เม็ดทราย
๗
คืนมืดที่ไร้ดาว
ยามดึกของคืนนี้
ท้องฟ้าไร้แสงดาว
หัวใจฉันเศร้าหมอง และเหนื่อยหน่าย
กิเลสมันรุกกระหน่ำฉันอีกแล้ว
ฉันรักมันและมันก็คงรักฉัน
ฉันเคยตัดญาติกับมันหลายครั้ง
แต่ก็ใจอ่อนทนความออเซาะของมันไม่ได้
คืนนี้มันมาเคาะประตูอีกแล้ว
ฉันใจหายวาบ ไม่คิดว่าจะมาอีก
ลังเลอีกแล้ว หัวใจอันบอบบางของฉัน
ปัญญาเริ่มถูกเมฆหมอกครอบคลุม
จนลืมเลือนเป้าหมายชีวิตของตัวเอง
ฉันกำลังจะยอมเป็นขี้ข้าของกิเลสอีกครั้ง
ฉันลืมไปว่าฉันกำลังปฏิบัติธรรม
ฉันไม่ได้คิดถึงการหวังเอาชนะมัน
สติอันน้อยนิด สะกิดฉันอย่างขลาดๆ
พลางบอกถึงงานสะสมพุทธะ
ฉันก้มมองเจ้าสติ คิดจะผลัดมันไปก่อน
อยากจะบอกว่า อย่าเลยนะวันนี้ฉันงดสะสม
ภายในหัวใจเริ่มต่อสู้กัน
ฉันรู้สึกเร่าร้อนและแห้งเศร้าอย่างร้าวร้าย
สองเท้าพาฉันเดินไปตามบาทวิถี
ความเย็นของอากาศคงพอช่วยฉันได้
ฉันจะยอมแพ้กิเลสดีไหมนี่ ?
รถรายังคงแล่นขวักไขว่
ซิ้มแก่ๆ นั่งอยู่บนริมฟุตปาธ ขายผลไม้อย่างเศร้าเหงา
ชายหนุ่มเข็นรถขายขนม กลับบ้านอย่างอ่อนเพลีย
หญิงสาวแต่งตัว ราวกับจะเดินแฟชั่น ก้าวขึ้นรถอย่างทระนง
ใต้ต้นไม้ต้นนั้น
มีเงาตะคุ่มของหนุ่มสาว
เขาคงพรอดรักกัน-ประจบกัน
เสียงชายหญิงทะเลาะกัน อย่างเอาเป็นเอาตาย
แม่ค้ากล้วยปิ้ง หาบสาแหรกกลับบ้าน อย่างอ่อนระโหย
บานประตูเปิดกว้าง
พ่อ แม่ ลูก กำลังกินข้าวเย็นกัน อย่างเอร็ดอร่อย
หัวเราะกันอย่างมีความสุข
เจ้าบ่าว เจ้าสาว ยืนอยู่หน้าภัตตาคาร
พวกเขากำลังต้อนรับแขก ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
วันนี้คือวันสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา
ชายขอทานชูกระป๋องเก่าๆ ข้างถนน
นานๆ จะมีเสียงเศษตังค์หล่นกระทบ
บ้านเขาไม่มี
ญาติเขาไม่มี
และชีวิตของเขาก็คงไม่อยากให้มี
แสงไฟจากเสาไฟฟ้า ยังคงสาดส่องอย่างเรืองรอง
ค้างคาวบินโฉบอย่างเมามัน
แมลงต่างๆ ก็บินเล่นอย่างสนุกสนาน
หญิงแม่ลูกอ่อน อุ้มลูกที่ร้องไห้จ้า
ลูกหยุดร้อง เธอกำลังแหย่อย่างมีความสุข
ผู้คนออกันแน่น
เขากำลังทำอะไรน่ะ
อ๋อ! กำลังจะเข้าดูหนังกันให้เบิกบาน
อย่างน้อย ค่าแรงที่เขาอาบเหงื่อต่างน้ำทั้งวัน
มันคงไหลไปให้เหล่าดาราทั้งหลาย
เจ้าหมาดำกำลังเดินวอกๆ ดมโน่นดมนี่อย่างหิวโหย
กรรมกรกำลังแบกเนื้อหมูเป็นตัวตัว ลงจากรถบรรทุก
เลือดแดงๆ ที่ตัดกับผิวขาว ของกายเนื้อเจ้าหมูเคราะห์ร้าย ชวนสมเพช
นี่ไง ! ซากศพจริงๆ
เพลงปี่พาทย์ดัง สลับกับเสียงสวดมนต์ ของสมณะ
ที่ดังโหยหวนชวนเศร้าสร้อย
โลงสี่เหลี่ยมยาว ประดับประดาด้วยดอกไม้
ภาพถ่ายใบหน้าผู้ตายถูกตั้งไว้ข้างๆ โลง
แต่ก่อน เขาก็คงหัวเราะ
แต่ก่อน เขาก็คงสนุกสนาน
แต่เดี๋ยวนี้ กายของเขาทอดยาวลงด้วยความสงบ
นับแต่นี้ไป จะไม่มีเสียงแห่งความรื่นเริงของเขา บนพื้นโลก
ไม่มีแม้แต่เสียงสะอึกสะอื้น
อะไรกัน ?
