โพธิรักษ์ กับ โพธิกิจ หน้า ๖

๓๔
สืบสานศาสนานานเท่านาน

ถ้าเราไม่เข้าใจชีวิต ไม่รู้หลักสัจธรรม เราก็จะดิ้นรน แสวงหาเงา ไขว่คว้าหามายา แล้วก็หลงนึกว่า เป็น "ความสุขวิเศษ"

เมื่อเริ่มเข้าใจชีวิต ได้ปลดปล่อยปลงวางสู่ "โลกุตระ" เป็นความสุขสงบจาก การตัดขาดสิ่งติดยึด หลุดพ้น จากสิ่งอร่อยของชอบ ตั้งแต่อะไร ? ก็แล้วแต่บุคคล

ลดละมาได้เรื่อยๆ จนหมดภาระ ไม่ต้องวนเวียนเกี่ยวข้อง ไม่ต้องอาลัย อาวรณ์ ไม่เอาทรัพย์สมบัติใดๆ ในโลกอีก ไม่เกิดรสอร่อยยินดีปรีดาอีก และ ไม่ หลงพฤติกรรม-วาจากรรม-มโนกรรม ยังเป็น "ทุจริต" อยู่ ก็รู้เท่าทัน

แม้จะต้องเกี่ยวข้องกับวัตถุต่างๆ ตั้งแต่ ข้าวของ เงินทอง สมบัติ บ้านเมือง แผ่นดิน ฯ ก็ไม่หลง ไม่แย่งชิง ทำให้ เราเป็น "ทาส" อีกไม่ได้แล้ว

จึงเป็นผู้ชนะแล้ว อยู่เหนือ ตั้งแต่วัตถุโลก จนถึงพฤติกรรม

อย่างอาตมาไม่เอาจริงๆ แม้จะให้เป็น "เจ้าแผ่นดิน" !

อาตมาจะบำเพ็ญธรรม เป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นๆ ต่อไปเป็นมหาโพธิสัตว์ เป็นบรมโพธิสัตว์ จนเป็น "พระพุทธเจ้า" มีพฤติกรรมอันดี มีความรู้อันยิ่ง มีบทบาทอันเยี่ยม เป็นคุณค่าแก่มนุษยโลก ก็จะหลงว่า "สิ่งนี้ เป็นของเราไม่ได้"

"พระพุทธเจ้า" มีพฤติกรรมอันเยี่ยมยอดที่สุด ก็ทรงพฤติกรรมนั้น เท่าอายุ ขัยที่จะทำงานไป แล้วพระองค์ ก็ไม่ได้ติดยึดว่า "เป็นของเรา"

"ดี" ก็ "ดี" อยู่ในโลก ฝากฝังไว้ในโลก ไม่อาลัยอาวรณ์อีก

ผู้รู้ตัวจบ มี "อรหัตตผลของตัว" จะตั้งจิตเกิดอีก ก็นิมนต์ !

อรหันต์ และ โพธิสัตว์ ไม่ใช่สิ่งที่แยกกัน แต่เป็นสิ่งเสริมกัน

ถ้ายังไม่ได้อรหัตตผล มาสอน ก็สอนผิด บิดเบี้ยวไปตามกิเลสที่ยังเหลืออยู่

ผู้ใดมี อรหัตตผล แล้ว แม้ขนาดโสดา-ก็สอนโสดา เป็นสกิทา-ก็สอนสกิทา เป็นอนาคา-ก็สอนอนาคา เป็น "พระอรหันต์" ก็สอนได้หมดทุกระดับ

ระดับ "อรหันต์" ก็สอนไปตามความสามารถ ของแต่ละเจ้าของจิตวิญญาณ รู้ความจริงในตนให้ได้ อย่าให้ ผิดเพี้ยน ก็จะเป็นสิ่งที่สืบทอดงานศาสนาไปเรื่อยๆ

เพราะ "ศาสนาพุทธ" เป็นศาสนาที่ดีเยี่ยมยอดแล้ว ก็ยังมีวันเสื่อม !

จึงไม่มีปัญหาอะไรสำหรับผู้รู้ว่า "ศาสนาพุทธ นั้น ไม่ใช่ศาสนาที่จะมีอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดรกาล" ก็จำเป็น ต้องช่วยกัน สืบสานให้ยาวนานที่สุด

"ศาสนาพุทธ" จึงมีนัยะที่ละเอียดลึกซึ้งแยบคาย รู้แม้แต่อายุกัปกาลจะตั้งอยู่ และเสื่อมไป เป็นครั้ง เป็นคราว ชัดแจ้ง ไม่ได้หลงใหลว่า "จะต้องอยู่นิรันดร์"

พุทธบริษัท จึงต้องช่วยกัน ประคับประคอง บูรณะ ให้เป็นบูรณภาพ ให้เกิด

พุทธะเสมอๆ ด้วยสุดความสามารถของเราไปเรื่อยๆ ก็จะก่อเกิด "พุทธบริษัท" ต่อเสริมไปเรื่อยๆ เท่าที่เรามี บารมี ผู้ใดสอนได้ ก็จงสอน !

ผู้ใดยังเป็นนักเรียนอยู่ ยังสอนไม่ได้ ก็อย่าอวดเก่งให้พลาดพลั้ง

ผู้ที่มี "ภูมิธรรม" แล้ว สามารถสอนได้ตามภูมิ ตามระดับ แต่ไม่สอน ! เพราะ ขี้เกียจ เบื่อ นี่สิ ! เป็นกิเลส แท้ๆ ยังมีตัวตน ยังเห็นแก่ตัว

"วิมุติ" ที่ไม่สมบูรณ์ ยังมีตัวตนอยู่ ยิ่งถูกต่อต้านย้อนแย้งตอบโต้ ไม่ได้สมใจ และ ใจยอมไม่ได้ ก็จะยิ่ง เบื่อระอา ไม่อยากสอน เป็น "อิตถีภาโว"

"ผู้วิมุติ" สมบูรณ์แล้วจริง เป็น "อรหัตตผลสมบูรณ์" ต้องสอนคนอื่น

โพธิสัตว์ โพธิกิจ ต้องเกิดต่อทันที เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สอนไม่เก่ง จนโดนเขาด่าว่าอย่างไร "พระอรหันต์ก็ไม่มีปัญหาเลย !"

