๑๕. ร่วมกันสู้ หน้า ๑๘๐ |
แยกขังเดี่ยว หันมาดูอีกโลกหนึ่งของผม ในช่วงระยะเวลาเดียวกับ การนองเลือด ที่ถนนราชดำเนิน เช้าวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ผมยังถูกขังในกรง ที่โรงเรียน นายสิบตำรวจบางเขน ดังที่กล่าวแล้วในบทแรก ผมขอให้ ผู้ร่วมชะตากรรม อีกกรงขังหนึ่ง ซึ่งอยู่ข้างๆ สำรวจว่า พวกเราเป็นใคร มาจากไหนกันบ้าง ถือโอกาส ทำการวิจัยไปด้วย ในห้องขังนั้น เป็นหญิงทั้งหมด มีอยู่ด้วยกัน ๖๑ คน เป็นคนกรุงเทพ ๒๓ คน นอกนั้น มาจากต่างจังหวัด มีหมดทั้ง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ อายุเฉลี่ย ประมาณ ๓๐ ปี ปรากฏว่า มีครบทุกกลุ่ม ทั้งเกษตรกร ชาวไร่ ชาวนา แม่ค้า ลูกจ้าง คนงาน เจ้าของร้าน พนักงานบริษัท นักศึกษา และข้าราชการ จึงกล่าวได้อย่างถูกต้องแน่นอนว่า ผู้ร่วมชุมนุม นับแสนๆคนนั้น เป็นตัวแทน ของคนไทยทั้งประเทศ ที่มาจาก ทุกภาค ทุกจังหวัด ครบทุกกลุ่มอาชีพ นับเป็นปรากฏการณ์ ที่แปลกใหม่ ของเมืองไทย เท่าที่เคยมี การชุมนุมกันมา การชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย เพื่อหยุดยั้ง การสืบทอด อำนาจเผด็จการ ด้วยการเรียกร้อง ให้นายกรัฐมนตรี ลาออกครั้งนี้ เป็นการปลุกจิตสำนึก ประชาธิปไตย ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะต้องจดจำ และเล่าขาน สู่กันฟัง ไปอีกนานเท่านาน ตอนสายๆ ของวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ผมถูกแยกไปคนเดียว ไปขังเดี่ยวที่ กองพันสารวัตรทหารอากาศ ดอนเมือง ขณะที่รถกำลังจะแล่นออก ถนนใหญ่ ผมเห็นที่หน้าโรงเรียน นายสิบตำรวจบางเขน มีตำรวจแต่งชุดสนาม อาวุธครบ รักษาการณ์ อยู่อย่างพร้อมพรั่ง เหมือนกับหน้าค่าย แบร์แคท ของทหารไทย ในสมรภูมิเวียดนาม ที่พร้อมรบทุกเมื่อ เหตุการณ์ร้ายแรงหนักหนา เช่นนั้นเชียวหรือ ผมไม่เข้าใจ และดังที่ผมตั้งข้อสังเกตไว้แต่แรกว่า การย้ายผม อย่างกะทันหันนั้น เป็นเพราะเกรงว่า จะมีกำลังประชาชน มาแย่งชิงตัว ประชาชนมือเปล่าๆ จะแย่งชิงตัวผมไปได้อย่างไร หรือจะย้ายผมให้ไปอยู่ที่ลับตา เพื่อซ้อม ทำร้ายร่างกาย บังคับให้ผมออกโทรทัศน์ บิดเบือนว่า ผู้ร่วมชุมนุมเป็นฝ่ายผิด เป็นผู้ก่อการ จลาจล เป็นฆาตกร ส่วนรัฐบาล ทหาร ตำรวจ เป็นฝ่ายถูก ไม่มีทางที่ผมจะยอมทำตาม เป็นอันขาด เป็นไรก็เป็นกัน เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ แยกผมไป เพื่อจะเอาไปยิงทิ้ง ยิ่งฆ่าผม