เม็ดทราย ๕

ชนะตนประเสริฐแท้ เป็นดี
ชนะอื่นทั้งธรณี ไป่สู้
ฝึกจิตและกายี เว้นโลภ โกรธนา
ดีกว่าชนะผู้ อื่นด้วยกำลัง
คำว่า "ตน" นี้ไซร้ คือจิตใจและกายี
ชนะใจตนเองนี้ ประเสริฐกว่าชนะใคร
เพราะย่อมรู้ผิดชอบ ไม่ประกอบสิ่งเหลวไหล
รู้จักให้อภัย ไม่โลโภหรือโกรธา
การชนะบุคคลอื่น ไม่ยั่งยืนอาจอัปรา
ชนะด้วยวาจา หรืออาวุธยุทธภัณฑ์
แรกเอาชนะเขา ภายหลังเราอาจแพ้พลัน
ชนะตนของตนนั้น สิ่งดีแท้ย่อมแน่นอน

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ


อ้าดูอโศกนี้
ศรีไสววิไลตา
อยู่หว่างกลางพนา
เป็นสง่าแห่งแนวไพร ฯ
ชุ่มชื่นรื่นอารมณ์
ลมเพยพัดระบัดใบ
ดูสุขสนุกใจ
เหมือนแลดูจอมภูผา ฯ
อโศกดูแสนสุข
ช่วยดับทุกข์ด้วยสักครา
โศกเศร้าเผาอุรา
อ้าอโศกโรคข้าร้ายฯ

จาก "พระนลคำหลวง"
พระราชนิพนธ์ ในพระบาทสมเด็จ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว

สารอโศก ปีที่2 ฉบับที่ 8 มีนาคม 2522


 

ความตายที่สนธยา
ดวงตะวันใกล้ลับไปจากฟ้า
อากาศเริ่มชืดและเย็นชา
สะกดหัวใจที่ยังดีดดิ้น ให้อ้างว้างอย่างขมขื่น
ความมืดเริ่มโอบแขนอย่างยินดี
นกบินกลับรวงรังอย่างผาสุก
ความบอดแห่งปุถุชนผู้หลงกามรส
เต้นเร่าออกจากรังที่ซุกซ่อน
มันเริ่มแสยะยิ้มและคลานหาเหยื่อ อย่างวุ่นวาย

อโศกสลัดใบไปเมื่อไม่กี่วัน
แต่ในวันนี้
ใบอ่อนเริ่มแทงออกมาอย่างทระนง
แตกออกเป็นใบที่เขียวขจีอย่างเชื่อมั่น
ท่ามกลางดอกใบใหญ่น้อย ที่ชะเง้อดูอย่างปีติ
กลางหมู่นักรบเดนตาย
ที่ตัดหัวถวายต่อจอมทัพ
นามโคตมะธรรมิกราช
ผู้หาญกล้าทวนกระแสแห่งวัฏฏะ อันบ้าคลั่ง
ยืนหยัดการสร้างนามธรรม ในแต่ละบุคคล
เป็นสิ่งที่จะต้องมาก่อน...

มืดลงแล้ว มืดลงแล้ว
แต่ ณ ที่นั้นมีแต่หัวใจ ที่สว่างโพลง
นักรบหัวแถวเปล่งกล่าวนำต้อนรับ
สะท้อนกลับมาด้วยเสียงกระหึ่ม สาธุการ
โพธิรักขิโต คือผู้ฝึกกระบวนยุทธ
สุทธิญาโณ จะเป็นพี่เลี้ยงแก่เธอ
ธงธรรมจักรจะปลิวไสวอย่างรุนแรง
เสียงกงล้อบดขยี้เหล่ามาร
ดังสะท้านไปทั่วขุนเขาคอนกรีต
พลังเย็นกำลังเพิ่มมวลขืนต่อต้าน อย่างสุขุม

นับแต่นี้ไป
หมดเวลาเสพย์สุขหรือเอาใจตน
เธอจะต้องทำงาน ทำงาน ทำงาน
ทำตลอดวันตลอดคืน
ทำตลอดตื่นตลอดหลับ
เร่งสร้างดวงประทีปในตนให้แรงขึ้น
โลกกำลังมืดใกล้กลียุค
จงจุดไปส่องทางที่มืดมน
อย่าให้พวกเขาได้รู้จักกับความมืด อีกต่อไป
ฆ่าความมืดให้สิ้นเกลี้ยง
ในหัวใจทุกทุกดวง
นี่คืองานของเธอ
..."สุขฌาโน"

- วิญญาโณ -
12 ม.ค. 2522


บริษัทใดในโลกนี้
พวกภิกษุต่างบาดหมางกัน
ทะเลาะกัน วิวาทกัน
ทิ่มแทงกันและกัน ด้วยหอกคือปากอยู่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บริษัทที่เป็นพวกเป็นหมู่กัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทที่พร้อมเพรียงกันเป็นไฉน
บริษัทใดในโลกนี้
พวกภิกษุต่างสามัคคีกัน
ชื่นชมยินดี ไม่วิวาทกัน
เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ
ต่างมองดูกันและกันด้วยนัยน์ตา อันเปี่ยมด้วยความการุณย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า บริษัทพร้อมเพรียงกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด พวกภิกษุต่างสามัคคีกัน
ชื่นชมยินดีกัน ไม่วิวาทกัน เป็นเหมือนน้ำนมกับน้ำ
ต่างมองดูกันและกันด้วยนัยน์ตา เปี่ยมด้วยความการุณย์
สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลาย ต่างประสบบุญเป็นอันมาก
ในสมัยเช่นนั้น ภิกษุทั้งหลาย ต่างก็อยู่เหมือนพรหม
คือ อยู่ด้วยมุทิตาเจโตวิมุติ ฯ

พระพุทธพจน์


 

นั่งอยู่ใต้กอไผ่
พึ่งพาเงาอันร่มเย็น
ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกป้อง
ให้พ้นจากเปลวแดดอันร้อนระอุ
ฟังเสียงดนตรีที่บรรเลง
และสัจจะที่แสดง
ยามเมื่อสายลมโชยพัด
ผัสสะอันแสบเผ็ดที่กระทบต้อง
เสียงดังซู่ซู่
แต่ต้นไผ่โบกกิ่งใบแผ่วพริ้ว
อย่างนอบน้อมอ่อนช้อยใต้สายลม
ส่วนลำต้นนั้นแข็งแกร่งตั้งมั่น
ยืนหยัดสง่าใต้ฟ้าดิน
แต่โอ ! น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
ที่แก่นของต้นไผ่นั้นกลวงเปล่า

- 21 ส. -


 

ธรรมะใบไม้กำมือเดียวเท่านั้น เป็นเบื้องต้น เป็นเป้าตรง
เป็นจุดหมายแรกแท้ๆ เป็น "พุทธวิชชา" แท้
เป็นเรื่องที่จะทำให้ตนเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานสดใส
เป็นผู้หมดกิเลสตัณหา พ้นมลทินเกลี้ยง
เรียกว่า "บริสุทธิคุณ"
เป็นผู้มีปัญญาเข้าใจถ้วนทั่ว ในความดี-ความชั่ว อันแท้จริง
ที่จะก่อให้เกิด และรู้ทางดับ ทั้งดับทุกข์นั้นนั้นได้ด้วย
เรียกว่า"ปัญญาธิคุณ"
เมื่อผู้ใดมี"คุณ" ทั้งสองอย่างนี้ ก็นำออกสอน
นำออกบอกกล่าวช่วยเหลือผู้อื่น ต่อๆ ไปกัน
ก็เป็น "กรุณาธิคุณ"
ส่วนจะเรียนรู้ "อภิญญา" อื่น และ "ปฏิสัมภิทาญาณ" อื่นๆ
ต่อไปอีกนั้น ค่อยเรียนต่อในเบื้องต่อไป

