๑๔. ร่วมกันสู้ หน้า ๑๖๗

นองเลือดหลังถูกจับ

ผมถูกจับประมาณบ่ายสามโมงของ วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ดังที่เล่าแล้ว ในตอนแรก นึกในใจว่า การชุมนุม คงสิ้นสุดกันแค่นั้น เมื่อจับผมแล้วก็แล้วกัน ผมถูกขัง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เข้าเฝ้าคืนวันที่ ๒๐ ออกโทรทัศน์ พร้อมกับ พลเอกสุจินดาแล้ว ก็ยังไม่รู้อะไรอยู่ดี กลับไปนอนที่ กองพันสารวัตรทหารอากาศ ดอนเมืองอีกคืน ก็ไม่รู้อะไรอีกเหมือนกัน มารู้เรื่องเอาตอนเช้า วันที่ ๒๑ กลับไปบ้าน หลายคนเล่าให้ฟัง จึงทราบ

ผู้คนถูกทหารยิงตายมากมาย หลังจากที่ผม ถูกจับไปแล้ว บริเวณที่สูญเสีย มากที่สุด ไปเกิดที่โน่น แถวหน้า โรงแรมรอแยล และ หน้ากรมประชาสัมพันธ์ นอกจากนั้น ยังถูกยิงตาย ในที่ต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งผมไม่คิดว่า มันจะเกิดเหตุการณ์ รุนแรงขนาดนั้น

หนังสือข่าวพิเศษฉบับ “บันทึกเลือด พฤษภาทมิฬ” ได้สัมภาษณ์ อดีตนายทหาร ระดับสูง ในกองทัพบก ซึ่งได้แสดง ความคิดเห็นว่า

“การจับพลตรีจำลองไป ด้วยแนวคิดที่ว่า เมื่อม็อบขาดหัวขบวน ก็จะสลายไปเอง เป็นแนวคิดที่ผิดพลาด เพราะอารมณ์ของฝูงชน ไปไกลเกินกว่า จะหยุดยั้งได้แล้ว ม็อบที่ไร้หัวหน้า น่ากลัวกว่าหลายเท่า แรงระเบิด ของอารมณ์ฝูงชน เป็นไปอย่าง ไร้ทิศทาง และไร้การควบคุมอีกต่อไป”

เรื่องที่จะสรุปต่อไปนี้ ได้จากคนอื่น เล่าให้ฟังบ้าง หาอ่านจาก หนังสือต่างๆบ้าง เพราะผมไม่ได้อยู่ ในเหตุการณ์ นำมาบันทึกรวบรวมไว้ เพื่อให้ครบถ้วนสมบูรณ์

ตอนประมาณบ่ายสี่โมง หลังจากที่ทหารเข้ากวาดล้าง บริเวณสะพานผ่านฟ้า ซึ่งผมและหลายๆคน ถูกจับไปแล้ว ผู้ร่วมชุนมุน ก็กระจัดกระจายไป ต่อจากนั้น ก็มีผู้มาร่วมชุมนุม เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้รวมอยู่จุดเดียว เพราะทหาร เข้ามาตรึงกำลัง และปิดทางเข้าสู่ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เกือบทุกด้าน จึงไปรวมกันอยู่ หน้าโรงแรมรอแยลบ้าง ใกล้สี่แยก กระทรวงเกษตรบ้าง และใกล้อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย เยื้องร้านอาหาร ศรแดง เลยไปจนถึง สำนักงาน สลากกินแบ่งรัฐบาล กรมประชาสัมพันธ์ และบางลำพู แต่ละจุด ยิ่งเย็นลง ก็มีคนมาร่วม ชุมนุมมากขึ้นๆ

ในระยะเวลาเดียวกันนั้น พรรคฝ่ายค้าน ๔ พรรค ได้แถลงข่าว ที่โรงแรม สยามซิตี้ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ข้อ คือ

๑.ให้รัฐบาลยุติใช้ความรุนแรง ต่อประชาชนในทันที ไม่ว่าโดยวิธีการใดๆ

๒.ให้รัฐบาลยุติการยั่วยุ ยุติการปิดกั้น การเสนอข่าวสาร ของสื่อมวลชน ตลอดจน ยุติการบิดเบือน ข้อเท็จจริง เพื่อเปิดโอกาส ให้ประชาชน ได้รับรู้ข่าวสารที่ถูกต้อง

