ตอน ๒๑  นกหนอนก
 
 
page: 21/21
โรงเรียนกินนอน

๒๑. นกหนอนก

ต่างจังหวัดที่ได้รับเชิญไปพูดบ่อยที่สุด เห็นจะเป็นชลบุรี ไปจนจำไม่ได้ว่าไปกี่ครั้ง พูดดะไป ตั้งแต่ในเมือง บางแสน พัทยา พูดทั้งนอกวัด ในวัด และในโรงแรม ต้องไปยืนพูดกลางวง ที่เขากินเลี้ยงกันก็เคย คราวนี้ นัดก่อนล่วงหน้าเป็นเดือน เขาให้ไปพูดกับพระและฆราวาสที่วัดนอก ระหว่างเข้าพรรษา วัดนี้จัดให้มี การพูดธรรมะทุกปี ปีที่แล้ว เชิญมหาจริงๆ ไปพูด ได้ข่าวว่า พูดไป ก็ด่าพาดพิง ถึงเราร่ำไป ไม่รู้ว่า โกรธแค้น กันมา แต่ปางไหน คราวนี้ผู้จัด ไม่ได้ตั้งใจ จะให้เราไปด่าตอบ ถึงตั้งใจ ก็คงไม่ตกลงด้วยจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่ามีเวรแก่กันและกันเลยคณะละครเร่ ออกเดินทาง จากกรุงเทพฯ ตอนเย็น ทราบใน ตอนหลังว่า จะเอาสไลด์ที่เกี่ยวกับ ชีวิตจริง ของคนพูด ไปฉายด้วย ก็เขินเป็นธรรมดา เพราะจะต้อง มีคนเข้าใจผิด ว่าเป็นคน ขี้โอ่สิ้นดี นอกจากจะไปพูด ยกตัวยกตน ตามแบบฉบับแล้ว ยังหนีบสไลด์ ไปเที่ยวโฆษณาตัวเองอีก นึกไปอีกที ก็เหมือนที่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อสองปีก่อน อภิปราย กลางสนามกีฬา มีการฉายสไลด์ เรียกคนเข้าวิก ได้ผลเหมือนกัน คนไปดูกันเต็ม ดูแล้ว ก็ฟังอภิปรายต่อ

ไปเมืองชลทีไร มักจะแวะที่เหมาะๆ กลางทางทุกที "คึกคัก" ยามเย็น ยามที่ร้านปิด ไม่คึกคักอย่างชื่อ เงียบ สงบ แพ จุดเด่นของร้านอาหาร เป็นที่ ที่ชอบพักผ่อน มากที่สุด น้ำในคลอง เต็มเปี่ยม ยาวสุดลูกหูลูกตา สองข้างคลอง เต็มไปด้วย กอจาก และไม้ที่ขึ้นเอง เขียวไปหมด อยู่แต่ในกรุงวันหนึ่งๆ ไม่ได้พบเห็น ภาพอย่างนี้

คุญวิชาญ เจ้าของร้าน เป็นทั้งผู้จัดการและคนขับรถให้คณะ เสนอว่าไปถึงวัดนอกก่อนเวลาก็ดี จะได้ขับรถ พาชมเมือง นึกในใจ ก็คงหนีไม่พ้น การตระเวน ชมคอนกรีต รูปร่างต่างๆ จึงขอนั่งที่ "คึกคัก" ต่อดีกว่า กะให้ไปถึงวัดนอก ตรงเวลาพูดพอดี

คุณวิชาญเล่าความจริงให้ฟังว่า เดี๋ยวนี้จำนวนนักทัศนาจรลดฮวบ คงเป็นเพราะเมืองเรา มีการปล้นจี้ กันมาก เขาเลย ไปเที่ยวที่อื่น เดือนนี้ ของทุกๆปี ปกติจะมีนักทัศนาจร ชาวญี่ปุ่น ไปแวะที่ร้าน วันละกว่า ๒๐ คัน นี่มีเพียง วันละ สองสามคัน บางวันไม่มีเลย ได้บอกสถิติถอยหลัง ไปถึงตอนที่ เป็นเลขาฯ ว่า ตอนนั้น บางวันมีถึง ๓๐ คัน ฉะนั้น ที่หลายคนอ้างว่า การกวดขัน แหล่งอบายมุข ทำลายการท่องเที่ยว จึงไม่เป็นความจริงเลย

