รัตนตรัย กับบุญนิยม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔ ณ พุทธสถาน สันติอโศก

หน้า ๒ ต่อจากหน้า ๑


ทีนี้สังคมของพุทธ บุญนิยมที่ว่านี่ มันก็เป็นระบบที่ทุกวันนี้แล้ว มันจะมีรูปร่างที่ชัดเจน เพราะว่าคนทุกวันนี้ พูดกันในสังคมศาสตร์ สูงกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามาก สมัยพระพุทธเจ้านั้น สังคมศาสตร์ยังแคบ เขาไม่รู้จักวัฏจักรของสังคม แล้วก็ไม่อธิบายวัฏจักรของสังคมได้ดี เท่าทุกวันนี้ ทุกวันนี้แง่เชิงการศึกษาศาสตร์ต่างๆ ของสังคมเก่งใช่ไหม มีความรู้ในแง่มุมของสังคมเยอะ แล้วการปรุงแต่งของสังคม ก็เยอะขึ้นด้วย ศาสตร์ก็ลึกซึ้งขึ้นด้วย ในสมัยพระพุทธเจ้านั้น ศาสตร์ของสังคมน้อย ไม่ค่อยเข้าใจกันมาก แล้วเขาก็ไม่ปรุงแต่งกันมาก เท่าเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เขาก็ขนาดนั้น เขาก็พอใช้

แต่ทุกวันนี้ ถ้าจะเอาอย่างพระพุทธเจ้า สมัยพระพุทธเจ้านั้นมาใช้สมัยนี้ ไม่พอ เพราะการปรุงแต่ง มันมากกว่ากันเหลือเกิน เฉกะตา หรือว่าเฉกัง ไอ้ความเฉลียวฉลาดแบบโลกๆ มันเยอะเหลือเกิน ฉลาดแล้วก็มีเชิงชั้นด้วยนะ รู้ด้วยนะว่า อย่างนี้ ถ้ามีความหมายทางธรรม มันไม่ดี เพราะฉะนั้น ก็พราง มีความฉลาดที่จะใช้กลพราง ซ้อนเชิงเข้าไปอีก โอ้โห ! พรางหลายชั้น เพราะฉะนั้น ลีลาต่างๆ ของสังคมที่อาตมาพูดนี่ ความรอบรู้เชิงกลในการพรางการลวง ในการที่จะอยู่กับ สังคมเขา ด้วยวิธีการพวกนี้ มีมากมาย มามากกว่าสมัยก่อนมาก เพราะฉะนั้น โลกวิทูทุกวันนี้ จะต้องรู้โลกทุกวันนี้ รู้สังคมทุกวันนี้ ต้องรู้ยิ่งกว่าสมัยพระพุทธเจ้า จึงจะหลุดพ้นได้ สมัยพระพุทธเจ้า ไม่ต้องรู้เท่านี้หรอก มันพรางลวงไม่มากเท่านี้ เพราะฉะนั้น มันก็หลุดพ้น ง่ายกว่ากว่าทุกวันนี้ ช่วยไม่ได้ที่คุณต้องมาเกิดชาตินี้ ขณะนี้ ยุคนี้ สมัยนี้ พอเกิดมาอุแว้ๆ ออกมา ประเดี๋ยวมาเรียน เดี๋ยวนี้เด็กๆหลายคนมันรู้จักสังคม แล้วมันก็ซับซ้อนในสังคม มันมีความเฉลียวฉลาด รู้เท่าทันสังคม ที่จริงมันไม่รู้เท่าทัน เพราะมันจะสู้ได้หรอกนะ มันรู้กับสังคม ที่มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็ไปปรุงแต่งกับสังคมได้เก่งกว่าคนแก่สมัยนี้เยอะ เด็กเดี๋ยวนี้ เด็กอายุ ๕ ขวบ ๘ ขวบมันรู้แล้ว ไปพูดกับคนแก่ไม่รู้เรื่อง แต่พวกดัดจริตพวกนั้นน่ะ พวกคนแก่แดด ไอ้เด็กแก่แดดนี่ ๘ ขวบ ๑๐ ขวบ มันไปลิ่วแล้ว คนแก่นี่เซ่อเลย อะไรของมันวะ คนแก่ไม่รู้เรื่องหรอก แต่พอเด็กพวกนั้นแก่ แก่วัน แก่เวลา แก่แดด สมัยนี้ไปแล้ว ไปกับสังคมโลกที่มันปรุงแต่ง ที่มันมอมเมายาก เพราะฉะนั้น คนที่มีลูกสมัยนี้ ทุกข์มาก ใครไม่มีได้ก็บุญ อาตมาก็เคยพูดว่า พระพุทธเจ้าท่านว่า คนที่แต่งงานแล้วไม่มีลูกนี่เป็นบุญ ป่วยการกล่าวไปใยกับคนโสด เพราะคนโสด ยิ่งมีบุญมากกว่านะ พูดแล้วเขาก็มาหา ว่าประชดอาตมานะว่า สอนแบบนี้คนก็ไม่แต่งงานหมด แล้วโลกก็สูญพันธุ์ซี่ เดี๋ยวก็เอากระบองตีกบาลให้เลย ไอ้พูดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ยังไง คนจะมาไม่แต่งงานหมดทั้งโลก แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้มีเกรดตัดเกรดว่า คนจะต้องไม่มา แต่งงานทั้งโลก ตัดเกรดระดับอริยะ ก็มีผัวเดียว เมียเดียว แต่ถ้าใครสูงได้มากกว่านั้นก็เอา ก็ไม่ได้บอกว่า คนที่จะเจริญคือ คนที่ไม่แต่งงานหมดเลย เกรดของพระพุทธเจ้าก็พูดอยู่แล้ว ไม่ได้ไปตัดเกรดที่ว่า คนที่ไม่แต่งงานเลยนี่แหละ คือ เกรดของพระพุทธเจ้า คนที่แต่งงาน ยังอยู่นอกเกรด ต่ำกว่าเกรด ก็เปล่า ก็ไม่ได้ไปพูดอย่างนั้น ก็ไม่ได้เคยไปตัดเกรดอย่างนั้น ไม่ได้ตัดเกรดเอาแค่นั้น แล้วเขาบอกว่า เราเคร่ง ก็แน่นอนสิ เคร่งได้มันสวย อย่าเคร่งเครียดแล้วกัน เคร่งครัดได้ ก็สวยน่ะ

