บันทึกจากปัจฉาสมณะ


(ต่อจากหน้า 2/3)

สารอโศก
อันดับ 242
พฤศจิกายน 2544
หน้า 3/3


๕.ประวัติและผลงาน ยังเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน
๑๒  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก คุรุฟังฝน จังคศิริ ครูใหญ่ร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก โทรศัพท์ ปรึกษาว่า  นิตยสาร  Thailand Education  ติดต่อขอมาสัมภาษณ์ เก็บข้อมูลการศึกษา ของร.ร.สัมมาสิกขาสันติอโศก  พ่อท่านจะเห็นอย่างไร ด้วยระมัดระวัง การแพร่กว้างเกินตัว จะเป็นผลเสีย พ่อท่านไม่ขัดข้อง

เย็น อ.ขวัญดีและอ.อุทิน เข้าพบพ่อท่าน พอดีมีบทความ ที่คุณสนิทสุดา เขียนลงนสพ.บางกอกโพสต์  เป็นภาษาอังกฤษ ส่งมาให้พ่อท่าน ช่วยตรวจแก้ เนื้อหาเป็นเรื่องประวัติ และผลงานของพ่อท่าน ซึ่งเป็นหนึ่งในผลงาน การเขียน ของคุณสนิทสุดา ที่จะรวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม ฉบับกระเป๋า (Pocket  book) พ่อท่านให้อ.ขวัญดี  ที่มีความเชี่ยวชาญ ในภาษาอังกฤษ ช่วยอ่าน และแปลความให้ฟังแล้ว ตรวจแก้ข้อความทั้งหมดทันที จากเอกสาร ที่ส่งมาให้ตรวจ พ่อท่านเขียน แก้ข้อความที่คลาดเคลื่อน ด้วยลายมือของพ่อท่าน  โดยขีดเส้นใต้ ข้อความภาษาอังกฤษ ที่คลาดเคลื่อน แล้วเขียนภาษาไทย แก้ไขข้อความที่ถูกต้อง ส่งกลับไปให้คุณสนิทสุดา ดังนี้

๑.Selt-ordained  monk ไม่ได้บวชเอง, บวชวัดอโศการาม ถูกต้องตามธรรมวินัย มีอุปัชฌาย์ คือ เจ้าคุณเทพโมฬี

๒. impersonating a Buddhist monk สำหรับอาตมาถูกจับในข้อหา ที่ไม่ใช่ปลอมตัว แต่งกายเลียนแบบพระ อาตมาถูกจับ เพราะผิดกฎหมายสงฆ์  มาตรา ๒๗ ที่เป็นพระจริง พระถูกต้อง แต่ไม่ยอมสละสมณะเพศ(สึก) ที่ถูกคือ "ถูกจับในข้อหา สั่งให้สึกภายใน ๗ วัน แล้วไม่สึก" มีความผิดตามกฎหมายข้อนี้

๓.gave him a 54-month suspended jail term. ๒๔ ไม่ใช่ ๕๔ เดือน

ถูกตัดสินจำคุก ๖ เดือน แต่รอลงอาญา ๒๔ เดือน หรือ ๒ ปี ซึ่งก็จบการรอลงอาญา ๒ ปี ไปหลายปีแล้ว

พ่อท่านได้เขียนบันทึกปะหน้าเอกสาร ที่ตรวจแก้แล้วนี้  ส่งไปให้คุณไฟงาน  ที่เป็นผู้ประสานงาน กับคุณสนิทสุดา บันทึกปะหน้าเอกสารมีดังนี้

...ช่วยคิดต่อคุณสนิทสุดา แล้วบอกแก้ข้อผิดให้ด้วย ๓ แห่ง ตามที่โน้ตไว้ในต้นฉบับแล้ว นอกนั้นใช้ได้  เขียนดี  เก็บรายละเอียดได้มาก ไม่สับสน เหมือนหลายๆคน ที่เคยนำไปเขียนถ่ายทอด... สมณะโพธิรักษ์ ๑๒ ก.ย.๔๔

ข้อคิดเล็กๆที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือ นี่ขนาดผู้ที่เปิดใจยอมรับพ่อท่านแล้ว ก็ยังมีส่วนที่เข้าใจคลาดเคลื่อน  สื่อคลาดเคลื่อนได้ ประสาอะไรกับผู้ที่มีอคติต่อต้านไม่ยอมรับ ไม่เปิดใจ ก็ยิ่งจนเข้าใจผิดๆ สื่อผิดๆได้มากกว่าเป็นธรรมดา