นอกจากรู้ว่า "เออ ! เราไม่เก่ง สอนไม่ค่อยได้ ก็เราไม่เก่ง"

เพราะฉะนั้น อาตมา "ไม่โกรธ" หรอก ที่สอนพวกคุณ แล้วคุณไม่พอใจ มาย้อนแย้ง มาต่อต้าน มาด่า เอาบ้าง มาตำหนิเอาบ้าง !

ถ้าตำหนิถูก ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ขอ "ขอบคุณ" แล้วคุณก็ได้ "บุญ"

แต่ผู้ที่ด่าผิดๆ สิ ! บาป ! ผู้ใดเพ่งโทษพระอาริยเจ้า ก็ได้นรกไป ๑๑ ขุม

อาตมารู้สึกสงสาร ทั้งพระ และ ฆราวาส ที่เพ่งโทษ เห็นอาตมาบกพร่อง สิ่งนั้น สิ่งนี้ อย่างโน้น อย่างนี้ แล้วก็แพ้ภัยตัวเอง ไม่อยากอยู่ด้วยแล้ว

อาตมาก็พยายามย้อนถามว่า "คุณเก่งกว่า ดีกว่าอาตมา แล้วหรือ ?"

ก็ยอมรับนะว่า "ยัง !" ก็เอา "สิ่งดี" ของอาตมาสิ !

ทำไมไม่เพ่ง "สิ่งดี" ไปเพ่ง "สิ่งเลว" ของอาตมาทำไม ?

 

๓๕
งานศาสนา ไม่สั้น

อาตมาไม่ได้ทำงานศาสนาที่สั้นๆ จู๋ๆ เป็นเถรวาทสุดโต่ง ออกป่า-เขา-ถ้ำ อยู่เฉยๆ อย่างนี้ไม่เหนือโลก แต่หนีโลก หลุดโลกออกไปสู่อวกาศ ออกไปจากวงโคจร ความดึงดูดของโลก ทิ้งห่าง ทิ้งขาด แตะไม่ติด ไม่เกี่ยว -ไม่เกาะอะไร

"หลุดพ้นโลก" ต้องหลุดพ้นด้วยวิธีอยู่เหนือ ไม่ใช่พรากห่างกัน ยังมีคุณค่าประโยชน์-เกื้อกูล -สร้างสรร เป็น "พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ"

อนุเคราะห์เกื้อกูลโลกอยู่จริงๆ ขอยืนยัน "ศาสนาพุทธ" เป็นเช่นนั้น

อาตมาไม่มีเรื่องอื่นในชีวิต ก็พูดวนเวียนซ้ำซากอยู่ในเรื่องของมนุษย์ เรื่องของคุณค่า เรื่องของความดีงาม เรื่องของ ความทุกข์ -เหตุแห่งทุกข์ เรื่องของการลดละล้าง กิเลส ตัณหา อุปาทาน โลภ โกรธ หลง

ทุกวันนี้พวกเราอยู่สบาย งานส่วนนั้นส่วนนี้ เข้าระบบ ทุกคนเอาใจใส่ขวนขวาย ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ไม่หนักไปที่ คนใดคนหนึ่ง มีความก้าวหน้า มีความเจริญ

ใครทำ ก็ได้บุญ สร้างเสริมบุญขึ้น ก็ทำไป "กรรมเป็นของของตน"

ใครไม่ได้ทำ ก็ไม่ได้ก่อบุญ ไม่ได้สร้างบุญ

สุคโต สุคติ หมายความว่า "ดำเนินไปดีได้เรื่อยๆ" ไม่ต้องมาอวยพรขอให้ไปสู่สุคติ เพราะทุกคน ก็ต้องเป็นไป ตามกรรม "ทุคติ หรือ สุคติ" ก็ของเขาเอง

ยังไม่ถึง "ปรินิพพาน" เมื่อไหร่ ก็ยังมีวิบาก แม้ตายแล้วก็ต้องดำเนินไปต่อ

เรื่อง "วิญญาณ" อยู่ยังไง ? ไปยังไง ? ไม่รู้จะชี้ยังไง ?

ก็พูดได้บ้าง เล็กๆ น้อยๆ จะให้ตรงจริงสมบูรณ์ ชัดเจนทั้งหมด ยาก !!!

วิถีทางเดินของแต่ละคน ใครๆ ก็แล้วแต่ เมื่อแน่ใจชัดๆ เป็นสัมมาอริยมรรค เป็น "สุคติ" ที่จริงแล้ว จงเพียร อย่าหยุดยั้ง เพียรทำต่อไป ดำเนินไปอย่างดี

แม้อาตมาตายแล้ว รุ่นต้นๆ นำหน้าไปก่อน ก็ตายหมดแล้ว

พวกคุณรุ่นหลังๆ ที่เห็นจริงว่า "ควรจะบากบั่นต่อไปอีก -สร้างต่อไปอีก ก็จงทำต่อไปอีก" ถ้าแน่ใจว่า "ควรจะ สุคโต ควรจะสัมมัคคโต ควรจะดำเนินไปอย่างนี้ ให้ดีต่อไปอีกยิ่งๆ ขึ้น" ก็จงทำต่อไป เท่านั้นเอง ไม่มี ทางเลือกอื่น ดีกว่านี้อีกแล้ว

จงยืนยันพิสูจน์ว่า "เราอบรมฝึกฝนตน-ปฏิบัติประพฤติตน ด้วยทฤษฎีอย่างนี้ เราก็ได้อย่างนี้ ถ้าดี... ก็ดี อย่างนี้"

คือ เรามักน้อย-สันโดษ-เลี้ยงง่าย-อยู่ง่าย-มีศีล-มีธรรม-มีศีลเคร่งได้ (ธูตะ)

มีอาการที่น่าเลื่อมใส คือ อาการที่...ไม่โลภ-ไม่โกรธ-ไม่หลง

หรือ มีการขัดเกลา...โลภ-โกรธ-หลงลงไปเรื่อยๆ ไม่สะสม แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียรสร้างสรร (วิริยารัมภะ) แล้วก็แจกจ่าย -เจือจาน มีทาน-มีบริจาค-มีการเกื้อกูล-เสียสละ ช่วยเหลือผู้อื่นอยู่อย่างนี้ ให้ยิ่งๆ ขึ้น ให้จริงจังขึ้น จริงใจขึ้น

แล้วคุณคิดว่า "ดีอย่างนี้ ดี ไหมล่ะ ?"