ทีนี้ อาตมาอยากจะ...ฟังดีๆนะ ตอนนี้ อยากจะบอกถึงระบบ ที่ระบบ สังคมของพวกเรานี้ ได้อะไรกันมา พอสมควรแล้ว มันก็เกิดระบบบุญนิยมกันขึ้นมา ซึ่งมีอุดมการณ์ถึงขนาด อาตมาจะยกตัวอย่าง ทิศทางหนึ่งเสียก่อน ทิศทางการค้านี่นะ แล้วอาตมาก็บอกว่า พวกเรานี่ ระบบบุญนิยมนี่ มันมีลักษณะจะขายของ ขายในราคาต่ำกว่าทุนได้ ที่จริง ไม่ใช่อุดมการณ์ ที่เป็นไปไม่ได้ อุดมการณ์นี้ต้องเป็นไปได้ ทีนี้อุดมการณ์นี้จะเป็นไปได้ มันจะต้องมีองค์ประกอบ สมบูรณ์ จะต้องมีมนุษย์ที่มีอริยทรัพย์ มีศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญาที่แท้ มีการบริจาค จาคะตัวนี้ จะต้องมีเป็นคนที่เป็นสมาชิกที่บริจาค เพราะว่าคนพวกเรา มันมีกรรมต่างกัน มีวิบากต่างกัน บางคนก็ยังจะต้องทำงานกับสังคมอยู่ แล้วยังจะต้องรับรายได้ของสังคมอยู่ บางคนนะ บางคน ถอดถอนได้ ไม่ต้องรับรายได้จากสังคมเลย ก็ดี ก็เจริญขึ้น อย่างสัมมาอาชีพ หรือมิจฉาชีพ ๕ อาตมาก็เคยเอามาอธิบายของพระพุทธเจ้า กุหนา ลปนา เนมิตตกตา นิปเปสิกตา ลาเภนะ ลาภัง นิชิคิงสนะตา ก็อธิบายเป็นลำดับให้ฟังหมดแล้ว พูดมามาก คนใหม่ๆ ก็ขออภัยนะ ไม่รู้เรื่องก็ค่อยๆ ติดตามไปเรื่อยๆ ศึกษาตามไป คนเก่าๆก็อยู่ในนี้เยอะ ก็ฟังรู้เรื่องอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น แม้แต่อาชีพนี่ ใครละขึ้นมาได้ ก็ดีซี แล้วจะต้องมีคน เหล่านี้จำนวนหนึ่ง ที่ละอาชีพ พ้นมิจฉาชีพ ๕ มาทำงานไม่มีรายได้เลย เมื่อไม่มีรายได้เลย เขาก็ไม่มีเงินไปบริจาคแน่นอน ส่วนคนที่ยังทำงานอยู่ จะต้องมีรายได้อยู่นั้น มันต้องมีแน่นอน เพราะเราไม่ได้ตัดขาด จากโลก ภายนอก เรายังมีสังคมในโลกภายนอกอยู่ คนที่มีรายได้อยู่ในโลกสังคมภายนอกนี่แหละ จะเป็นตัว บริจาคเข้ามา จะต้องเป็นตัวบริจาค แล้วก็ยิ่งจะมีภูมิธรรมสูงขึ้นที่รู้ว่า การบริจาค ไม่ใช่การซื้อ หรือ การแลกเปลี่ยน หรือการเล่นการพนัน เอามาทำบุญ ๑๐ บาท เพื่อต่อไปเราจะได้ ๑๐๐ เราจะได้แสน เราจะได้ล้าน มาทำบุญแสนหนึ่ง เราจะได้ยิ่งกว่าแสน ไม่ใช่ ไม่ใช่ ทำทานก็คือทำทาน บริจาคคือบริจาค เรื่องนี้ คนไทยเรางมงายกว่ายุโรป งมงายกว่าอเมริกา งมงายกว่าต่างประเทศ ตรงที่ เขาเอง เขาคนต่างประเทศ เขาทำทานนี่นะ เขาบริจาค เขา อ๋อ ! อันนี้มันดี มันไปช่วย ประชาชน มันจะไปเกื้อกูลให้เกิดระบบเศรษฐกิจที่ดี ให้เกิดการกระจายทุนตามหลักเศรษฐศาสตร์ เกิดการช่วยเหลือเฟือฟาย สิ่งที่น่าจะช่วยเหลือ เพราะเขาไร้ความสามารถ ของเขาขาดแคลน หรือเขาตกต่ำ ในสิ่งที่ควรจะช่วยเหลือ

เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่เขาช่วยเหลือไปทำบุญทำทาน ช่วยกันในระดับของคนต่อคน องค์กรต่อองค์กรเลย ในประเทศต่อประเทศ เขาก็ช่วยกัน ช่วยกันเป็นพันๆล้าน เป็นหมื่นๆล้าน เอ้า ! บริจาคช่วยไป โดยที่ไม่ต้องการอะไรตอบแทน ไม่มีสัญญาอะไรหรอก ให้ไปก็คือให้ไป เพื่อเอาไป ใช้จ่ายในกิจนี้ อันนี้คนต่างประเทศเขายังเข้าใจดีกว่า คนไทยนี่ไปสอนกันมา อาตมาก็โทษคนสอน ศาสนาพุทธนี่แหละ สอนมาผิด ว่าทำทานยังต้องทำทานให้มีกิเลสโลภ เห็นแก่ได้ ทำแต่น้อย ได้มากขึ้น สอนผิดมาแต่ไหนๆเลย แต่โดยสัจจะนั้นไม่ได้มากขึ้น คุณทำทานคือของคุณ คุณทำทานก็คือของคุณ คือกัมมทายาโท คือมรดกของคุณ สิ่งที่คุณให้ แล้วคุณไม่เอาคืน นั่นก็คือของคุณ สิ่งที่คุณเอาให้ แล้วคุณเอาคืนมา คุณก็ได้ไอ้ที่คืนมานั่นแล้ว ใช่ไหม คุณก็ไม่มีที่อื่น ทีนี้คุณเอาไปปู้ยี้ปู้ยำ ทำสลายอะไร เป็นของตัวแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ไปฝากไว้ในโลก ไม่ได้ไปทานอะไรไว้ คุณตาย เพราะว่าเงินห้าร้อยล้าน คุณก็เสียเผาทิ้งเปล่า ๕ ร้อยล้าน คุณไม่ได้ทำบุญ ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้ฝากใครไว้ กอบโกยมา...ไหนก่อนจะตาย ไหน ดูยังขอดูบัญชีซิ ดูสเตทเม้นต์ก่อน โอ้โห ! สุดท้ายนี้เหลือ ๕ ร้อยล้าน แล้วก็ตายไป เผาทิ้งไป เลย ๕ ร้อยล้าน ไม่ใช่อะไรของคุณเลย เพราะคุณไม่ได้จ่ายใครไปเลย คุณไม่ได้ให้ใครไปเลย ไม่ได้เป็นคุณค่าอะไร ของคุณนะ ลักษณะนี้เป็นนามธรรม แต่แน่นอน เงิน ๕ ร้อยล้านนั่น มันแย่งกันแน่ มันแบ่งกันแน่ แต่คุณไม่ได้ให้เขานะ แม้แต่คุณทำพินัยกรรม อาตมาเคยพูดว่า พินัยกรรมไม่ใช่การทำทาน เป็นการขี้เหนียว สุดท้ายของคุณ เป็นวิธีการของความขี้เหนียวข้อสุดท้าย คุณไม่เขียนพินัยกรรม เขาก็ต้องเอาไป คุณจะมีญาติดี หรือญาติเลวก็แล้วแต่ ถ้าญาติเลว มันก็แย่งกัน ถ้าญาติ ดีมันก็แบ่งกัน แต่มันต้องเอาไปแน่นอน คุณไม่ได้ให้ใครเขาหรอก แต่เขาต้องเอาแน่ ไม่ใช่ของคุณหรอก ก็ตายแล้วคุณจะมา...เอาของกูคืนมา เป็นผีมาหลอก เอาไม่ได้หรอก มันก็อยู่ในโลกนี้แหละ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าจะให้ ให้ตั้งแต่เป็นๆ ก่อนจะสิ้นใจก็ยิ่งดี ยิ่งก่อนสิ้นใจตั้ง ๕๐ ปี ยิ่งดี แน่ใจว่า ได้ให้แน่ๆ แล้วเขาก็ไปทำดีหรือไม่ดี ก็จะได้เห็นให้ชัดว่า อ้อ ! ไอ้นี่ ให้ไปแล้ว มันทำไม่ดี ทีหลังไม่ให้มันอีก เออ ! ให้คนนี้ไป เออ ! มันทำดี ทีหลังให้มันอีกคนนี้ มันเอาไปสร้างสรร ดีมากทีเดียว เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์