นี่หรือคือบทบาทของชีวิตที่เป็นไป
พวกเขากำลังจะไปไหนกัน
กำลังดิ้นรนเพื่ออะไร
ความทุกข์ยาก แสดงตัวอยู่ทุกวินาที
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก แสดงตัวอยู่เสมอ
ความปวดร้าว ยังคงประจานให้ฉันเห็น ตลอดเวลา
ใครนะที่จะพ้นโศกพ้นเศร้า
ตราบใดที่ยังหลงระเริง ไปกับกระแสโลกีย์
แม้เขาจะหัวเราะ
แม้เขาจะชื่นใจ
แต่สิ่งนั้นมันก็เป็นเพียงชั่วขณะ ที่ความทุกข์เผลอหลับ
ความสุขชั่วคราว มันก็คือน้ำตาลเคลือบยาพิษ
มันหลอก มันอำพราง
ปิดบังไม่ให้ใครรู้จัก ธาตุแท้ของชีวิต
แท้จริงความทุกข์ กลับแสดงตัวอยู่ทุกซอกในหัวใจ
ใครบ้างจะเห็น ?
ปล่อยตัวไปตามสายน้ำไหล
เหมือนปล่อยใจไปตามยถากรรม
เมื่อไม่รู้จักจัดการกับชีวิต
ใครเล่าจะหนีพ้นห่วงแห่งโทมนัส ?
ฉันเอง ซึ่งเริ่มเข้าใจ ความหมายของชีวิต
แต่กลับจะปล่อยให้ไหลไป ตามกระแสแห่งตัณหา
อะไรกันนี่ ?
ลืมอุดมการณ์ของชีวิต เสียแล้วหรือ ?
วันเวลากลืนกินสิ่งมีชีวิต
มัวรอช้าอะไรกันอยู่ ?
สัตวโลกกำลังเร่าร้อน
กำลังต้องการความช่วยเหลือ
ต้องการผู้ชี้แนะบอกกล่าว แก่พวกเขา
โอ ! หมดเวลา...
ไม่มีเวลาอีกแล้ว ที่จะยอมแพ้
ต่อแต่นี้ จะปล่อยให้กิเลสตัณหาทั้งหลาย มาเข้าบ้านไม่ได้
เขากำลังรอความช่วยเหลือจากฉัน
ทำไมฉันยังดูดายอยู่ล่ะ ?
จบสิ้นกันที
พอกันที สำหรับเจ้ากิเลสตัณหาทั้งหลาย
ต่อไปนี้ ฉันจะล้าง ๆ ๆ ๆ ๆ
ตัด ๆ ๆ ๆ ๆ ให้สิ้นซาก
และนี่คือ โอกาสครั้งสุดท้ายที่จะพูดกัน
" ไ ป ! "
"ออกไปให้พ้น !"