- พระโพธิรักษ์ -


สารอโศก ปีที่ 2 ฉบับที่ 6 มกราคม 2522

จากปลุกเสกฯ ถึงพุทธาภิเษกฯ
มาฆฤกษ์ครั้งกระโน้น
ศิษย์ตถาคตต่างเดินทางมารับคำสอน โดยมิได้นัดหมาย
จากพระพุทธองค์ กลางป่าไผ่ "เวฬุวนาราม"
มาฆฤกษ์ครั้งนี้
กลางป่าช้า "ศีรษะอโศก"
เหล่าพุทธบุตร ผู้กล้าตัดหัวถวายเป็นพุทธบูชา
ส่องนำทางแด่ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย
ตามคำสัญญาที่ให้ไว้ต่อพระพุทธองค์
แสงจันทร์สาดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
พิธีปลุกเสกตลอด ๗ วัน ๗ คืน ใกล้อุบัติขึ้น
ศิษย์ตถาคตเจ้าระดมหนุนมา อย่างไม่ขาดสาย
เตรียมประจุมนตราอันมหัศจรรย์
ที่จะขัดล้างโลกียชนให้เป็นอริยชน...
กลองรบได้ถูกตีกระหน่ำขึ้นแล้ว
สงครามระหว่างผีกับพระ
เปิดฉากปะทะอย่างเงียบสงบ
ทั่วสนามรบ เต็มไปด้วยคาวเลือดแห่งอวิชชา
พิธีการปลุกเสก"พระ"แท้ๆ
อันไม่มีที่ใดหาญกล้ากระทำ
และยากจะหาได้ในแดนดิน
เริ่มแสดงพลังอย่างแข็งแกร่ง
แต่อ่อนโยนอย่างสุดแสน
ธรรมลีลาอันเรียบง่าย
เปล่งประกายอย่างเจิดจ้า
กลิ่นหอมแห่งธรรมบท
ลอยตลบอบอวลไปทั่วธรรมสถาน
ทั่วเขตอาราม ระยิบระยับด้วยแสง จากหิ่งห้อยสัจธรรม
อุบาสกอุบาสิกาทั้งหนุ่มทั้งสาว
ประคองหัวใจขึ้นรับ การปลุกเสกอย่างคารโว
พุทธะอยู่ที่ใดกันหนอ
หากมิใช่ในหัวใจที่เต็มไปด้วย เลือดเนื้อและวิญญาณ
อาจหาญเอย อาจหาญนัก
เหล่าพุทธบุตรเพียงหยิบมือ
กล้าชูคบเพลิงแห่งการปลุกเสก
สาดส่องโชติช่วง ท่ามกลางม่านมืด แห่งความงมงาย
มิไยเขาจะอัดประจุในอิฐ หิน ดิน ปูน
มิไยเขาจะยัดเป่าในเศษโลหะ
แต่นี่ท่านทั้งหลาย กลับกล้าย้อนทวนกระแส
กล้าทำลายกำแพงแห่งการมอมเมา
ชูเพลิงธรรมขึ้นผงาดฟ้า
ประกาศการปลุกเสกที่แท้
ที่จะประจุได้สิ่งเดียวในแดนดิน คือ คน !
คน คน คน คน คน คน ค น คน
คนธรรมดาธรรมดานี่แหละ
ไม่ว่ากินหรือนอน
ไม่ว่าหลับหรือตื่น
ไม่ว่าเดินหรือนั่ง
อนุภาคแห่งพุทธะ
ถูกประจุอัดเข้าจิตวิญญาณ
ให้หลุดร่อนเป็นอุภโตภาควิมุติ
อัศจรรย์เอย อัศจรรย์หนอ
เผ่าพันธุ์แห่งอารยะ...ผมดำ ผมขาว
กล้ากบฏต่ออบาย กามคุณ โลกธรรม
และโลกแห่งปรมาตมันเป็นที่สุด
ต่างสอดประสานมือแก่กันและกัน

ร่วมสร้างบทเพลงแห่งธรรมลีลา
ให้เอ่อไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง
คนละไม้คนละมือเกื้อหนุน
ประกาศอานุภาพแห่ง อปริหานิยธรรม !
แสดงธรรมฤทธิ์แห่งสุขา สังฆัสสะ สามัคคี !
ความพร้อมเพรียงของหมู่กลุ่ม ย่อมมีแต่ความเจริญ โดยส่วนเดียว
ธรรมลีลาได้หยุดลงแล้ว
ละอองธรรม ลอยคละคลุ้งกระจาย ไปทั่วแดนดิน
เกาะอยู่บนใบไม้ กิ่งหญ้า ยอดลม ผิวแดด
มันยังคงรอคอยผู้หาญฝ่าเปลวโลกีย์
ต้นมะรื่น ต้นติ้ว ต้นเปลือย ต้นตะคร้อ มะค่าโมง ฯลฯ
ยังคงยืนโอบกอดกันอย่างไมตรี
แผ่ร่มเงาปกป้องอโศกสถานให้ร่มรื่น...
อีกแล้ว
เสียงกลองรบถูกตีกระหน่ำขึ้น ดังสะท้าน
ราวกับขานรับเจตนารมณ์ของ เหล่าศิษย์ศากยะ
สงครามทวนกระแส กำลังจะก่อเกิดขึ้นอีกแล้ว
โอ! พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์
ณ อโศกสถาน แห่งแว่นแคว้นไพศาลี
...อีกไม่นานเกินรอ

ดง กลางนคร


 

ห้ามอวดโอ่ โฆษกะ คุณพระเครื่อง
ของขลังเฟื่อง เรืองฤทธิ์ ผิดคำสอน
พุทธพจน์ หดสั้น จนสั่นคลอน
ถูกนิวรณ์ กร่อนกัด สิ้นศรัทธา
อริยะ สัจจะ อนุศาสน์
ทรงประกาศ เด่นชัด องค์สัตถา
แต่มนุษย์ ยุคเขลา เบาปัญญา
กลับศรัทธา อิฐ, หิน, ปูน, ดิน, ทราย
เชิงชาย เพชรากร
สักวาน่าขำเหมือนจำอวด
ด้วยนักบวชบอกใบ้ทำนายฝัน
เอาเครื่องรางอย่างไหนก็ได้กัน
เพราะเรื่องมันมืดมิดอวิชชา
หากวัดใดไม่มีของดีแจก
จะหาแขกขึ้นสำนักยากจักหา
คนเดี๋ยวนี้งี่เง่าเหมือนเต่าปลา
ไม่สีสาสัจธรรมน่าขำเอย
น้องใหม่-เมืองเก่า

สักวาน่ารู้ใช่ตู่สวด
มีนักบวชบอกใบ้ชอบให้หวย
ผิดทางธรรมคร่ำเคร่งทางเฮงซวย
คนอยากรวยอัฐฬสต้องหมดตัว
อยากมั่งมีศรีสุขพึงบุกบั่น
แม้งานนั้นหนักกายอย่าส่ายหัว
ได้สลึงพึงกอบเข้าครอบครัว
เว้นเกลือกกลั้วกับอบาย ทั้งหลายเอย

