เอ้ากดแก้ จะซ้อนตรงนั้นซ้อนตรงนี้ คอมพิวเตอร์มันสบายเลย มันทำให้เรา กดให้มันถูกปุ่มก็แล้วกัน ไม่ถูกปุ่ม มันก็เมาเหมือนกันแหละ ยังไม่เก่งน่ะ เล่น เอาเรางงๆเหมือนกันบางที แต่คล่องแล้วถูกแล้ว ไม่เป็นไร กดตรงนั้นตรงนี้ได้สบาย เราก็ใช้ทุ่นแรงทุ่นอะไร ยิ่งแก่แล้วยิ่งไม่ไหวแล้ว ไม่อย่างนั้น อาตมาเห็นใจเขา นี่อาตมาเขียนต้นฉบับนี่ พอเขียนไปแล้ว ก็มาอ่านทวน โอ้โฮ ตรงนี้มันก็ไม่งาม ต้องแก้ เอ้า กลับตรงนั้น แก้ตรงนี้ เติมตรงนั้น ลบตรงนี้ ยาลบก็เปลืองๆ แก้แล้วโยงตรงนั้นโยงตรงนี้ เสร็จแล้วก็โอ้โฮย สงสารคนอ่าน ลอกใหม่ ลอกแล้วก็มาอ่านทวน แก้อีกแหละ... แก้เป็นลายแทงอยู่อย่างเก่า ก็สงสาร คนที่เขา จะเอาไปทำงานอีกใหม่อีก ลอกใหม่อีก ลอกใหม่ก็มาอ่านทบทวน ตรงนี้ก็น่าแก้ แก้อีก เอาอีกแล้ว ลายอีกแล้ว ลอกใหม่อีก กว่าจะได้ต้นฉบับ ไปให้แก่คนที่เขาจะทำงานนี่ อาตมาก็ทำ ไม่รู้กี่เที่ยว อันนี้เรื่องจริงนะ แต่ก่อนนี้อาตมาก็ไม่อยากใช้หรอกนะ คอมพิวเตอร์ มีคนซื้อมาให้ก่อนนี้ ก็แหม เครื่องกระเป๋าหิ้ว ไม่หนัก ว่าอย่างนั้นนะ .... อาตมาก็เลยนั่งกดคอมพิวเตอร์หัดไป ตอนนี้พอชักจะเป็นแล้ว ... ยังไม่คล่องทีเดียว ก็พอไปได้น่ะ พอทำได้ พวกนี้เราทำ เราก็ต้องใช้ เรายอมรับ แต่เราก็มาใช้งาน อาตมาไม่ได้ไปใช้ ไปหากิน ไม่ได้ไปใช้ไปล่าเงินล่าทอง ไม่ใช่หลงใหลอะไรหรอก ปัดโธ่ มันก็เป็นไป มันก็ช่วยได้ งานได้น่ะ นี่ก็อธิบายประกอบให้ฟังน่ะ อะไรก็แล้วแต่เถอะ ...

เพราะฉะนั้น อย่าพึ่งอ้าขาผวาปีกว่าเรานี่ถึงที่ควรแล้วนะ ให้เขาควรแล้วยัดเยียดมาเถอะ แล้วมันมาคล่อง แล้วมันมาได้ มาเร็ว พอถึงเวลาวาระ พอถึงบุญบารมีครบครัน มันสมเหมาะสมควร เราไม่ต้องเรียกร้องหรอก เราผลักไว้ เสียด้วยซ้ำ เขาก็เอามาให้ อันนี้อาตมาพิสูจน์ให้เห็นจริงๆ อาตมาไม่ได้เจตนาเล่นละครนะ ใครไม่เชื่อ ก็อย่าเชื่อ อาตมาไม่ได้แกล้งจริงๆนะ อาตมาไม่อยากได้ ยังไม่เอา มันเฟ้อไป หลายอย่าง อาตมาจะอยู่ที่ห้อง จะอยู่ เขาก็มาเซ้าซี้ติดแอร์ให้ อาตมาก็ว่าอยู่ได้ อยู่ได้ ไม่ละ จนกระทั่งสุดท้ายอาตมาก็ยอม ดูแล้วมันเหมือนเล่นละคร แล้วคนโกงเล่นละครแบบนี้ซ้อนอีกเยอะ แต่บาปใคร บุญมันนะ ยิ่งเล่ห์เหลี่ยมซ้อนแบบนี้ดูอย่างเหมือนสูงเท่าไหร่ ราคาบาปก็สูง ถ้าเป็นความจริง ก็ไม่มีบาปเลย มีแต่บุญแท้ แต่ถ้าเผื่อว่าไม่จริงนะ ซ้อน ยิ่งลึกซึ้งซับซ้อน ทำเป็นคนยิ่งหลงเชื่อมากเท่าใด ฟังดีๆนะตรงนี้ คนยิ่งหลงเชื่อสนิทมากเท่าใด ค่าของบาปที่ลวงเขาตัวนั้น ยิ่งแพง ยิ่งสูงมากเท่านั้น จำใส่หัว ที่ไม่ใช่กะลาเอาไว้ หรือว่ากะลา กะโหลกมั้ง กะโหลก จำไว้จริงๆ อย่าไปอุตริทำ บาปเป็นบาป อย่าไปเล่น กับบาป กับบุญเลย มันเป็นจริงนะ ถ้ามาปฏิบัติธรรมแล้ว หรือมาเรียนรู้ศาสนาขนาดนี้ แล้วยังไม่เชื่อบาป เชื่อบุญนี่ ไปๆๆ อย่ามาให้เหม็นหน้าเลย ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อบุญละก็ ไปไหนก็ไป ต้องรู้ว่า บาปคืออะไร เรานี่แหละทำ บุญคืออะไร เรานี่แหละทำ ต้องจริงใจกับบาป จริงใจกับบุญ อย่าไปทำบาปแม้น้อย น้อยเท่าไหร่ รู้แล้วเราจะทำ ลดละได้ลด บุญน่ะมันจริง ทำได้เท่าไหร่ทำ แล้วต้องรู้ราคาของบาปของบุญ อาตมาก็ พยายามอธิบาย ค่าของบาปของบุญ มันซ้อนนะ ต่างกันเยอะ

ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาสอนนี่นะ อาตมาได้ราคาบุญมากมายนะ เพราะวิชาที่อาตมาสอนนี่ อาตมาว่า เป็นวิชาพระพุทธเจ้า วิชาที่ยิ่งใหญ่นะ หาคนสอนได้ยากนะ จึงจะเป็นวิชาที่... อย่าหมั่นไส้อาตมานะ ประเดี๋ยว อาตมาพูดไป ก็ต้องยกตัวยกตนละนะ วิชาที่จะรู้อย่างลึกซึ้งละเอียดแล้วก็ถูกต้องที่สุด จริงที่สุด ไม่ใช่ว่าจะ คนเรียนรู้แล้ว คนที่จะรู้ดี รู้ครบ รู้มาก ไม่ใช่ได้ง่ายๆ ได้แล้วเอามาสอนนี่ โอ้โฮ ราคาแพงนะ ต้องจองคิว กันมากๆนะ แต่พวกคุณน่ะวิ่งหนี... จองคิวอะไร ต้องจองคิวจริงๆนะ แล้วราคาต้องแพง นี่ฟังให้ชัดๆ แล้วเราก็ยิ่งทำด้วยความเต็มใจ คนสอนก็เต็มใจจะสอน โดยไม่ได้อยากได้ด้วย ซ้อนอีก ไม่ได้อยากได้อะไร ของคุณหรอก ว่าราคาแพงอะไรของคุณ ก็ไม่อยากได้ของคุณมาให้แก่เราหรอก ยิ่งไม่เอาเท่าไหร่ มันก็ยิ่งราคาแพงเท่านั้น บริสุทธิ์ใจ สะอาดเท่าไหร่ แล้วเต็มใจจะให้ ปรารถนาจะให้ ด้วยความจริงใจ อยากให้ได้จริงๆ จะได้เอาไปเป็นสุข จะได้เอาไปพ้นทุกข์ จะได้เอาไปเกื้อกูลคนอื่น ต่อๆๆ จะได้เป็นเชื้อ นี่กำลังถ่ายทอดเชื้อ แหม ไม่รู้จะติดเชื้อบ้างหรือเปล่า ... เอ้า นี่เชื้อพุทธ เชื้อโลกุตระ เชื้อบุญนิยม เชื้อวิเศษนะเชื้อนี้ พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะ Breed เชื้อนี้มาได้ ไม่มีใครสามารถ Breed เชื้อนี้ได้หรอก พระพุทธเจ้า Breed เชื้อนี้ได้ แล้วเอาให้พวกเราเรียนตาม แล้วเอามาแพร่เชื้อ แพร่ยากชะมัด รักษาไม่ดี ก็เปราะบางตาย เน่าเสีย แหม เพาะเอาไว้ ๕ พัน โอ๊ะ เหลือรอดมาหนึ่ง sensitive เหลือเกิน เปราะบาง ตายไว ระวังละอย่าเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าเรียนรู้ไม่จริง พิสูจน์บาป พิสูจน์บุญไม่จริง คุณจะไม่เชื่อ ถ้าคุณพิสูจน์บาป พิสูจน์บุญได้จริง ละบาป อย่างสนิท เข้าใจบาป ต้องรู้จักหน้าตาเนื้อตัว หัวหางมันเลยแหละบาปนี่ ตาต้องดี จักษุเป็น ธรรมจักษุ ไม่ใช่ตาเนื้อ เห็นบาป เห็นในคนอื่น เห็นในเรา เห็นในคนอื่น ก็ต้องเข้าใจเขา แล้วอย่าเพิ่ง ไปลบหลู่เขา อย่าเพิ่งไปรังเกียจเขา อย่าพึ่งไปเพ่งโทษเขา เขาก็มีของเขา น่าสงสาร เป็นที่สงสาร เพราะเขา ยังตกอยู่ในวัฏฏะอย่างนี้ สงสารนี่แปลว่า... วัฏฏะ แปลว่าวนเวียนอยู่อย่างนั้นละ โอ๊ มันน่าช่วยขึ้นมา ให้พ้นวัฏฏะ ให้พ้นความวนเวียนนั้น ประเดี๋ยวก็ลงนรก ประเดี๋ยวก็ขึ้นสวรรค์อยู่นั่นแหละ... วนเวียนอยู่ อย่างนั้น มันน่าช่วยจะตายไป เพราะฉะนั้น คนในโลกนี้น่าช่วยทั้งนั้นแหละ พระโพธิสัตว์มองเห็นอย่างนั้น จริงๆน่ะ น่าช่วย ไอ้อย่างนี้ก็น่าช่วย ไอ้ข้างนอกนี่ ยิ่งโอ้โห ยิ่งน่าสมเพชเวทนา ยิ่งน่าช่วย มันทุกข์ ทุกข์ ทุกข์จริงๆ พวกคุณนี่ทุกข์น้อยมาได้ ลดลงมานี่ทุกข์น้อยลงๆ มาได้พอสมควร มันยิ่งไม่ค่อยน่าช่วย สักเท่าไหร่ มันดื้อ แต่คนอื่นเขา ไม่ได้มาดื้อให้อาตมาเห็น ก็เลยน่าช่วยก่อน ระวังเถอะ ระวังเถอะ แต่มันก็ต้องช่วย นั่นแหละ ถึงยังไงมันลูกใกล้กว่า โน่นยังไม่ได้เป็นลูกเลย มันก็ต้องช่วยลูกก่อน โดยสัจจะ ก็ช่วยกันไปอย่างนี้ ช่วยกัน แล้วก็พยายามที่จะให้รู้บาปรู้บุญนี่แหละ สุดๆก็กุศลอกุศล แล้วมันเป็นยังไง ในเรานี่แหละ เป็นเครื่องทดสอบที่จะเรียนรู้ กรรม กิริยา กาย วาจา ใจ ที่เป็นกุศลอกุศล นี่แหละบาป แม้แต่คิด อ่านอาการไป กระทั่งหยั่งไปถึงจิตวิญญาณ สังกัปปะ ความคิดแล้ว เมื่อนั้นแหละ ผู้ใดรู้สังกัปปะ รู้จริงๆ เลยว่า ตั้งแต่เริ่มดำริ เรียกว่าตรรกะ วิตรรกะ ดำริ มันจะเริ่มคิดแล้ว ไอ้ความดำรินี่ อาตมาขยาย จนกระทั่งถึง ๖, ๗ การดำริ รัมภธาตุ รัพภธาตุ นิกกัมมธาตุ ปรักกัมมธาตุ ถามธาตุ ฐีติธาตุ อุปักกัมมธาตุ ธาตุนี่ ความมาเป็นตัวพลัง ตัวพลังเพียร หรือว่าตัวกระทำนี่ บทบาท ตัวอุปักกัมมธาตุ คือตัวที่ มันเริ่ม พลังงาน บทบาทเลย มันเดิน มันติดเครื่องเข้าเกียร์เลย อุปักกัมมธาตุนั่นคือตัวติดเครื่อง เข้าเกียร์แล้วไปเลย เดิน ดันไปเลย เริ่มแหยมขึ้นมา เป็นพลังงานที่จะเดินเรื่อง รัพภธาตุ รัมภธาตุ รัพภธาตุ โตขึ้นมาหน่อยน่ะ นิกกัมมธาตุ ชักเป็นตัวตนขึ้นมาแล้ว เป็นตัวตรรกะขึ้นมา เป็นตัวที่จะดำริ แต่ยังไม่ถึงดำริทีเดียว มันละเอียด จนกระทั่งถึง ปรักกัมมธาตุ ลงไปแล้วเอาอะไรอื่นๆ องค์ประกอบอื่นๆมาช่วย เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้ว มีองค์ประกอบ ปรักกัมมธาตุ จนแข็งแรง ถามธาตุ ถามะ นี่แปลว่าแข็งแรง นอกจากแข็งแรงแล้ว ฐีติธาตุ มีหลักยันเลย ตอนนี้ ฐีติธาตุนี่มีหลักยันเลย บรึ้ม อื่นอื๊นเลย พออุปักกัมมธาตุก็พุ่ง แรง มีแรงดำเนินไป