ฆราวาสธรรม
29 พฤษภาคม 2521
เมื่อดอกไม้ออกสะพรั่ง
ความหวังรังรองส่องแสง
แม้ไร้ตะวันเก่าสีแดง
ใช่แล้งแสงดับไปกับดิน
ตะวันตกทางทิศตะวันตก
หญ้ารกจักเหี้ยนหดหมดสิ้น
ให้ข่าวสะพัดปัฐพิน
มีพระอาทิตย์บนแผ่นดินอีกดวง
อาจชูจรัสเริงฉาย
ประกายไฟโรจน์โชติช่วง
เพื่อดอกไม้หลายดอกออกผลพวง
ประดับดวงดาวนี้ร่วมกัน
ชแนง
เช้าๆ ค่ำๆ
ใต้แสงดาวสลับแสงอรุณ
คือคืนวันที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป
จากอนันตัยสู่อนันตัย
จากต้นกำเนิดอันไม่สิ้นสุด
สู่จุดหมายอันไร้ขอบเขต
ข้างหลังคือหุบเหวลึก
มืดมิดสนิทว่างเปล่าไม่เห็นกัน
ข้างหน้าคือแผ่นฟ้าอันไพศาล
เวิ้งว้างว่างเปล่าไร้จุดหมาย
ฉันแปลกใจ
ว่ากำลังทรงตัวอยู่ ณ ตำแหน่งไหน
ของผืนพิภพไพศาลแห่งสกลจักรวาล
21 ส.
แม้ว่าตะวันตกจะนับถือ ผู้ซึ่งประกาศตน อย่างห้าวหาญว่า
ท่านนั้นเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับพระบิดา
และชักจูงสานุศิษย์ ให้ทำตนให้บริสุทธิ์ เช่นพระเป็นเจ้า
แต่เขากลับเห็นว่า เป็นความผิดอย่างร้ายแรง
ในการที่มนุษย์จะกลายเป็น พระเป็นเจ้า
ความแตกต่างอย่างแท้จริง ของมนุษย์ กับพระผู้เป็นเจ้านั้น
เป็นอุดมการณ์ทั่วไป ของคริสเตียนตะวันตก
แต่อย่างนี้ พระเยซูมิได้ตรัสสอนไว้แน่ๆ
และก็ไม่ใช่อุดมการณ์ ของความรู้ลับลี้ ทางคริสตศาสนาด้วย
ส่วนปัญญาสูงสุด ทางตะวันออก
ถือว่าหน้าที่ของ วิญญาณมนุษย์นั้น
มิใช่เพื่อแสวงหาพระเจ้ามา
เพื่อจะให้ประโยชน์ ทางสาระวัตถุอย่างใด
ทั้งหมดที่มนุษย์เราจะทะยานมุ่งหวังได้
ก็คือการบรรลุ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียว กับพระเป็นเจ้า
รพินทรนาถ ฐากูร
ถ้าเราจะกระทำสิ่งซึ่ง จะเกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น
เราอย่าได้ชักช้าและเสียเวลา
ชีวิตเราทุกคน ที่เกิดมานั้นสั้นนัก
เพราะฉะนั้น ถ้ามีความดีอันใด
และความเมตตาปรานีอันใด
ที่เราสามารถให้แก่ผู้อื่นได้
เราจงทำเสียแต่เดี๋ยวนี้
เราอย่ารีรอและเฉยเมย
เพราะถ้าเราตายไปเสียแล้ว
เราจะหมดโอกาสอันงามนี้
นิรนาม
"ทุกสิ่งจะต้องตาย ย่อมแปรเปลี่ยนไป
ชีวิตมนุษย์นั้นหาความสงบได้ยาก
หากสันติรออยู่ที่ปากประตูของมฤตยู
ซึ่งระงับความทุรนทุกข์ใดๆ สิ ชีวิตก็มีการพลัดพราก อยู่ตลอดเวลา
แต่ละครั้งก็คือ การข้ามสายน้ำนั่นเอง
สูผู้ที่ยืนอยู่อย่างเจ็บปวด
ควรพิจารณาดูว่า ไม่มีอะไรสูญเสียไปเลย
แม่น้ำทั้งหลาย ย่อมไหลไปเรื่อยๆ