นิรนาม



คุ ณ ค่ า ที่ แ ท้
คนเราทุกคนย่อมต้องการ คุณค่าของชีวิต
ทุกคนต่างดิ้นรนใฝ่หา ความสูงใส่ตน
หาอย่างรู้บ้างว่านั่นคือ ความสูง
หาอย่างไม่รู้ว่านั่นคือ ความต่ำแต่นึกว่าสูง
ทุกคนต่างใฝ่หาจุดดีให้แก่ตน
ความมีคุณค่าถ้าผิวเผิน แต่เห็นชัด
คือการได้รับการยอมรับยกย่อง จากผู้อื่น
แต่เมื่อผู้อื่นไม่เห็นค่าของตน
ตนก็ดูเหมือนไร้ค่า
เพราะยึดว่าความมีค่าของตน ขึ้นอยู่กับผู้อื่น
และผู้อื่นที่ให้คุณค่าแก่ตน คือใครกันเล่า ?
คือผู้ยังหนาด้วยกิเลส ที่ยังไม่รู้ความสูงที่แท้
จิตย่อมหวั่นไหว ถ้าติดการยกย่องของผู้อื่น ที่หนาด้วยกิเลส
แต่ตามหลักสัจธรรม คือความจริงนั้น
ความมีค่าที่เราได้ทำ คือความมีค่าที่ทรงอยู่ในตน
แม้จะไม่มีผู้อื่นยกย่องว่ามีค่า
แต่จิตเรารู้เถิดว่า ได้มาถึงจุดของจิต ที่ทำให้ตนได้พ้นชั่ว
จงรู้การกระทำของตน ให้เป็นตามที่ทำให้ได้
ว่าสิ่งที่ทำคือความดีแน่หรือ
ความมีค่าทางสัจธรรม ย่อมมีอยู่ในตัวของมัน
จะสำคัญอะไรกับผู้มีกิเลสหนา จะยกย่องนับพันนับหมื่น
ก็ไม่เท่าพระอริยะยกย่อง เพียงผู้เดียว
ความมีค่าหรือไม่ อยู่ที่การกระทำของเรา
ให้ถูกตรงตามสัจจะของพุทธ
เมื่อเกิดหวั่นไหว
ก็จะหาเหตุผลที่จะทำให้พบ จุดของความจริงให้ได้
เราจึงจะเป็นผู้เรียนรู้ความจริง ตามความเป็นจริงได้เรื่อยๆ
จิตเรา
ความเสียสละที่แท้จริง จะต้องให้ความปีติแก่ผู้เสียสละ
เพราะการเสียสละเป็นการกระทำ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัว
ผู้ที่เสียสละโดยหวัง ที่จะให้คนอื่นเห็นใจ ในการเสียสละของตน
เป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด
การเสียสละ ที่สร้างความหม่นหมอง ให้แก่ผู้เสียสละ
ย่อมทำลายความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งอยู่ได้ในการเสียสละนั้น
และจะไม่สามารถยืนยง คงทนอยู่ได้
ในเมื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรค
เราจะละทิ้งสิ่งใดก็ต่อเมื่อ เราเห็นแล้วว่า
สิ่งนั้นเป็นพิษเป็นภัย เราจึงจะทิ้ง
และเมื่อละทิ้งแล้ว เราก็ควรจะเกิดความปีติ
ส่วนสิ่งที่เราได้มา เป็นการทดแทน สิ่งที่เราได้ละทิ้งไปแล้ว
จะดีหรือไม่ดี จะมีประสิทธิภาพ หรือไม่มีนั้น เป็นอีกประเด็นหนึ่ง
และไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด
เราไม่ควรจะหันหลังกลับไปหา สิ่งที่เราได้ละทิ้งมาแล้ว
โดยที่เราเห็นว่าเป็นพิษเป็นภัย นั้นอีก เป็นอันขาด

- มหาตมา คานธี -




คำว่าเพื่อนเพื่อนนี้มีสองอย่าง
ขอกล่าวอ้างตามที่เห็นมีอยู่
หนึ่งเพื่อนดียอดเยี่ยมไร้เหลี่ยมคู
สองเพื่อนผู้เสเพลมากเล่ห์กล

เพื่อนที่ดีชี้แจงเหตุแห่งชั่ว
ตักเตือนตัวเรานี้ให้หนีพ้น
แต่เพื่อนชั่วลามกทำวกวน
นำชั่วฉลสู่เราทุกเช้าเย็น
วิท วรกุล



หนักกว่านี้ก็ยินดี
โอธรรมะ!
โอสัจจะ !
ต่อให้ลำบากยากกว่านี้หลายแสนเท่า
ฉันก็จะไม่ทิ้งเธอ
แม้จะไร้ญาติ จะขาดเพื่อนฝูงเฮฮา
ฉันก็จะไม่ยอมหนีเธอ

โอธรรมะ!
เธอผู้ประดุจขอนไม้ใหญ่ กลางทะเลอันบ้าคลั่ง
ถ้าหากฉันจะตายอย่างหมา กลางถนน
จะไม่มีใครมาสนใจดูแล
ฉันก็จะไม่ยอมห่างเธอ

โอธรรมะ!
เธอผู้นำร่องชีวิตของฉัน
ถ้าฉันจะถือพรหมจรรย์ ไม่แต่งงาน
แม้ยามแก่เฒ่า จะไม่มีใครดูแลฉัน
จะไม่มีลูกมาอยู่ใกล้
ฉันก็จะไม่คร่ำครวญ

โอธรรมะ!
เธอผู้ประดุจเทพแห่งสัจจะ
แม้ฉันจะเป็นคนแปลกประหลาด ไปจากชาวโลก
แม้จะเชยแสนเชย ในสายตาของพวกเขา
ฉันก็ยังรักเธอ

โอธรรมะ!
เธอประดุจแสงตะวันส่องโลก
แม้ฉันจะจนแสนจนเสียยิ่งกว่า กระยาจก
ไม่มีทรัพย์สมบัติบริวาร
ไม่มีเกียรติยศโอ่อ่าใหญ่โต
ฉันก็ยังชื่นชมต่อเธอ

โอธรรมะ!
เธอผู้ประดุจเข็มทิศแห่งวิญญาณ
แม้ฉันจะหากินไม่คล่องแคล่ว เหมือนก่อน
จะแย่งลาภจากคนอื่น ก็ไม่ชำนาญ
จะยอมแพ้เสียก่อนที่จะมีการแย่ง
ฉันก็ยังปีติในเธอ

โอธรรมะ!
เธอผู้หนักแน่นดั่งขุนเขา
แม้จะทำให้เสียเปรียบเขาตลอดกาล
ได้น้อยกว่าเขา
อยู่ลำบากยากกว่าเขา
กินน้อยกว่าเขา
สุขน้อยกว่าเขา
ฉันก็ยังภูมิใจที่คบกับเธอ

โอธรรมะ!
เธอผู้เบาดุจขนนก
ต่อให้ทนทุกข์ทรมานมากกว่านี้ ฉันก็จะไม่ปริปาก
เพราะเธอแท้ๆ ที่ทำให้ฉันเห็นทางชีวิต
ทำให้เบาภาระและพ้นทุกข์มากขึ้น

โอธรรมะ
เธอผู้ละเอียดอ่อนยิ่งกว่าสายลม
แม้จะตายลงเดี๋ยวนี้
ฉันก็ยังศรัทธาเธอ
เธอ...ผู้กำลังละลายตัวฉัน
ให้หมดอดีตและอนาคต
เธอ...ผู้กำลังพาฉันสู่มิติใหม่
กลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับมิติแห่งเรา
โอธรรมะ ! โอธรรมะ !

ศรัทธินทรีย์
2 ต.ค. 2521


 

ดูเป็นสิ่งแปลกประหลาดทีเดียว
ที่ธรรมชาติปรากฎเป็นสองสภาพ ในขณะเดียวกัน
และในสภาพตรงกันข้ามด้วย
สภาพหนึ่งเป็นสภาพของข้าทาส
อีกสภาพเป็นสภาพอิสระ
ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เดียวกัน
เราได้พบทั้งความจำเป็น และความชื่นชม
ภายนอก ธรรมชาติเต็มไปด้วยธุระการงาน ไม่มีหยุด
แต่ภายในมีแต่ความสงัด และศานติ
ด้านหนึ่งเป็นการงาน แต่อีกด้านหนึ่งเป็นการพักสงบ
ท่านเห็นพัฒนาการของมัน
ก็ในเมื่อท่านมองจากภายนอก
แต่ภายในดวงใจของมันแล้ว
มันเปี่ยมด้วยความงาม อันไม่รู้ขอบเขต

รพินทรนาถ ฐากูร


 