นี่คือลักษณะการทำทาน หรือการที่จะให้ไป เราเองเรามีมาก เราก็ให้คนที่จะเอาไปทำประโยชน์ หรือคนมีน้อยที่ควรได้ คนมีน้อยที่ไม่ควรได้ ก็ไม่ต้องควรได้หรอก เออ ! อดอด อยากอยาก ตายไปเถอะ ให้ไปแล้ว เอ็งก็ไปชั่วต่อ ก็เท่ากับเราไปเอาเครื่องมือนี้ ไปทำให้เขาชั่วต่อ ได้บาปนะ ทำทานได้บาป ให้เงินกับ ไอ้คนขี้เหล้าไปกินเหล้าต่อ มันก็ยิ่งชั่วลง มันก็บาป ให้คนติดฝิ่น ไปกินฝิ่น สูบฝิ่นต่อ มันยิ่งบาป ให้เงินไอ้โจร เอาเงินไปให้ไอ้โจรไปซื้ออาวุธ ไปทำชั่วต่อไปอีก มันก็ยิ่งบาป เท่ากับ เราไปสนับสนุน ส่งเสริมเขา ทำทานแบบนี้ ทำทานบาป

เพราะฉะนั้น ทำทานก็ต้องมีปัญญา เอาละในเรื่องทานนี่ จะเป็นเรื่องหลักในเรื่องบริจาค จะเป็นเรื่องหลัก มีจาคะสัมปทา เข้าถึงจาคะ เป็นจิตที่มีความเข้าถึงจาคะ มีความเข้าถึงการบริจาค เพราะตัวเราได้ปฏิบัติตนกินน้อย ใช้น้อย ทำงานมาก ขยันหมั่นเพียร มีผลตอบแทนขึ้นมา ตามอัตราสังคม ที่เราไม่สามารถไปรื้อฟื้นเขาได้ ไปล้มล้างเขาไม่ได้ แม้มันจะเป็นอัตราฉ้อฉล เป็นราย ได้ที่... แหม ! มันฉ้อฉลนี่ เราได้มา มันมากกว่าควรด้วยซ้ำไป เราต้องยิ่งระวัง นะอันนี้ ต้องรีบไปบริจาค หรือรีบให้ไป จะให้ยังไงตัวคุณก็ใช้ปัญญาของคุณ บริจาคด้วยปัญญา ควรบริจาคที่ไหน แก่ใคร อย่างไร ที่จะเป็นประโยชน์คุณค่า ที่สมควรที่สุด เรามีสิทธิ เพราะมันเป็นของของเรา ที่ได้มาโดยบริสุทธิ คือ ว่าบริสุทธิในส่วนหนึ่ง เพราะว่าเราไม่ได้ไปโกง ไปฉ้อ แต่อัตราสังคมมันฉ้อฉล โดยตัวของมันเอง เพราะว่าคนที่ไปออกอัตราสังคมนี่ มันก็เป็นคนที่มีสิทธิ ที่จะออก ตั้งราคา ตั้งอัตราใช่ไหม เจ้าของบริษัทตั้งอัตราเงินเดือน ลูกข้าเป็นประธาน ข้าตั้งไว้เยอะๆก็ได้ นี่มันเรื่องธรรมดา ใครล่ะไม่ต้องการอยู่บริษัท ออกไปซี บริษัทนี้ข้าตั้งเอง ข้ามีสิทธิ์ มีอำนาจ หลายๆอย่าง รัฐบาลใครเข้าไป เป็นผู้บริหารรัฐบาล ก็ตั้ง จะเอาพรรคเอาพวกไหน ก็ขึ้นเงินเดือน ให้เจ้านั้นเจ้านี้ ก็แล้วแต่รัฐบาลเข้าข้างใคร เห็นข้างใคร มันฉ้อฉลมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เปลี่ยน ก็ขึ้นบัญชี ค ใช่ไหม...เอาบัญชี ค มาใช้เพื่อเอาใจพวกข้าราชการประจำ รักษาฐานะ ของตนไว้ ก็รู้ๆกันอยู่ ไม่ต้องยิ้มก็เห็นขี้ฟันแล้ว มันก็เรื่องอย่างนี้ มันก็ฉ้อฉอขึ้นเรื่อยๆ ส่วนกรรมกร ่ขอ ๑๑๐ แหกปากร้องจะตาย ประท้วงไปเถอะ เดี๋ยวต้องคิดมากๆหน่อยนะ จริง ในเรื่องของ หลักเศรษฐศาสตร์ อาตมาก็เข้าใจว่า จะไปขึ้นราคา ให้กับกรรมกรมากๆ มันเป็นคนพื้นใช่ไหม อัตราพื้น มันเป็นระดับพื้นฐานของคนในระดับต่ำ แล้วมันมีคนระดับนี้มาก ถ้าไปให้สูงมากๆ กระเป๋าฉันก็แย่สิ ใช่ไหม อัตรานี้สูงมาก พวกนายทุน ก็ถูกดูดออกไปมาก ไม่ได้หรอก ฉันก็ส่วนหนึ่ง เหมือนกัน มันไม่กล้าให้ แล้วเขาก็แก้ตัวบอกว่า ประเดี๋ยวระบบเศรษฐกิจจะแย่ มันไม่แย่หรอก มันจะเกิด การกระจายทุนที่มากขึ้น มันไม่แย่หรอก แต่มันอ้าง ใครขืนให้มาก ไม่ได้

เพราะฉะนั้น ประเทศเจริญแล้ว เขามีอัตราค่าแรงงานของกรรมกร แพงขึ้น สูงขึ้น ประเทศไหน ก็แล้วแต่เถอะ อัตราค่ากรรมกรจึงแพงขึ้น คนไทยไปอเมริกา โอ้โห ! ไปญี่ปุ่น แหม ! สบาย นี่ไปญี่ปุ่น หลายคนแล้ว ยังไม่กลับมา เดี๋ยวขอขุดบ่อเงินเสียก่อน เพราะค่าแรงงานมันสูง ล้างจานแค่นั้น ก็โอ้โห! แพงกว่าซี ๘ ซี ๑๐ ที่นี่เยอะ ล้างจานที่โน่นน่ะซี ๘ ซี ๑๐ ได้ไม่เท่าหรอก ค่าแรงงานเขาสูง เขาสูงเขาทำได้ เพราะว่ารัฐบาลเขาเก็บภาษี จากพวกที่สร้างสรร อุตสาหกรรมของเขาเจริญ ไอ้โน่นไอ้นี่ มันเจริญ การผลิตสร้างสรรเจริญ เขาก็แบ่งแจกมาให้รัฐบาล รัฐบาลก็ไม่เดือดร้อน เพราะฉะนั้น ก็แบ่งไปสิ แม้แต่กรรมกรจะราคามากๆ เอ็งก็แบ่งไปจากผู้ที่เป็นนายทุนนั่นแหละ ได้มากขึ้น เขาก็ไม่เป็นไร เขาอยู่ได้ ถ้าอย่างเมืองไทย มันยังด้อยพัฒนา มันยังไม่กล้าเสียสละ มันก็ไม่ได้ เอาละ อาตมาวิเคราะห์ไอ้นี่ไปอีก ประเดี๋ยวก็จะกลายเป็น วิชาเศรษฐศาสตร์ไปอีก ยุ่ง