เป็นการพิสูจน์คำพูดของรองนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สมัยนั้น ที่เคยพูดต่อหน้า ท่านนายกฯ เมื่อครั้ง ไปเยือน ออสเตรเลียว่า นักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่วนใหญ่แล้ว ไม่ได้มาเพื่อ สำมะเลเทเมา ในแหล่งโลกีย์

ยังจำได้ดีถึงคำกล่าวหาของหนังสือพิมพ์หลายฉบับในครั้งนั้น ที่ลงโจมตีเป็นเดือนๆ "โง่ขยัน" "กบฏต่อ ธรรมชาติ" "ตัวการทำลาย การท่องเที่ยว" และอะไรต่อมิอะไร มากมาย ซึ่งล้วนแต่ดีๆ ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่เห็น โทนโท่อยู่แล้วว่า นักท่องโลกีย์นั้น เป็นคนไทย เสียส่วนมาก บางย่าน หาฝรั่งทำยายาก เช่น เชิงสะพาน พระปิ่นเกล้า เป็นต้น

ต่างจังหวัดที่มีชาวต่างประเทศไปท่องเที่ยวกันนั้น ฝรั่งที่หัวปักหัวปำ เที่ยวดึกๆดื่นๆ หลังเวลาที่กฎหมาย อนุญาต ก็ล้วนแล้ว แต่ฝรั่งชั้นต่ำ ทั้งนั้น ไม่มีเงิน ที่จะไปหว่าน ไปโปรยเท่าใด

การท่องเที่ยว เป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน เขาเสียเวลามาเที่ยวทั้งที แล้วเรื่องอะไร จะต้องมาเสี่ยงกับโจรผู้ร้าย เปลี่ยนไป เที่ยวที่อื่น ที่ปลอดภัย ไม่ดีกว่าหรือ

วัดนอกอยู่ในย่านชุมนุมชน รถวิ่งผ่านให้ขวักใขว่ มีเสาอากาศสูงๆ ติดลำโพงรอบทิศ ป่าวประกาศชักชวน ให้คนมาฟังธรรม

ใกล้เวลาพูด ผู้คนเริ่มทยอยกันมา เดินบ้าง นั่งบ้าง สามล้อบ้าง ได้บอกคณะผู้จัดแล้วว่า คนฟังจะมาก หรือน้อย ไม่ต้องห่วง เพราะชินเสียแล้ว ทั้งสองอย่าง

หมอรุจิ, หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการจัดงาน บังเอิญต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯด่วน ได้เตรียมการ ต่างๆไว้พร้อมแล้ว ภรรยาและบุตรสาว มาแทน บอกว่าโล่งอก เกรงว่า คนจะน้อย เพราะเคย นิมนต์ พระที่มีชื่อมาเทศน์ ขนาดขอร้อง แกมบังคับให้มาฟัง คนยังโหรงเหรง หมอรุจิ เกรงประวัติศาสตร์ จะซ้ำรอย จึงติดป้ายโฆษณา แผ่นโตๆ ตามแยกต่างๆ

หลายคนสนใจหนังสือที่ติดไปเผยแพร่ ยืนมุงกันแน่น ซื้อคนละเล่มสองเล่ม บางเล่มหนาขนาด ต้องอ่าน กันเป็นเดือนๆ ก็ซื้อ ได้ความว่า ชาวเมืองชลฯ มีนิสัย รักการอ่าน ผิดกับที่อื่นๆ ที่เคยพบมา