๓.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ขอแสดงความเสียใจ อย่างสุดซึ้ง ต่อพี่น้องประชาชน และครอบครัว ของที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บ ทุกท่าน และขอเรียกร้อง ให้รัฐบาล ให้ความเป็นธรรม แก่ผู้ถูกควบคุมตัว โดยคำนึงถึง มนุษยธรรม และหลักแห่ง สิทธิมนุษยชน

เวลาประมาณห้าโมงเย็น ทหารไล่ประชาชน ตามตรอกซอกซอย และบริเวณวัด ซึ่งประชาชน ใช้เป็นที่หลบซ่อน เช่น วัดราชนัดดา เป็นต้น มีเสียงปืนดัง เป็นระยะๆ หลังจากนั้นต่อมา ก็มีการยิงปืนขู่ ไล่ประชาชน บริเวณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ทหารประมาณ ๒,๐๐๐ คน ผลักดันฝูงชน ไปทางกรมประชาสัมพันธ์

เวลาประมาณหกโมงเย็น ทหารที่อยู่ในถนนราชดำเนิน ก็ตั้งแถวยิงอีก ทั้งยิงขึ้นฟ้า และยิงตรงๆ ผู้คนวิ่งหนี แตกฮือออกไป แต่ไม่ถอย เมื่อเสียงปืนสงบลง ก็กลับมารวมตัวกันใหม่ แม้จะเห็นเพื่อน ถูกยิงบาดเจ็บ และเสียชีวิต ไปต่อหน้าต่อตา ก็ยิ่งกล้าหาญ เกินกว่าที่ผู้มีอำนาจ จะคาดคิด

ประมาณทุ่มกว่าๆ ผู้ชุมนุมก็เพิ่มขึ้น เป็นหลายหมื่น รวมตัวกันอยู่ ทั้งในถนนราชดำเนิน ย่านบางลำพู สะพานผ่านฟ้า ถนนมหาชัย ศาลาว่าการ กทม. และหลังกระทรวงกลาโหม ทหารพยายาม ขับไล่ประชาชน ให้ออกจาก บริเวณดังกล่าวโดยเร็ว หวังจะกวาดออกไป ให้หมดก่อนค่ำ ก็ไม่สำเร็จ

เวลาประมาณสามทุ่มครึ่ง ทหารเตรียมกวาดล้าง ประชาชน เป็นการใหญ่อีก โดยมีแนวลวดหนาม ขึงระหว่าง กองสลาก กับหัวมุม โรงแรมรอแยล ป้องกันไม่ให้ประชาชน เข้าไปร่วมชุมนุม เพิ่มเติม ฝูงชนได้ขับรถ ขสมก. ๘ คัน แล่นช้าๆ เข้าชนแนวลวดหนาม ขณะที่รถคันที่ ๙ กำลังแล่นเข้าสมทบนั้น ทหารก็กราดปืน เข้าใส่ไม่ยั้ง คนขับ คนที่อยู่บนหลังคา และอยู่ในรถ ถูกยิงบาดเจ็บ ล้มตายกันเป็นระนาว ตัวรถถูกกระสุน พรุนทั้งคัน ประชาชน ที่อยู่บนถนน รีบหมอบลงกับพื้น คืบคลานไปทาง หน้ากรมประชาสัมพันธ์

นอกจากทหารจะยิงอยู่ข้างล่างแล้ว ยังไปตั้งยิง อยู่ชั้นบน ของอาคารต่างๆ รวมทั้งกองสลาก ทำให้ประชาชน ที่อยู่บนถนน ถูกยิงบาดเจ็บ ล้มตายเพิ่มขึ้น การยิงบนพื้นราบ ยังพอหลบได้ ด้วยการหมอบลงกับพื้น แต่การยิง จากที่สูง ไม่มีทางที่จะหลบได้เลย