๖.กลยุทธ์ในการเผยแพร่
๑๙  ก.ย.๔๔  ที่ปฐมอโศก คณะจัดทำนิตยสาร "สาลศานต" นำโดย นายเสมอ  กลิ่นหอม บรรณาธิการ  นายนิยาม  ทองเป็นใหญ่ ผู้ก่อตั้งสาลศานต  นายศักดิ์ชาย  พูดเพราะ (อดีตสามเณรอโศก)   นายกู้ยงทรัพย์อนันต์  ได้มาสนทนา สัมภาษณ์พ่อท่าน เป็นเวลา  ๓  ชม. "สาลศานต"  เป็นนิตยสารราย ๓ เดือน มีเป้าหมาย เผยแผ่พระพุทธศาสนา ในเชิงปริยัติ ปฏิบัติ  ปฏิเวธ  เพื่อเป็นการบันทึก ประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธในเมืองไทย... คุณเสมอ บอกเล่ากล่าว ต่อไปว่า มีคนอยากรู้ว่า สันติอโศก ปัจจุบันเป็นอย่างไร

การสนทนาใช้เวลา ๓ ชม. เริ่มตั้งแต่การแตกเป็นนิกาย... เป้าหมายหลักของชีวิตจะต้องไปหาสูญให้ได้... ปาฎิหาริย์... สมาธิของพุทธ... ศาสนาพุทธที่ต่างจากศาสนาอื่น... ระบบบุญนิยม... คดี... การบวช... ความสัมพันธ์กับสงฆ์หมู่อื่น... อุปสรรค... ซึ่งเป็นประเด็นที่ พ่อท่านพูดอธิบายมาบ่อย แต่ดูพ่อท่านก็ยังคงมีฉันทะ ที่จะอธิบายเสมอ อย่างไม่รู้เบื่อ

เมื่อพูดถึง การต่อสู้กับซาตาน ในสังคมโลก กับซาตานภายในตน  คณะสาลศานต สนใจถามว่า ท่านพ่อโพธิรักษ์ มีกลยุทธ ในการเผยแพร่อย่างไร จึงดำเนินงานมาได้ ๓๐ ปี แล้วมีหมู่คณะ มีสาขาที่นั่น ที่นี่เพิ่มขึ้น

"...อาตมาตั้งชื่อกลยุทธของอาตมาว่า "กลปรานี"   กลก็คือเชิงชั้น  ปรานีคือความเอ็นดู ความเกื้อกูล ความช่วยเหลือ

แต่การปรานีนี้ ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้คนอื่น ได้รับการกระทบกระเทือน เพราะธรรมะ ของพระพุทธเจ้านั้น มีสัลเลขธรรม มีการขัดเกลา ดังนั้น กลปรานีก็คือ  เราจะทำอย่างไร ให้เป็นการขัดเกลา อย่างปรานี

กลปรานี ที่อาตมาทำนั้นคือ
๑.ทำตนเองให้มีความจริงของตนเองก่อน ถ้าไม่สัจธรรมในตนเอง   ที่มีปริมาณและคุณภาพพอ  ๓๐  กว่าปีแล้ว ถ้าไม่จริง ป่านนี้ก็ไม่รอด  อยู่ไม่ได้หรอก เพราะอาตมา ยิ่งกว่าไม้จิ้มฟัน ยิ่งกว่าไม้ซีกจริงๆ รูปไม่หล่อ พ่อไม่ใหญ่ จนอีกต่างหาก ไม่มีอลังการอะไร มาคุ้มกันเลย   อาตมาออกมา อย่างท้าทายมาก  แต่ทำไมรอดได้  เพราะอาตมาต้องมีคุณสมบัติ มีความจริง

๒.เมื่อทำตนให้มีคุณสมบัติจริง หรือเป็นการบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าสัตบุรุษ ก็จะต้องมีการรู้ธรรมะ หรือมี สัปปุริสธรรม  ๗  อาตมาได้ใช้ สัปปุริสธรรมมาโดยตลอด  นี่คือเนื้อหาแท้ ที่เป็นกลปรานี ที่ใช้ที่ทำ" พ่อท่านกล่าว