พักสงบในการงาน
เราร่วมสร้าง ร่วมก่อการ งานเป็นผล
สายสัมพันธ์ งานกับคน เลิศล้นค่า
ผู้ที่รู้ จึงพากัน ตั้งใจมา
กอปรสัมมา อาชีวะ ณ แหล่งนี้
เมื่อเราเดิน งานทุกอย่าง พร้อมจะก้าว
ส่วนใจเรา สงบนิ่ง อหิงสา
เมื่อใจนิ่ง มองดูงาน ใช่อัตตา
แต่รู้ค่า ชีวิตนี้ อยู่ที่งาน
อีกสัมมา กัมมันตะ คำพระว่า
ใช่เฉื่อยชา แชเชือน ให้เลือนหลง
สร้างชีวี ให้มีค่า กว่าปลดปลง
อย่าลงโลง ไปเปล่าเปล่า ไม่เข้ายา
ทั้งงานนอก และงานใน ให้เพียรรู้
ติดตามดู อยู่กับจิต อย่าคิดแหนง
จับจิตได้ ทุกข์ก็คลาย หายคลางแคลง
ประจักษ์แจ้ง แสงธรรมา พ้นอาลัย
ให้รู้จริง ทุกสิ่งไซร้ ใช่แน่ทุกข์
ไม่เสพสุข อันมายา พาลุ่มหลง
ทุกข์เท่านั้น เกิดดับไป วางใจปลง
สัจดำรง อริยธรรม น้อมนำใจ
อยู่กับทุกข์ แต่ใจเรา ว่างเปล่าทุกข์
ยิ่งกว่าสุข เมื่อทุกข์หาย จากใจได้
เหลือแต่งาน สืบสานธรรม สำราญใจ
จิตผ่องใส ได้พบพุทธ วิมุติเอย.

ป.ป.
๒๐ ก.พ. ๒๕๒๒




โศกและภัยเกิดพร้อม เพราะรัก
พ้นรักโศกภัยจัก เสื่อมสิ้น
ผิจิตต์ไม่สมัคร รักสิ่ง ใดแม่
ภัยโศกความเดือดดิ้น เสื่อมสิ้นสูญหาย
พลัดพรากจากรักให้ เป็นทุกข์
เห็นสิ่งที่ไม่รักฉุก จิตเศร้า
สองอย่างอย่าคบสุข เกษมเลิศ แกเฮย
ตัดห่วงทั้งสองเข้า สู่แคว้นแดนเกษม
นิรนาม



นักบุญชาวอิตาเลียนผู้หนึ่ง ได้คำนวณว่า
ในชีวิตของมนุษย์เรา ถ้าคงอยู่ไปจนอายุ ๖๐ ปี
จะต้องกิน วัว ควาย ถึง ๓,๐๐๐ ตัว
เป็ด ไก่ ๒๐,๐๐๐ ตัว กุ้ง, ปลา ๒๐๐,๐๐๐ ตัว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามีชีวิตอยู่คนเดียว
จะต้องทำลายล้างผลาญ ชีวิตสัตว์ต่างๆมากมาย

ดังนี้ จึงจะเห็นได้ว่า ปากและท้องของมนุษย์
เป็นป่าช้าฝังซากศพสัตว์ อันกว้างใหญ่ไพศาล
ก็เพราะมีลิ้นเป็นนายสัปเหร่อ
ที่สับปลับและโสโครกโสมม ที่สุดในโลก

น.พ.โกศล กันตะบุตร


ชีวิตที่เกิดมามีเป้าหมาย
คือการทำตนให้สูงสุด
จงทำตนให้สูงสุด
สูงสุดจนเสื่อมไม่ได้อีกแล้ว
โดยการกระทำสังขารโลกให้เสื่อม
จิตที่บริสุทธิ์จากสังขารโลก คือความไม่เสื่อม
ขันธ์ ๕ จักย่อมบริสุทธิ์
มันเป็นความมีของชีวิต
ก็เพราะเรามีความมี
เราจึงต้องทำความมีให้บริสุทธิ์
และเราจะต้องรู้ความมี
ในความมีอย่างบริสุทธื์ด้วย
ในวาระแห่งวันมาฆบูชานี้
จึงควรขันเชนาะกาย-วาจา-ใจ
ให้ดียิ่งๆขึ้นไป
แม้กระทั่งเวลาหลับ
พยายามเสริมมัน โดยเราต้องทำเอง
ไม่มีใครทำแทนกันได้
และเราจะต้องตั้งตนไว้ชอบ ให้อยู่เสมอ
มิใช่เฉพาะวันมาฆบูชานี้เท่านั้น

ลูกพ่อ
๑๑ ก.พ. ๒๕๒๒


"พุทธศาสนา"เก่าก่อนโน้น
มี"สภาวะ"ที่บริสุทธิ์ ถูกต้อง ตรงแท้
มีคุณภาพอย่างสดใส ผุดผ่อง
มีฤทธิ์ช่วยคนพ้นทุกข์ ด้วยเนื้อหาสาระตรงเป้า
เป็นไปใน"อริยสัจ" อย่างถูกตรง
แต่เดี๋ยวนี้ มันถูกนักปั้น นักเสก นักสร้าง
เพิ่มพอก ตกแต่ง ดัดแปลง
ปรับปรุงแก้ไขขึ้นเรื่อยๆ
จน"พุทธศาสนา" ตกอยู่ในสภาวะ
ดังจะเห็นรูปร่างได้ในปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ก็เป็น"รูป" อีกรูปหนึ่ง
ที่ไม่ใช่เครื่องจูง เครื่องนำ
อันที่จะช่วยคนให้รู้แจ้งแทง "อริยสัจ"ได้เลย
นี้คือ"สถานภาพ" หรือ "ความเป็นความมีอยู่แท้ๆ"
ในพิภพโลกขณะนี้
ที่จะต้องยอมรับ ตามความเป็นจริงนี้
คนมี"ปัญญา"แท้จริง
ย่อมไม่เลี่ยงหนี "ความแท้จริง"!

สมณะโพธิรักษ์



อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกับพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้
พระพุทธพจน์



การ "ดิ้น" หาเงิน ของพระ
ไม่ใช่ทางรอดของศาสนาพุทธเลย
พระ "หยุด" หาเงิน ให้ได้
"หยุด" ใช้เงินให้ได้ ต่างหาก
คือ ทางรอดของศาสนาพุทธ

การ "ดิ้น" หาเงิน ของพระ
คือ ความล่มจมของพุทธศาสนา
พระ "หยุด" หาเงิน ให้ได้
"หยุด" ใช้เงินให้ได้ต่างหาก
คือ การจรรโลงพุทธศาสนา

อโศก


 

ควรรู้ชัด รู้ตนว่า
ถึงอย่างไรก็อย่าทำตนให้หม่นหมอง หรือโทมนัส
มันเป็นความโง่ !
อย่าทับถมตน โดยเอาความไม่สบายใจ
เอาความโกรธ ความหม่นหมอง
หรือแม้ความท้อแท้ใจ ความหดหู่ใจ ความน้อยใจ
ความเสียใจ ความข้องใจ ความอึดอัดใจ ฯลฯ
เข้าไปซ้ำเติมตนเป็นอันขาด
จงทำใจให้เบิกบานสดใสเข้าไว้
นั่นคือ ผู้ฉลาด หรือผู้มีกำไรในโลกระดับแรกๆ

สมณะโพธิรักษ์

สารอโศก ปีที่ 2 ฉบับที่ 7 กุมภาพันธ์ 2522

พ ลั ง สั น ติ
คลื่นลมแห่งอธรรมโหมกระหน่ำ
จนปั่นป่วนไปทั่วท้องทะเล
ท้องฟ้าเริ่มมืดมิดอย่างน่าตื่นตระหนก
แต่แม้จะน่ากลัวเพียงใด
กลางทะเลแห่งอธรรม ย่อมสรรสร้างแก่นธรรมเสมอมา
เมื่อความเถื่อนแห่งจิตใจลุกขึ้นผงาดฟ้า
ดุจเสียงนาฬิกาปลุกเตือนสัจธรรมทั้งหลาย
ซึ่งนอนสลบไสลให้ตื่นขึ้นมา