ยิ่งจิตใจไม่มีกิเลส ก็ยิ่งจริงขึ้น ให้จริงๆ สละจริงๆ ไม่ต้องการอะไรตอบแทน

แต่ใครจะตอบแทน-หมุนเวียน-มีกตัญญูกตเวทีตามโอกาส บริจาคให้มาก็รับไป แล้วก็สร้างสรรต่อไป เพราะเรา ไม่สะสมกักตุน มีอะไรจะระบายออก ก็ระบายไป พัฒนาไป สร้างสรรไป กระจาย-เผื่อแผ่ -เกื้อกูล -ทานออกไป ให้ทั่วถึงกัน

การทำทานก็ต้องทำด้วยปัญญา ให้ได้ประโยชน์ตน - ประโยชน์ท่าน

ผู้รับส่วนทาน ก็ต้องพัฒนาขึ้นด้วย เจริญขึ้นด้วย พร้อมๆ กัน

"ให้" ไม่ได้หมายความว่า "ให้...ให้เขาเลวลง"

"ทาน" ก็ไม่ใช่ว่า "คนได้รับส่วน "ทาน" นั้น เลวลง"

เราดีแล้ว ก็ต้องทำให้คนอื่นดีอย่างที่เราดี ต้องมีวิธีการ-มีปัญญา ที่จะให้คน อื่นๆ เห็นดีตาม เพิ่มพูนทวี คนดี มีเนื้อหาแห่ง "พุทธธรรม" ขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มาเป็นคนดีอย่างนี้ตามไปเรื่อยๆ (ศาสนาพุทธ จะรุ่งเรือง หรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับพุทธบริษัท ๔)

อายุกาลศาสนา ก็จะสืบต่อไปอีกยาวนาน !

 

๓๖
ไม่ประมาทในโพธิกิจ

อาตมาขอบอกว่า "อาตมาทำงานศาสนา อาตมาไม่ได้ทำเล่นๆ"

อาตมาพยายามทำจริงๆ อาตมาจะมีภูมิรู้แค่ไหน อาตมาจะมีปฏิภาณ มีความสามารถอย่างไร อาตมาก็มี จิตเจตนา ทำให้ "ดีที่สุด" ด้วยเลือดเนื้อ และจิตวิญญาณ อย่าง "ประมาท" ไม่ได้ จริงๆ

อาตมาก็ได้พยายามไม่ "ประมาท" แล้ว พยายามกระทำงานมาให้ "ดีที่สุด" แม้มีมรสุมอย่างไรๆ ผู้ที่มา อยู่ด้วย ผู้ที่ได้ฝึกปรือ ผู้ที่ได้พากเพียรเรียนรู้ตามมา ก็จะรู้จะเห็นมาตลอดเวลาว่า "อาตมานำพา ผ่านมรสุม อย่างนั้นอย่างนี้มา อาจดูจะแรง อาจจะหนัก ดูจะหนักนักหนา เท่าที่เป็นไปก็ผ่านมาได้"

แต่...ทุกอย่างไม่เที่ยง ต่อไปอาจจะแรง อาจจะหนัก

ฉะนั้น อาตมาไม่ "ประมาท" ทุกคราวไป อาตมาจะต้องกระทำไปด้วยความ สุขุมประณีต ให้ "ดีที่สุด" พยายามใช้ "ปัญญา" สูงสุด เท่าที่อาตมาจะทำได้

แม้บางทีตัดสินแล้ว ยังต้องตัดสินใหม่ เมื่อได้ข้อมูลใหม่มา "อย่างนี้ๆ" ก็ต้องเอาข้อมูลเหล่านั้น มาไตร่ตรอง มาคิด ไม่ใช่ช่างมัน ข้อมูลนี้ไม่เอา

ยึดมั่นถือมั่นว่า "ตัดสินแล้ว" ทั้งๆ ที่ ข้อมูลใหม่มีเหตุผลสูงแรงพอสมควร

อาตมาก็จะเป็นคน "ประมาท" อย่างนี้ไม่ได้เป็นอันขาด

 

๓๗
โพธิสัตว์ โพธิกิจ

อาตมาชื่อว่า "โพธิรักษ์" เกิดมาชาตินี้เมื่อรู้ตัวว่า "เป็นโพธิสัตว์"
ก็เริ่มออกทำงาน ด้วยความตั้งใจ เพื่อที่จะ สร้างสรร มนุษยชาติขึ้นมาให้ดี ให้มีภูมิปัญญา รู้จักคุณความดีงาม ของมนุษย์

เมื่อได้ก่อกลุ่ม ก่อหวอด ก่ออะไรๆ ขึ้น โดยไม่ได้ไปเกณฑ์ใคร ไม่ได้ล่า ไม่ได้ล่อ ไม่ได้หลอกให้มา อาตมา ก็ได้ "เปิดเผย" ตัวเอง สูงขึ้น

อาตมาประกาศเปล่งกล่าว "อาสภิวาจา" มาแต่ต้นแล้วว่า...