ประเด็นสุดท้าย คุณเสมอได้กล่าวถึงชื่อของชาวอโศก ที่แปลกไปจากสังคมส่วนใหญ่ เมื่อมองพระเยซู  พระโมฮัมหมัด ก็จะมีกลยุทธของท่าน หรือขบวนการใดๆ ก็จะมียุทธวิธี ในการดูแล หรือบริหารองค์กร  แล้วคุณเสมอ ก็วกมาชมพ่อท่าน ในเรื่องการตั้งชื่อที่แปลก ไปจากคนไทยทั่วไปว่า ท่านก็บรรลุในแง่ของผู้นำการจัดตั้งองค์กร


๗.การจัดระเบียบชุมชนอโศก
๗.๑ ศิลปวิธีการจัดระเบียบหนุ่มสาว
๑๐  ก.ย.๔๔  ที่ปฐมอโศก เป็นช่วงที่พ่อท่านพักรักษาตาหลังการผ่าตัด  ข้าพเจ้าบอกเล่าความคิดของหนุ่มสาว ศิษย์เก่าสส.ฐ.  ที่อยากรวมกลุ่มเพื่อนๆ ที่อยู่ปฐมอโศก  ทำกิจกรรมพิเศษ นอกเวลา ที่แต่ละคนทำงานกับชุมชน เพื่อหารายได้ มารวมกัน เป็นกองทุนกลุ่มศิษย์เก่า สส.ฐ.  ส่วนหนึ่งจะทำบุญ อีกส่วนหนึ่ง เพื่อช่วยเหลือกันและกัน บางคนก็อยากมีเงิน ส่งไปให้พ่อแม่ทางบ้านบ้าง  บ้างก็อยากมีรายได้ เพื่อไว้ซื้ออาหาร ที่อยากจะกินไว้  ทำกินกันเองตอนเย็น ด้วยไม่สะดวก ที่จะไปร่วมกิน กับน้องๆ สส.ฐ.ที่โรงครัวกลาง เหมือนยังเป็นเด็ก มาอย่างน้องๆกิน  พ่อท่านรับฟังคำบอกเล่า ขณะปลงผม โกนหนวดไปด้วย แล้วพูดเสียงแข็งๆดุๆ ให้ข้าพเจ้าฟัง

"...เป็นความอยากบำเรอตนเอง จึงหาทางต่อรองต่างๆนานา ทางผู้ใหญ่เอง เขาก็หย่อนมาบ้างแล้ว และเขาก็ไม่คิด จะหย่อนมากกว่านี้ เป็นการเรียกร้อง อยากจะเสพโลกีย์ให้มากขึ้น ไม่พยายามหัดลดละ มักน้อยสันโดษ แทนที่จะคิดว่า การมากินข้าวกับน้องๆ เป็นการแย่งน้องดูเป็นเด็กๆอยู่ ก็น่าจะคิดว่า การมากินข้าวกับน้องๆ จะได้เป็นตัวอย่าง ให้น้องๆ และจะได้สัมพันธ์ กับน้องๆด้วย..."

๑๗  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก หนุ่มสาวศิษย์เก่าสส.ฐ. รวมตัวกัน หลังเสร็จการงานในเวลาค่ำ มาพบพ่อท่าน จากบางส่วน ที่พ่อท่านกล่าว

"ไม่ค่อยได้พบพวกเรา  อาตมาก็งานเยอะขึ้น ที่อาตมาเรียกมาพบ ก็เพราะได้ข่าวว่า พวกเรามีกิเลส อยากมีโน่น มีนี่มากขึ้น

อาตมาจำเป็นต้องมีหลักเข้มๆ  ดุจดังสนามแม่เหล็ก  ที่มีฤทธิ์แรง จะเหนี่ยวนำโมเลกุล ของเหล็กอื่น ที่จะผ่านเข้ามา ได้มาก  ถ้ามวลเหล็กอ่อน เข้ามามากๆ เราจะเปลี่ยนแปลงเขาไม่ทัน  เนื่องจากสนามแม่เหล็กของเรา ยังเล็กอยู่ การจะช่วยเหล็กอ่อนได้  ต้องมีแม่เหล็กที่แข็งแรงยิ่งขึ้น เราจึงต้องเพิ่มตัวเราเอง ทั้งประสิทธิภาพและมวล