คนเจ็บส่วนหนึ่ง ถูกหามเข้าไปรักษา ในโรงแรมรอแยล อีกจำนวนไม่น้อย กองอยู่ในถนน ราชดำเนิน มีรถพยาบาล วิ่งส่งคนเจ็บ เพียงไม่กี่คัน และเมื่อออกไปแล้ว ก็เข้ามาอีกไม่ได้ ทำให้ผู้ที่บาดเจ็บสาหัส จำนวนไม่น้อย ต้องเสียชีวิต ขณะรับการรักษา อยู่ในโรงแรมรอแยล

ตอนดึก แม้ฝุงชนจะเริ่มบางตาลงบ้าง แต่ทหารก็ยังตรึงกำลัง ปิดทางหนีทุกจุด เป็นเรื่องแปลก ทหารต้องการ ขับไล่ประชาชน ออกไปให้หมด แต่กลับสกัดไว้หมดทุกทาง ไม่ให้ออก ประชาชน ไม่รู้จะไปทางไหน เล็ดลอด ตามช่องทางเล็กๆ ออกไปได้บ้าง เป็นส่วนน้อย ส่วนที่เหลือ จึงถูกจับ และถูกยิง อยู่ในบริเวณนั้น นอกจากนั้น ยังกั้นตลอดเวลา ไม่ให้ส่งข้าว ส่งน้ำอีก ทารุณมาก

เสียงปืนดังไม่ขาดสาย จนรุ่งสาง หมายถึง มีคนตายและบาดเจ็บ เพิ่มขึ้นๆ ตลอดเวลา ถนนราชดำเนิน กลายเป็น “ลานประหารหมู่” คนไทยฆ่าคนไทย ด้วยกันเอง อย่างบ้าระห่ำ คนมีปืนฆ่าคนมือเปล่า อย่างน่าอดสู

ต่อมากรมประชาสัมพันธ์ก็ถูกเผา

ประชาชนที่อยู่ในถนนราชดำเนิน พยายามจะแห่ศพ ผู้ที่ถูกทหารยิงตาย อย่างสยดสยอง เพื่อให้ผู้ที่อยู่ บริเวณนั้น ได้เห็นทั่วๆกัน แต่ถูกทหารยิง ไล่แตกกระเจิง ไปเสียก่อน ต่อจากนั้น กรมสรรพากร ก็ถูกเผา

เช้าตรู่เพลิงจึงสงบ ทั้งกรมประชาสัมพันธ์ กรมสรรพากร ถูกเพลิงไหม้ เสียหายมาก

ขึ้นวันใหม่ ๑๙ พฤษภาคม ตอนตีห้า ทหารได้เข้ากวาดล้างใหญ่ โดยเดินเรียงแถว หน้ากระดาน ระดมยิงใส่ฝูงชน หน้ากรมประชาสัมพันธ์ และที่โรงแรมรอแยล มีประชาชนทั้งตาย ทั้งบาดเจ็บ ล้มคว่ำ จมกองเลือด ผู้ที่รอด ก็ตะเกียกตะกาย คลานหนี ให้พ้นวิถีกระสุน ประชาชนแตกฮือ ถอยไปทางสนามหลวง ถูกทหาร ที่อยู่บริเวณนั้น ผลักดัน ให้กลับเข้าไปอยู่ หน้าโรงแรม รอแยลอีก ผู้ชายถูกถอดเสื้อ มัดมือไขว้หลัง ส่วนผู้หญิง ถูกกันไปควบคุม อีกด้านหนึ่ง แล้วจับขึ้นรถ ส่งไปขังที่ โรงเรียน นายสิบตำรวจบางเขน และ เรือนจำลาดยาว

เช้ามืด ทหาร ๓๐๐ คน บุกค้นโรงแรมรอแยลทุกห้อง และทุกซอกทุกมุม ผู้ที่เข้าไปหลบภัย รวมทั้งผู้สื่อข่าว ถูกกวาด ออกมาหมด หลายคน ถูกทำร้าย อย่างทารุณ กล้องถูกยึด ฟิล์มถูกทำลาย หมอที่กำลัง รักษาพยาบาล ก็ถูกจับด้วย บางคนถูกซ้อม อย่างป่าเถื่อน การกระทำ ทั้งหมดนี้ นักข่าวต่างประเทศ ได้ส่งข่าวออกไปทั่วโลก เป็นการเสื่อมเสีย เกียรติภูมิ ของประเทศไทย อย่างมาก