ย่อมต้องถึงจุดหมายในที่สุด
พืชที่เราหว่านเอาไว้ในบัดนี้
ย่อมจะผลิผลสุกงอมออกมาในที่สุด"
อนุรุทธคาถา
เพราะรู้ว่าความสุขนั้น เป็นเพียงมายา
จึงไม่ปรารถนาที่จะได้เสพย์สุข
เพราะรู้ว่าความทุกข์นั้น คือสัจจะ
จึงไม่เกลียดชังความทุกข์
เมื่อไม่ปรารถนาการเสพย์สุข
ไม่เกลียดชังความทุกข์
จึงอยู่เหนือความสุข และความทุกข์
ผู้ที่อยู่เหนือความสุข และความทุกข์ได้
ย่อมไม่รักความเป็น และไม่กลัวความตาย
จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้มีอิสรภาพอันไพบูลย์
นิรนาม
สิ้นเสียงบ่สิ้นใส
เพลงชีวิตได้ดับลงไป อีกหนึ่งหมายเลข
เสียงดนตรีหลากหลาย พลันหยุดชะงักลง
ทิ้งไว้แต่ความเงียบที่เศร้าซึม
ให้แก่นักฟังทั้งหลาย ที่ประทับใจ
ที่อยากจะฟังการบรรเลง ของเพลงชีวิตบทนี้ ตราบนานเท่านาน
โอหนอ! กลางทะเลแห่งสังสารวัฏ
ไม่เคยมีบทเพลงใด ที่จะบรรเลงค้ำฟ้า
มันได้เคยรวงหล่น ราวกับใบไม้ร่วงมาแล้ว ในอดีต
และมันจะยังคงร่วงหล่นต่อไป ในอนาคตกาล
ทรากแห่งบทเพลง
กองสุมถมทับมากยิ่งกว่า หยดน้ำในท้องทะเล
และเรียงรายมากเสียยิ่งกว่า เม็ดทรายบนพื้นโลก
น่าเสียดาย น่าเสียดาย
ที่เพลงชีวิตบทนี้มาด่วนลา
ยากนัก ยากนัก ที่จะเคยได้ยินได้ยล
ด้วยท่วงทำนองที่พลิ้ว อย่างอ่อนโยน ราวกับแม่พระ
สอดประสานกัน อย่างกลมกลืน ดุจพี่ดุจน้อง
ทุกตัวโน้ตแห่งคีตะ
ล้วนเปล่งรัศมีแห่งความสมถะ สันโดษ
แผ่พลังแห่งพรหมจรรย์ อย่างอหังการ์
ไร้มานะในศักดิ์ศรี
ไร้ความอวดดีเย่อหยิ่ง
ไร้ความเป็นอสรพิษ ที่แสนต่ำทราม...
จบลงไปแล้ว
สิ้นสุดลงไปอีกแล้ว
เพลงชีวิตแห่งอริยะ
ได้ลาลับไปแล้ว
ดั่งแสงสุรีย์บนฟากฟ้า
ที่เปล่งฉายมาตลอดวัน
ถึงเวลาที่จะหยุดพักผ่อนสักที
ความมืดแผ่อ้อมแขนขึ้น โอบกอดแผ่นดิน อย่างทะนุถนอม
บทเพลงแม้จะจบลงไป
แต่เสียงของมัน ยังคงกระหึ่ม คำรามอย่างไพเราะ
ไพเราะอย่างกึกก้อง ไปทั่วดวงใจของทุกๆ คน
กระแสเสียงยังคงกระจาย
กระจายอย่างสัญชาติคนตรง
กระจายอย่างไร้จริตมายา
ไม่มีอีกแล้ว สำหรับบทเพลงสวรรค์บทนี้
น้ำตาแห่งความอาลัย ไหลออกมาอย่างเศร้าสร้อย
อันไม่ยอมรับ ความไม่เที่ยงแท้แห่งสังขาร
มันไม่ยอมรับรู้ ถึงความธรรมดา ของการพลัดพราก
หยดน้ำบนยอดไม้ ได้หายไปแล้ว
มันระเหยกลายเป็นไอ รวมตัวกับหมู่เมฆ
และกลั่นตัวตกจากฟ้า
ตกไปทั่วทุกระแหง
เพื่อที่จะได้หายขึ้นไป อีกครั้ง ๆ ๆ
แล้วก็ตกลงมา...ตกลงมา
ไม่มีหยดน้ำหยดนั้น
มีแต่เม็ดฝนที่ยิ่งใหญ่มากมาย
บทเพลงยังคงพริ้ว...