เรื่องเงินทอง ในสังคมทั่วไป เป็นของมีค่ามาก  แต่ในสังคมของเรา จะไม่ให้ค่ามากอย่างนั้น หากถึงขั้น แม้เห็นตก อยู่กลางทาง เราก็จะเขี่ยๆไว้ข้างๆทางก่อน ปานนั้นได้โน่นแหละ ถ้าเรารู้จัก สาระของชีวิตที่แท้จริง เราก็จะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะโลกุตระ คือ หมดติดยึด

เราเชื่อมั่นไหมว่า กลุ่มของเราอยู่รอด ไม่ว่าจะเกิดวิกฤติขนาดไหน อย่างที่เขากำลังจะเกิดสงคราม พุทธเรา ไม่เคยเกิดสงคราม อย่างศาสนาอื่นๆ ที่เขาเป็น

การเอาหนุ่มๆสาวๆ มาปฏิบัติธรรมอย่างนี้ มาถือศีล ๕ ศีล ๘ ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปได้ง่าย แต่พวกเราก็ทำกันมาได้ หลายสิบปีแล้ว โดยไม่มีเรื่องหยาบคายแรงอะไร เช่นสังคมทั่วไป แม้พวกเราจะอยู่รอดแล้ว ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ... แล้วเราจะอยู่แค่นี้หรือ  อีก ๔๐-๕๐ ปี ก็แก่ ก็ตายกันแล้ว  มันยากที่จะสูงขึ้น ก็ต้องพยายาม พากเพียรขึ้นหน่อย ถ้าไม่เข็นตนเอง ก็ต้องให้คนอื่นเขาเข็น

คนในโลกนี้ เป็นบริวารของกิเลสมากกว่า อาตมาภาคภูมิใจตนเองนะ ที่สามารถพาพวกเรา แหวกกิเลสมาได้ขนาดนี้ แสดงว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้า ยังพิสูจน์ได้ถึงทุกวันนี้ แต่ดีกว่านี้ ก็น่าจะทำได้ ช่วยอาตมาหน่อยเหอะ อดทนพากเพียร ฝึกปรือตน ขึ้นมาหน่อย ที่นี่ก็จะต้องเป็น ผู้อบรมคนอื่น อาตมารับผิดชอบเอง ทั้งหมดไม่ได้ ตายแน่ๆ จึงต้องอาศัยพวกเรา

โลกทุกวันนี้ มันหมุนไปทางโลกีย์มากแล้ว มากจนจะหักกลับมาสู่โลกุตระ ได้ยากมาก แม้เขาจะเข้าใจ แต่ก็ยาก เพราะเขาอยู่ในฐานะ ที่ได้เปรียบ พวกเรามากันได้ขนาดนี้ เป็นบุญเก่าของเราด้วย ที่มาได้ เสียดาย! อย่าให้บุญมันพร่อง..."

๗.๒ ศิลปวิธีการจัดระเบียบการผลิตและการค้ายาสมุนไพร
๑๙  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก คณะทำงานผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพรของชุมชนปฐมอโศก เข้าพบพ่อท่าน เพื่อเรียนปรึกษา แนวทาง การผลิตและการค้า ในระบบบุญนิยม ที่ต้องสัมพันธ์กับทุนนิยม    เนื่องจากปัจจุบัน มีผู้มาติดต่อขอรับเอาสินค้า ยาสมุนไพรของเรา ไปบรรจุหีบห่อเอง (packing)  (โดยเฉพาะ กรณีญาติธรรมชั้นนอก ที่ให้เงินกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย)  พ่อท่านเห็นอย่างไร

"เราผลิตแล้วเขาเอาไปทำ  packing  ใช้ยี่ห้อ หรือใช้ชื่อของเขา เท่ากับเขารับหน้าเสื่อ เสียหายบกพร่อง ผิดพลาดอะไร เขารับผิดชอบเอง  หมายความว่า เขาเชื่อผลผลิตของเรามีคุณภาพ ปัญหามันอยู่ที่ว่า เขาต้องไปตั้งราคาขาย ของเขาเอง เขาก็จะไปขายเป็นทุนนิยม