ไม่มีเวลาที่จะผัดผ่อนแม้เพียงเศษเสี้ยว
ไม่มีเวลาเอ้อระเหยกระดิกขา
เสียงคำรามของเหล่าอธรรม ดังเสียดหูอย่างเริงร่า
มันกำลังกัดแทะเลือดเนื้อของความดี
อีกนิดเดียวเท่านั้น ความดีเอย
อีกนิดเดียวเท่านั้น เจ้าก็จะสูญหายไปจากโลก
พลันแสงสว่างระเบิดเปรี้ยงอย่างสงบ
เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
นักรบสัจธรรมเริ่มอุบัติ !
ทีละคน ทีละคน
คนแล้วคนเล่า
รวมกันเป็นกองทัพ
อา ! กองทัพแห่งสัจธรรม
ต่างยื่นมือเกาะเกี่ยว
สร้างกำแพงแห่งพลังเย็น
ไร้สภาพยาวจรดขอบฟ้า
นักรบคนแล้วคนเล่า
หนุนกระโดดอย่างมอบกายถวายชีวิต
ตัดหัวถวายเซ่นสรวงคุณธรรม
ต้านกระแสเหล่าอมนุษย์
ผู้อวดกกล้าอยู่อย่างไร้ศีล
เหยียดศีลราวกับกระยาจก
หยามศีลว่าเป็นของต่ำ
จะคิดอ่านเอาแต่ตัวเองให้อยู่รอด
ปฏิเสธกฎเกณฑ์คุณค่าแห่งชีวิตที่แท้
ไม่ยอมรีบความเป็นธรรมดาของมนุษย์
ที่จะต้องมีศีลเป็นมาตรฐาน
ไม่ยอมรับถึงแบบแผนการดำรงชีวิต
ที่จะต้องเป็นตัวอย่างให้แก่ผู้อื่น
อนิจจา ! มนุษย์กำพร้าศีล !

ถึงเวลาแล้ว
ที่ศาสนจักรทั้งหลาย
ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด
ที่จะต้องร่วมช่วยกัน
เข็นกงล้อแห่งธรรมจักร ได้ดังสะท้านปฐพี
หมุนกระหน่ำความโฉดทั้งหลาย ให้แตกพ่าย
ผลิตพลังแห่งสันติภาพ
ฉาบไล้วิญญาณทุกทุกดวง ให้สัมพันธ์สนิท
ให้มนุษย์ทั้งผองล้วนเป็นพี่น้อง
ให้โลกทั้งมวล เต็มเปี่ยมด้วยการุณยธรรม
ไม่มีเวลาที่จะมาอวดหยิ่งในศักดิ์ศรี
หมดเวลาที่จะมาวางมาด เป็นกิ้งก่าได้ทอง

เร่งเข้า สหายทั้งหลาย
ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์หรือศาสนาใด
เร่งสร้างมนุษย์สัจธรรมให้เกลื่อนตา
ให้แทรกซอนไปในที่ลับ ที่แจ้ง
ให้สถิตอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า
ให้มากขึ้น ให้มากขึ้น...
ให้มากขึ้น จนกลายเป็นกองทัพสัจธรรม
ที่จะชูธรรมศาสตร์ขึ้นเหนือเศียร
ประกาศความเป็นมนุษย์ที่แท้
ที่จะต้องเป็น "ศีลบุคคล!"

คลื่นสันติ
๒๘ มี.ค. ๒๕๒๒



เพื่อนข้างบ้าน ผลาญพร่า เขาเข่นฆ่า
เลือดน้ำตา เปื้อนแผ่นดิน ถิ่นอาศัย
สงครามเลือด เชือดเฉือน ร้อนเหมือนไฟ
บรรเลงไป เพลงโศก โลกระทม

ดอกสันติ ผลิช่อ ก็ร่วงหล่น
สัตว์ทุกข์ทน คนฝืน พืชขื่นขม
จะมีหรือ ดอกสันติ ผลิให้ชม
เหมือนหนามคม ต่ำลง ตรงดวงแด

อารดา



ศีลเหมือนกับเส้นบรรทัด ที่ใช้เขียนตัวอักษร
ศีลในหมู่มนุษย์ก็เหมือนกับ เส้นด้ายร้อยดอกไม้
สังคมจะวุ่นวายไม่เป็นสุข ถ้าขาดศีล
ดอกไม้จะดูระเกะระกะ ดูไม่เรียบร้อย ถ้าไม่มีด้ายร้อย
สังคมมนุษย์ที่มีแต่กิเลสครอบงำ
ก็เหมือนน้ำที่ขุ่นข้นด้วยโคลนตม
ศีลจะเป็นเหมือน"สารส้ม"
ที่จะไปทำให้น้ำนั้น ใสสะอาดน่าบริโภค
ถ้ารักษาศีล ฤ ไม่ได้
ความเป็นมนุษย์ก็ไม่มี
การป้องกันมิให้ล่วงละเมิดศีล
ก็ด้วยความระลึกในความเป็นมนุษย์
เพราะมนุษย์ต้องมีหิริ โอตตัปปะ
คือ ความเกรงกลัวและละอายต่อบาป
ซึ่งไม่มีในหมู่สัตว์เดรัจฉาน

ชยานนโท ภิกขุ


 

ชีวิตเหมือนเรือน้อยล่องลอยอยู่
ต้องต่อสู้แรงลมประสมคลื่น
ต้องทนทานหวานสู้อมขมสู้กลืน
ต้องจำฝืนสู้ภัยไปทุกวัน

เป็นการง่ายยิ้มได้ไม่ต้องฝืน
เมื่อชีพชื่นเหมือนบรรเลงเพลงสวรรค์
แต่คนที่ควรชมนิยมกัน
ต้องใจมั่นยิ้มได้เมื่อภัยมา

พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ



คำนี้ฟัง วนเวียน "เรียนศาสนา"
ไม่แน่ว่า เรียนอะไร ทำไมหนอ
เรียนนักธรรม เรียนบาลี ยังมีพอ
ก็เรียนต่อ กัมมัฏฐาน การปัสสนา

เรียนเรียนไป ก็ได้ แต่ว่าเรียน
บ้างก็เปลี่ยน เป็นอาพาธ บ้าศาสนา
มีหลายอย่าง บ้าระห่ำ เกินธรรมดา
กระทั่งบ้า ลาภยศ อดนิพพาน

เรียนศาสนา นั้นต้องมี ที่ตาหู
เมื่อใดเกิด ทุกข์อยู่ ทุกสถาน
เรียนให้รู้ ตรงที่จะ ชักสะพาน
อย่าให้เกิด อาการ มารรบกวน

เรียนตรงตรง ลงไป ที่ตัวทุกข์
ดูให้ถูก กรรมวิธี ที่กระสวน
สะกัดกั้น การปรุงแต่ง แห่งกระบวน
จิตปั่นป่วน สงบได้ ทุกข์หายไป

