๘. อาทิตย์ให้หลัง
หลังจากให้สัมภาษณ์ครั้งแรกหนึ่งอาทิตย์ ผู้สื่อข่าวได้พากันไปสัมภาษณ์อีกครั้ง
ท้าโต้ทางโทรทัศน์ ไม่มีใครเอา
พ.อ.จำลอง กล่าวว่า "เรื่องท้าโต้ทางโทรทัศน์นั้น เห็นทีจะหมดหวังเสียแล้ว แม้ว่าทางมหาวิทยาลัยต่างๆ พยายามที่จะเชิญ ไปอภิปราย ก็ไม่สำเร็จ ฝ่ายโน้น ชักม้าหนีท่าเดียว ผมจะตามไปล้างผลาญ ก็ไม่ใช่ วิสัยคู่ต่อสู้ที่ดี ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝง ก็น่าจะพูดพร้อมๆ กันได้"
มีคนไล่ให้ไปพูดกันในสภา
เขากล่าวต่อไปด้วยความสำรวมว่า "หลังจากที่ผมแสดงความคิดเห็นออกไปแล้ว ก็มีคนร้องปรามว่า ให้ไปพูดกันในสภา, ผมก็รับฟัง แต่ผมอยาก จะขอความเป็นธรรม ทีเมื่อตอนที่ฝ่ายนั้น พูดขู่ฟ่อๆ เสียงปราม หายไปไหน ทำไมจึงเงียบ เปรียบเหมือนนักเรียนตัวเล็กๆ ที่ถูกมัดมือ แล้วนักเรียนตัวโตๆ ก็หนีไปแอบ เราก็ร้องเชิญให้ออกมา เท่านั้นแหละ ครูตวาดทันทีว่า ให้เข้าไปเถียงกัน ในโรงเรียน
ครูไม่รู้เลยหรือว่า นักเรียนตัวโตๆเหล่านั้น พากันแก้ขวย ลาออกจากโรงเรียน จากสภาไปแล้ว แล้วจะให้ผม กลับไปพูดกับใคร ช่างไม่ให้ ความเป็นธรรม กันบ้างเลย
พบหัวหน้าพรรคการเมือง
พ.อ.จำลอง กล่าวชี้แจงต่อไปว่า ได้ไปพบหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประชาราษฎร์ ชาติไทย กิจสังคม ปฏิวัติ พลังใหม่ และ สังคมประชาธิปไตย มีเสียงสองพรรค ที่ติดต่อไปแล้ว ไม่พร้อมที่จะให้พบ คือ พรรคประชากรไทย และ พรรคสยามประชาธิปไตย
ธรรมชาติการไหลรวมของคน
"เมื่อวานนี้ มีครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งมาพบผม บอกว่าเรื่องนี้เป็นไปตามธรรมชาติ ของเหมือนกัน ย่อมไหล ไปรวม อยู่ที่เดียวกัน พวกที่ตลบตะแลง ไม่จริงใจ ชอบโกหกคำโตๆ โกหกบ่อยๆ ก็ไปรวมอยู่ด้วยกัน ส่วนพวกที่ตรงกันข้าม ก็ไปรวมอยู่อีกแห่งหนึ่ง อย่างที่ผู้ใหญ่ เคยพูดไว้ว่า ถ้าเราจะดูนิสัยใคร ดูจาก เพื่อนก็ได้ เพราะคนนิสัย เหมือนๆกัน จึงจะคบกันได้ ขณะนี้ประชาชน ก็พอมองออกว่า ใครอยู่ข้างไหนบ้าง
หลายคนหนุน
สำหรับผมจะรณรงค์จนถึงที่สุด ขณะนี้ได้มีประชาชน ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด โทรศัพท์ ส่งจดหมาย โทรเลข มามากมาย บางท่าน ก็เอาดอกไม้ ผลไม้ เอาตะเกียงมาให้ เพื่อให้ประชาธิปไตย สว่างเสียที"
ไม่แรงไม่อยู่
พ.อ.จำลอง กล่าวกับผู้สื่อข่าว อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยต่อไปว่า "ที่แล้วมานั้น ไม่ถือเป็นชัยชนะ เพราะเรา ไม่ได้มุ่งเอาชนะ เรามุ่งหมาย เสนอความคิดเห็น ที่ถูกต้อง ให้ประชาชนทราบ และเราก็ได้ทำไปแล้ว ด้วยการได้รับความร่วมมือ จากทุกๆฝ่าย สำหรับผล จะออกมาเช่นไร ก็แล้วแต่ และที่ออกมาต้าน อย่างรุนแรง ก็เพราะ ถ้าไม่แรงแล้วจะต้านไม่อยู่"
ถ้าก้าวร้าวจริง สืบดูได้
"ที่มีคนว่าผมก้าวร้าวนั้น ขอให้สืบประวัติผมได้ จากครูบาอาจารย์ ที่ผมเคยร่ำเรียนมา ผมเคยมีสัมมาคารวะ อย่างใด ก็อย่างนั้น ไม่เปลี่ยนแปลง ที่ทำไป ไม่ใช่นึกสนุก หรือมัน แท้จริงแล้ว ฝืนใจที่สุด เพราะบุคคล ที่ผมท้วงติง อย่างรุนแรงไปนั้น บางท่าน ก็เคยเป็นที่เคารพ รักใคร่ของผม แต่เป็นเรื่องที่ เลือกไม่ได้จริงๆ จึงต้องท้วงติงไป
ผมไม่ได้โกรธคนที่เห็นคนละอย่าง แม้แต่สิงสาราสัตว์ ผมก็ยังรัก ยังไม่กินเลย"
เขาว่ามือถือสาก ปากถือศีล
ผู้สื่อข่าวถามย้ำต่อไปว่า กรณีที่มีวิทยุในเครือข่ายทหารออกโจมตี ว่าท่านอ้างเป็น ผู้ปฏิบัติธรรม แท้จริง มีกิเลสหนา เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล พ.อ.จำลอง กล่าวโต้ทันทีว่า "ผมไม่เคยไปบอกใครที่ไหนว่า ผมหมดกิเลสแล้ว เพราะคนที่หมดกิเลสนั้น ต้องเป็นพระอรหันต์ ผมอยากจะท้า คนที่พูดออกวิทยุนั้น ให้มาเทียบ ใคร มีกิเลสหนากว่ากัน"
ล่อเสือออกจากถ้ำ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ท่านพูดขณะนี้ เป็นการล่อเสือให้ออกจากถ้ำ ใช่หรือไม่ พ.อ.จำลอง ตอบ "ไม่ใช่ครับ, คุณคิดว่า ล่อเสือสนุกหรือ ผมไม่ใช่ กระตั้วแทงเสือ กระตั้วยังมีหอก มีดาบ ส่วนผมไม่มี"
ใครกวนน้ำให้ขุ่น
บางคนหาว่า ผมกวนน้ำให้ขุ่น ฝ่ายโน้นนั่นแหละ กวนเสียจนขุ่นคลั่ก ไม่เลิกกวนเสียที ผมอดไม่ได้ ก็ไปคว้า สารส้ม มากวนบ้าง กวนให้ใส ไม่ใช่กวนให้ขุ่น
ดาวสยาม
๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
อ่านต่อ ตอน ๙
|