อันนี้เราคงจะไป  Strick เสียเกินการคงไม่ได้ เพราะว่า ในอนาคตเป็นเรื่องกว้าง ในเรื่องของ  technic ของคนนี่น่ะ มันเก่ง เราจะไปห้ามกั้นยังไง มันก็ทำจนได้ ถ้าเผื่อว่าของเราดีจริง ของดี-ราคาถูก-ซื่อสัตย์-มีน้ำใจ เราจะยืนหยัดยืนยัน ลักษณะนี้จริง ส่วนทางทุนนิยม หรือทางด้านคน ที่จะสืบสานต่อ ของเราออกไปนี่นะ เราช่วยไม่ได้จริงๆ เท่าที่ทำได้ก็คือ ก่อนที่จะตกลงกัน ให้ผู้ที่จะรับสินค้า ผลผลิตของเราไป packing เอง ขายเอง  นี่ต้องมีสัญญากันว่า จะไม่หน้าเลือด จะไม่เป็นทุนนิยม ๑๐๐%  อันนี้จะตั้งเป็นตัวเลข ตั้งเป็นเปอร์เซนต์ ตามแต่จะคิดก็แล้วแต่ ห้ามบวกเกิน เช่นถ้าตลาด เขาบวกกันถึง ๒๐๐%, ๓๐๐% เราก็ขอให้เขาบวกเพียง ๑๐๐% ถ้าเขาพอใจว่า เขาบวกได้เท่านี้เปอร์เซนต์ เขาคุ้ม เขาไปรอด เขาทำได้ เขาก็เซ็นสัญญากับเรา..."

เมื่อมีผู้ถามว่า กรณีฉลากที่เขาจะเอาไปทำ packing โดยไม่ระบุแหล่งผลิตของเรา เขาจะใช้คำว่า Thailand แล้วระบุสถานที่ติดต่อของเขา

พ่อท่านเห็นว่า  "...เราไม่ต้องการชื่อเสียงอยู่แล้ว เพราะเราทำ นี่เพื่อช่วยเหลือสังคม แม้ว่าเราไม่ค้าไม่ขาย เราก็เลี้ยงตนรอด จึงไม่จำเป็น ที่จะต้องการชื่อเสียง จริงๆแล้ว แม้เราผลิต ก็ยังผลิตไม่ทันอยู่แล้ว..."

นอกจากนี้ พ่อท่านยังได้ย้ำ นโยบายหลักการตลาด ที่สำคัญก็คือ "...ขายสดงดเชื่อ มันจะพลิกเศรษฐกิจ หรือ เศรษฐศาสตร์ ของโลกทีเดียว อย่างการใช้สินเชื่อ การกู้ การเล่นหุ้น การปั่นเงิน สิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องวิบัติ เกิดมาจาก การไม่สด เป็นเรื่องเชื่อ ทั้งนั้นเลย"

ประเด็นสุดท้าย เมื่อมีการพูดถึงการขยายประเภทสินค้า   หลังจากโรงงานยาสมุนไพรใหม่เสร็จ พ่อท่านเห็นว่า

"...อยากจะตีกรอบไว้ก่อนว่า ขณะนี้สินค้าผลผลิตของเรา มันมากเกินไปแล้วนะ โดยเฉพาะชาสมุนไพร ขออย่าได้ขยายได้ไหม เพราะว่า แรงงานเราไม่พอ และสินค้าของเรามากอย่าง เราก็ทำให้มันได้คุณภาพสมบูรณ์ ไม่ทั่วถึง อันนี้จะฉุด อย่างบริษัทต่างๆ ที่เขาผลิตนี่ เขาไม่ได้ผลิตถึงขั้น เป็นร้อยๆอย่าง เหมือนเราหรอก  เขาผลิตกัน ๕ อย่าง ๘ อย่าง ๑๐ อย่าง เขาก็รักษาคุณภาพ และปริมาณได้ดี..."

๗.๓ ศิลปวิธีการสอน : แข็งในอ่อน-อ่อนในแข็ง
๒๐  ก.ย.๔๔ ที่ปฐมอโศก พ่อท่านได้อ่านข้อร้องเรียนวิพากษ์วิจารณ์ ติติง กันเองของชาว ชุมชนปฐมอโศก ที่มีให้แก่กัน และกัน ทุกระดับ ตามวาระที่ได้ตกลงกันไว้ พอดีเป็นจังหวะที่พ่อท่านอยู่  จึงอาศัยพ่อท่าน ช่วยกระตุ้น ช่วยเตือน ช่วยขัดเกลา ช่วยชี้แนะให้ปัญญา เพื่อแก้ปัญหาของชุมชน ที่เริ่มย่อหย่อนในระเบียบวินัย สมณะบางรูป ไม่เป็นแบบอย่าง ที่น่าเลื่อมใส... ความหย่อนยานในทุกฐานะ... ครูบางคนยังขาดวิญญาณครู ไม่เอาภาระ... ผู้ใหญ่ในชุมชุน ยังขาดความเอาใจใส่ ดูแลเด็กๆ... เด็กนักเรียน ขาดความประณีตประหยัด ไร้ระเบียบ ผู้ใหญ่บางคน แสดงอัตตามานะ ออกมาหยาบคาย... ฯลฯ