นี่อธิบายเหมือนฟังแล้วหยาบๆนะ ที่จริงนี่เริ่มต้นที่จิต มันจะเป็นเรื่อง มันจะคิดจะอ่าน มันจะเป็นไปนี่ มันอย่างนี้ ก่อตัวมา มันก่อตัวละเอียดลอออย่างนี้ กว่าอาตมาจะอธิบายอย่างนี้มาได้นี่ อาตมาเรียนรู้มา กับสภาวจิต เจตสิกนี่ ละเอียดลออ เอามาอธิบายเป็นภาษาคนๆ ให้คุณฟังนี่ ขยายให้เห็น เหมือนกับ ฉายหนังช้า เป็นตัวโตๆ ให้ดูนี่ แต่คุณไปใช้ญาณของคุณ อ่านจำพวกนี้เอาให้ออกก็แล้วกัน มันเล็ก ยิ่งกว่าเล็ก ละเอียดยิ่งกว่าละเอียด แล้วคุณก็จะรู้ว่า นี่คือพวกตรรกะ วิตรรกะ ตัวดำริ นึกคิด สังกัปปะ จนเป็น ความนึกคิดที่เป็นตัวรูปสมบูรณ์แล้ว ก็ทำงานเต็มที่ สังขารปรุงแต่ง คุณก็ต้องมีตัวหลักของตัวคุณสิ เรียกว่า อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็นตัวจิตที่เป็นหลักตั้งมั่น ว่าคุณจะยืนอยู่ในหลักอะไร หลักบุญนิยม คุณต้องมีหลักบุญนิยมของคุณ หลักของคุณโตแค่ไหน หลักของคุณนี่ สมบูรณ์แบบแค่ไหน เป็นชาวบุญนิยม ฐานะไหน ฐานะสูงขนาดไหน มันมีความจริงทุกขั้น ทุกตอนตามจริง แล้วคุณให้มั่นคง เสร็จแล้ว ก็พัฒนาเรื่อยไป สังขารอย่างวิสังขาร หรือสังขารอย่างปุญญาภิสังขารให้ได้ สังขารอย่าง ชำระ กิเลสไปเรื่อยๆ อย่าไปสังขารแบบ เอากิเลสเข้ามาพอก เข้ามาเติม มันต้องปรุง ต้องปรับปรุง พูดให้ภาษา สวยๆ ต้องปรับปรุงไปเรื่อยๆ แล้วก็มีแรงอยู่ นี่ศาสนาพระพุทธเจ้าไม่ได้เคยบอก ให้หยุดความคิด สังกัปปะ อะไรเป็นมิจฉา ฆ่ามิจฉาก็เจริญสัมมา เจริญสัมมาก็คือทำลายมิจฉาได้ทุกทีไป