"อาตมาเป็นโพธิสัตว์" คำนี้เป็นสุจริต ไม่ได้เสแสร้ง

อาตมาขอยืนยันว่า "อาตมาทำงานโพธิกิจ ทำงานโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ" มีภารกิจมา "กอบกู้ศาสนา" โดยความเป็นจริง ไม่ได้ทำเล่น อาตมาทำงานโพธิสัตว์มาแล้ว ไม่รู้กี่ชาติ ชาตินี้ ก็ต้อง มาทำอีก ชาตินี้ทำหนัก ชาตินี้ทำยาก

อาตมาเป็น "โพธิสัตว์" ต้องทำงานขัดแย้งสังคมหลายอย่าง โดยผู้ที่ไม่มีภูมิปัญญาจะไม่รู้เลย ทำไม อาตมาไม่เป็น ดังที่เขานึกคิดว่า "ควรจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ตามนัยที่สอดคล้องกับแม้คำตรัสของ พระพุทธเจ้า ก็ไม่เป็น"

แต่อาตมาขอยืนยันว่า "อาตมาสุภาพเรียบร้อยที่สุดแล้ว เหมาะแก่กาละ หน้าที่ ความสมส่วนของ ความมีจริง เป็นจริง"

อาตมาสอดคล้องในความเป็น "สารีบุตร" อาตมาจึงยังหลุกหลิกลุกลี้ลุกลน

อาตมาก็นึกถึง "พระอัสสชิ" อยู่เสมอ ระลึกจริงๆ ว่า "อาตมาจะต้องทำให้สงบเรียบร้อยกว่านี้หนอ" อาตมารู้อยู่ อย่างที่ทุกคนรู้ว่า "เรียบร้อย สงบเสงี่ยม กว่านี้ ดีจริงๆ" แต่ใครๆ ไม่รู้อย่างที่อาตมารู้หรอกว่า "ทำไม ? พระสารีบุตรต้องหลุกหลิก ยังกะหนุมานทหารเอกของพระราม !"

อาตมาเห็นงานอยู่ตรงหน้า อาตมาก็ต้องปรุงสร้างงาน เครื่องยนต์แห่งกรรมของอาตมาต้องเดิน แม้แต่ กลางคืน แม้แต่นอนพัก สุดทนเท่านั้น อาตมาถึงจะพักอย่างสนิท ถ้าไม่สุดทน อาตมาต้องเดินเครื่อง และ ทำงาน !

อาตมาเป็นบุตรของ "พระพุทธเจ้า" สุดจิต ! สุดใจ !

อาตมาเป็นบุตรจริงๆ มาหลายกัป หลายกัลป์ อาตมาไม่ใช่ "ราหุล"

อาตมาเป็นบุตรที่แท้จริง เป็นบุตรอย่าง "สารีปุตโต" (สารีบุตร) อาตมากำลังกล่าว "ธรรมโดยธรรม" อาตมา ไม่ได้กล่าว "ปุคคลาธิษฐาน" ไม่ได้เล่นลิเกนะ !

อาตมาเป็น "สารีบุตร" ของ "พระพุทธเจ้า" โดยแน่แท้ อาตมาได้ทำงานนี้มาหลายชาติแล้ว ไม่ใช่ชาตินี้ เป็นชาติแรก และชาตินี้ก็มาทำต่อ และยังจะทำต่อไปอีก อาตมาทำด้วยเลือด ด้วยเนื้อ ด้วยจิตวิญญาณ อาตมา ไตร่ตรอง เก็บรายละเอียดมาพิสูจน์ เพื่อกระทำงานนี้ให้ "ดีที่สุด" ด้วยจริงใจจริงๆ ด้วยเมตตา

อาตมามี "สติสัมปชัญญะ" ไม่ใช่โม้แหลก แต่ก็กล่าวขึ้นตามขั้นตอน ตามเรื่อง ตามกาละ-เทศะ -ฐานะ พวกคุณ จงสังเกต ทุกอย่างมีเหตุ มีปัจจัย กล่าวตาม ฤกษ์ ตามกาล ตามสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบ ที่สมบูรณ์

ผู้ที่เห็นด้วย หรือ ไม่เห็นด้วย จงพิสูจน์...!!!

พื้นฐานเดิม อาตมาไม่ได้สนใจศาสนา ไม่ได้ใส่ใจธรรมะมาก่อนเลย

และชาตินี้ก็ไม่ได้ไปเอาความรู้ทาง "ธรรม" ของใคร ไม่ได้เรียนรู้ "ธรรมะ" จากอาจารย์ไหนๆ มาเลย อาตมา ก็มีวิถี เป็นไปตามกระแสโลกีย์

พอเริ่มสนใจทางด้าน "จิต" ก็ไปเล่นไสยศาสตร์ ไม่ใช่ "ศาสนาพุทธ" แล้วก็ถูกครอบงำไปอย่างนั้น เป็นเรื่อง ธรรมดา ฐานะของ "โพธิสัตว์" ต้องมีอะไรต่างๆ ที่ต้องไปเรียนรู้พอสมควรอยู่ ก็เป็นไป จะว่า "ไม่ติด-ไม่ดูด ก็ติด - ก็ดูดอยู่บ้าง มากกว่าพระพุทธเจ้าแน่" เพราะอาตมาบารมีไม่เท่า "พระพุทธเจ้า"

จนกระทั่งต้องมาทบทวน ต้องมาตรวจสอบ จึงรู้ว่า "ตนเองเป็นใคร ? และจะต้องมาทำหน้าที่อะไร ?" เมื่อรู้แล้ว อาตมาก็สลัดออก สลัดคืนทางโลกีย์ หันมาทำงานทำหน้าที่ทางศาสนา อย่างจริงใจจริงๆ เป็นจริง ของอาตมาจริงๆ

ในอาริยคุณของพุทธ "โสดาบัน-สกิทาคามี-อนาคามี" ก็มี "โพธิกิจ" ได้

"พระอรหันต์" ก็ยิ่งแน่นอน ยิ่งมีโพธิกิจได้ เป็นโพธิกิจของโพธิสัตว์ที่ยังไม่ตาย มีรูปนามขันธ์ ๕ จะหมด ชาตินี้ แล้วสูญปรินิพพานไปเลยก็ได้ แต่ก็ต้องทำหน้าที่โพธิกิจ "อรหันต์กับโพธิกิจ" จึงเป็นเรื่องเดียวกัน

"พระอรหันต์" ไม่เห็นแก่ตัว "พระโพธิสัตว์" เห็นแก่ผู้อื่น ก็คือ เรื่องเดียวกัน เป็นประโยชน์ตน-ท่าน ที่สมบูรณ์แบบ เป็นเหรียญ ๒ ด้าน ที่แยกกันไม่ออก ต้องอยู่ด้วยกัน แล้วทำหน้าที่สอดคล้องกันด้วย เป็นแต่เพียง คนละลักษณะ

ไม่ใช่ มีแต่ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านไม่มี

หรือ มีแต่ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ตนไม่มี ก็ไม่ใช่

"สังขารปรุงสร้าง" ให้แก่คนอื่นจริงๆ "โพธิสัตว์" เป็นอย่างนั้น

"ปรินิพพาน" เป็นสภาพที่สูญจริง สูญสูงสุด ไม่เหลืออะไร ? ที่จะวนเวียน ในโลกหยาบ-กลาง-ละเอียด โลกนี้ -โลกหน้า -โลกไหนๆ ก็ไม่มีหมดทุกโลก

"พระโพธิสัตว์" ยังมีโลกหน้า

"พระอรหันต์เจ้า" ไม่มีโลกหน้า มีแต่โลกปัจจุบัน

สำหรับอาตมาก็ต้องทำงานศาสนาอย่างนี้ตลอดไป แม้จะอยู่ผู้เดียว ก็ทำ !