พ่อท่านออกจากห้องทำงาน ลงศาลาก่อนเวลาที่นัดหมาย ๘.๐๐ น.เล็กน้อย ครู่ต่อมา พ่อท่านส่งเสียงดุๆ "...ให้เวลาสำหรับความเลวอีก ๕ นาที ในการมาร่วมกันที่ศาลา ตามเวลาที่นัดหมาย  ๘.๐๐  น. ขณะนี้ ๘.๐๐  น. แล้ว... ใครที่รู้ตัวว่าเป็นมนุษย์อยู่ในชุมชน จะมาฟังก็มา... วันนี้จะพูดแรง พูดอย่างแตกหัก อาตมาก็อายุมากแล้ว..."  ลีลาท่าที ของพ่อท่านเช่นนี้ ส่งผลให้ทุกท่าน ที่อยู่ในศาลาวิหาร นั่งเงียบกริบ ผู้อยู่นอกศาลา ต้องรีบกุลีกุจอ เข้ามาร่วมฟังในศาลา

พ่อท่านนำ พาไหว้พระสวดมนต์ เป็นการเริ่มรายการ ดูเป็นเจตนา สร้างบรรยากาศ ขลังศักดิ์สิทธิจริงจัง เสร็จจากการไหว้พระ สวดมนต์ พ่อท่านอ่านข้อร้องเรียน วิพากษ์วิจารณ์กันเอง ของปฐมอโศก ทุกฉบับ ให้พวกเรา ได้รับรู้ร่วมกัน แล้วจึงแสดงธรรม เป็นการสอนรวมๆ ไม่ได้เจาะจง กรณีหนึ่งกรณีใด

"เอ้า ตั้งใจฟัง อาตมาชื่อว่า โพธิรักษ์ เป็นพระโพธิสัตว์  เมื่อรู้ตัวว่าเป็นโพธิสัตว์ ก็เริ่มออกมาทำงาน   ด้วยตั้งใจ เพื่อที่จะสร้าง มนุษยชาติขึ้นมาให้ดีขึ้น โดยไม่ได้ไปเที่ยวได้เกณฑ์ใคร  ไม่ได้ล่า ไม่ได้ล่อ. บอกชัดๆจริงๆ เลยว่า ต้องมาอดทน ต้องมาฝึกฝน" แม้แต่เด็กๆทุกคน ที่เป็นนักเรียน ก่อนมาเรียนที่นี่ รู้ทุกคนว่า มาที่นี่มาหนัก ผู้ใหญ่ก็ยิ่ง ต้องรู้ว่า ควรจะต้องมาหนัก..."

พ่อท่านพูดด้วยสุ้มเสียงอ่อน  ต่างไปจากช่วงอ่านคำวิพากษ์วิจารณ์ให้ฟัง ทำให้เกิดความรู้สึก กระทบกระเทือนใจ สงสารที่พ่อท่าน ต้องเหนื่อยกับการเคี่ยวเข็ญ แล้วพวกเรา ไม่เข้มแข็งอดทนพอ (ทราบภายหลังว่า หลายคนเกิดสำนึก น้ำตาเอ่อคลอ)

"...อาตมาทำงานแรกๆก็เข้มเคร่ง  เพราะต้องการ คนที่เป็นหัวกะทิจริงๆ  ทุกวันนี้นี่ ไม่เข้มเท่าไร ขนาดนั้นก็ยังดิ้น ยังดื้อ ยังเลว ยังทนไม่ได้ ทนไม่ได้ก็ออกไปเลย

อาตมาทำงานมา ตั้งแต่อายุ  ๓๐ ยังหนุ่ม จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ต้องชื่อว่าแก่แล้ว เพราะอีก ๒ ปี ก็ ๗๐ แล้ว ตาก็เสีย ไปข้างหนึ่งแล้ว คอก็ไออยู่เป็นประจำ มันซ่อมไม่ขึ้นแล้ว จะพูดจะอธิบาย จะทำอะไร ก็ทำไม่ได้มากแล้ว ก็ใกล้วันตาย เข้าไปจริงๆนะ..."