หันกลับเข้ามาหาเรื่องบุญ เรื่องการค้า อาตมาพูดเมื่อกี้นี้ว่า เราจะต้องเข้าใจการค้า การค้าอย่างไร ถึงจะขายต่ำกว่าทุนได้ ลักษณะที่จะขายต่ำกว่าทุนได้ มันจะต้องมีของมาทดแทน ทีนี้ ในการคิดทุน ของลักษณะพาณิชย์นี่นะ เขาคิดทุนโดยการบวกต้นทุนที่ซื้อมา ที่โน่นที่นี่ แล้วค่าโสหุ้ยต่างๆ แม้แต่ค่าแรงงาน ค่าแรงงานเขาก็คิดลงไปเป็นทุน ก็ตาม เป็นพนักงานการค้าก็ตาม เราก็ต้องมี หรือเราเป็นคนงานของการค้า ก็ตาม เป็นพนักงานการค้าก็ตาม เราก็ต้องมีค่าแรงงาน ใช่ไหม มีค่าแรงงาน ค่าแบก ค่าขน ค่าคิด ค่าโน่น ค่านี่ ค่าที่ทำการงาน เป็นผู้ที่อยู่ในบริษัทการค้า ค่าแรงงาน ของคนงานบริษัทการค้า ก็มี เขาก็คิดเป็นทุนไปหมด ยังไม่พอนะ ยังมี ERROR อีก ยังบวก เผื่อขาดหก ตกหล่น บวกเข้าไปในโสหุ้ยทุน โสหุ้ยทุน นอกนั้น คิดหมดแล้ว ค่าดิน ค่าน้ำ ค่าลม ค่าไฟ ค่าอากาศ ค่าส่วนว่างอะไรก็แล้วแต่ มันคิดหมดเลย แล้วยังมีแถม ไอ้ที่นึกไม่ออก เรียกว่า ERROR ส่วนขาดหกตกหล่น ยังคิดไม่ออก บวกเอาไว้ให้ก่อน กันพลาด รวมเข้าไป เรียกว่าทุน

ถ้าเราจะขายต่ำกว่าทุนนี้หละ และเริ่มต้นคิดตรงนี้ ต่ำกว่าทุนนี่แหละ เรียกว่ากำไรอริยะ ทีนี้มันจะขายต่ำได้ด้วยอย่างไร ได้ด้วยอย่างน้อยที่สุด เราก็คืนไปให้แก่คนที่เขาซื้อ จะของนี่ คืนทุน ไม่เอาเกินทุน จะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แล้วมันจะมาหักออกจาก อย่างน้อยค่าแรงของเรา เราควรจะได้ ค่าแรงวันละ ๑๐๐ บาท สมมุติว่าสมรรถภาพของเรา ควรจะได้ค่าแรงตามอัตราสังคมวันละ ๑๐๐ บาท แต่ถ้าเราหักเสียให้ต่ำกว่าทุน ก็เท่ากับหักค่าแรง ๑๐๐ บาทของเราลงไป ค่าแรงเรา อาจจะเท่า กรรมกรก็ได้ เราคิดเสียว่า เราเท่ากรรมกรก็แล้วกัน คนที่ไม่มีศักดินาหน่อยก็คิด คนที่มีศักดินาหน่อย ไม่ได้หรอก เราต้องค่าแรงต้องสูงกว่ากรรมกรซี เราเป็นคนมีความรู้ เราเป็นคนมีความสามารถ เราเป็นคนได้เรียนมามาก ลงทุนไปแยะนะนี่ ไปเรียนเป็นดอกเตอร์ ได้ดอกเตอร์มา ก็ต้องคิดทุนคืน หน่อยซี ที่จริงคนที่ได้โอกาสไปเรียนดอกเตอร์ มันมีกำไรในตัวเอง อย่างน้อยพ่อแม่รวย มีเงินส่งไปเรียน หรือจริงๆแล้ว ก็แม้จะเป็นตัวเอง ว่า ฉันฉลาดสอบชิงทุนได้ มีความสามารถ ความรู้ ความสามารถสอบชิงทุนได้ ก็เป็นบุญของตัวนี่ ใช่ไหม เป็นบุญของตัว ที่มีบุญบารมีเดิมมาว่า เราฉลาด เราสามารถเรียนรู้ได้ หรือมีความขยันก็ตาม เรียนรู้ได้ ก็เป็นความสามารถของคุณ คุณก็ได้เปรียบอยู่แล้ว มันมีบารมีมาเก่านั่นหนึ่ง สองพ่อแม่รวย ลองว่าเอาเถอะ คนนี้เขาไม่มี ความรวย ให้เขาไปเรียนบ้างสิ เขาก็อาจจะเรียนได้นะ คนอื่นส่งทุนให้เขาบ้างสิ ให้เขาเรียน เขาก็อาจจะเรียนได้นะ หรือบางคน เขาเองเขาสอบชิงทุนไม่ได้หรอกแต่เขาไปเรียน เขาอาจ จะเรียนได้ เหมือนกัน เอาละ ขยายความละเอียดไปมาก ประเดี๋ยวจะไม่มีเวลานะ

สรุปแล้ว ก็คือเราหักค่าแรงเรา เราจะกินน้อยใช้น้อย เปลืองน้อย จนไม่ต้องใช้เงินค่าแรง มากได้เท่าใด สิ่งเหล่านั้นคือการเสียสละ คือบุญของเรา เพราะฉะนั้น ถ้าในบริษัทนี้ มีคนงาน ๑๐ คน ๒๐ คน ก็ค่าแรงเหล่านี้ มันก็ลดลงน้อยได้ เพราะฉะนั้น แม้แต่เราจะเอาเงินเดือนในบริษัทนี้ อย่างบริษัทพลังบุญ บริษัทอะไร เรามีทาง มีกองบุญ เพราะฉะนั้น พนักงานเขาก็ให้เงินเดือน เท่านี้ แต่คุณบอก เออ! เรากินน้อย ใช้น้อยได้ เราก็เอาเงินเข้ากองบุญ เขามีแรง คุณไม่ต้องไปคิดมากหรอก คุณไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเลย คุณได้เงินเดือนมา คุณใช้ เออ ! เราได้เงินเดือนมา ๕ พัน ได้เงินเดือนมา ๒ พัน เอ้า ! อย่างพลังบุญ ๒ พันนี่ พอใช้...เหลือ เหลือ เอ้า ! เราใช้พันเดียวก็พอ อีกพันหนึ่ง คุณก็เข้ากองบุญ กองบุญก็จะมาทดแทน ทำให้บริษัทขายได้ลดลง มันจะเป็นทุน ถ้าสมมุติว่า บริษัทนี้หมดทุน ยืม...เอ้า! ยืมทางนี้มาใช้ ในอนาคตบริษัท ถ้าเป็นบริษัท แล้วก็มี กองบุญ ของบริษัทนี้อยู่ บริษัทนี้ยืมเงินกองบุญนี้ไปใช้ จะคืนก็ได้ แม้ที่สุด ไม่คืนกองบุญนี้ ก็ไม่ทวงคืนหรอก ในอนาคต แต่ความซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ของพวกเรา เข้าใจอยู่ว่า... ถ้ามันเหลือ เรื่องอะไร เราก็เข้ากองบุญไป แต่ไปเอาเงินเขามาเข้ากองบุญไม่ได้ เอาวางไว้ดื้อๆไม่ได้ เพราะกอง บุญนี้ หักไม่ได้ โดยทางหลักการของกฎหมาย หลักของภาษี หักไม่ได้ เอามาจ่ายดื้อๆไม่ได้ กองบุญดื้อๆไม่ได้ เพราะกองบุญนี้ไม่ใช่ มูลนิธิ ไม่ใช่กองบุญในระบบ มันก็มีวิธีต่างๆนานา ที่จะเข้ามาที่กองบุญนี้ ถ้าไม่มีวิธีอื่นๆ ให้มากับตามหลักเกณฑ์ของกฎ มันก็มานี่ไม่ได้ แต่ถ้าไปตาม หลักเกณฑ์ของกฎ มันก็มาได้ มาแล้ว มันก็จะช่วยอยู่ตลอดเวลา มันก็จะมีระบบหมุนเวียน ช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน เพราะฉะนั้น กองกองบุญยิ่งโต ก็เพราะเกิดจากคนของเรา ที่ทำงาน อย่างเสียสละ แล้วกินน้อยใช้น้อย มักน้อย เป็นคนเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลา มีศีลเคร่ง มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนเจริญ มีวรรณะเจริญนี่เอง เจริญจริงๆ นี่เอง คนเหล่านี้ ก็ยิ่งจะทำให้กองบุญนี่เจริญ