พุทธทาสภิกขุ


ส ต รี ส า ก ล
เธอคนนั้น...
เป็นหญิงสาวที่แคล่วคล่อง
และว่องไวเสมอหากเป็นกลิ่นคาว !
ร่างกายของเธอสูงใหญ่
แต่หัวใจก้อนโตเท่ามูลโคทารก
เปราะบางยิ่งกว่ากระจก
และพร้อมที่จะตกแตกทุกขณะ
เธอรักความงามยิ่งกว่าชีวิต
ทุกวันเธอตอก เธอทิ่ม เธอทา
สลักเสลาร่างกายให้งามวิจิตร
ความงามของเธอบรรจงให้คม หวาน ซึ้ง
ยิ่งกว่าหยาดน้ำค้างที่กระทบ แสงอรุโณทัยยามเช้า
แต่พลันก็สลาย ระเหย กลายเป็นไอยามสาย
ความงามของเธอ
แวววาวระยิบระยับวับวาม
ดุจเปลวแดดที่หยอกล้อ กับสายน้ำบนผิวคลื่น
แต่เมื่อเดินเข้าไปหา กลับสูญสลายไป
เฒ่าโลกีย์ทั้งหลายจึงชมชอบ
ชายโฉดทั้งหลายต่างชื่นชม
ต่างหื่นกระหายที่จะได้ตัวเธอ
แต่สำหรับสัตบุรุษ
พวกเขาศรัทธาในธรรมชาติ อันบริสุทธิ์
จึงได้แต่นึกสมเพช
ทุกส่วนสัดของร่างกาย
ตั้งแต่เส้นผมจรดใต้ฝ่าเท้า
เธอไม่เคยละเลย
เธอรักมัน
หลงใหลมัน
ราวกับลูกรักของเธอ...
เส้นผมของเธอ
ถูกปรุงให้ดำขลับและเงางาม
บ้างก็ด่างแดงเผือกผสม
ให้เป็นบ่วงบาศก์อันสวยเพลิน
ที่พร้อมจะคล้องรัดบุรุษใด ยามผ่านมา
หน้าของเธอเต็มไปด้วยสีสัน ชวนสยดสยอง
โหนกแก้มที่ช้ำชอก จนเลือดซึมปริ่มแดง
ริมฝีปากที่เพิ่งดื่มคาวเลือด
มันจึงแดงสดเยิ้ม
ขอบตาของเธอถูกป้ายทา ด้วยสีที่คล้ำๆ
ดูราวกับอุโมงค์อันลึกซึ้ง
ที่ซ่อนสิ่งน่าสะพรึงกลัว อยู่ภายใน
เธอทนไม่ได้ที่ใครจะเห็นหน้าตา อันแท้จริง
จึงต้องเอาฝุ่นผงที่บดจากหินหลากสี
มาทาละเลงถ้วนทั่ว
เธอดีใจที่หน้าเปลี่ยนไป
หน้าที่เห็นอยู่ไม่ใช่หน้าเธอ
สีแดงคือสีแห่งความรัก
หน้าของเธอระเรื่อไปด้วย พรมแดง
เธอภูมิใจและก็ภูมิใจ
ระหว่างความรักกับราคะ อันดำมืด
ระหว่างความรักกับความหื่นกระหาย
ใครบ้างที่สามารถแยกจากกัน
เธอจึงมิได้อยู่กับความรัก เพียงอย่างเดียว
แต่อยู่กับ"ราคะ"อีกด้วย
ที่เย้ยยิ้มประจานอยู่บนใบหน้า...

ปลายติ่งหูของเธอ
ยังมีหางเครื่อง
ที่จะหยดเสน่ห์หยดสุดท้าย ใส่หัวใจชาย
เธออัดฉีด บำรุง พอก ต่อทรวดทรง
และชื่นชมยามเมื่อถูกสายตาโลมไล้ นับร้อยร้อยคู่ !
ลวงล่อเหล่าภุมรินให้น้ำลายสอ
ยิ่งสอในกามามากเพียงใด
ดูเธอจะดีใจมากเพียงนั้น
ผิวกายของเธอทั้งอาบ ทั้งนวด ทั้งอบ ทั้งร่ำ
ให้บางเบาและขาวเป็นนวล เป็นยองใย
ขัดสี และฟอก จนแทบจะเห็นเส้นเลือด
เพียงคำป้อยอว่า"ผิวเธอดี"
เธอเดียดฉันท์
เธอทนไม่ได้ต่อผิวกายของเธอ
หากจะหยาบกร้าน ดำคล้ำ เพราะสายลมและแสงแดด
เหมือนอย่างพวกหาเช้ากินค่ำ
ที่มีสุจริตอาชีพและจริงใจ...
ปลายเล็บมือและเท้านั้น
แดงสดดุจกรงเล็บเหยี่ยว
ที่ผ่านการขย้ำคอเจ้ามุสิกน้อย มาสดๆร้อนๆ
และบางทีก็ดำคล้ำ ราวกับเลือดเน่า
กลิ่นน้ำหอมที่ระเหยออกมา จากเรือนกายเธอ
เพียงเพื่อปิดบังความเหม็น อันแท้จริง
และเชิญชวนให้สัตว์ตัวผู้รู้ใจ
เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย ที่สร้างกลิ่นออกมา
เมื่อได้เวลาแห่งการดำรงพันธุ์...
พื้นเท้าของเธอ
นับวันก็ห่างจากพื้นดินมากขึ้น

เธอกำลังสร้างช่องว่างระหว่าง ภาคพื้นกับฝ่าเท้า
เพียงเพื่อจะได้สูงพอที่จะหาเหยื่อได้

และพร้อมที่จะข่มผู้ต่ำเตี้ยกว่า ด้วยความย่ามใจ...
ยามที่เธอเดินย่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างในตัวเธอ
ต่างก็กวักเรียกเพลิงแห่งกามา ให้ลุกโชน
เนียนเนื้อทุกส่วนก็เคลื่อนย้าย อย่างเชิญชวนและจงใจ
กลิ่นกายที่แอบพรมก็ระเหยออกมาเพื่อช่วยเร่งเร้า
และอาภรณ์อันหลากสี
ก็ดุจเครื่องประดับกรงล่าสัตว์ ให้ชวนเคลิ้ม
สัสันที่เลื่อมพรายเฉิดฉาย
สะท้อนกับวัตถุน้อยๆ ใต้ติ่งหูที่แกว่งไกวอย่างเชิญชวน
หากศัตรูเข้ามาใกล้
เส้นผมอันดำขลับ หรือกระแดงกระด่างฝูงนั้น
ก็พร้อมที่จะกระหวัด รัดเหยื่อไว้อย่างไม่ยอมปล่อย เธอเดินหายเข้าไปในดงดิบ แห่งเมถุน
เธอกระหาย...
เธอหิว...
เธอกำลังพล่านหาเหยื่ออยู่อย่างเร่าร้อน
และบางทีก็สงบเชื่อง!...

สุวรรณบุปผา


 

เดือนเพ็ญมิได้หลับ ลืมตา
ได้แก่ชนเกิดมา มุ่งเกื้อ
การพุทธศาสน์หา ทางสุข
ประกอบศีลทานเชื้อ ช่องชื้นฤพานฯ
พิจารณาศีลแปดห้า อารมณ์ ชอบเอย
พิทักษ์ตามนิยม อย่างรู้
กินนอนนั่งเดินสม สืบสัจ ธรรมแล
ไป่ฆ่าสัตว์เสาะผู้ ปราชญ์รู้ศาสนาฯ
แสวงหาธรรมที่น้อย นำตน
ออกจากสารวัฏทน ทุกข์ไร้
กอบกิจกุศลผล พูนเพิ่ม
เติมต่อตามตนได้ สุขด้วยปัญญาฯ
วาจากล่าวถ้อยสัจ ธรรมตรง
ไปล่อลวงให้หลง เล่ห์ร้าง
รู้กินกิจประสงค์ ชอบซึ่ง ธรรมนา
มีทรัพย์เจือญาติบ้าง แบ่งเกื้อบุญทาน
พระยาราชวรานุกูล

ทำใดจักเด่นด้วย ทำดี
ดีย่อมเสริมลักษมี เจิดจ้า
ได้รู้ชื่อศักดิ์ สกุลแห่ง ตนนา
ดีย่อมคงคู่หล้า สู่ฟ้าสถาพร
ทำใดที่เกลือกกลั้ว ราคี
ชั่วย่อมตามราวี ไป่สิ้น
ได้สิ่งส่งบัดสี สนองสู่ จนแล
ชั่วย่อมตรึงสุดดิ้น ส่งต้อยเงาตาม

วิญญประภา



รัดเข็มกลัด ประหยัดเถิด พี่น้องเอ๋ย
สิ่งที่เคย ฟุ่มเฟือย ขอจงหยุด
เพื่อขจัด จุดวิกฤต เศรษฐกิจทรุด
ข้อตรงจุด ตรงเป้า คือน้ำมัน