และอาตมาพยายามจะมีอายุ "ยืนยาวนาน" ให้มากที่สุด ไม่ใช่เพราะกลัวตาย

แต่เพราะ อาตมาไม่กลัวเหนื่อย ! และ ไม่เข็ดต่อการทำดี !

 

๓๘
ชีวิตประเสริฐวิเศษสุด

วิถีชีวิตอย่างที่ "พระพุทธเจ้า" พาเป็นนี้ "วิเศษสุดยอด" เป็นจริงๆ ได้ยาก

แต่ เป็นจริงได้...ก็ดี ! คนเป็นได้อย่างนี้ ได้ช่วยตัวเองให้ปลอดภัย หมดภาระ หมดกังวล หมดเรื่องวุ่น หมดเรื่องยาก

ที่สุดแห่งที่สุดแห่งคน คือ "ปรินิพพาน" สูญ ชีวิตหมดเชื้อที่จะหมุนเวียนอีก เลิกวัฏสงสาร หมดสันตติ ไม่มีอะไร ต่อเชื่อม พลังงานส่วนที่เป็นตัวเป็นตน เป็นสภาพสุดท้าย ก็ต้องสูญสลายเลิกไป เป็นสุดยอด วิชาที่ "พระพุทธเจ้า" ค้นพบ

คนที่หมดอัตตา เข้าถึงอนัตตา จะสูญสลายเมื่อไร ก็ได้แล้ว

ฉะนั้น ชีวิตของ "พระอรหันต์" ผู้ได้จุดสุดสูญ ได้นิพพาน ไม่กลัวสูญสลาย แล้ว อย่างชัดแจ้ง ยินดีที่จะ สูญสลาย แล้วจะกลัวตายทำไม ?

ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ ก็จะรู้ว่า คนเรามีชีวิตอยู่ไปทำไม ? อยู่แบบไหนประเสริฐ

๑. มีชีวิตอยู่อย่างเสพสุขโลกียบำเรอ

๒. มีชีวิตอยู่อย่างเป็นประโยชน์คุณค่าต่อโลก มักน้อย สันโดษ หมดอัตตา สร้างสรร-ขยันเพียร - ช่วยเหลือ "เราไม่พัก -เราไม่เพียร เราข้ามโอฆสงสารได้"

๓. มีชีวิตอยู่เฉยๆ ว่างๆ ไม่ทำอะไร ปล่อยให้สังขารร่างกาย ผ่าน วัน เดือน ปี แก่ไปๆ จนกว่าจะตาย !

คิดดูสิ ! คนประเภทไหน ดีทีสุด ประเสริฐที่สุด มีค่าที่สุด !

อาตมาขอยืนยันว่า "มีคนประเภทที่ ๒ นี้ เป็น "พระอรหันต์" สร้างสรร-ขยัน-เพียร-เสียสละ" ตายก็ตาย ไม่ตายก็อยู่ สร้างสรรประโยชน์ และ รู้จักวัฏสงสาร

คนจะมีจิตใจอย่างนี้ได้ ก็ต้องฝึกฝนเรียนรู้จริงๆ แล้วต้องได้สภาพนี้จริงๆ

เมื่อจบภพชาติได้แล้ว กิเลสไม่เกิดเป็นฐานแล้ว จะเวียนมาเกิดอีก ก็ได้

ตั้ง "พุทธภูมิ" ต่อไปอีกก็ได้ เป็น "มหากรุณา" ของท่าน ต่อภพมาอีก ก็เพื่อรื้อขนสัตว์ช่วยไปอีก อาจจะมี วิบาก มาเล่นงานบ้าง แต่ก็จะน้อยลงๆ เรื่อยๆ เพราะได้สร้างกุศลอยู่ตลอดทุกชาติ ก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไร อดทนได้

ยังเมตตาเห็นแก่มนุษยโลกอยู่ ก็รื้อขนสัตว์ต่อไป แต่ถ้าจะไม่ทำต่อ ก็ไม่เป็นไร เป็นสิทธิของท่าน ขณะที่ มีชีวิตอยู่ ท่านมีประโยชน์ต่อโลกอย่างยิ่ง

คนมีประโยชน์อย่างนี้ เกิดอีกเมื่อไรๆ ก็เป็นบุญแก่โลกเมื่อนั้นๆ

ฉะนั้น "พระโพธิสัตว์" ย่อยๆ ก็ต้องมีเกิดวนเวียนช่วยโลกต่อไป

 

๓๙
จากโพธิสัตว์ สู่ อนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

(จากหนังสือ คน คือ อะไร...ทำไมสำคัญนัก ? โดย สมณะโพธิรักษ์)

ผู้ตั้งจิตบำเพ็ญ อีกพวกหนึ่ง ที่ตั้งจิตปรารถนาไว้ว่า จะปฏิบัติพากเพียรเอา "อนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า" ทีเดียว ผู้นี้จึงเรียกว่า "พระโพธิสัตว์"

ก็มี ๒ ประเภท คือ "พระอนิยตโพธิสัตว์" กับ "พระนิยตโพธิสัตว์"

"พระอนิยตโพธิสัตว์" คือ ผู้ตั้งจิตปรารถนาจะเป็น "พระโพธิสัตว์" ที่จะไต่เต้าขึ้นเป็น "พระพุทธเจ้า" และตั้งใจ บำเพ็ญตน ตามศีล -ตามจริยาของ โลกุตรภูมิ

แต่ยังไม่เที่ยงแท้ว่า "จะเป็นผู้ได้ข้ามภูมิไปถึง "พุทธภูมิ" หรือเปล่า ?"