ต้องรีบให้โฆษกทำความเข้าใจว่า ไม่ได้มาพูดเพื่อขายหนังสือ บางเล่ม ใครเขียนไปขอที่มูลนิธิ เราแจกให้ เปล่าๆ ค่าส่ง ก็ออกให้ด้วย แต่ชาวเมืองชลฯ ก็สมัครใจ ที่จะซื้อมากกว่า

การเตรียมฉายสไลด์เป็นไปอย่างฉุกละหุก เอาเชือกผูกปลายผ้าขาว จะขึงตรงนั้น ตรงนี้ ย้ายไปย้ายมา จนแล้วจนรอด ก็ไม่ได้ขึง ถ้าเอาจอที่มีขาหยั่งไป ก็คงเรียบร้อย ประกอบกับ ใกล้เวลาพูดเต็มที จึงงด ฉายสไลด์ หรือจะเป็นเพราะ เห็นว่า คนล้นวิกแล้วก็ได้

ได้ยินเสียงโฆษณาดังเจื้อยแจ้ว"ท่านพี่น้องชาวชลบุรีคะ กระบี่มื้อเดียวมาแล้วค่ะ ท่านที่ยังไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัสกระบี่มื้อเดียว ตัวจริง เชิญออกจากบ้านได้แล้วค่ะ"

เชิญชวนอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง อยากรู้นักว่าใคร ค่อยๆแหวกผู้คน ขึ้นไปบนศาลา เพื่อดูหน้า นึกว่าใคร ก็สมาชิกละครเล่ ที่ไปด้วยนั่นเอง ไปยังไง มายังไง ถึงไปเป็นโฆษกก็ไม่รู้

นกหนอนก คำโฆษณาอื่นไม่มีแล้วหรือ ได้แต่ชวนให้ใครต่อใครมาดู "กระบี่มื้อเดียว"

เมื่อตอนที่อยู่โรงเรียนวัดสำเหร่ ตอนนั้นกำลังคลั่งโขนสดกันมาก ไม่ว่าจะมีงานอะไรที่วัด เป็นต้องหา โขนสดไปเล่น ติดกันงอมแงม เสียจนลูกสาว คนหนึ่งของป้า แต่งงานกับหนุมาน

ระหว่างที่ครูยังไม่เข้าห้องเรียน เพื่อนสองสามคน โดดลงไปคลานใต้โต๊ะ ส่งเสียงร้อง ด้วยความชำนาญ

"หนุมานชาญสมร หนุมานชาญสมร กระบี่วานรพักผ่อนกายา, อ้ออ๋องเอย เจี๊ยก"

พอร้อง "เจี๊ยก" ต้องเอามือ มาเกาสีข้าง เต้นขยุกขยิกให้เหมือน, เราเองหน้ายังไม่หนาพอ ก็ได้แต่ตบมือ ให้จังหวะ เพราะติดโขนสด มากเหมือนกัน ดูจนสว่างคาตา หลายครั้ง

"เชิญค่ะ เชิญค่ะ เป็นโอกาสอันดีนะคะ กระบี่มื้อเดียว ที่ขึ้นชื่อ ลือชามาแล้วค่ะ รีบมาสัมผัส กับกระบี่ มื้อเดียว ตัวจริง เสียนะคะ เดี๋ยวจะไม่มีที่นั่ง"

นกโฆษณา ด้วยความหวังดี อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่า กระบี่มื้อเดียว คืออะไร จะไปคัดค้านตอนนั้น ก็ใช่ที่ ไปรถคันเดียวกัน ว่าอะไรว่าตามกัน

เมื่อไม่นานมานี้ คนไทยติดหนัง กำลังภายใน จะเอ่ยถึงอะไร ก็เรียกเป็นกระบี่ไปหมด กระบี่นั่น กระบี่นี่ ที่รู้จักกันทั่วไป แม้แต่คน ที่ชื่อนก ซึ่งอยู่ต่างจังหวัด ตะลอนๆ ไปผจญภัย ตามชายแดน ก็รู้จัก คือ กระบี่มื้อเดียว