ก็ยิ่งฉลาดน้อยลงไปอีก จับผมพร้อมกับ ผู้ชุมนุม ๓,๘๐๐ คนเศษ ก็นับว่าสติปัญญา ของผู้สั่งการ ผู้มีอำนาจในบ้านเมือง ฉลาดน้อย ชนิดคาดไม่ถึงอยู่แล้ว ขณะที่นั่งรถไปกองพันสารวัตรนั้น จ่าทหารอากาศ ๒ คน ถือปืนยิงเร็ว นั่งกระหนาบขวาซ้าย นั่งเบียดราวกับว่า ผมจะเผ่นหนีได้ ทุกขณะ เมื่อรถไป ถึงที่หมาย มีทหารอากาศ ประมาณ ๑๐ คน ยืนรับอยู่ แล้วพาผมไปขัง ในห้องทำงานของนายทหาร ฝ่ายยุทธการ ของกองพัน ซึ่งเพิ่งขนของ ย้ายออกไป มีเบาะบางๆ เหมือนเบาะยูโด วางกับพื้นไว้ ๔ ผืน ผ้าปูเบาะพร้อม และมีหมอน ๒ ใบ ห้องขังไม่มีลูกกรง ประตูห้องใส่กุญแจ มีทหารถือปืนเฝ้าตลอด เวลาจะเข้าห้องน้ำ ต้องเดินลงไป อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งมีทหารถือปืน เฝ้าตลอดเวลา อีกเช่นกัน ออกจากห้องขัง เพื่อไปเข้าห้องน้ำแต่ละครั้ง ลำบากหน่อย เพราะทหารยาม ที่ยืนเฝ้าประตูห้องขัง ต้องให้คนไปขอกุญแจ จากนายทหารเวรมาไข ส่วนอาหารการกินสะดวก เพราะผมกินมื้อเดียว ไม่เป็นภาระ แก่ผู้ที่จะเอาอาหาร เข้าไปให้ เขาทำอาหารมังสวิรัติ ให้ทุกวัน ผมกินได้ นอนหลับ เป็นปกติ เสื้อกางเกง สำหรับใส่นอน แปรงสีฟัน ยาสีฟัน และรองเท้าแตะ จัดหาไว้ให้พร้อมเพรียง ทหารทุกคนให้เกียรติ ทำความเคารพทุกครั้ง ผมถูกขังทั้งที่คุกโรงเรียนนายสิบตำรวจบางเขน และที่กองพันสารวัตร ไม่ได้วิตกห่วงใย แต่อย่างใด คิดว่า คุณศิริลักษณ์ คงถูกจับเหมือนกัน และแยกไปขัง รวมกับพวกผู้หญิง ผมไม่ห่วง เพราะคุณศิริลักษณ์ เป็นนักสู้ ใจคอเข้มแข็ง เคยผ่านการฝึกมาแล้ว ตอนที่เป็นทหารหญิง และฝึกการกินน้อย ใช้น้อย อดทน มาอย่างต่อเนื่อง ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม นึกถึงคุณพ่อคุณแม่ ท่านอายุ ๘๐ กว่าทั้งคู่ คุณแม่หูไม่ได้ยิน คงไม่เป็นไร คงไม่รู้ข่าว ส่วนคุณพ่อ ตามองไม่เห็น แต่ฟังวิทยุ และโทรทัศน์ ทั้งวัน คงได้ยิน แต่ข่าวบิดเบือนของรัฐบาล และคงเป็นห่วงผมไม่น้อย ผมจึงขอร้อง นายทหารท่านหนึ่ง ให้ช่วยโทรศัพท์ ไปบอกท่าน ทั้งสองด้วยว่า ผมสบายดี ผมทราบภายหลังว่า ขณะที่ผมติดคุกนั้น คุณพ่อคุณแม่ ได้ข่าวร้ายต่างๆ ตลอดเวลาว่า ผมถูกซ้อมตายบ้าง ถูกยิงตายบ้าง ถูกแขวนคอ ผูกคอตาย กินยาตาย ท่านต้องทุกข์ เพราะผมแท้ๆ ปกติท่านก็ทุกข์อยู่แล้ว ทุกข์ตลอดเวลา ที่ผมเป็นนักการเมือง เป็นผู้ว่าฯกทม. วิทยุสถานีไหน ด่าผม ท่านฟังเอาไว้หมด เพื่อสรุปคำด่า ถ่ายทอดให้ผมฟัง อีกทีหนึ่ง