อาจอยู่แค่ "โลกียภูมิ" นี้ หรือ อยู่แค่ "โลกุตรภูมิ" ก็ได้ หรือ อาจจะขึ้นถึงเขต "พุทธภูมิ" มีภูมิเลยขั้น "อรหันต์" สำหรับตนจบแล้วก็ได้ เป็นแต่ว่า "ยังไม่แน่นอน ยังไม่มีภูมิถึงขั้นเที่ยงแท้พอที่จะได้เป็น 'พระพุทธเจ้า' เท่านั้น"

ดังนั้น "พระอนิยตโพธิสัตว์" ที่เลิกบำเพ็ญบางรูปที่ได้แต่ละขั้นบ้าง ไม่ได้สักขั้นบ้าง จึงอาจจะเป็น ผู้ที่มี จิตต่ำกว่า "ปุถุชน" ธรรมดาบางคนก็ได้ อาจจะสูงกว่าสมณะบางองค์ก็ได้เช่นกัน แต่ก็คือ ผู้ยังไม่เที่ยงแท้ ต่อ "พุทธภูมิ"

"พระนิยตโพธิสัตว์" คือ ผู้มี "จิตบรรลุ" แล้ว เป็น "พระโพธิสัตว์" แท้ มี "อรหันตคุณ" สั่งสมไปตามลำดับๆ เที่ยงแท้ ต่อการได้สู่ "พุทธภูมิ" การดำเนิน หรือเป็นไป ก็คล้ายกับการจะไปเป็น "พระอริยเจ้า" ที่หมาย จะบรรลุ "พระอรหันต์" เช่นกัน โดยนัยเดียวกัน เป็นแต่ว่า "ภูมิธรรมมีจุดสูงสุด คนละระดับขั้น"

การบำเพ็ญของ "พระนิยตโพธิสัตว์" นั้น จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกนานับชาติ วัฏฏะลึกซึ้งยิ่งใหญ่มาก มาเกิด เป็นมนุษย์อีกบ้าง เกิดเป็นเทพบ้าง พรหมบ้าง และ ซับซ้อนกลับไปอยู่ในรูปของสัตว์เดรัจฉานบ้าง (แต่ภูมิธรรม ของท่านไม่ได้ต่ำเช่นเดรัจฉาน) ตามคุณธรรม และ ตามวาระ

เมื่อมาเกิดเป็น "มนุษย์" อีกนั้น ท่านก็จะไม่ติดหนักกับ "โลกียะ" เหมือนคนธรรมดามากนัก คือ "ไม่มัวเมา หรือ ไม่ติดอยู่นาน เป็นแต่เพียง อยู่เพื่อสำรอกกรรม"

ถ้าท่านมี "ภูมิธรรม" สูงเลยเขตความเป็น "อรหันต์" ไปมากๆ แล้ว ท่านก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นลูกศิษย์ ของใคร เพื่อจะเรียนหาความบรรลุ "อรหันต์"

ท่านบรรลุของท่านเองได้แล้ว ท่านตรัสรู้สิ้นทุกข์ของท่านเองได้ โดยไม่ต้องเรียนรู้ธรรมจากอาจารย์ องค์ใดอีก เพราะในอดีตท่านมี "ภูมิธรรม" สูง เลยการทำตัวให้พ้นทุกข์อริยสัจ มาได้แล้ว ท่านมีบารมีจิต สั่งสมมาแล้วจริง (กัมมทายาท)

ท่านจึง "บำเพ็ญตนพ้นทุกข์อริยสัจ" ได้เอง และ พร้อมกันนั้น ก็บำเพ็ญบารมีอื่น อันเป็นบารมีที่ "พระโพธิสัตว์" จะต้องสั่งสมต่อไปด้วย

บำเพ็ญบารมีหนึ่ง จนสำเร็จบารมีนั้น ก็ได้บารมีนั้น ผู้นี้แหละคือ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" หรือ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ" บำเพ็ญชาติหนึ่งไปเรื่อยๆ จนตรัสรู้ได้ขั้นหนึ่ง ก็ได้เป็น "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ไปครั้งหนึ่ง

อย่าไปแปลคำว่า "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" แต่เพียงว่า "ผู้ตรัสรู้เองไม่อาศัยธรรมะของผู้ใดเท่านั้น" ต้องแปลว่า "ผู้ยังตั้งศาสนาพุทธเองไม่ได้ด้วย" ซึ่งมีอยู่มาก

หรือ "ตั้งศาสนาเองได้" ก็มีแต่ "ศาสนา" นั้น หรือ "ลัทธิ" นั้น ยังไม่ใช่ หรือ ยังไม่เทียบเท่า "พุทธศาสนา" คือ "ยังไม่ถึงแก่นแท้" ยังโยนความไม่รู้ไปให้สิ่งลึกลับ ซึ่งส่วนมากก็สมมุติเป็น "พระเจ้า" หรือ "เทพเจ้า" ต่างๆ อยู่

และที่ว่า "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" รู้ได้แต่ตัวเอง สอนคนอื่นไม่ได้ นั้น เป็น "พระปัจเจกพุทธเจ้า" แบบฤๅษี หรือ ของลัทธิอื่นๆ ที่ไม่สมบูรณ์ด้วย "สัมมาอริยมรรค" ย่อมสอนคนอื่นไม่ได้ ก็มีอยู่จริง นั่น ไม่ใช่ "พระปัจเจก" ของ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ไม่ใช่ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ"

ซึ่งต่างกันกับ "พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" หรือ "พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธ"

ที่มีภูมิถึงขั้นเป็น "พระนิยตโพธิสัตว์" แท้ ในโอกาสข้างหน้า

ท่านผู้นี้จะต้องมาเกิด "ตรัสรู้" เป็น "พระสัมมาสัมพุทธเจ้า" แน่นอน

และอีกอย่างก็คือ ท่านยังเป็นผู้สั่งสม "บารมีธรรม" ต่ออยู่อีกด้วย

"พระปัจเจกโพธิพุทธเจ้า" ก็จะเวียนอุบัติ-เวียนนิพพาน เพื่อบำเพ็ญบารมีอยู่อีก

หลายชาติ แต่แท้จริงท่านก็เป็น "พุทธชาติ" เวียนเกิดมาเพื่อบำเพ็ญ "โพธิกิจ" ทุกชาติ ท่านสามารถ "บรรลุพุทธธรรม" ได้ด้วยตนเองจริง จึงชื่อว่า "พระปัจเจก" (แม้ต้องไปเป็นลูกศิษย์ใคร ท่านก็ไม่ได้ "บรรลุพุทธธรรม" กับ อาจารย์ผู้นั้น)