เพราะฉะนั้น ดำริในกาม คุณก็ต้องรู้ว่าอาการตอนนี้นี่แน่ะๆ ไอ้เจ้าหน้ากามคุณ หยาบขนาดไหน ไอ้เจ้าหน้ากาม แสดงอาการหยาบขนาดไหน คุณก็จะต้องไม่ให้มันเกิดตัวคิดที่จะต้องเป็น อาการกามนี้ เพื่อที่จะมาทำงาน ให้กับตัวเอง คุณจะต้องทำให้แรงงานของกามนี่ อาการของกามลดแรงลง ลดลงๆ ได้มากเท่าใด ก็คือดับมิจฉา หรือลดมิจฉาได้มากเท่านั้นนั่นแหละ หรือพยาบาท โกรธ อาฆาต ไม่ชอบใจ มันแรง ขนาดไหน ก็รู้อาการมัน แล้วก็ทำให้มันลด จะลดด้วยวิธีกดข่ม ด้วยวิธีใช้วิปัสสนา ด้วยวิธี ที่จะต้อง รู้เหตุรู้ผล รู้ความจริงว่าไอ้นี่มันดีจริงๆละหรือ ไอ้นี่มันพาสุขจริงๆละหรือ มันพาเจริญจริงๆละหรือ มันพาเป็นประโยชน์ บุญคุณจริงๆละหรือ ย้ำซ้ำๆในตัวเองนี่ ถามตัวเองนั่นแหละเข้าไป ถ้าได้ทำอาการ อย่างนี้แล้ว มันพาเจริญจริงๆละหรือ มันก็จะทำตามที่คุณรู้ มันไม่เจริญหรอก มันมีแต่ก่อเวรก่อภัย ความจริง พวกนี้ จนกระทั่งมันมีฤทธิ์ พอเอาเหตุผลความจริงพวกนี้มา มาพูดกับมัน ไอ้อาการกาม อาการ พยาบาท นี่มาแล้ว มันเอาหลักฐานความจริงมาอ้างปั๊บ มันฝ่อลงไปๆ แสดงว่าวิปัสสนาภูมิของเรานี่ มีฤทธิ์ มีฤทธิ์ แล้วคุณต้องเห็นความจริงเลยว่า อาการกาม อาการพยาบาท มันอ่อนแรง มันฝ่อ มันอ่อน คุณก็ต้องรู้ว่า มันลด มีวิราคานุปัสสี มีการตามเห็น ความจางคลาย ความอ่อนล้า ความลดลง ได้จริง จนกระทั่ง เห็นว่ามันลด จนกระทั่งมันดับ นิโรธานุปัสสี มันไม่มีแล้ว มันไม่มี ดับ ต้องเห็นวิปัสสี นี่ก็คือเห็น ก็คือ วิปัสสนานั่นแหละ เอาความเห็น ความรู้ ความจริง นี้มาเห็นหลัดๆ ไม่ใช่ว่าทำด้วยงมงาย ทำด้วยมืดๆ บอดๆ ทำด้วยไม่รู้ไม่ชี้ ทำด้วยกดๆข่มๆ มันจะเป็นยังไงก็รู้ ว่ามันตายไปเฉยๆ มันไม่รู้ว่ามัน อาการมัน เพราะอะไร เพราะความจริงนะ เพราะเหตุผลความจริง ด้วยปัญญาญาณ ด้วยการรู้ๆ โทนโท่ จักขุมา ปรินิพพุโพติ อาการนิพพานที่มี จักขุมา อาการนิพพานที่มีดวงตา ไม่ใช่อาการนิพพานที่ไม่เห็น มันดับไปยังไง ก็ไม่รู้นี่ มันก็ไม่มี มันมืดๆน่ะ ไม่สว่าง ของพระพุทธเจ้านี่ นิพพานอย่าง จักขุมา ปรินิพพุโพติ นิพพานรอบ ด้วยการมีจักขุ การมีดวงตาเห็นอยู่ ดับรอบด้วยการเห็นด้วยตา ไม่ใช่ตาเนื้อ เป็นธรรมจักษุ ตาธรรมะ เป็นญาณทัสสนวิเศษ