ผมเองเป็นทหาร เคยผ่านการรบมาสองศึก ก็ยังไม่เคยเห็น ความเหี้ยมโหดอย่างนี้ ผมเสียใจ ที่ทหารไทย ฆ่าคนไทยกันเอง คนที่ไม่มี อาวุธต่อสู้ ทำเหมือนเป็นศัตรู กันมาหลายปี ศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงหมดสิ้น ในสายตาของคนไทย และชาวโลก จะต้องใช้เวลา อีกนานเท่าไร ที่จะกู้คืนมา

วันที่ ๑๙ พฤษภาคม ตลอดทั้งวัน การประท้วงเป็นจุดย่อยๆ ก็เกิดขึ้นทั่วกรุง การฆ่ากันแบบนี้ ได้ก่อให้เกิด ความโกรธแค้น กับประชาชนมาก มีการแห่ศพ ผู้เสียชีวิต มีการขู่วางระเบิด ที่โน่นที่นี่ บริษัทห้างร้าน หลายแห่งปิด ให้พนักงานกลับบ้าน เพื่อความปลอดภัย ธนาคารพาณิชย์ และห้างสรรพสินค้า ปิดกันเป็นแถว เศรษฐกิจทรุดหนัก กว่าครั้งใดๆ รัฐบาลประกาศ เตรียมกวาดล้าง เป็นการใหญ่อีก รถเมล์วิ่งแค่ หกโมงเย็น มีคนกลุ่มใหญ่ๆ ตกค้างอยู่ที่ป้ายรถเมล์

นักธุรกิจจำนวนมาก พร้อมใจกันปิดบริษัท จนกว่าเหตุการณ์จะดีขึ้น เป็นการประท้วงเงียบ ต่อการใช้อำนาจ ที่ไม่ถูกต้อง ของรัฐบาล นายธนาคารบางราย ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “รัฐบาลจะปกครองได้เฉพาะ เมืองร้างเท่านั้น เมื่อเศรษฐกิจพัง จะบริหารงาน ไปได้สักเท่าไร”

ประมาณบ่ายสามโมง ของวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ประชาชนประมาณ ๑,๐๐๐ คน มีมอเตอร์ไซค์ ๖๐ คัน นำหน้า เดินทางไป ร่วมชุมนุมกับ นักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ฝ่ายรัฐบาลมีทีท่า จะกวาดล้างมอเตอร์ไซค์ อย่างใหญ่โต หวาดเกรงกันว่า ประชาชน ขี่จักรยานยนต์ ไปไหน มาไหน อาจถูกทหารยิงตาย เอาง่ายๆ

เวลาประมาณสองทุ่มครึ่ง กองกำลังรักษาพระนคร ได้แถลงข่าวว่า ฝูงชนจำนวนมาก ได้แห่กันไปปล้นร้านปืน แถวสี่แยก อุณากรรณ ถูกทหารตำรวจ เข้าขัดขวาง เกิดการปะทะกัน บาดเจ็บล้มตาย จำนวนหนึ่ง หลังจากนั้น ไม่นานนัก ก็มีผู้ยืนยันว่า เป็นการ “สร้างสถานการณ์” ไม่มีการปล้นร้านปืน แต่อย่างใด เจ้าของร้าน ถูกบังคับให้แถลง แก่สื่อมวลชน ไปอย่างนั้น

ตกดึก การชุมนุมหน้ามหาวิทยาลัย รามคำแหง ก็เพิ่มขึ้น เป็นหลายหมื่นคน ผู้ร่วมชุมนุม ได้ช่วยกัน ตั้งแนวระวัง ป้องกันตนเอง โดยการตั้ง กระสอบทราย เป็นแนวรอบบริเวณชุมนุม เพื่อป้องกัน การบุกเข้ากวาดล้าง ทหารได้เข้า ทำการปิดกั้นถนน ตั้งแต่หน้าศูนย์การค้า เซ็นทรัล ถึงหน้าสถานีตำรวจหัวหมาก

ตอนตีสาม กองกำลังรักษาพระนคร ได้ออกคำเตือน ให้เลิกการชุมนุม ประชาชนและนักศึกษา ก็ไม่ถอย แม้จะมีข่าวว่า ทหาร จะเข้ากวาดล้าง อยู่บ่อยๆ ก็ตาม