อันน้ำมัน ท่านก็รู้ อยู่เต็มอก
ว่าทั้งโลก ขาดแคลน แสนหวาดหวั่น
กลัวว่าโลก จะมืด เพราะน้ำมัน
เพราะฉะนั้น ประหยัดไว้ ได้แหละดี

ชัชวาล มณีพันธุ์



ฉันลองสนองความอยากมานาน
เพื่อที่จะได้ไม่ทุรนทุราย
มันเป็นความโง่ที่ตอบสนองสิ่งนั้น
แต่ฉันก็ยอมทนที่โง่
เพื่อว่าวันหนึ่งฉันอาจจจะกล้า
ที่จะต่อสู้กับเงามืดที่รออยู่ข้างๆตัวได้สักครั้ง!
ฉันหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความกลัว และเนิบช้าในการก้าวเดิน
แต่ก็ยังไม่สิ้นหวัง
เพราะแต่ละก้าวที่กำลังจะเดินต่อไป
อาจมีโอกาสได้เร่งก้าวเท้าขึ้น
และไม่หยุดขาดหายนานเกินรอ
ระยะนี้ฉันเริ่มพักก้าวเดินมานาน
ใจฉันชักขยาดต่อการหยุดพัก
ดังนั้น ก้าวต่อไปจึงถูกเร่งให้เดิน
ในอัตราที่เร่งรีบกว่าที่ผ่านมา
ขอความเป็นไปในการที่จะเดินต่อไป
จงเป็นไปเพื่อสุขสันติเถิด
ฝุ่นดิน


สิ่งที่เรียกว่าจธรรมนี้เป็นของง่าย
ง่ายที่จะรับรู้ และง่ายที่จะเข้าใจ
เพียงแค่เราใช้จิตที่"ง่าย" เข้ารับรู้เท่านั้น
แต่ที่เราไม่สามารถเข้าใจได้
เพราะจิตของเรานั้นซับซ้อนเกินไป สับสนเกินไป
เราชาญฉลาดเกินไป มีความรู้มากเกินไป
และช่างคิดมากเกินไปด้วย
มิหนำซ้ำเรายังเป็นคนเจ้าเหตุผล
และขาดความจริงใจ
นี่เป็นอุปสรรคอย่างใหญ่ ต่อการเข้าใจชีวิต

พจนา จันทรสันติ


 

รุสโซ, นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า
"มนุษย์เกิดมาเป็นอิสระ...
แต่เขากลับตกอยู่ในพันธนาการ ทุกหนแห่ง"

แต่บางที อาจจะใกล้ความจริงมากกว่า
ถ้าเราพูดเสียใหม่ว่า...
"มนุษย์เกิดมาในพันธนาการ
แต่เราก็มีศักยภาพที่จะเป็นอิสระได้"

บ่อยครั้งทีเดียว
ที่พวกเรามักติดอยู่กับโซ่ตรวน ของตัวเอง
ทั้งทั้งที่เราโตเกินกว่ามันแล้ว

ดร.เบอร์นาร์ด เบอร์โดวิทซ์


 

ค น บ้ า
ฉันเห็นวัตถุทรงค่อนข้างกลม
มันหมุนตัวอย่างเร็วและแรง
ฉันเห็นวัตถุเล็กๆเคลื่อนไหวได้
มันเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้วัตถุ ทรงค่อนข้างกลมนั้น
ฉันเห็นวัตถุเล็กๆ มีจำนวนมากมาย
มันต่างพุ่งกระโดดเข้าไปในวัตถุ ทรงค่อนข้างกลมนั้น
ฉันเดินเข้าไปใกล้วัตถุเล็กๆเหล่านั้น
ฉันเห็นวัตถุเล็กๆเหล่านั้น มีรูปร่างเหมือนฉัน
ฉันเดินเข้าไปใกล้วัตถุทรงค่อนข้างกลมบ้าง
ฉันเห็นมันหมุนแรงอย่างน่ากลัว
ฉันรู้สึกเวียนหัว
ฉันรู้สึกว่ายิ่งฉันเดินเข้าไปใกล้
ฉันจะรู้สึกว่า มันมีแรงดูดฉัน
ยิ่งฉันเดินใกล้มันเข้าไปอีก
ฉันรู้สึกถูกดูดมากขึ้น
ความคิดต่างๆ เริ่มสับสนมึนงง
ฉันรีบถอยกลับ
แต่รู้สึกยากกว่าการเดินไปตามแรงดูด
ฉันเห็นวัตถุชนิดเดียวกับฉัน
เคลื่อนทยอยเข้าใกล้วัตถุทรงกลมนั้น
แล้วถูกดูดเข้าไป !
ฉันพยายามกระเสือกกระสน จนพ้นแรงดูด
ฉันหายใจด้วยความโล่ง ปลอดโปร่ง
ฉันรู้สึกสบาย
ฉันได้รู้สิ่งต่างๆภายในวัตถุทรงกลม
ฉันแน่ใจว่าฉันไม่ต้องเข้าไป ในวัตถุทรงกลมนั้น

ฉันแน่ใจว่าฉันสบายตลอดกาล
ฉันเห็นวัตถุเล็กๆบางจำนวน
หลุดออกมาจากวัตถุทรงกลม
ซึ่งหมุนตัวเร็วมากขึ้น จนดูน่ากลัว
วัตถุเล็กๆเหล่านั้นที่หลุดออกมา
กำลังเคลื่อนตัวมาทางฉันอย่างช้าๆ
เมื่อฉันหายเหนื่อย
จึงเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้วัตถุเล็กๆ เหล่านั้น
มันเห็นฉัน
ฉันเห็นมัน
มันโบกมือให้ฉันหยุด
ฉันไม่หยุด
มันคิดว่าฉันถูกดูด
ฉันบอกว่า ฉันมีกำลังเหนือแรงดูด
พวกเขาเริ่มมีลักษณะเบิกบาน สบายขึ้น
พวกเขาเริ่มมีกำลัง
แรงดูดไม่มีอำนาจต่อเขาเหล่านั้น เช่นเดียวกับฉัน
เขาเล่าถึงสิ่งต่างๆ ในวัตถุทรงกลม
ซึ่งดูยิ่งหมุนตัวเร็วและแรงๆ ขึ้นทุกขณะ
เขาได้เล่าในสิ่งที่ฉันรู้มาก่อน
ฉันรู้ถึงสิ่งต่างๆในวัตถุนั้น มาก่อนแล้ว
เมื่อฉันพ้นแรงดูดของมัน ออกมาในครั้งแรก
น่าอัศจรรย์ !

ฉันเริ่มแน่ใจในหน้าที่ของฉัน
ฉันเดินเข้าไปใกล้วัตถุทรงกลม
ฉันหยุด

ฉันพยายามโบกห้าม
ไม่ให้วัตถุเล็กๆเหมือนฉัน เข้าใกล้วัตถุทรงกลม
พวกมันส่วนใหญ่ดูไม่ค่อยสนใจ ต่อการบอกห้ามของฉัน
พวกมันมองฉันอย่างสงสาร
ฉันได้ยินเสียงมันพูดถึงฉันว่า
..." ค น บ้ า ! "
ลูกพ่อ




ภิกษุทั้งหลาย ! ลาภสักการะและเสียงเยินยอ
เป็นอันตรายที่ทารุณแสบเผ็ดหยาบคาย ต่อการบรรลุพระนิพพาน
อันเป็นธรรมเกษมจากโยคะ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ด้วยอาการอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจ
ไว้ดังนี้ว่า "เราทั้งหลายจักไม่เยื่อใย ในลาภสักการะ และเสียงเยินยอที่เกิดขึ้น
อนึ่ง ลาภสักการะและเสียงเยินยอ ที่เกิดขึ้นแล้ว ต้องไม่มาห่อหุ้ม อยู่ที่จิตของเรา"
ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.