เพราะฉะนั้น จะเห็นว่ากองบุญนี้แหละ เป็นตัวแสดงว่าบริษัทเจริญ หรือไม่เจริญ บริษัทนี้จะดูบัญชี ส่งตามสรรพากร โอ๊! ปีนี้กำไร ๑๐ บาท งบดุล แล้วกำไร ๑๐ บาท ปีต่อมา แหม กำไร ๕ บาท งบดุลแล้วกำไร ๕ บาท ฉวัดเฉวียนอยู่อย่างนี้ก็ตาม แต่บริษัทก็เจริญขึ้นนะ ขยายงานได้พอสมควร ขยายกิจการเพื่อประชาชนได้พอสมควร มีพฤติกรรมทำงานได้ผลต่อประชาชน มาซื้อขึ้นมาก อัตราการขาย ก็ขายดีขึ้น แต่งบดุลแล้ว ๕ บาท ๑๐ บาท ๕ บาท ๑๐ บาท เหลือแค่นี้เอง นอกนั้น ก็หมุนเวียนกลับเข้ามาที่กองบุญ แต่กองบุญเจริญขึ้นๆๆๆ บริษัทเงินคงคลังของบริษัท มีไม่กี่ตังค์เลย ขาดมือเมื่อไหร่ปั๊บ ยืมกองบุญหน่อย ที่จริงมันเงินของบริษัทนั่นเอง แต่อยู่ในลักษณะ ของกองบุญ

ฟังดีๆนะ พวกเราจะเข้าใจกองบุญได้ดี ถ้าบริษัทขาดมือเมื่อไหร่ ยืมกองบุญมาใช้ ยืมกองบุญมาใช้ แล้วก็ขยายงานขึ้นได้เรื่อยๆ กองบุญจึงจะเป็น หน่วยที่จะให้บริษัทขยายตัวได้ เพราะฉะนั้น บริษัทที่ว่านี้ จึงไม่จำเป็นจะต้องสะสมกักตุนเงิน มาเพื่อเอาไว้ขยายกิจการ ซึ่งต่างกับบริษัท ในทุนนิยม เขาจะต้องมีกองทุน ที่มีไว้สำหรับขยายกิจการ แต่บริษัทบุญนิยม จะไม่ขยักกองทุนไว้ สำหรับขยายกิจการ เป็นกิจจลักษณะอย่างนั้น จะเกิดได้เพราะมี กองบุญอยู่ข้างเคียง อย่างนี้จริงๆ

เอ้า! ทีนี้ อาตมาจะยกตัวอย่างให้อีกอันหนึ่ง อย่างโรงสีของปฐมอโศกทุกวันนี้ นี่มันไม่ซับซ้อน เพราะว่า ไม่มีคนมาก แล้วก็มีกิจการไม่ซับซ้อน โรงสีที่ปฐมอโศกซื้อข้าวแล้วก็สี คนงานก็ฟรี เอาละ! ค่าไฟ ค่าฟืน ค่าเครื่องสึกหรอ ค่าอะไรต่ออะไรก็จ่ายกันไป เดือนหนึ่งๆเท่านั้น คิดทุนแล้ว สีข้าวได้ ทุนตกราคาข้าวกระสอบหนึ่ง ประมาณ ๖๕๐ เป็นต้น แล้วโรงสีของปฐมอโศกขาย สีแล้วเสร็จ ทุนมัน ๖๕๐ กระสอบหนึ่ง ขาย ๖๔๐ เป็นต้น กำไร ๑๐ บาท วิชาการบัญชี อย่าเพิ่งเมานะ คุณจะลงช่องกำไร แล้วคุณก็ไปลง ที่ซื้อต่ำกว่าทุนนี่ ลงช่องกำไร นี่ คุณจะต้องมาพูดกันใหม่ เพราะฉะนั้น ในอนาคต วิชาการบัญชีก็ต้องเรียนวิชา การบัญชีแบบบุญนิยมนี้ มีอีกต่างหาก จะต้องมีเงื่อนไข แบบลงบัญชีทุนนิยม ต้องลงอย่างนี้ ถ้าลงบญชีบุญนิยม กำไรคือตัวต่ำกว่าทุน ส่วนของทุนนิยม กำไรตัวมากกว่าทุนน่ะ เรียกกำไรเหมือนกัน แต่เรียกกันคนละเรื่อง แล้วเราต้องมองจริง ด้วยนะว่ากำไรจริงๆ เรากำไร เพราะว่าเรามีคุณค่า มีประโยชน์ที่แท้จริง เสียสละจริงๆ ต่อผู้ซื้อ เขาได้ไม่ใช่เราได้ ไม่เอาอัตตาตัวตนเป็นหลัก แต่เอาประโยชน์สังคมเป็นหลัก บุญนิยม มันจะเป็นประโยชน์สังคมอย่างนี้

ทีนี้ ของโรงสีที่ว่านี่ เขาทำอย่างนี้ได้เพราะเขามีกองบุญของเขา กองบุญคือคนทำบุญ โดยเห็นว่า โรงสีนี้ ตั้งใจทำงานจริง คนก็ อ้าว! ไม่เป็นไร อย่างที่บอกแล้วว่า เรามีคนหลายฐานะ ฐานะยังทำงานข้างนอก ยังมีรายได้อะไรอยู่ ก็ทำบุญ เห็นด้วย เอ้า ! เราก็กินข้าวกล้อง เราก็ส่งเสริม เอ้า! สีไปเลย ดำเนินกิจการไปได้ ขายต่ำกว่าทุนได้ ต่อไปจะขายกระสอบละ ทุน ๖๕๐ จะขาย ๖๓๐ ยิ่งเอาละ จะส่งทุนให้อีก ใส่กองบุญให้อีก ยิ่งขาย ๖๐๐ ทุน ๖๕๐ ขาย ๖๐๐ เอาไปเลย คนต้องช่วย อย่างนี้โรงสีก็ทำกิจการบุญนิยมได้ตลอด ใช่ไหม เดี๋ยวนี้ก็ยังทำได้อยู่ เพราะฉะนั้น ใครจะไปทำบุญกับโรงสีปฐมอโศก เชิญ นี่ไม่ได้มาเรี่ยไรนะ บอกให้ทราบ หรือแม้แต่กองบุญ ของพลังบุญก็ตาม สมาชิกข้างนอก ไม่ค่อยทำบุญด้วยหรอก พลังบุญมีกองบุญนิยม อยู่ทุกวันนี้ จาก กรรมการที่ทำงานในบริษัท กรรมการที่ทำงานในบริษัททุกคนมี จ่ายได้ตามบัญชี สรรพากร โอเค จ่ายเดือนละเท่าไหร่ๆ มีลายเซ็นรับ แต่กรรมการทุกคนนั้น ไม่รับเงินเข้ากระเป๋าสักบาท เอาเข้ากองบุญหมด นี่เป็นวิธีหนึ่ง แล้วพนักงานไม่ได้ไปบังคับเขา พนักงานเขามีรายได้เท่านั้น เดือนหนึ่ง เท่านั้นๆๆน่ะ แต่เรามี ตั้งราคาไว้ พนักงานของพลังบุญนี่ ราคาอัตราเงินเดือนสูงสุด ๒ พัน ผู้ที่บรรจุแล้ว เงินเดือน ๒ พันหมด กรรมการก็ ๒ พัน ไม่มีเงินเดือนลดหลั่นอะไรกัน ไม่มีต่ำสูง อะไรกัน ผู้ที่ยังไม่บรรจุก็เป็นไปตามที่ทดสอบงาน เรียกว่าตามหลัก ส่วนผู้ที่บรรจุแล้ว ๒ พันหมด ใน ๒ พันนี้ คนงานเขาจะบริจาคเข้ากองบุญเท่าไหร่ หรือเขาจะเอาของเขาไปใช้หมด เราไม่ได้บังคับ เพราะฉะนั้น คนไหนที่เขาว่า เขาอยู่ได้โดยไม่เอาไปหมด เขาก็เอามาบริจาค เข้ากองบุญนิยม เงินกองบุญนิยมจึงมี แล้วทุกวันนี้ ขณะนี้ บริษัทพลังบุญตั้งขึ้นมา ๔ ปีใช่ไหม ... หา ... ๔ ปีแล้ว ขณะนี้ ก็บริษัทพลังบุญ เอากองบุญนิยมของบริษัทพลังบุญ เอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทพลังบุญ ขึ้นมาได้เกือบล้านแล้วตอนนี้ บริษัทพลังบุญนี่ มีทุน ๕ ล้าน จากหุ้นรวมหุ้นกัน เป็นบริษัทหุ้นส่วน มีหุ้น ๕ ล้าน