ในตอนบ่าย รถขนขยะของ กทม.๑ คัน ถูกเผา ใกล้อนุสาวรีย์ ประชาธิปไตย มีประชาชน มุงดูอยู่สองข้างถนน ประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน หลังจากนั้น ทหารก็ทำเหมือน ยกกองทัพ เข้ายึดถนนราชดำเนินไว้ทั้งสาย ตั้งเครื่อง กีดขวาง ทุกถนน ซอก ซอย ที่เชื่อมต่อกับ ถนนราชดำเนิน ไปจนสุด เชิงสะพาน พระปิ่นเกล้า กำลังอีกส่วนหนึ่ง เข้ายึดสนามหลวง และวางกำลังล้อม โดยรอบ ห้ามผู้คนเข้า โดยเด็ดขาด มีเฮลิคอปเตอร์ บินวนเวียน ตรวจการณ์ อยู่ตลอดเวลา เหมือนในสนามรบ ไม่มีผิด

เวลาทุ่มครึ่งของวันที่ ๒๐ พฤษภาคม พลอากาศเอก อนันต์ กลินทะ รัฐมนตรีว่า การกระทรวง มหาดไทย ประกาศ ห้ามประชาชน ออกนอกบ้าน ตั้งแต่สามทุ่ม ถึงตีสี่ รายงานข่าวเปิดเผย ในภายหลังว่า ทำให้รถบรรทุก กว่า ๓๐,๐๐๐ คน ไม่สามารถ วิ่งเข้าออก กรุงเทพฯ ได้สูญเสียทางเศรษฐกิจ อย่างมากมาย และได้มีประชาชน ผู้บริสุทธิ์ ถูกทหารยิงตาย หลายราย ทั่วกรุงเทพฯ

“พฤษภาทมิฬ” ทมิฬเหลือหลาย ไทยฆ่าไทย บาดเจ็บ ล้มตายมากมาย เมื่อต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๓๕ พบว่า ถูกฆ่าตาย ๕๒ ศพ สูญหาย ประมาณ ๕๐๐ คน ส่วนใหญ่คงกลายเป็นศพ แล้วศพหายไปไหน?

หนังสือพิมพ์รายวัน และนิตยสารรายสัปดาห์ หลายฉบับ รายงานตรงกันว่า มีทหารเรือ เพียงเหล่าเดียว เท่านั้น ที่ไม่ได้ทำร้าย ประชาชนเลย ไม่ได้ยิงกระสุน แม้สักนัดเดียว ปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความละมุนละม่อม ใช้การพูด การประชาสัมพันธ์ การปฏิบัติการ จิตวิทยา อย่างได้ผล ทุกกลุ่ม ที่ต่อต้านเผด็จการ ต่างนิยมชมชอบทหารเรือว่า เป็นทหารของประชาชน โดยแท้ พากันนำดอกไม้ ไปขอบคุณเป็นการใหญ่

อีกท่านหนึ่งที่หนังสือ “ร่วมกันสู้” ต้องบันทึกไว้คือ พลตำรวจตรีอุทัย อัศววิไล ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจ สอบสวนกลาง แม้ไม่มีหน้าที่โดยตรง แต่ด้วยสำนึก ของคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการจะลด ความรุนแรง จากการที่รัฐบาล ใช้กำลังเข้าปราบ ประชาชน

ท่านกล้าที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ กล้าที่จะเดินนำ ประชาชนส่วนหนึ่ง ออกมาให้พ้นภัย กล้าแนะนำ สั่งสอนทหาร ให้ลดความบ้าระห่ำ และกล้าที่จะยืนยัน ความจริงที่ท่านเห็นมา ด้วยตาว่า การปฏิบัติงานของ กองกำลัง รักษาพระนคร ผิดพลาด มากมายเพียงใด ทั้งๆที่ท่าน ยังรับราชการอยู่ ซึ่งผู้มีอำนาจทั้งหลาย สามารถ “ให้โทษ” ท่านได้ทุกเมื่อ