อาตมาก็ได้แต่อธิบายภาษานี่ คุณไปทำของคุณรู้ว่า ที่อาตมาพูดนี่ คุณทำได้แล้ว อย่างนี้คืออย่างนี้ ทำได้แล้ว ทำแล้ว แล้วจงทำให้มันหมด เป็นพระอรหันต์ขึ้นมากันหน่อยเถอะนะ

ทีนี้อาตมาก็คิดว่า อาตมาจะเริ่มต้นสักที เอาโพชฌงค์มาเจาะกันก่อน อะไรมันก็น่าอธิบายทั้งนั้นแหละ

เราจะต้องเรียนรู้โพชฌงค์นี่ เพราะว่าโพชฌงค์นี่คือการก้าว พระพุทธเจ้าที่บอกว่า ท่านเกิดแล้วเดิน ๗ ก้าว ก็คือ อันนี้แหละ เดิน ๗ ก้าว ก็คือเดินโพชฌงค์นี่ละ โพชฌงค์คือการเดิน ก้าวไป ๗ ก้าวไปสู่พุทธะ เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะเกิดเป็นพุทธะ ก็ต้องก้าวอย่างนี้
ก้าว ๑. สติ
ก้าว ๒. ธัมมวิจัย
ก้าว ๓. วิริยะ
ก้าว ๔. ปีติ
ก้าว ๕. ปัสสัทธิ
ก้าว ๖. สมาธิ
ก้าว ๗. อุเบกขา