ขณะนี้กองบุญนิยมนี่ ที่จริงกองบุญนิยมนี่ นิรนามนะ ไม่เป็นของใคร เป็นเจ้าของ หุ้นเข้าไปแล้ว เกือบล้านบาท ขณะนี้ ถ้าสมมุติว่ากองบุญนิยม เป็นเจ้าของหุ้น บริษัทพลังบุญหมดเลย ๕ ล้าน ในอนาคต บริษัทพลังบุญ คือบริษัทลอยตัว ไม่มีใครเป็นเจ้าของเลย เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่า ล้มละลาย เจ๊ง ไม่มีใครเจ๊งสักคน แต่มันก็ไม่เจ๊ง มันดำเนินกิจการ ทำประโยชน์กับสังคม เขาได้อยู่เลย จะนั่งขาย เพื่อขาดทุนให้มันหมดเนื้อหมดตัวบริษัทเจ๊ง ประชาชนได้ลูกเดียว ไม่มีใครเจ๊งเลย ในบริษัท แต่ถ้ายิ่งบริษัทไม่ล้ม เพราะกองบุญก็ยังหนุนอยู่ได้อีก แล้วก็มีภาวะหมุน เวียนอย่างนี้ได้อยู่เรื่อยๆๆๆ เห็นไหมว่า ประชาชนได้ลูกเดียว แล้วระบบการขาย ต่ำกว่าทุน ก็เป็นไปได้ อยู่ตลอดเวลา เพราะมีคนทำบุญกับกองบุญนิยมอยู่ตลอดเวลา มีรายได้จากกรรมการ ที่หักเข้า มีรายได้จากพนักงาน ต่อไปอาจจะมี พนักงานพันคน พันคนบริจาคคนละพัน เข้าไปเท่าไหร่แล้ว เดือนหนึ่งแล้วน่ะ แล้วเขาบริจาคเงินของเขานะ ค่าแรงของเขาจริงๆนะ เป็นการบริจาค จาคะสัมปทา แท้ๆนะ เกิดจากบุญ ถ้าไม่มีบุญอย่างนี้จริงๆ การค้าระบบบุญนิยม ที่ขายต่ำกว่าทุน เป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นจริงได้อย่างนี้ ต้องเกิดที่คนมีจาคะสัมปทา ต้องทำบุญจริงๆ เข้าใจจริงๆว่า อ๋อ กิจการนี้ต้องส่งเสริม ถ้าไม่ให้กองบุญนี้ไว้ กองบุญนี้ขายต่ำกว่าทุนไม่ได้ เพราะฉะนั้น ให้ไว้ คนที่มีรายได้ข้างนอก คุณไปทำบาปมา บอกแล้วว่า คุณไปได้ รายได้ฉ้อฉลมา คุณมาช่วยสิ เป็นบุญ จะได้เอาบาปนั้นมาสร้างบุญซะ เพราะคุณจำนนในบาป ถ้าในอนาคต คุณลาออกจากบาปนั้นได้ ไม่ยอมมอบตัวในทางผิด สัมมาอาชีพคุณจะสูงขึ้น คุณก็จะได้มาทางนี้ เพียวๆเลย มาเรื่อยๆ ต้องการแรงงาน แล้วก็มาเอาแรงงานทางนี้ ซึ่งไม่ไปฉ้อฉอ ไม่ได้เป็นบาปด้วย สุจริตด้วย แล้วยังทำบุญต่อ

เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ในบริษัทพลังบุญนี่นะ แม้เขาได้เงินเดือน ๒ พัน ถ้าเขาไปทำข้างนอกได้ ๔ พัน ก็ถือว่า ๒ พันที่เกินนั้นเป็น ๒ พันที่ฉ้อฉอใช่ไหม เขามาทำที่นี่ สมรรถภาพของเขาขนาดนี้ ถ้าเขาไปทำกับข้างนอก เขาจะได้ ๔ พันเป็นอัตราสังคม แต่เขาทำกับบริษัทพลังบุญ เขาได้ ๒ พัน ก็ถือว่า ๒ พันนี่ เป็นอัตราฉ้อฉอ เขาไม่ฉ้อฉอแล้ว ไม่บาปแล้ว เขาได้สุจริต ๒ พันจากพลังบุญ เขายังแบ่ง ๒ พันนี่ แบ่งไปทำบุญอีกพันหนึ่ง โอ้โห! มันสูงกว่า ๒ พันที่คุณเอาเงินฉ้อฉล มาทำบุญด้วย ฟังออกไหม ไอ้ ๒ พันที่คุณรับฉ้อฉลมา คุณเอามาทำหมด ๒ พัน ยังไม่ถึง ๕ ร้อย ของที่เขาทำบุญนี่หรอก เขาทำบุญพันหนึ่ง ของเขาเอาเงิน จากบริสุทธิ์ได้สุจริตจากพลังงาน ๒ พันนี่ ไม่ได้ฉ้อฉอ เขาได้น้อยกว่า แล้วยังเจียดจากนี่ไปทำบุญอีก ค่าของบุญยิ่งสูงขึ้น ค่าของคุณค่า ยิ่งสูงขึ้น เพราะบริสุทธิ์สูงขึ้น นี่ คุณฟังธรรมะให้ดีๆ ฟังธรรมะเป็นๆ แล้วคุณจะเข้าใจ เพราะในความเปรียบเทียบของสังคม อัตราอะไรต่ออะไรพวกนี้ ต่างๆนานาพวกนี้ มันยังซับซ้อน อยู่อีกเยอะ