ตั้งแต่ตอนค่ำของวันที่ ๑๘ พฤษภาคม เป็นต้นมา กลุ่มผู้ชุมนุม เรียกร้องประชาธิปไตย ที่มีบทบาทมาก คือ “ขบวนการ มอเตอร์ไซค์ เพื่อประชาธิปไตย” สามารถรวมตัวกัน ได้นับพันๆคัน จากย่านเยาวราช และ วงเวียนใหญ่ ออกปฏิบัติการ จรยุทธทั่วกรุง ประกอบไปด้วย คนหนุ่มสาว ที่ห้าวหาญ มีความแค้นเคือง ที่เห็นทหาร ตำรวจ ฆ่าประชาชน

ขบวนการมอเตอร์ไซค์ เพื่อประชาธิปไตยนี้ ปราบได้ยาก เพราะเคลื่อนที่ได้เร็ว ไปได้ทั้งซอกเล็กซอยน้อย นัดชุมนุมได้เร็ว สลายตัวเร็ว เปลี่ยนจุดชุมนุม ไปที่อื่นได้ว่องไวมาก ทหารตำรวจ ตามไม่ทัน รัฐบาลจึงตั้งหน่วย “ไล่ล่า” ขึ้นปราบมอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะ ทำให้ประชาชน ที่ใช้มอเตอร์ไซค์ ต้องล้มตายเพิ่มขึ้นอีก บางคน ขี่ไปดูเหตุการณ์ ที่นั่นที่นี่ ก็ถูกยิง

อีกเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้ตำรวจปวดหัวคือ “ไอ้แหลม” ซึ่งเป็นชื่อเรียก คนที่พูดวิทยุ แซงเข้าไปในข่าย การติดต่อสื่อสาร ของตำรวจ มักจะดัดเสียง เป็นเสียงแหลมๆ วงการสื่อสารตำรวจ และนักวิทยุสมัครเล่น ที่มีวิทยุ ดักฟังการสื่อสาร เรียกกันติดปากว่า “ไอ้แหลม”

การดักจับว่า “ไอ้แหลม” ในขณะที่กำลังพูดวิทยุ แทรกเข้าไป ในขณะนั้นว่า เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำได้ยากมาก เพราะ “ไอ้แหลม” จะพูดสั้นๆ ไม่ทันให้จับทิศทางได้ แล้วเงียบไป หากถูกขู่ “ไอ้แหลม” จะข่มทันที “ถ้ารู้ว่าผมเป็นใคร พวกคุณจะหนาว”

บทบาทของ “ไอ้แหลม” เป็นที่ประทับใจ ของใครต่อใคร หลายคน ดังรายนี้ เป็นต้น

“ผมเป็นสมาชิกชมรมวิทยุวีอาร์ ได้ติดตามฟังไอ้แหลม และฝ่ายตำรวจ ข่ายรามา มาโดยตลอด ผมอยากบอกว่า ไอ้แหลม นี่แหละคือ นักปฏิบัติการ สงครามจิตวิทยา ชั้นยอด ไม่ใช่มือสมัครเล่นเลย

โดยเฉพาะไอ้แหลมตัวจริง ที่มันทำเสียง “จิ้งจก” กะเสียง “ตุ๊กแก” ใส่ตำรวจ ไอ้นี่ชั้นยอดมาก

บางครั้ง มันจะปล่อยให้ตำรวจเพลินไปซักพัก วิทยุรับทราบกันเป็นทอดๆ เช่น รามา…ทราบ, ผ่านฟ้า…ทราบ, พญาไท…ทราบ, ดุสิต…ทราบ…ฯลฯ พอทุกฝ่ายทราบกันหมด ไอ้แหลมก็บีบเสียงพูดเบาๆว่า แหลมก็ทราบ… ไอ้มุขนี้เด็ดจริงๆ

อันที่จริงผมว่า ไอ้แหลมไม่ได้เป็นคนหยาบคายเท่าไหร่ เพราะพื้นฐาน ภาษานั้น ออกไปทางยั่วยวน สุภาพ และ มีอารมณ์ขัน แต่พวกตำรวจนั่นเอง ที่ใช้คำหยาบมาก ในการด่าไอ้แหลม และแสดงอารมณ์ อันป่าเถื่อนออกมา ทางคำพูด อย่างเห็นได้ชัด เช่น ท้ายิงกัน บางครั้ง ก็ด่าประชาชน ที่มาชุมนุม โดยคิดว่า เป็นพวกไอ้แหลม และคำด่าของตำรวจนั้น หากผู้ชุมนุม ได้ฟังแล้วละก็ ผมคิดว่า คงจะบุกเผา วิทยุรามาก็ได้