เสร็จแล้วก็ก้าวพรวดพุทธะสมบูรณ์ ต้องเดิน ๗ ก้าว ถึงจะเป็นพุทธะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเกิด ต้องโพชฌงค์ ๗ เกิด แล้วเขาก็มาอธิบายไป มาๆเพี้ยนๆ ไปมา พระพุทธเจ้าเกิดแล้วก็เดิน ๗ ก้าว เสร็จแล้ว ก็เอาพระพุทธเจ้า มาปั้นเป็นรูปเด็กน้อยเดิน แล้วแถมเขียนดอกบัวรองเท้าไว้ รองพระบาทไว้ด้วยนะ ก้าวหนึ่ง ก็ก้าวไปๆ ก้าวไป อาตมาก็เคยถามคนว่า แล้วเมื่อพระพุทธเจ้าท่านเกิดแล้วท่านเดิน ๗ ก้าว พอครบก้าวที่ ๗ แล้วท่าน ทำยังไงอยู่ เขาตอบอาตมาไม่ได้เลยสักคน ล้มแผละลง หรือว่านั่งยองๆลง หรือว่าทำยังไงต่อไป เอ้า เห็นเดิน ๗ ก้าว มันควรจะเห็นต่อซิเนาะ เราก็อยากรู้ต่อน่ะ เขาตอบอาตมาไม่ได้ อาตมาก็บอก ไม่เอา ตอบไม่ได้

แต่อาตมาตอบได้ พอก้าวที่ ๗ เป็นพุทธะเลย ว่าง สมบูรณ์ อุเบกขา นี่มันจะถึงว่างแล้ว อุเบกขาคือว่างแล้ว แต่ถ้าไปติด อุเบกขาอยู่ ไม่ว่างเสียแล้ว ยังยึดอุเบกขาเป็นภพเป็นชาติ ก็ยังไม่ว่าง ไม่รู้จักวางอุเบกขา มันลึกซึ้ง มากนะ แต่ว่าก็ต้องฟังด้วยภาษา แล้วคุณจะไปรู้ ไปทำ เราก็ต้องฝึกปรือ จนกระทั่ง สมบูรณ์สุด โน่นแหละ แต่อุเบกขาก็เป็นฐานอาศัย เป็นฐานที่ว่างจากกิเลส ก็สบายที่สุดละ อุเบกขานี่ เป็นฐานที่ใช้เป็น วิหารธรรม

ในบารมี ๑๐ ทัศ
ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา นี่อาตมาได้จัดหมวดไว้ เป็น ๔
วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน อีก ๔ อันนี้ใน ๔ อันนี่นอกนี่ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญานี่ อธิบายนี่ชัด พอมาถึง วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน นี่ชักอธิบายยากแล้ว มันเป็นนามธรรม ตัวแรงพลังลึก พลังลึกเร่งที่ซ้อน อยู่ข้างใน เสร็จแล้ วทำได้เสร็จแล้ว เราจะเหลือ ๒ อัน บารมีอีก ๒ อันสุดท้าย เมตตา กับ อุเบกขา

เมตตา นี่เพื่อผู้อื่น
อุเบกขา นี่เป็นฐานอาศัยของตัวเอง

เมตตานี่เป็นจิตที่จะต้องช่วยเหลือเกื้อกูล อยากจะให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ แล้วก็ทำงาน สุดท้ายพระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า พระพุทธเจ้า ก็อยู่ในเมตตากับอุเบกขา เป็นฐานอาศัย นอกนั้นเป็นพฤติกรรมของท่าน เกิดพฤติกรรมทาน พฤติกรรมของศีล ก็เป็นปกติเป็นธรรมดาแล้ว เป็น Automatic แล้ว เป็น Automation แล้ว ปกติ ศีลก็เป็นเรื่องธรรมดาของท่าน ท่านทำได้ ยังไงท่านก็ทำศีลของท่านบริสุทธิ์อยู่ ไม่ต้องไปทำ ท่านก็บริสุทธิ์ด้วยศีล เอาศีลข้อไหนมาจับ ท่านก็บริสุทธิ์ได้ ที่สุดแม้ท่านจะดูด้วยรูป ว่าท่านละเมิดศีล แต่ใจท่านก็บริสุทธิ์ อันนี้อย่าเอาไปตีกินละ เสพกามด้วยจิตว่าง กินไอศกรีมด้วยจิตว่าง ไม่ต้องไปเอามา เที่ยวได้แก้ตัว ให้มันบาปหนา ซ้อนเข้าไปอีกน่ะ ทำไมหัวเราะกัน อาตมายกตัวอย่างไม่ได้หรือไง มันทันสมัย หน่อยนะ มันก็เลยดีนะ รู้จักเรื่องทันสมัยมาอธิบาย แล้วมันก็ตื่นกันดีใช่ไหม มันเหมาะกับยุค เหมาะกับสมัย ทันกาล ทันสมัย ไปเอาแต่นิยายพระสุวรรณสาม เอาแต่นิยายเตมีย์ใบ้ มายกตัวอย่าง เขาบอกเตมีย์อะไร อีกละ แต่ถ้าบอกว่า ไอศกรีมเท่านั้นแหละ โอ๊ ฟังรู้กว่าเตมีย์เยอะเลย อะไรอย่างนี้ ฟังรู้กว่าสุวรรณสาม เยอะเลย อะไรอย่างนี้ มันก็ใช้ได้ทันที ไม่ต้องไปเสียเวลาอธิบายความอีก ต้องไปเท้าความถึงชาดกมากมาย ยืดยาด นี่มันมีชาดกในตัวแล้ว ทันสมัย เพราะฉะนั้น พูดกับคนทันสมัยก็ได้ ได้อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น การเดิน ๗ ก้าว การถึงพุทธะ มันจะต้องเข้าใจหมดเลย แล้วไม่ใช่ภาษา เป็นสภาวะทั้งหมด คุณฟังธรรมะ อาตมาไปเถอะ แล้วจะเชื่อว่า อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ทุกวันนี้ก็คงจะมีคนเชื่อเพิ่มขึ้นเยอะ โอ๊ ช่างพูดได้ พูดมาก พูดดี แล้วพูดก็เข้าเรื่องเข้าราวนะ ฟังเข้าใจ ฟังเห็น ยิ่งลึก ยิ่งชัด หลายอย่างได้ฟัง อย่างที่ไม่เคย ได้ฟังมาเลย โฮะ อย่างนี้นี่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยนี่ บางคนแก่เฒ่าแล้วยังไม่เคย ไปหลายสำนักแล้ว