และหากชาติใด ท่านได้เผยแพร่ธรรม ถึงขั้น "ตั้งศาสนา" ได้ ศาสนานั้นก็เป็นไปเพื่อ "ความดีงาม" เพื่อ "ความสงบสุข" และ เพื่อ "ความแท้จริง" ในแนวเดียวกัน เป็นแต่ว่า "ยังไม่ละเอียดลออเท่า "พุทธศาสนา" เท่านั้น"

และ "ศาสนา" นั้น ก็เรียกไปตามกาลเทศะ ดังที่มีอยู่แล้วในโลกขณะนี้

เมื่อมาเกิดบำเพ็ญธรรมแห่ง "พระนิยตโพธิสัตว์" นั้น จะเห็นได้ว่า "ท่านจะต้องใช้ "กรรม" ต่างๆ มากมาย" เช่น "ต้องสละทรัพย์สมบัติชาติหนึ่ง ต้องสละลูกตาชาติหนึ่ง สละชีวิตทั้งชีวิตชาติหนึ่ง หรือ บำเพ็ญธรรม อันมนุษย์ธรรมดา จะกระทำได้ยากยิ่งต่างๆ นานา" จนไม่มีอะไรติดข้องเป็นการ "ผูกพันกรรม"

จนเหลือแต่ "ความหมดจด" ทุกประการ !

และพร้อมๆ กันนั้น ท่านก็ย่อมได้เรียนรู้ "จิตขั้นละเอียด" หรือ เรียนรู้พลังงาน หรือ อณูขั้นละเอียด ลงไปอีก เรื่อยๆ ตามลำดับ

จนหมด "อวาสนา" อย่างเต็มครบ เป็น "วาสนาบารมี" !

"บริสุทธิ์พร้อม บริบูรณ์พร้อม" นั่นคือ "สำเร็จพระโพธิญาณ"

ก็เป็นอันถึงซึ่ง "อนุตรอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ"

พร้อมที่จะเกิดอีกครั้งสุดท้าย คือ เกิดมาเป็น "มนุษย์" นี่แหละ

และก็เป็น "พระอนุตรอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"

ซึ่งก็เป็นชื่อ เป็นตำแหน่งของ "พระผู้มีสัพพัญญุตญาณ" ...ฯ

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ก็ให้เข้าใจด้วยว่า "ภาษาศัพท์ที่เรียกกันว่า ไม่เกิดอีกนั้น" ต้องเข้าใจให้สำคัญ !

เพราะ "พระอรหันต์" ที่เป็น "พระโพธิสัตว์" ท่านยังต้องเกิดอยู่ดังนี้

จนกว่าจะบำเพ็ญบารมีครบ ๑๐ ทัศ หรือ ๓๐ ทัศ อย่างละเอียด จึงจะครบ "บารมีธรรม" สำหรับการเป็น "พระพุทธเจ้า"

ได้ตรัสรู้ "สัพพัญญุตญาณ" เป็นผู้รู้รอบแจ้งสิ้นทุกโลก ทุกภูมิ

ถ้าไม่มีผู้ตั้งจิตปรารถนาเป็น "พระพุทธเจ้า"

ก็ย่อมจะไม่มี "พระพุทธเจ้า" อุบัติกันได้ต่อๆ ไปอีก "พระพุทธเจ้า" ก็จะสูญสิ้นไปจากพิภพภูมิ หรือ สากล จักรวาลใดๆ เท่านั้นเอง

ด้วยเหตุว่า "มีผู้ปรารถนาจิตไว้ และ มุ่งมั่นจะเป็น "พระพุทธเจ้า" อยู่"

"พระพุทธเจ้า" จึงจะเกิดได้ มีได้ !!!

 

๔๐
เกิดมาเพื่อสะสม "สัพพัญญุตญาณ"

คนเรามาปฏิบัติธรรมเพื่อหวังอะไร ? ยังหวังวิมุติ-นิพพาน ก็เท่ากับยังมีสิ่ง แลกเปลี่ยน จะว่าเป็นอามิสล่อ ก็ไม่ว่าอะไร ขอให้เป็นวิมุติ-นิพพานแท้

เราล้าง "โลกียสุข" ทั้งปวงที่มี จนสูญ หมดเกลี้ยง ถึงขั้นนิพพาน-วิมุติจริง แล้วรสสุขก็ไม่มี ทุกข์ก็เลย พลอยไม่มีไปด้วย แล้วอย่างนี้ได้อะไรมาแลกเปลี่ยน

สิ่งเหล่านี้สูงสุดแล้วไม่มีภาษาเรียก แต่เป็นสิ่งจริง

อัตตภาพของ "พระโพธิสัตว์" ชั้นสูง ไม่ติดโลกธรรม ไม่มียินดีกับสรรเสริญ ไม่มียินร้ายกับทุกข์-นินทา - กล่าวร้าย เฉยได้ วางได้

เหลือแต่สภาพอุดมคติแท้ๆ เป็น "วิภวตัณหา" ที่เป็นอุดมการณ์ชัดๆ

มี "วิภวตัณหา" ปรารถนา "พุทธภูมิ" ก็เป็นอัตภาพ เป็นจิตวิญญาณ เป็นความปรารถนาอย่างถูกธรรม

ทำงานด้วยความรู้ มี "โลกวิทู" มีความรู้รอบ เท่าทันโลกธรรมได้มากมาย ไม่ยินดี -ยินร้าย ว่าง สิ่งไม่เคยพบ - ไม่เคยเห็น ก็ได้ผ่าน-ได้พบ มีสติปัญญา มี "สัพพัญญุตญาณ" มี "โพธิญาณ" มากขึ้น กว้างขวางขึ้น ซ้อนเชิง ลึกลงไปในนั้นอีก

ก็จะทำงานได้มาก เป็นประโยชน์ก้าวหน้าสูงส่งขึ้นไปอีก

ได้ "สัพพัญญุตญาณ" แล้ว ฟูใจไหม ? หรือ ติดใจจนปล่อยไม่ได้

เป็น "โพธิสัตว์" อย่าง "อวโลกิเตศวร" ไม่ยอมเป็น "พระพุทธเจ้า" จะเป็น "พระโพธิสัตว์" นิรันดร์ จะเป็น อย่างนั้น ก็ว่ากันไป ก็เป็นความจริงของผู้นั้น

"พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร" จะมาทำงานกับโลกมนุษย์ ทุกยุคสมัยอย่างนี้ นิรันดร์ หนักหนาเหน็ดเหนื่อย อย่างไร ก็สู้ ! ก็นิมนต์เถอะ !

เพราะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนอะไรแก่โลก เป็นบุญ-เป็นคุณแก่โลก

ศาสนาที่มีอัตตาเป็นปรมาตมัน ไม่ได้ทำลายโลก เพียงแต่ว่า "นิพพานของตนไม่มีเท่านั้น" ยิ่งเป็น "อัตภาพ" ที่ไม่ละเอียดลอออย่าง "พุทธศาสนา" ก็จะไม่มี "นิพพาน" ให้แก่ตน แล้วจะถูกทางสมบูรณ์ หรือไม่ ก็ยังไม่รู้

เรื่องซับซ้อนซ่อนเชิง ที่เป็นอามิสแลกเปลี่ยนอย่างลึกซึ้งเป็นธรรม ก็ใช้สิ่งนี้ประโลมใจฟูใจ เป็นความสุขใจ จะมาก หรือน้อยก็ตาม เหลือน้อยๆ ก็ยังไม่หมด บำเรอตนอยู่ เป็นอัตภาพที่แท้ ฟูใจนิดๆ ก็อิ่มใจ ได้สร้างสรร สิ่งดีงามเพื่อพระเจ้า ก็เป็น "วิภวตัณหา" เป็นอุดมการณ์ ใช้ประโยชน์ในโลกได้อยู่

จิตวิญญาณพระเจ้าส่งให้มาเกิด ก็เป็นพระบุตรมาทำหน้าที่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นหน้าที่ พระพรหม ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ "พระเจ้า"

ถ้ายังวนเวียนเกิดอยู่ ก็เป็นพระบุตรอยู่อย่างนั้น เป็นจิตวิญญาณที่ยังมีอยู่ ไม่หมดอัตภาพ ยังเป็นอัตภาพ ยังไม่มีนิพพาน

มี "สอุปาทิเสสนิพพาน" แต่สังสารวัฏยังไม่หมด

ร่างกายนี้ ตาย "อนุปาทิเสสนิพพาน" ก็ยังไม่ปรินิพพาน ก็จะยังวนเวียนมาเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ ทำประโยชน์ -ท่านต่อไป ประโยชน์ตน ก็คือ ตนเองเก่งขึ้น

ยังยินดีใน "โพธิญาณ" สะสมไปๆๆ มากเท่าไร ก็แล้วแต่

จะไม่ปฏิญาณ ขอเป็น "พระโพธิสัตว์" อย่างพระอวโลกิเตศวร ก็เชิญ !

ถ้าไม่ปฏิญาณอย่าง "พระอวโลกิเตศวร" สะสมโพธิญาณมาก จนถึงขีดขั้นเป็น "พระพุทธเจ้า" จริง จะปฏิญาณตนเป็น "พระพุทธเจ้า" เมื่อไร ก็ปฏิญาณได้เมื่อนั้น

ก็ทำได้ ! เมื่อถึงกาละเทศะ ที่ควรจะทำ !

ถึงขีดสูงสุด เป็น "พระพุทธเจ้า" จะเลิก-จะอยู่-จะดับอย่างไร ก็รู้สูงสุด

เรียกว่า "โลกุตระ" เหนือโลกจริงๆ เหนือภพชาติ เหนือสังสารวัฏ

สุดท้ายแล้วก็ "ปรินิพพาน" จบจริงๆ สูญไปเลย เลิกกัน

แต่ถ้ายังไม่จบ ก็ยังไม่จบก่อน เป็นธาตุรู้ที่ต้องรู้ตัวตน มีสติสัมปชัญญะ ไม่มี บังเอิญ รู้ว่า "ควรอย่างไร ไม่ควรอย่างไร" ก็พยายามทำให้แม่น คม ชัด

จะเกิดก็เกิดอย่างที่รู้ จะดับก็ดับอย่างที่รู้ รู้ความเกิด-ดับสูงสุด เกิดดีที่สุด ดับก็ดับอย่างไม่มีอะไรเหลืออีก ดับอย่าง "ปรินิพพาน"

เรียนให้จริง แล้วจะรู้ แม้ลึกซึ้งก็จะพูดถูก ไม่สับสน

สุดสิ้นความเป็นอัตภาพ อย่างพุทธศาสนา ก็จะเป็นพระโพธิสัตว์ที่ไม่มีสภาพของโลกียะเลย เป็นสุญภาพ เป็นอัตภาพ ที่สุญตวิหาร เป็นเมตตาวิหาร เป็นเมตตา ที่ไม่ต้องการอะไรแลกเปลี่ยน มีความเป็น "พรหม" อย่างสมบูรณ์

"พราหมณ์ หรือ พรหม" หมายถึง "จิตบริสุทธิ์ หมดสิ้นอนุสัยอาสวะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์" คำว่า "พราหมณ์" จึงหมายถึง "อรหันต์" ด้วย

อาตมาพูดเรื่องลึกซึ้งให้ฟัง ระดับ "เบื้องต้น-ท่ามกลาง-บั้นปลาย"

แต่ละคนจะทำฐานะไหน ก็ทำไปตามความเป็นจริง อย่าหลงตนก็แล้วกัน

อย่าทำผิดขั้นตอน ต้องให้ถูกสัดส่วนเหมาะเจาะกับตนเอง

๔๑. การตรัสรู้ เป็น พระพุทธเจ้า

(อ่านต่อหน้า ๗)

โพธิรักษ์
กับ
โพธิกิจ


[6]