แม้ผู้บรรเลงจะเลิกเล่นแล้ว
มันยังคงพริ้ว...พริ้ว...
พริ้วไปอย่างไม่มีวันหมดสิ้น
เพื่อสร้างบทเพลงบทใหม่ ให้แก่ผู้อ่าน
เปลี่ยนบทเพลงชีวิตของทุกๆ คน
ให้เสียงเสนาะพริ้ง ข่มอธรรมให้แตกกระเจิง
และใสกระจ่างเย็นซึ้ง เข้าถึงแก่นมโน
สิเนรุ
ปัญหาสำคัญของมนุษย์ ในสังคมก็คือ
ค่านิยมที่เลวนั้น ทำได้ง่ายดายกว่า
ค่านิยมดี ไม่ค่อยทำกัน
เราขาดการกระตุ้น ถึงคุณค่าที่แท้จริง ของค่านิยมที่ดี
รวมทั้งผู้นำ ที่จะต้องปฏิบัติตน ในสิ่งที่พูดด้วย
คำว่าผู้นำในที่นี้ มิใช่ว่าต้องเป็นใหญ่เป็นโต มาจากไหน
เราทุกคนมีสิทธิ ที่จะเป็นผู้นำ
ที่จะสร้างสรรค่านิยมที่ดี ให้แก่สังคม
เป็นการจรรโลงสังคม ให้ผาสุกและสดใส
เราจะปัดความรับผิดชอบ ให้แก่สังคมไม่ได้
ในเมื่อเราทุกคน เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ที่จะต้องรับผิดชอบ
เราคือสังคม และสังคมก็คือเรา
สังคมเดือดร้อน เราก็จะเดือดร้อนตามไปด้วย
หากเราสร้างค่านิยมที่ดีงามได้ ก็จงรีบสร้าง
แม้จะเป็นน้ำใสบริสุทธิ์ หยดหนึ่งในน้ำโคลน ก็ขอให้เป็น
ยังดีกว่าที่จะมีแต่ น้ำโคลนทั้งหมด
อโศก
จากวิถีแห่งหญิงขออิงอ้าง
เพื่อนำทางสตรีไม่มีหมอง
อย่าเผลอไผลให้ชายเขา เข้าครอบครอง
สุดท้ายต้องร้องร่ำพร่ำเสียดาย
เราก็คนเขาก็คนใช่คนเฉา
เพื่อตัวเราคิดว่ารักปักใจหมาย
หยุดปล่อยจิตตามอารมณ์ โสมมกาย
จึ่งไม่อายและไร้สิ้นคน "นินทา"
ลูกช้าง
เ พื่ อ น ห ญิ งเ อ๋ ย . . .
เ พื่ อ น เ ค ย รู้ ไ ห ม
ศ รั ท ธ า คื อ อ ะ ไ ร
ที่ ใ ค ร ช อ บ ก ล่ า ว กั น
ศ รั ท ธ า คื อ ค ว า ม ห วั ง
คื อ พ ลั ง ส ร้ า ง ส ร ร ค์
คื อ ด ว ง ด า ว แ ล ะ ต ะ วั น
คื อ ค ว า ม ฝั น นิ รั น ด ร
เ พื่ อ น ห ญิ ง เ อ๋ ย . . .
ห า ก เ พื่ อ น เ ค ย เ ห นื่ อ ย อ่ อ น
เ บื่ อ ค ว า ม วุ่ น ว้ า แ ห่ ง น า ค ร
ก็ พั ก ผ่ อ น เ สี ย ต ร ง นี้
แ ล้ ว ลุ ก ยื น อ ย่ า ง ก ล้ า
ห า ญ ท้ า พ ญ า ผี
ป ร ะ ก า ศ ศั ก ดิ์ เ ส รี
" ส ต รี มิ ใ ช่ ด อ ก ไ ม้ อี ก ต่ อ ไ ป "
แก้ว ลายทอง
บางคนปล่อยสิ่งเล็กน้อยไปไม่ได้
จะต้องทำสำเร็จให้หมด
จึงกลายเป็นการแข่งขัน
เมื่อพลาดก็เกิดความทุกข์ขึ้น
การแข่งขันเปรียบเหมือนโรคติดต่อ
ลองไม่พยายามทำตัวแข่งขันกับใคร
ท่านจะรู้สึกว่าท่านทำอะไรง่ายเข้า
และคนอื่นก็จะยุติการต่อสู้ กับท่านจริงๆ
มหิดล 21
ความรู้สึก การนึก ความคิด
เป็นที่ตั้งของอารมณ์ทั้งหลาย
ไม่ว่าจะรู้สึกนึกคิดอย่างไร
อารมณ์ก็จะแสดงตัวของมันตามนั้น
สัตว์ผู้ถูกครอบงำไว้ด้วยความโกรธ ความไม่พอใจ
ความอึดอัด ความรำคาญ ความกังวล
ความว้าวุ่น ความต้องการ ความอยากได้
จึงเป็นทุกข์เพราะเหตุแห่ง การตริตรึกนึกคิดนั้น
หยุดความรู้สึกนึกคิด นั้นเสียสิ !