โยมเยาวภานี่ลุยมาไม่รู้กี่สำนักแล้ว นี่ โอ้โห ไล่จนไม่หมด ลืม ไล่มาไม่ครบเลยเห็นไหม นั่นขึ้นเวที บอกไล่มาเลย โอ้โหไปจังเลย บอกไม่เคยได้ยินอย่างนี้หรอก ... พูดอย่างคล้ายๆ พระพุทธเจ้าว่า เธอจะไม่ได้ยิน เช่นนี้มาก่อน จริงๆ เขาไม่พูดหรอกอย่างนี้ แล้วอย่างนี้ ท้าให้คุณพิสูจน์ด้วย ท้าให้คุณ พิสูจน์ด้วย แล้วอย่างที่อาตมาว่านี่ อรหันต์เจ้านี่ อย่าเพิ่งไปว่า ท่านจะตาย ท่านจะสูญ หรือไม่สูญ อย่างนี้เป็นต้น

พระโพธิสัตว์นี่กับอรหันต์นี่อันเดียวกัน อย่างนี้เป็นต้น ไม่เคยได้ยินหรอก เถรวาทนี่เขาก็สอนอย่างเถรวาท อาตมามาแก้ไข ตัวสังฆเภทพวกนี้ เขาก็หาว่าอาตมาพูดผิดกับเขา ใช่ อาตมาพูดผิดกับเขานั่นถูกแล้ว แล้วเขาก็จะเอาอาตมาตาย ไม่รู้จะเอาตายได้หรือไม่ได้ ก็ต้องดูกันไปก่อนก็แล้วกัน ใครตายก่อนใคร ก็ยังไม่รู้ละนะ นี่ก็ไม่ได้ไปแช่งไปด่าอะไรใครหรอกนะ ก็พูดไปตามธรรมน่ะ

เราค่อยๆมาเริ่มต้นกันต่อ ว่าที่จะอธิบายซ้อนถึงเรื่องโพชฌงค์นี่ ให้ชัดลึกลงไปอีก ถ้าเข้าใจโพชฌงค์ดีๆแล้ว ตอนนี้ เราวางรากฐานของมรรค ๘ โดยเฉพาะอาตมาพยายามย้ำลงไป ในสัมมาอาชีพ เพราะว่า เราต้องขยายฐาน มันไม่ใช่จะมาออกันอยู่ในวัดนี่อย่างเดียว มันจะต้องมีสัมมาอาชีพ ที่จะต่อไป ... เช่น อาตมาทำพลังบุญ ทำศูนย์อาหารมังสวิรัติ ทำร้านอะไรพวกนี้ออกไป ก็ให้มันมีตัวที่จะเชื่อมโยง ต่อไปทางโน้น เขาก็ทำของเขาเอง อาตมาก็พยายามจะดูซินี่ ชาวพวกเรานี่ หลายผู้หลายคน ทำอะไร ก็เชื่อมโยง ของตัวเองต่อไป ถ้าเราไม่ห่างเหินธรรมะ แล้วเราก็พยายามศึกษาให้รู้ว่าเราเจริญ ก็คือเราสุดท้าย เราก็จะเข้ามาใกล้มาชิด เราจะรู้เอง แต่ถ้าเราบอกว่าอยู่อย่างโน้นละหลงระเริง เพลิดเพลิน อยู่ทางโน้น หนักเข้าก็หลงกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณก็ไปอ้วนปี๋อยู่ทางโน้นเองแหละ ไม่ได้เรื่องอะไร ถ้ามันมา อ้วนทางนี้ก็ดีแล้ว อย่าไปอ้วนอยู่ทางโน้นเลย