พ่อท่านกล่าวอย่างเข้มๆแข็งๆ ในช่วงต้น สลับอ่อน บอกเล่าความชราภาพ ต่อจากนี้ไป เป็นเนื้อหาธรรม น้ำเสียง ดูกลับเป็นปกติ เหมือนการแสดงธรรม ที่ผ่านๆมา ต่อมามีเสียงท้วง เขียนใส่แผ่นกระดาษน้อย เหมือนผู้เขียนไม่สะใจ อยากให้พ่อท่าน เข้มแรงๆต่อไป "รู้สึกว่าพ่อท่านขึ้นต้น คนตื่นอยากฟัง แต่พอเทศน์จริงๆ กลายเป็นเทศน์ให้สำนึก ไม่ได้เทศน์ผ่ากิเลสหนา ให้กระเทือน จึงหลับ แล้วไม่กระเทือนหนังแรดเช่นเคย"

"...อาตมาตั้งใจอยู่แล้วว่า อาตมาจะใช้กลปรานี อันนี้ คือ อาตมาจะตีแรง ให้รู้จักโทษไว้ก่อน เสร็จแล้วอาตมาจะพูด ถึงสาระ นี่เป็นวิธีการ ที่อาตมาตั้งใจ จะทำอย่างนี้นะ ถ้าอาตมาจะตีต่อนี่ พวกเราจะเกร็ง แล้วก็จะร้อนมาก

อาตมาไม่ใช่คนใจร้าย  อาตมาเป็นคนใจดี และอาตมาให้เกียรติ แก่คนทุกคน ให้เกียรติคือ ให้ไปสำนึกเอง ไม่ใช่ว่า อาตมาจะต้องไปด่า อาตมาด่าเป็นนะ อาตมาพูดแรงนั่นคือด่า ถ้าอาตมาจะด่าต่อมา จนถึงขณะนี้นี่ รับรอง  คุณไม่หลับหรอก แต่คุณจะร้อน  ดีไม่ดีจะระเบิด หนักเข้าจะบ้าเอาแน่ะ  อาตมาไม่ทำอย่างนั้น  ถ้าทำอย่างนั้นแล้ว จะกลายเป็นเหมือนเผา เผาแล้วเกรียมไปเลย มันไม่ดี อาตมาทำขนาดนี้เสียก่อน พอได้ที่แล้ว อาตมาก็ปรับให้ได้ เหมือนกับหุงข้าวก็ดง ตอนแรก ต้มให้เดือดก่อน เสร็จก็ดง แล้วเราก็จะได้ข้าวที่นุ่ม

ถ้าทุกคนรักดี ทุกคนได้มาที่นี่ ด้วยความตั้งใจแล้ว ใช่ไหม  เพราะฉะนั้น อย่าขบถตัวเอง แล้วก็อย่าขบถ ต่อสังคม กลุ่มอโศกนี่  โดยมาละเมิด แทนที่จะส่งเสริม สร้างสรร กลับมาเป็นตัวทาน..."

เช้าวันรุ่งขึ้น ๒๑ ก.ย.๔๔ ก่อนพ่อท่านจะขึ้นรถ เดินทางจากปฐมอโศกไปสันติอโศก นักเรียนสส.ฐ ทั้งโรงเรียน มากราบ ส่งพ่อท่าน ทั้งหมด ได้กล่าวคำมั่นสัญญา พร้อมกันว่า...

"อายุพ่อผ่านมานานแล้ว บัดนี้ความฝันของพ่อ ยังไม่ถึงที่หมาย ลูกจะขอสานฝัน ของพ่อสืบต่อไป ให้สำเร็จดั่งมโนปณิธาน ที่พ่อมั่นหมาย อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ อโศกเพื่อมวลมนุษยชน ลูกๆทุกคน จะขอสืบทอดอุดมการณ์พ่อท่าน...ครับ / ค่ะ

 

อนุจร
๙ พ.ย.๔๔


 
สารอโศก อันดับ ๒๔๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๔ บันทึกจากปัจฉาสมณะ ๓