อารมณ์บาปนั้น ก็จะอยู่ไม่ได้
หันมาระลึกถึง เรื่องที่ทำให้อารมณ์ ปล่อยวาง จางคลาย
หากมันยังดื้อ หรือพะวงมากเกินไป
ก็ต้องพยายามมองให้เห็น ในแง่ตรงข้ามให้มาก
และต้องพยายาม ไม่ไปรู้สึกนึกคิด
ในเรื่องที่จะก่อ อารมณ์ทุกข์นั้นอีก
แล้วท่านจะเป็นผู้ชนะ เหนือชัยชนะใดๆ
คะนอง คำนึง
หวังแทงหวยรวยทรัพย์ รับเงินแสน
สิ่งใดแม้น "ศักดิ์สิทธิ์" จิตเลื่อมใส
จัดดอกไม้ ธูปเทียน ผลัดเปลี่ยนไป
พร้อมกราบไหว้ บูชา...ศรัทธาจัง
ถ้า "หลวงพ่อ" องค์ใด ชอบให้หวย
คนอยากรวย ไปหา คิดว่า..."ขลัง"
ชวนทำบุญ-สร้างกุศล ทนเบื่อฟัง
จนบางครั้ง เผลอด่า..."พวกบ้าบุญ"
สุณีย์ ก้องปฐพี
จิตพระอรหันต์นั้น ท่านไม่สะสม "บุญ"
ไม่หอบบุญ ไม่หามบุญ
ท่านทำด้วยปัญญาที่รู้ในบุญ (ญาณสัมปยุต)
แล้วก็ทิ้งบุญนั้นคืนไป (นิสสรณะ)
คือ ไม่ยินดียินร้ายกับบุญนั้น
ทำแล้ว ท่านก็ให้กับโลกเท่านั้น
ท่านไม่ต้องการอะไรตอบแทน
ขอนักปฏิบัติธรรมจงรู้จัก "บุญ"
รู้จัก "กุศล" หรือ "มหากุศล" เถิด !
แล้วก็จงทำกุศลทำบุญนั้นให้มากๆ ๆ
แต่อย่าติดบุญ อย่าหลงกุศล
อย่าหลงเสพย์เป็น "สุข" เป็น "ปีติ" อะไรอยู่ให้มันฝังใจ
อย่าหวัง "เทวโลก" ผิดๆ เป็นอันขาด
คืออย่าไปหวังสร้าง "วิมานลวง" (อัตตา อุปาทาน)
อย่าไปหลงเมามัวแต่ก่อ "โลภมูลจิต"
จิตจึงจะไม่มีเศษเสี้ยวของ "อกุศลจิต"
สมณะโพธิรักษ์
(สารอโศก ปีที่ 2 ฉบับที่ 10 พฤษภาคม 2522)
ฤ า เป็น แ ค่ ข ย ะ
ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าเขา
มันยืนตระหง่านอย่างอาจหาญ และท้าทาย
มันยังคงภูมิใจในตัวของมัน
กิ่งใบก้านใหญ่น้อย
แกว่งไกวกับเปลวแดด อันร้อนระอุ
กิ่งใบที่ตกแผ่คลุมทั่วพื้น ให้เย็นฉ่ำ
ก่อเกิดม่านหมอกคลุมไปทั่ว
ราดรดชีวิตต้นน้อยๆ ให้อิ่มเอิบ
ก่อความมั่นใจและอุ่นใจ แก่ต้นที่อยู่ใกล้
รากใหญ่น้อย เกาะเกี่ยวหยาดน้ำไว้ อย่างดูดดื่ม
เหลือจากใช้ ก็ปล่อยคายออกมารวมกัน
ร่วมกันกับญาติพี่น้อง ต้นอื่นๆ
จากทีละหยาดหยด ก่อเกิดพลังประสาน