ตอนพูดไฟดับ ดับถึงสองครั้ง ครั้งละนานๆ คนฟังไม่ถอย นั่งพับเพียบบ้าง นั่งเก้าอี้บ้าง ยืนบ้าง คนพูดก็ต้อง ไม่ถอยด้วย ไฟดับ เครื่องขยายใช้ไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร อาศัยตอนที่เป็น นักเรียนนายร้อย เคยพูดกับนักเรียน ทั้งโรงเรียนบ่อยๆ จึงพูดแข่งกับเสียงรถ ได้อย่างสบาย

พูดจบก็ดึกแล้ว หลายคนสมัครใจ จะดูสไลด์ต่ออีก ทั้งๆที่เลยเวลานานแล้ว ฉายสไลด์เสร็จ กลับถึงบ้าน เมื่อขึ้นวันใหม่

เป็นความมหัศจรรย์ที่จะต้องจดจำไปนานเท่านาน

"ประชาชนทั้งหลาย ย่อมพึงพอใจ ในความเกษมสำราญ ย่อมพึงพอใจ ที่จะนอน ครั้นเมื่อลูกศิษย์ตถาคต พูดถึงเรื่อง ที่ตรงกันข้าม ในยามที่ควร จะหลับนอน ในขณะไฟดับ ท่ามกลางเสียงอึกทึก ครึกโครม ประชาชนทั้งหลาย ก็ตั้งใจฟัง ประชาชนทั้งหลาย ก็เงี่ยหูฟัง เป็นสิ่งมหัศจรรย์ ไม่เคยมี"

สิงหาคม ๒๕๒๖
(ทางสามแพร่ง เล่ม ๒ หน้า ๑๓๙ - ๑๔๔)


 

คนเราจิตใจไม่เหมือนกัน บางคนอายุมากขึ้น ก็ลดความสำคัญของตนลง
เพิ่มการสร้างกิจกรรม ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
แต่บางคนยิ่งแก่ ยิ่งเห็นแก่ตัว
ติดบ่วง โลภะ โทสะ โมหะ เหนียวแน่น

บ้านเมือง ๑๐ ก.พ.๒๖

(ทางสามแพร่งเล่ม ๒ หน้า ๑๔๕)


ชีวิตนี้เป็นของผม

ผมขอยืนยันว่า จะซื่อสัตย์และเสียสละ
ตลอดชีวิต ซึ่งได้ปฏิบัติตนเช่นนี้มานานแล้ว มิใช่
เพิ่งจะมาทำตอนเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครนี้เท่านั้น
แม้จะมีอะไรมาข่มขู่ กดดัน บีบคั้น ก็ไม่มี
วันที่ผมจะยอมสยบ โอนอ่อนผ่อนตามให้กับ
ความไม่ถูกต้อง ถ้ายอมก็เท่ากับผมทรยศต่อ
ตัวเองและสังคมประเทศชาติ
ชีวิตนี้เป็นของผม ผมจะเป็นคนซื่อสัตย์
เสียสละตลอดไป โดยไม่หวั่นไหวว่าอะไรจะ
เกิดขึ้นกับผม เป็นไรเป็นกัน
เพราะผมคือผม จำลอง ศรีเมือง

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
๕ สิงหาคม ๒๕๓๒

(ทางสามแพร่ง เล่ม ๒ ปกหลัง)


พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๖ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ครั้งที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๙ จำนวน ๑๐,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ครั้งที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๓ จำนวน ๕.๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่ห้องภาพสุวรรณ ๑-๓ ถ.วิสุทธิ์กษัตริย์ บางขุนพรหม กทม.๑๐๒๐๐ โทร.๐๒-๒๘๒-๕๖๕๓

ทาง ๓ แพร่ง เล่ม ๒ ตอน ๒๑  นกหนอนก -จบ-