พระพุทธภาษิต นิทาน.ส.


 

เรามีความเชื่อมั่น อันสภาพขัดแย้งใดๆ จะโยกคลอนไม่ได้
ว่ามนุษยชาตินี้ มีทางเดินจากบาปธรรม ไปสู่คุณธรรม
เรารู้สึกว่าคุณธรรมความดี เป็นสิ่งงดงาม โดยธรรมชาติของมนุษย์
และทุกกาลสมัยทุกหนแห่ง
มนุษย์ย่อมยกอุดมคติของคุณธรรม ให้มีค่าสูงสุด
เราได้รู้จักคุณธรรม และรักคุณธรรม
และเราก็ได้กระทำสักการบูชา อย่างสูง
ต่อท่านผู้แสดงสภาพอันงดงาม แห่งคุณธรรม
ออกมาในชีวิตของท่านเหล่านั้น
รพินทรนารถ ฐากูร


 

อย่าลืมคำสัญญา
สงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม
ยังคงดำเนินไปอย่างเผ็ดร้อน
แนวรบขยายยาวจนสุดขอบฟ้า
ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นคือผู้ชนะ
กองทัพธรรมกับกองทัพผี
ประจัญบานกันอย่างดุเดือด และแฝงเร้น
ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลัดกันแพ้ชนะ
ควันดำลอยตลบล้อม
ควันขาวรุกกระหน่ำ
กลิ่นเหม็นเหียน อบอวล อบอวล
กลิ่นหอมประหลาดสะกัดกั้น อย่างอหังการ์
รี้พลแห่งโลกีย์ หนุนดำมืดไปทั่วปฐพี
นักรบแห่งธรรมกลับเบาบางน่าตกใจ
กระไรหนอ เหล่าสาธุชน
ที่กล้าเปล่งกล่าวว่า ธรรมะนั้นต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
กลับหลีกหลบลี้หาย
เอาตัวไปคลุกคลีกับเหล่าพ่ายอธรรม
เสวนา สังสรรค์ เฮฮา อย่างมีความสุข
ก็ไหนว่าธรรมนั้นดี
แต่กลับพาตัวไปเกลือกกลั้ว กับพวกเขา
วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า
โลกเขามีแต่เสพย์สิ่งเน่าเหม็น
กัดแทะแต่ซากของอกุศล
ไยจึงยิ้มระรื่น ?
เหลียวมองดูกองหนุนศิษย์ตถาคต
กระไรเลยประหรอมประแหรม
อนาถใจหนอ
ทำไมถึงอนาถาขนาดนี้
เพียงแค่สักวันหนึ่ง ในวันอาทิตย์
จะมาเยี่ยมทักทายญาติสนิท ทางวิญญาณก็ผลัดวัน
จะมาสังสรรค์ แสดงมวลแห่งกองทัพธรรม ก็แหนงหน่าย
จำหัวใจที่ศรัทธาของตัวเองได้ไหม
ที่ว่า เคารพรักในธรรม
เทอดทูนพระพุทธองค์ขึ้นเหนือเกล้า
นักรบผ้ากาสาวะเป็นหัวหอก
นักรบฆราวาสเป็นด้ามทวน
แต่ถ้าด้ามทวนสั้นไป จะสู้กับเหล่ามารได้อย่างไร
ไม่สงสารตัวเอง ก็ขอให้สงสารโลก
รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เขาพูดกัน
"ธรรมะต้องมาทีหลังเพื่อน"
รู้หรือเปล่าว่าวิชาศีลธรรม เดี๋ยวนี้เป็นแค่กาฝาก
จำได้หรือเปล่าถึงคำกล่าว พระพุทธองค์ที่ว่า
"ศาสนาของตถาคต จะยืนยงได้ด้วยพุทธบริษัท 4
ด้วยต่างจะช่วยกัน ผลักดันให้กงล้อแห่งธรรมจักร กระเดื่องไกล
แต่แล้วกงล้อกลับเข็นฝืด
ด้วยมือที่จะเข็นมีน้อย
งานทุกอย่างนั้น จะต้องมีพลัง มีมวล
โลกเขาก็มี
เขาประชุม เขาสังสรรค์
เขาเสวนา เขาคลุกคลี
เขาเฮฮาหยอกล้อ ทำงานด้วยกัน วันแล้ววันเล่า
แล้วบริษัทธรรมจักรเล่าเป็นอย่างไร
จะคบหากันก็แสนยาก
ด้วยก็ยังมีภาระหนักอยู่
แต่กลับไม่ยอมสละเวลา มาร่วมกัน
อย่างน้อยก็เป็นกลุ่มเป็นมวล ของผู้ใฝ่ธรรม

ยิ่งมีมาก ก็ยิ่งจะทำให้ผู้อื่นฮึกเหิม
หาญกล้าที่จะเปิดหัวใจ เข้ารับรส
แน่ละ ถ้าคิดจะแค่เอาตัวเป็นใหญ่ ก็เชิญเถิด
แต่ถ้ารักพระพุทธองค์จริง
เห็นว่าธรรมจะต้อง ถูกประกาศต่อไป อย่างเร่งรีบ
เราจะต้องสละเวลาแห่งโลกีย์
มาร่วมกันเป็นมวล
ที่แม้มองด้วยตาเปล่าก็จะเห็น
ประกาศยืนยันต่อทัพผีทั้งหลายว่า
ธรรมะนั้นทำได้และสำคัญสุด
และนี่ไง คือพวกเราผู้ใฝ่ธรรม !
มาเถิด มาร่วมกันเป็นมือไม้
คนละเล็กละน้อย ก็ยังดีกว่าไม่สร้างสรร
แม้จะยังบวชไม่ได้
แต่หน้าที่อันทรงเกียรติ ทรงประโยชน์
ก็ยังมีอยู่อีก
มาร่วมกันเป็นพลังมด
เกาะกลุ่มให้เหนียวแน่น
ให้เห็นความมากในมวลธรรม
มาร่วมกันอุทิศตัว
เป็นก้อนอิฐก้อนหนึ่ง บนถนนสัจธรรม
สงครามกำลังจะเกิดขึ้นอีกแล้ว
เร็วเข้าเถิด กระโดดมาอยู่กับฝ่ายเรา
อย่ามัวแต่อ้างที่หัวใจ
กระชากกายเข้ามาซิ สหายทั้งหลาย
ญาติธรรมของเรากำลังยิ้มแย้มรอรับ
อย่าไปเสียเวลาให้กับพวกโลกย์มากอยู่เลย

นี่คือ ญาติที่แท้ของพวกเรา
ด้วยมีพระพุทธองค์เป็นต้นตระกูล
อย่าลืม รีบกระโดดเข้ามา
มาร่วมเป็นพลังแห่งธรรมะ
ถ้าหากคิดว่ายังรักพระพุทธศาสนา อย่างจริงใจ

พลังธรรม
๑๘ มี.ค. ๒๕๒๒


 

จงเสริมสร้าง กายใจ ให้บริสุทธิ์
เปรียบประดุจ "ชินะ" ผู้รังสรรค์
เจตจำนง ปฏิบัติ องอาจพลัน
"จรณะ"มั่น นำวิเวก เอกมรรคา

จงยึดศักดิ์ รักศรี เมื่อไม่"สูญ"
จงเทิดทูน สัจจะ ละมุสา
เราลูกลม ลูกน้ำ ลูกพสุธา
เมื่อเกิดมา จงสร้าง "สันติธรรม"

จ.ภ.
๑๖ มี.ค. ๒๕๒๒



สิ่งที่เราต้องการนั้น
มันไม่ใหญ่โตอัครฐานอะไรดอก
ชีวิตง่ายๆ ถูกๆ ขยันๆ รู้จักพอดี
มีความซื่อสัตย์ มีเมตตา
เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นเสมอๆ
แต่มันใหญ่ยิ่งเป็นมหาพลังเย็น โอบอุ้มโลก


หน้า ๕

เม็ดทราย หน้า 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11