เป็นสายน้ำอันมากมาย
เป็นธาร คลอง บ่อ บึง น้ำตก
โลดแล่นขยายเป็นแม่น้ำ และทะเลอันกว้างใหญ่
ที่หล่อเลี้ยงชุบชีวิตทุกชีวิต ให้อยู่เย็น
ผสมคลุกเคล้าไปกับสายฝน อันฉ่ำชื่น
อันเกิดจากละอองไอน้ำ ที่ศรัทธา
ในความเย็นของกิ่งใบ ที่กวักเรียก
กลั่นออกมา เป็นหยาดน้ำบริสุทธิ์
ร่วมขบวนการ ก่อบทเพลงชีวิต ให้สดใส
และจูงมือเอ่อไหลรวมกัน ณ ห้วงสมุทร เป็นจุดสุดท้าย
แม้ยามตาย มันก็ทอดร่าง ให้ลูกหลาน ได้ประโยชน์
และยามถูกโค่น โดยมนุษย์ ผู้หยาบช้า
ร่างของมัน ก็ยังมาทำที่อยู่อาศัย
ใช่แล้ว มันมีสิทธิภูมิใจ ในคุณค่าของตัวเอง
แต่สำหรับเธอ ผู้เรียกตัว อย่างหยิ่งผยองว่า "มนุษย์"
ภูมิใจในศักดิ์ศรี ของตัวเอง ยิ่งนัก
เธอได้ทำประโยชน์อะไร ให้แก่ชีวิตอื่นๆ ?
เธอมีดีอะไร ถึงชอบอวดดี ?
หรือว่าเธอ มีเงินทองไว้จับจ่าย อย่างสุขสบาย ?
หรือว่า วันวันผ่านไป ด้วยการดิ้นรน เพื่อปากเพื่อท้อง
เพื่อครอบครัววงศ์วาน
เพื่ออาณาจักรน้อยๆ ของตัวเอง ?
หรือว่า เที่ยวหาต้นรักตามทาง
ซ่อกๆ ดีดดิ้นแสวงหา
วันทั้งวัน มีแต่เรื่องของความรัก
วันทั้งวัน มีแต่ฉันและเธอ ?
ออเซาะ อ๋ออี๋ตลอดปีตลอดชาติ
เดี๋ยวงอน เดี๋ยวน้อยใจ เดี๋ยวร่วน
ผูกมัดหวงแหนกัน ราวกับหนอนในอาจม
คงจะเป็นศักดิ์ศรี ในความเป็นมนุษย์ ของเธอซินะ ?
หรือว่า เลือกเฟ้น กินแต่ของดีๆ อร่อยๆ
จะอยู่หลับนอน ก็เลือกอย่างที่สบายละเอียด
หรือว่าเที่ยวเตร่ เฮฮา สนุกสนาน
ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เล่นการพนัน ทั้งหวยเบอร์
เที่ยวบาร์ ไนท์คลับ อาบอบนวด ?
หรือว่าแต่งตัวให้บรรเจิด เพริดแพร้ว
ถ้าเห็นแววอิจฉา หรือน้อยใจจากผู้อื่น ก็แสนที่จะภูมิใจ ?
หรือว่า ทรวดทรงทุกส่วนสัด
จะต้องอัดให้เต็มปรี่ ยั่วยวนราคะ
ใครเห็น ก็หื่นกระหายอยากปล้ำ ?
หรือว่าวันๆ เที่ยวคุยแต่ตัวเก่ง
จับผิดคน เป็นอาหารว่าง
ชอบถกวิจารณ์ แต่ความชั่ว ของคนอื่น
สนใจแต่เรื่องของชาวบ้าน
ยิ่งเรื่องลามกก็ยิ่งชอบ?