ผมเลิกเป็นนักการเมือง ได้เร็วเท่าใด ท่านคงดีใจ มากเท่านั้น วันที่ ๒๐ พฤษภาคม ชีวิตประจำวันของผม ได้ปรับลงตัวเรียบร้อยแล้ว ประมาณตีสี่กว่าๆ นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง หลังจากนั้น ก็ออกกำลังอีก ๑ ชั่วโมง ทั้งการออกกำลังกาย และกำลังใจ ผมมีเวลา มากกว่าอยู่นอกคุก หลังจากนั้น ก็เขียนหนังสือ ไปจนถึงค่ำ ก่อนนอน ก็พัฒนากาย พัฒนาจิต อีกช่วงหนึ่ง ด้วยเวลาเท่าๆกัน ผมฝึกปฏิบัติธรรมติดต่อกันมาหลายปี ทำให้ผมอยู่ที่ไหน ก็สบายที่นั่น หลับก็สบาย ตื่นก็สดใส ไร้กังวลหม่นหมอง ที่จริงคนเรา เกิดมาก็ติดคุก ด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ ผู้ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ว่าคุกกาย หรือคุกใจ ผมได้รับผลจากการปฏิบัติธรรมมาก ได้เข้าใจถึง สัจจะของชีวิต เราเกิดมาเพื่ออะไร เกิดมาเพียงเพื่อ แสวงหาความสุข กอบโกย ถ้ามีโอกาส ก็โกงกิน ให้ตัวและญาติ ให้รวยที่สุด นับเป็นความสุขละหรือ? มนุษย์ทุกวันนี้ เป็นเช่นนี้กันหมด เขาไม่เข้าใจว่า ความสุขที่เหนือกว่านั้น คือ ความเสียสละ ที่ได้ช่วยเหลือ เพื่อนมนุษย์ ผมจึงมีอุดมคติ ประจำใจว่า กินน้อย ใช้น้อย ทำงานให้มาก ที่เหลือจุนเจือสังคม ผมไม่ได้ปลอบใจตัวเอง แต่ความรู้สึกจริงๆ เป็นเช่นนั้น ถึงจะติดคุก ผมก็สุข ทั้งกายและใจ ได้พักผ่อน และออกกำลังกายเต็มที่ ร่างกายสมบูรณ์ มีเวลา นั่งสมาธิมาก ใจสงบมาก เมื่อคิดถึงทางโลก ผมก็ได้เสียสละ ทำจนถึงที่สุดแล้ว เพื่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และ ในฐานะอดีต หัวหน้านักเรียนนายร้อย พระจุลจอมเกล้า ผมได้ทำแล้ว ตามที่ได้ปฏิญาณ ต่อพระบรมรูป ของพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ข้าฯ จักรักษามรดก ของพระองค์ท่านไว้ด้วยชีวิต ประมาณบ่ายสามโมง กำลังเขียนหนังสือ บันทึกความทรงจำอยู่เพลินๆ นายทหารผู้ควบคุม ก็มาเคาะประตู และแจ้งว่า รัฐมนตรีสวัสดิ์ คำประกอบ พร้อมกับ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง ๗ และช่อง ๙ มาเยี่ยมถามว่า จะเข้าเยี่ยมได้ไหม ผมบอกว่าไม่ได้ แต่ต้องคนละครั้ง โดยให้โทรทัศน์ เข้าสัมภาษณ์ก่อน เดิมจะขอให้ผมนั่งสัมภาษณ์ ที่ห้องรับแขก ผมรู้ทันว่า จะมีการจัดฉาก จึงบอกว่า สัมภาษณ์ในห้องขังนั้นแหละ ถ้าไม่ตกลง ก็ไม่ให้สัมภาษณ์ ผมให้สัมภาษณ์เสร็จ ก็เชิญรัฐมนตรีสวัสดิ์ เข้าไปในห้อง ท่านอุตส่าห์ ซื้อทุเรียนหมอนทอง