ทัศนคติตำรวจที่ตอบโต้ไอ้แหลม ในข่ายรามานั้น เป็นทัศนคติ แบบนักเลงหัวไม้ กร่าง แสดงออกถึงอารมณ์ดิบ หลายครั้ง จะมีอยู่บ้าง ซึ่งคงเป็นนายตำรวจ ชั้นสัญญาบัตร ที่พยายามพูดดีๆ กับไอ้แหลม ซึ่งดูน่าฟังกว่า

จะอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเหตุการณ์ เริ่มทำท่าสงบลงแล้ว ผมเห็นด้วยว่า ข่ายงานสื่อสารรามา เป็นของราชการ พอแล้วเถอะครับ ไอ้แหลม ว่างๆ เกิดเหตุการณ์ จะได้ออกปฏิบัติการใหม่ แต่เพียงแค่นี้ ก็น่าจะพอใจแล้ว ผมขอวิงวอน คุณแหลม ให้เลิกซักพัก อย่าไปก่อกวน งานราชการเขาเลย ถึงแม้นว่าการกบฏ ของไอ้แหลม ครั้งนี้ ผมถือว่า เป็นวีรกรรมทีเดียว”

สุภีร์ วัศนะวิการณ์
(จดหมายถึงบรรณาธิการ “ข่าวพิเศษ” ฉบับ ๒๙พ.ค.-๔มิ.ย.๓๕)

ผมก็เห็นด้วยกับคุณสุภีร์ ขอให้คุณแหลมออกกำลังไว้ มีการชุมนุมเมื่อใด จะได้ออกมา “ร่วมกันสู้” ใหม่อีก

ตลอดระยะเวลาของการชุมนุม ฝ่ายรัฐบาลใช้วิทยุ ส่วนฝ่ายประชาชน ที่ชุมนุมกัน ใช้โทรศัพท์มือถือ สามารถติดต่อ กลับไปที่บ้าน หรือบริษัท ห้างร้านของตน ได้ตลอดเวลา รวมทั้งสั่งอาหาร น้ำดื่ม เต็นท์ รถ และอื่นๆ ไปใช้ในกิจการชุมนุม ได้อย่างสะดวก

ในช่วงหลังๆ ของการชุมนุม เครือข่ายโทรศัพท์มือถือถูกตัด เดือดร้อนกันไปทั่ว ทั้งผู้ชุมนุมและชาวบ้าน ร้านค้า ที่อาศัย โทรศัพท์มือถือ รัฐบาลตามแกล้งไปหมด เสียทุกอย่าง เพื่อจะเอาชนะประชาชนให้ได้ โดยไม่คำนึง ถึงอะไรทั้งสิ้น

ฝนแรก-วีรชน
ฝนแรกเดือนพฤษภา      รินสายมาเป็นสีแดง
ฝนเหล็กอันรุนแรง     ทะลวงร่างเลือดพร่างพราว
หลั่งนองท้องถนน       เป็นสายชลอันขื่นคาว
แหลกร่วงกี่ดวงดาว       และแหลกร้าวกี่ดวงใจ
บาดแผลของแผ่นดิน       มิรู้สิ้นเมื่อวันใด
อำนาจทมิฬใคร       ทะมึนฆ่าประชาชน
เลือดสู้จะสืบสาย       ความตายจะปลุกคน
วิญญาณจะทานทน       พิทักษ์เถิดประชาธรรม
ฝนแรกแทรกดินหาย   ฝากความหมายความทรงจำ
ฝากดินให้ชุ่มดำ       เลี้ยงพืชกล้าประชาธิปไตย

จิระนันท์ พิตรปรีชา
พฤษภาคม ๒๕๓๕

 

อ่านต่อ ๑๕ แยกขังเดี่ยว

จากหนังสือ ... ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง * นองเลือดหลังถูกจับ * หน้า๑๖๗