โดย พระโพธิรักษ์
ย้อนกลับ
หน้าแรก
หน้าต่อไป

ผิว่า การบันทึกต่อไปนี้จะดูรุนแรง เพราะมีข้อเปรียบเทียบที่จัดจ้าน เนื่องจากมันเป็นความจริงที่ได้มาจากของจริง ประสบการณ์จริง และเป็นสังคมที่กำลังมีจริง มีกันอยู่จัดจ้านด้วย

เมื่อนำมาถ่ายทอดเสนอต่อท่านผู้อ่าน เพื่อสื่อรู้ให้ชัด ๆ แล้วมันก็กระทบกระแทกความเป็นอยู่ ที่เป็นจริง ถึงสาหัสสากรรจ์กันละก้อ…

ก็ต้องขออภัยด้วย เป็นอย่างมากอย่างสูง

ดังนั้น ข้อเขียนในครานี้ แม้ผู้อ่านท่านใดจะร้สึกไม่เห็นเหมาะ จะรู้สึกไม่ดีเอากับข้อเขียนนี้ ก็ยินดีให้ลงโทษ ให้ตำหนิ ด่าว่าโดยดุษณีทุกประการ

มันถึงคราวแล้ว จะอย่างไร ก็ต้องขอเขียน "ของจริง" นี้ออกมา เพื่อยืนยัน "ความจริง" ให้ชัดเจน เราเจตนามุ่งหมายอะไร ท่านผู้อ่านก็คงจะทราบดีอยู่แล้ว ฉะนั้น จะว่าเราไร้มารยาทอวดดิบอวดดี อวดเบ่งแวดข่ม ไม่สุภาพ ไร้สมบัติผู้ดี ไร้การบันยะบันยังอย่างไร ก็ยอมรับทั้งสิ้น เพราะ "ความประมาณ" ในแต่ละคนผู้อื่นผู้ใดก็ย่อมไม่เท่ากัน และยิ่งเสมอสมานกันยาก ถ้ายิ่งมีภูมิต่างกัน ซึ่งเราก็ขอยืนยันว่า เราได้ "ประมาณ" (มัตตะ) มิใช่ไม่ประมาณ เราได้ประมาณ จนเรามั่นใจว่า "ดีแล้ว" เพื่อให้ก่อเกิดความดี เป็นความหวังดี ชนิดที่ได้ใช้ "สัปปุริสธรรม 7" อย่างระมัดระวังยิ่ง ละเอียดยิ่ง แม้แต่การรอ "กาล" ที่เหมาะสม

ขอยืนยันอีก ว่า รู้ทั้งรู้ มิใช่ไม่รู้ว่า มันแรง-มันจะเกิดการกระทบสูง หรือ จัดจ้าน แต่ก็เขียนด้วยความมั่นใจว่า "เหมาะสม" ด้วย กาละ เทศะ ฐานะ จึงเขียนด้วย สติสัมปชัญญะ ทั้งที่รู้ ๆ จริง ๆ

สัตวโลกทั้งหลาย ย่อมมีความไม่เท่ากัน
สัตว์คน บางคน ขาดแคลน หิวโหย อดอยาก ไม่บรรลุธรรม
แต่หมาบางตัวมันพรั่งพร้อมอุดมสมบูรณ์ไปด้วย อามิสสุข บำเรอ
เช่นอย่าง หมาของคนร่ำคนรวยบางคน
จะกินก็มีคนปรุงอาหารชนิดดีให้กิน
และล้างชามให้ด้วยอย่างสะอาด
หมาบางตัวของบางคน จะไปไหนมาไหน
ก็ได้นั่งชูคอบนรถเก๋งเก๋ไก๋
หมาบางตัวของบางคน จะนอน
ก็มีคนกางมุ้ง - ปูผ้านุ่มให้นอนสดสวย
หมาบางตัวของบางคน มีผู้อาบน้ำนวดถูให้อย่างดี
เสร็จ-มีน้ำหอมพรมร่ำด้วย
หมาบางตัวของคนบางคน ได้รับอามิสสุข พรั่งพร้อม
มากกว่าที่กล่าวมานี้รวมกันเสียอีก
ดังนี้ เป็นต้น ฯลฯ