ลูกใหญ่ ๑ ลูก พร้อมทั้ง ทุเรียนกวน และส้มโอ มาฝาก ผมต้องเรียน ให้ท่านทราบว่า ผมชอบทุเรียนมากที่สุด เคยเห็นคนจนๆ เขาอยากซื้อทุเรียน แต่ซื้อไม่ได้ เพราะเงินไม่พอ ผมเลยเลิกกินทุเรียน ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ รวมทั้งขนม อะไรๆ ที่ทำจากทุเรียนด้วย ผมขออนุญาตท่าน มอบทุเรียนและทุเรียนกวน ให้กับทหารที่ดูแลผม และเรียนท่านว่า คราวหลัง ขอเปลี่ยนเป็น กล้วยน้ำว้า รัฐมนตรีสวัสดิ์เล่าให้ฟังว่า เขาลือกันไปทั่วเมืองว่า ผมถูกซ้อมบ้าง ถูกฆ่าตายบ้าง ก่อให้เกิดความปั่นป่วน ท่านจึงมาดู ด้วยตาตนเอง เพื่อกลับไป เล่าสู่กันฟัง ท่านเล่าให้ผมฟังหน่อยหนึ่งว่า นักเรียนไทยในอเมริกา กำลังประท้วง และออกตัวว่า ไม่ได้หนีบโทรทัศน์ ทั้งสองช่องมา เป็นการพบกัน โดยบังเอิญ ท่านนั่งคุยอยู่นาน จึงได้ลากลับ ผมยืนยันกับท่านว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง จะเรียบร้อย ถ้าพลเอกสุจินดา ลาออก วันนี้เป็นอะไรไม่รู้ บทจะมีคนเยี่ยม ก็มาเยี่ยมติดๆ กันถึง ๒ คณะ รัฐมนตรีสวัสดิ์ กลับออกไปได้ไม่เท่าไร ทหารก็มาบอกอีกว่า อาจารย์ชินวุธ สุนทรสีมะ ส.ส. พรรคพลังธรรม และ เสนาธิการทหารอากาศ มาเยี่ยม พร้อมกับ ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง ๕ และช่างภาพวีดีโอ ทหารอากาศ ผมออกไปนอกห้อง และพูดกับผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่อง ๕ ว่า ผมไม่ให้สัมภาษณ์ เนื่องจาก ตลอดระยะเวลา การชุมนุม โทรทัศน์ช่อง ๕ บิดเบือนข่าว มากที่สุด ผมเสียใจ เพราะตอนจบ เป็นนายทหารใหม่ๆ ผมเคยทำงานที่ สถานีโทรทัศน์ช่อง ๕ เหมือนกัน ผู้สื่อข่าวหน้าม่อยกลับไป ทั้งอาจารย์ชินวุธ และเสนาธิการทหารอากาศ พูดตรงกันกับ รัฐมนตรีสวัสดิ์ว่า ที่มาเยี่ยม เพราะมีข่าวลือว่า ผมถูกซ้อม หรือถูกฆ่า ผมเลยถือโอกาสพูดเปิดใจว่า ถ้าจะซ้อม เพื่อบังคับให้ผม ออกโทรทัศน์ ไม่มีทางสำเร็จแน่ หากซ้อม ต้องฆ่าให้ตาย ไม่อย่างนั้น ผมหลุดออกไป ผมเอาเรื่องแน่ ถ้าฆ่าผมตาย ก็ฉลาดน้อยที่สุด ผมพูดให้เสนาธิการทหารอากาศ ซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อน ฟังต่ออีกว่า การรบในสมรภูมินั้น เราเอาชนะ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดได้ แต่รบกับประชาชน ถึงชนะ เรื่องก็ไม่สงบอยู่แค่นั้น จะมีต่อไปไม่รู้จบ
|
จากหนังสือ ... ร่วมกันสู้ ... พลตรี จำลอง ศรีเมือง * แยกขังเดี่ยว * หน้า ๑๘๐ |