วิธีการอย่างนี้แหละ บุญนิยมจะยังดำเนินต่อไป ตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ในหมู่ชาวหินฟ้า หรือ ชาวอโศเกี้ยน ของเรา ยังไม่สมบูรณ์ แต่เริ่มบทบาท พอมีรูปร่างแล้ว ชมร.ทำงาน พวกคนงานชมร. ไม่มีเงินเดือนสักคนเดียว ทำงานมา ได้ปีนี้เป็นปีที่ ๙ แล้ว ก็ยังเจริญอยู่ ตอนนี้ก็เช่าที่เพิ่มเติมขึ้น จะสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีก เพราะว่ากิจการมันเจริญ ร้านชมร.คนขายไม่พอแรง อย่างวัน เสาร์ - วันอาทิตย์ วันพระ พวกเราที่ไปทำงานช่วยชมร.ได้ ไปบ้างเถอะ ไปช่วยกัน เพราะว่ามัน แหม ! ตอนนี้งานมันเยอะ เขาขายจานละ ๕ บาท ๕ บาท ๕ บาท โอ้โห! กว่าจะได้หมื่น กว่าจะได้กว่าหมื่น ๒ หมื่น ล้างจานแค่นั้นก็มือหงิกแล้ว มันต้องทำงานมาก เพราะเราเอาเงินเขาน้อย แต่ทางโลกเขา ทำน้อยๆ แต่ชาร์ทเจ้ามากๆ ล้างจานใบหนึ่งจานละ ๕๐ ไอ้นั่นจะได้ ๕๐ ต้องล้างไปอีก ๑๐ จาน ล้างจานเดียวเล่น ๕๐ ไอ้นั่นล้างไป ๑๐ จาน จึงค่อย ได้ ๕๐ มันก็เลยต้องทำงานมากไปกว่ากัน อย่างนี้น่ะ

เอาล่ะ นั่นก็เป็นวิธีการซับซ้อนที่เราก็เข้าใจกันไม่ยากอะไร แต่ทีนี้ เรื่องของบุญนิยม บางคนมอง ไม่ออก ว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่ยังไม่ซับซ้อนมากหรอก ยังจะมีหน่วยเครือข่ายของเราอีก จะต้องมีหน่วยผลิต ของพวกเราเอง ซึ่งลดต้นทุนมาจากลดต้นทุนมา เข้าที่นี่อีก ที่นี่ก็จะต้อง ลดราคา ถ้าเทียบราคาของพลังบุญแล้ว หรือบริษัทที่อยู่ในเครือข่ายของเรา ทำได้สมบูรณ์แล้ว แม้ว่าเราจะรับสินค้า จากพวกหน่วยเครือข่ายของพวกเรามา ซึ่งหน่วยเครือข่ายของพวกเราผลิต มันก็จะลดต้นทุนมา ตั้งแต่ค่าแรงพวกเราก็จะไม่แพง และเราก็จะไม่เอาเปรียบ เอารัดอะไรเพิ่มเติม แบบบุญนิยม เสียสละได้เป็นดี เขาจะเสียสละมา ตั้งแต่ต้นทาง

เพราะฉะนั้น ของที่จะมาขายให้กับพวกเครือข่ายของเรา ก็จะต้อง ขายให้พวกเครือข่ายของเรา ก่อนแหละ เพราะเครือข่ายของพวกเราได้ไปแล้ว ขาย ก็แน่นอนว่า เขาจะไม่ทรยศต่อประชาชน ใช่ไหม เราก็ต้องให้พวกที่เราไว้ใจก่อนแหละ เอาไปขาย ขายให้คนทางนี้ก่อน ก็พวกนี้ก็จะได้ซื้อ ของราคาถูก บริษัทได้ซื้อของราคาถูกมา เรามีหลักเกณฑ์อยู่แล้ว ซื้อถูก ขายถูก ซื้อแพง ขายแพง ซื้อมาจากตลาดนอก ของเราไม่มี เราต้องไปเอาจากที่อื่นมา ซื้อมาแพง เราก็จะต้องขายแพง แม้จะบวกถือว่ากำไรแบบโลก แบบทุนนิยมนะ คือซื้อมาทุน ๑๐ ต้องบวกเป็น ๑๑ เป็น ๑๒ ขายอย่างนี้ก็ตาม ถ้าเราได้ไปซื้อในหน่วยผลิตของพวกเรา มันถูกกว่าใช่ไหม แม้ว่าเราซื้อมา เอ้า ! สมมุติว่า สินค้าอันนี้ ถ้าซื้อมาจากตลาดข้างนอก... หน่วยผลิตข้างนอก สมมุติว่า เขาขายมา ๑๐๐ แล้วของเราเอง ส่งไม่ถึง ๑๐๐ หรอก เราส่งได้แค่ ๘๐ คุณได้ ๘๐ มา บริษัทพลังบุญ ซื้อมา ๘๐ ก็มาบวก ๘๒, ๘๓ มันก็ต่ำกว่าราคาซื้อมาจากโน่น ๑๐๐ แล้ว ประชาชนที่ซื้อบอก เอ๊ ! ทำไมบวก ถึงแม้จะขาย ๘๕ หรือขาย ๙๐ โอ้โห! ซื้อมา ๘๐ บวกตั้ง ๑๐ เชียวหรือ มันก็ยังต่ำกว่า ๑๐๐ ทุนยังไม่ได้บวกเลย ซื้อมาจากโน่น ๑๐๐ ถ้าคุณซื้อมา ๑๐๐ แล้วจะบวกอย่างโลกเขาอีก อย่างน้อย คุณก็ขาย ๑๑๐ ห่างกันอีกตั้งเท่าไหร่ อย่างนี้เป็นนัยอีกอันหนึ่งในอนาคต ตอนนี้หน่วยผลิตของเรา แหล่งผลิตของเรา กำลังดำเนินกันอยู่

ตอนนี้เรากำลังเร่งสวนฟ้า-นาบุญ ถ้าหน่วยวงจรของอะไรๆพวกเรา มันครบวงจร หรือว่ามันสมบูรณ์ ขึ้นมา รูปร่างเหล่านี้ จะทำให้พวกคุณมองออก ข้อสำคัญที่สุดว่า แม้แต่ขณะนี้ คุณยังไม่ได้มา ช่วยผลิต เพราะว่าเราถูกมอมเมามาว่า เราจะต้องไปทำงานในประเภทที่ ไปเที่ยวได้ เงินเดือนแพงๆ ไม่ต้องหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ไม่ต้องไปหนักหนาเหน็ดเหนื่อย ชอบแต่อย่างนี้ อาตมาก็ กำลังดึง กลับมา ให้หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน มาเหงื่อไหลไคลย้อย ในงานที่สำคัญ ในงานที่จำเป็น มาก็กำลัง ตีนติดดินกัน เพิ่มขึ้นทุกวันนี้ ก็หลายคนเข้าใจ แต่กระนั้นก็ตาม มาอยู่ได้ประเดี๋ยวเดียว ก็ป้อแป้ ขอเอาแรงคนใหม่ ตั้งหลักใหม่ บางคนไปเลย ขอไปก่อนล่ะ แล้วค่อยตั้งใจได้ใหม่ ค่อยมาวนเวียน มันยังอย่างนี้ มันยังยาก คนเรามันก็มีอย่างนี้ มันมีกิเลสด้วย และยังมีความไม่ สมบูรณ์ กับพลังใจ พลังใจยังไม่สมบูรณ์ เข้าใจนะ แต่เจโตหรือพลังใจ มันไม่แข็งพอ มันก็ทำไม่ค่อยได้ เหตุผล มันไม่มีปัญหา ทางปัญญา ทางทิฏฐิ ความเห็นนี่ เข้าใจชัด แต่ทำไม่ได้ ก็ต้องอบรมไป จนกว่าเรา จะได้ความสมบูรณ์ ของวงจรพวกนี้ครบครัน แต่ถึงจะสมบูรณ์อย่างไร ในเรื่องของกองบุญนิยม ที่จะเป็นกอง ที่จะต้องรับบริจาคนี่ จะต้องมีอยู่ทุกหน่วย ของโรงสี ก็มีของโรงสี ของบริษัทพลังบุญ มีของบริษัทพลังบุญ ของบริษัทฟ้าอภัยฯมีของฟ้าอภัย ของชมร. ก็มีของชมร. ชมร. กรุงเทพฯ นี่ไม่ค่อยมีใครมาทำบุญด้วยเท่าไหร่ เอาแต่แรงงานไปช่วย ก็น้อยอยู่แล้ว แต่ชมร.ที่นครปฐม ก็ตาม ที่โคราช ที่โคราชนี่ทุกเดือนแหละ เขามีเงินทำบุญบริจาค ร่วมด้วย แต่ไม่ได้เรียกว่ากองบุญนิยม โดยตรง เพราะไม่มีพอที่จะสะสมสักทีนะ

เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่ามีพอที่จะสะสม ก็จะตั้งเป็นกองบุญใน ชมร.ของแต่ละหน่วย อย่างนี้เป็นต้น ก็มีกองบุญ ถ้ามีกองบุญ เราก็จะลดได้ ด้วยซ้ำไป ทุกวันนี้ ชมร.เอง อาศัยค่าแรงของคนพวกเรา ที่ทำงานนี่ได้มาก เงินที่ได้มาส่วนมาก ก็เราขายจานละ ๕ บาท มันจะไปเอาเปรียบสังคมที่ไหน อัตราที่เราขาย มันไม่ได้ไปแพงกว่าสังคม อัตรานี้ไม่ได้ฉ้อฉอใช่ไหม เราขายชามละ ๕ บาท ตรึงราคามา จนป่านนี้แล้ว และเราก็แน่ใจว่า จะตรึงราคาต่อไป ในขณะที่เราตรึงราคาต่อไป แต่เศรษฐกิจของมัน เงินบาทตกลงไปเรื่อยๆ มันก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปในอนาคต ข้าวอาจจะ จานหนึ่ง ๒๐ บาท ข้าวธรรมดานะ ข้าวราดแกงธรรมดา จานละ ๒๐ บาท ถ้าเราตรึงราคา ๕ บาทอยู่ได้ เท่ากับเราลดราคากับสังคม อยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน ไม่จำเป็นจะต้องไปลดต่ำกว่า ๕ บาทหรอก ดีไม่ดี เราจะสู้ไม่ไหว อาจจะต้องขึ้นมาเป็น ๖ บาท ๗ บาท แม้เราจะขึ้นข้าว ราคาข้าว จานละ๕ บาท นี่ต้องขึ้นเป็น ๗ แล้ว ต้องขึ้นเป็น ๑๐ แล้ว แต่เขาขึ้นไป ตั้ง ๒๐,๓๐ แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า เราเองขึ้นราคาหรอกนะ แต่ว่ามัน ไปไม่รอดจริงๆ เราจำเป็นที่จะต้อง ขึ้นอัตราตัวเลขนี้ไปตามบ้าง

นี่เราก็จะต้องเข้าใจลึกซึ้งในหลักของพาณิชยศาสตร์ หรือเศรษฐศาสตร์ พวกนี้อย่างสำคัญ อาตมาก็พูด ให้ฟังได้เป็นขยักๆ เป็นขั้น เป็นตอน เป็นจังหวะ ตามที่อาตมาพอจะพูดให้พวกเรา ฟังได้ ก่อนจะจบเทศน์นี้ ก็เลยเวลาไปพอสมควรแล้ว

ก็ขอสรุปสำคัญๆ ลงไปว่า เราจะทิ้งการบริจาคไม่ได้ และตัวคำว่า บริจาคนี่แหละคือ ความสำเร็จ ของกลุ่มบุญนิยม แล้วเราจะบริจาคอย่างมีปัญญา และต้องบริจาค เพราะฉะนั้น ใครได้บริจาค ก็คือ คนมีบุญ ไม่ใช่คนสะสมทุนเอาเปรียบเอารัด เหมือนอย่างชาวทุนนิยม ไม่ได้เห็นแก่เงิน เป็นพระเจ้า ไม่ได้เห็นแก่เงิน คือความสำเร็จของมนุษยชาติ มนุษยชาติมีกองเงินมากๆ คือผู้สำเร็จในชีวิต ไม่ใช่

ผู้ได้บริจาคมากๆต่างหาก เป็นผู้สำเร็จในชีวิต ซ้อนอีก ไม่ใช่จะต้องเร่งไปหาแต่เงินมาไว้ เป็นผู้ที่ บริจาคมาก แหม! ปีนี้บริจาค ๑๐ ล้าน ปีนี้บริจาค ๒๐ ล้าน คือประสบผลสำเร็จ แล้วเลยมุ่งหน้า มุ่งตาหาเงินในสังคม ให้มันได้มาก เพื่อบริจาค เป็นตัวเลขชัดๆ ไอ้นี่มีซับซ้อน คุณอาจจะไม่เป็นบุญ เลยก็ได้ เพราะไป ทำบาปมา ขูดรีดเขาเอามามาก แล้วก็เอาเงินมา ทำเป็นว่าบริจาค ตัวเลข บริจาคมากจริง แต่ต้นทางมันไม่ได้มาด้วยบุญ มันซับซ้อน มันจะฉ้อฉล ระวัง อาตมาเคยเน้น หลายทีว่า แรงงานนี่แหละสดๆนี่ แรงงานนี่ราคาแพงกว่า ไปทำงานเอาเงินมาทำบุญ เอาเงินมา ทำบุญนั้น ไม่ได้เป็นตัวบุญที่ชัดเจนเท่า แรงงานสดๆของเราทำนี่ จะทำบุญอะไรล่ะ งานอะไร กิจการอะไร ที่เป็นอุปสงค์ กิจการอะไรที่เป็นดีมานด์ กิจการอะไรที่จำเป็นในขณะนี้ ของหลัก เศรษฐศาสตร์ ว่าเราสมควรจะทำ ควรจะสร้างขึ้น ลุยเลย ลงมือทำสดๆเลย ราคาแพง เพราะเศรษฐศาสตร์อันนี้ ถูก และเรามีสมรรถภาพสูง ความรู้สูง เศรษฐศาสตร์อันนี้ ก็ถูกต้อง ตัวดีมานด์ด้วย แล้วเราก็ลงมือลุย ทำ ด้วยความขยันหมั่นเพียรด้วย ราคามันก็เท่ากับ สิ่งจริงที่เรา ได้สร้างสรร จริงๆเลย ไม่ต้องไปแลกเปลี่ยน ไม่ต้องไปถ่ายทอด ไม่ต้องไปต่อโยงสายใยอยู่ที่ไหนเลย อันนี้แพงกว่า

อาตมาก็ว่า อาตมาพูดยังไม่เก่งนะ บรรยายยังไม่เก่ง มันยังไม่เต็มใจ มันยังไม่สมบูรณ์ เท่าที่อาตมา เข้าใจมากกว่านี้ ที่พยายามอธิบายให้คุณฟังนี่ พอเข้าใจไหม คุณฉลาดนะ ไม่ใช่อาตมาเก่งหรอก อาตมาบรรยาย ยังไม่สมใจเลยนะ ยังรู้สึกว่า บรรยายยังไม่ได้มุมเหลี่ยม หรือว่าไม่ได้รายละเอียด ของความเข้าใจ ของอาตมาที่ว่ามันยิ่งกว่านี่น่ะ พอเข้าใจไหม มันยิ่งกว่านี่ มันจริงยิ่งกว่า แต่รู้สึกว่า อาตมาพูดไปได้แค่นี้ ยังพูดไม่ค่อยเก่งเลยน่ะ เอาล่ะ อาตมาจะพยายามพูด ให้เก่งกว่านี้ บรรยายให้เก่งกว่านี้ให้ได้ ตอนนี้มันเก่งเท่านี้ ขอเอาเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน

เอ้า วันนี้พอเท่านี้ก่อน

สาธุ

ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๖ เม.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย สม.จินดา ๓๐ เม.ย.๒๕๓๔
เข้าปกโดย สุริยา รุ่งเรือง
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
FILE:1450B.