คนผู้ไม่บรรลุธรรมบางคนริษยาหมาอยู่เต็มแรง
หรือ บางคนไม่คิดริษยาหมาดอก!
แต่ก็ยังไม่คิดละลดถดถอยใน "อามิสสุข"
ตามบทศึกษาปฏิปทาของพระพุทธเจ้า
แม้บางคนปฏิญาณตนเข้าเป็น "นักบวช" ของพระพุทธองค์แล้วด้วยซ้ำ
ก็ไม่ศึกษา หรือแม้บางคนศึกษาแล้วอย่างมาก
แต่ก็ไม่เกิด "ภูมิปัญญาพื้นฐาน" ที่เรียกว่า "สัมมาทิฐิ" เพียงพอ
แล้วพยายามปฏิบัติด้วยสติ-ปัญญาเข้าสัมผัส "ความจริง" ให้ได้
ที่คนขนาด สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ยังนำตนเข้าสู่ "ความจริง" นั้น
คือ พระองค์แสนจะพรั่งพร้อมไปด้วย "อามิสสุข"
โดยไม่ต้องออกแรงหาด้วย
แต่พระองค์ก็ ละลด "อามิสสุข" จนเข้าสู่ "ความจริง"
ไม่ต้องมี "อามิสสุข" เลย
ซึ่งเป็นสภาพที่ "ยิ่งกว่าสุข" (ปรมัง สุขัง หรือบรมสุข)
หรือ "สุขอย่างยิ่งกว่าโลกียสุข" (ปรมัง สุขัง, บรมสุข)
ซ้ำพระองค์ยังทรงยืนยันสรรเสริญ ว่า
สุขที่ไร้อามิส-สุขไม่อิงอามิส นี้
เป็นสุขของชน "อารยะ" แท้
ผู้เป็นได้ และ ทรงไว้ซึ่งความเป็นเช่นนั้นแท้ คือ
คนประเสริฐแท้
แต่ก็ยังมีคน "ฉลาดแท้" พยายามนำตนเข้าสู่ ความเสริฐแท้
น้อยคนอยู่

อย่าริษยาหมาเลย
แม้หมามันจะพรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุบำเรอมากมี
แต่ถ้าใครยัง ฉลาดเพียงเท่าหมา
ก็แค่หลงเสพ "อามิสสุข" อยู่ตลอดกัปป์กัลป์
ส่วนผู้ได้เกิดมาเป็นคนนั้น
ถึงแม้จะไม่มีวัตถุพรั่งพร้อม บำเรอบำรุงตน
ปาน ’หมาบางตัวของบางคน’
แต่ถ้ามีอธิปัญญาแท้ หรือมีความฉลาดแท้ เข้าหาสัจธรรม
แม้คนผู้นั้น จะเป็นคนไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในสำนักสูงส่ง
แม้คนผู้นั้น จะเป็นคนจน
หรือ ไม่มากมีไปด้วยวัตถุทรัพย์สินสะสม ก็ตาม
ก็ยังมี "ความเป็นคน" หรือ "มนุษยภาพ"
(มนุษยภาวะ) นั่นเอง ที่เหนือกว่าหมา

ซึ่งจะเอื้อให้สามารถทำดี มีสมรรถภาพ มีคุณค่า มีปัญญา
สละ สร้างสรร แก่ตน แต่สังคมได้ ยิ่งกว่าหมานักกว่านัก
สูงถึงขั้นอรหันต์ก็ยังได้
เพราะ หมาจะไม่มี "ความเป็นคน" หรือ "มนุษยภาพ"
ดังกล่าวนั้นเป็นอันขาด

ดังนั้น คนทั้งหลายเอ๋ย
แม้จะจน จะไม่ได้ร่ำเรียนวิชาการทางโลกสูงเช่นคนอื่น ๆ

แต่ท่านก็ยังมี "ความเป็นคน" หรือ"มนุษยภาพ" นั้นแลที่จะก่อประโยชน์ และเป็นคุณค่า ให้แก่ตน แก่สังคมยิ่ง ๆ ได้ ยิ่งกว่าผู้ที่ร่ำรวย หรือ ผู้ที่ได้ศึกษามาจากสำนักสูง ๆ ก็เป็นได้จริง ๆ

ถ้าคนผู้นั้น ฉลาดแท้ มีสัมมาทิฐิ มีสัมมาสมาธิ- สัมมาญาณ-สัมมาวมุติบ้างแล้วจริงบางระดับ หรือแม้คนที่ได้ศึกษาสูง ๆ ก็อาจศึกษา สร้างภูมิธรรมฉลาดแท้ ได้เช่นกัน

 

ย้อนกลับ
หน้าแรก
หน้าต่อไป