นี่ก็เอาสิ่งจริงของพวกนี้มาประกอบ เพื่อที่อธิบายขยายโลกาภิวัฒน์ ถ้าไม่เช่นนั้น ก็ขยายโลกาภิวัฒน์ไม่ออก แล้วเรา จะทำงานอย่างนี้ เพื่อที่จะชิงแชมป์ ล้มแชมป์ทุนนิยมลงไป ยังล้มไม่ลง อาตมายังนึกอยู่เลยนี่ มันยากๆ แหม อาตมาจะอยู่ได้อีกสัก ๒๐, ๓๐, ๔๐ ปีไหมนี่ ไม่เอามากหรอก อีกสัก ๔๐ ก็พอนะ หลายคน อยากให้อาตมาอยู่อีก ๖๐ อยากให้อาตมาอายุอีก ๖๐ ๑๒๐ มันก็อีก ๖๐ ปีโน่น โอ้โห อีงวดนี้ จับหนัง ก็คงหลุด ออกมาละนะ อยู่อีก ๖๐ ปี อีกสัก ๔๐ ปีนี่ อาตมาก็ว่าสุดยอดแล้วนะ คือพยายามจริงๆ อาตมา พยายาม แต่อย่างว่าแหละ เราฝืนวิบากไม่ได้หรอก ถ้าเรามีวิบากเท่านั้นเท่านี้ แต่ก็พยายาม พยายามนี่ เสริมได้บ้าง เติมได้บ้าง ต่อชีวิตได้บ้าง ต่อได้จริงๆ ถ้าเผื่อว่า มีอิทธิบาทที่เก่ง แล้วพากเพียร ก็ดูทุกอย่าง แหละ ทั้งการกระทำ ทั้งกรรมกิริยาที่เราจะดู ทั้งอาหารการกิน ทั้งการออกกำลัง ทั้งหลายๆ อย่างน่ะ ที่มัน จะช่วย อย่างสำคัญที่สุดที่จะทำให้อายุสั้นก็คือจิต จิตอย่าเศร้าหมอง ฟังไว้เลย ใครจิตเศร้าหมองมากๆ มันไม่ตาย มันก็ลงนรกก่อนแล้ว เข้าใจชัดไหม มันไม่ตายหรอก มันก็ยังลงนรกก่อนแล้ว มันไปล่วงหน้าแล้ว มันลงนรกก่อนแล้ว เยี่ยมนรกก่อนแล้ว พอตายแล้วก็ไปจริงเลยทีนี้ เศร้าหมองนี่นรก ทุกข์ร้อนนี่นรก

เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่า ความเศร้าหมอง ความไม่ชอบใจ ความอะไรนี่ KICK IT OUT เอามันออก อย่าให้มัน อยู่ในใจเราเลย อาตมาก็ไม่รู้ หลายคนอยากเป็นลูกอาตมา แต่เสร็จแล้ว ก็เอาความเศร้าหมอง เอาความทุกข์ หาความทุกข์ใส่ตัวทำไม ทุกข์ตัวเองก็ยังล้างไม่หมด แล้วยังไปหาทุกข์ใส่ตัวอีก โถ! เหลือใจ เลยเนาะ ภาษาอีสาน เหลือใจเด๊ อาตมาก็เหนื่อยๆ ทำไม ตัวเองก็หลงตัวว่าฉลาดนะ แต่ว่าทำไม มันถึงโง่ อยู่อย่างนั้น คนที่รู้จักการเอาไอ้สิ่งนี้ ออกจากจิตก่อนนี่ ฉลาดประตูแรกเลย เสร็จแล้ว ก็ดำเนินไป พัฒนาไป และ อาตมาก็นำพาไปเรื่อยๆ

เอาละพูดไปประเดี๋ยวจะหมดเวลาอีกจนได้ มันไม่หมดหรอกเวลา โอ๊ ยังไม่เมื่อยเลย ยังไม่ทันได้พูดอะไร เท่าไหร่ เก็บไว้พรุ่งนี้ต่อ

เอ้า สำหรับวันนี้จบแค่นี้ก่อน



ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๒๑ มีนาคม ๒๕๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว-ใจธรรม ๕ มิถุนายน ๒๕๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๕ มิถุนายน ๒๕๓๗

# GLB1D.TAP บุญนิยมจากโลกาภิวัฒน์ ตอน ๒