ชีวิตก็มีเท่านี้
นี่หรือ สิ่งที่ควรหยิ่งผยอง
เธอเคยคิดถึง หัวอกคนอื่นบ้างไหม ?
เคยหาวิธี พัฒนาตัวเอง ให้เป็นคนดี มากน้อยเพียงใด ?
หรือว่าวันวัน ใส่ใจแต่เรื่อง ผลประโยชน์ของตัว
เมื่อเธอยืนเด่นตระหง่าน
เธอได้ปกป้อง ผู้ต่ำต้อยแค่ไหนกัน ?
หรือว่ากลับกดหยาม ให้หนักไปอีก ?
เธอได้สร้างความเย็น ให้แก่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพียงแค่ไหน ?
เคยคิดจะสละ ให้แก่ผู้อื่น เพียงใด ?
ให้ความชุ่มชื้น แก่ธารมนุษย์ ในแง่ไหน ?
แท้จริง เธอมิได้สูงอย่างที่คิด
ถอดรองเท้าที่หลอกเธอ ให้สูงกว่าความเป็นจริง ทิ้งเสีย
อย่ายืนเชิดอก ยืดตัวตรง
และอย่าค้อมหัว
แต่จงคลานไป
ให้หลังไหล่ ต่ำกว่ายอดหญ้า
ให้ทั้งมือทั้งขา สัมผัสดิน
เพราะนั่นคือ สภาพที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
ในฐานะ "เศษสวะสังคม"
ดอกหญ้า
4 เมษายน 2521
ผู้ "รู้เห็น" จิตของตน ที่ชั่วที่เลวได้ ในปัจจุบัน
หรือในขณะที่เกิดโลภะ เกิดโทสะอยู่ทีเดียว ทันทีนั้นๆ
รู้แท้ เห็น "ความเกิด" ของจิต ว่ามันยัง"เกิด"อยู่
เห็น "ความตั้งอยู่" ของจิตว่ามันยังมีอยู่ ยังทรงอยู่
แม้ยังทำให้มันหายโทสะ หยุดโลภะสนิทไม่ได้
แต่ทำให้มันลดลงได้
ก็ยังเรียกว่าเป็น "พระอริยะ" ในบัดนั้นทีเดียว
สมณะโพธิรักษ์
สงบจิต สงบใจ ไว้เถิดนะ
อัน..."ธัมมะ"... ย่อมชนะอธรรมได้
เมื่อโลกยังหมุนเวียน เปลี่ยนกาลไกล
ความเป็นไปของมนุษย์...ฤา...หยุดตรง
ทุกสิ่งสิ้น...จีรัง...ดังได้เห็น
มนุษย์เป็น..."สัตวโลก"...โชคประสงค์
"วัฒนธรรม"...กำหนดกฎมั่นคง
โลกเลวลง...โทรมทรุด...มนุษย์ทำ !
อารดา
อันสื่อสาร มวลชน คนชมชอบ
มีเขตขอบ คุณค่า มหาศาล
ช่วยเพิ่มพูน ปัญญา วิชาการ
อีกทั้งด้าน หรรษา คลายอารมณ์
แต่ถ้าสิ่ง นี้ไซร้ ให้ยาพิษ
ใครเสพติด อนิจจา พาขื่นขม
หากเป็นเด็ก ไร้ปัญญา ยิ่งน่าตรม
เหมือนติดหล่ม ชั่วแท้ แก้ยากเอย
สวัสดิ์ สุวรรณอักษร
ชีวิต ต้องการอะไรมากไปกว่า การงานที่ดี
ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน
ผู้ที่ทำงานน้อยๆ แต่เอาเงินมากๆ
นั้นคือผู้สร้างปมด้อยให้กับชีวิต
ผู้ที่ทำงานที่ดีให้กับโลกเขามากๆ
โดยไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย
นั้นคือผู้ประเสริฐอย่างแท้จริง
สมาหิตะ
มนุษย์ถูกเกณฑ์ให้วิ่งไป
บนลู่กรีฑาแห่งชีวิต
ทุกคนวิ่งอย่างสุดความสามารถ
ไม่มีเวลาแม้แต่จะคิด
ว่ากำลังวิ่งไปสู่ทิศไหน
เป้าหมายเบื้องหน้าคืออะไร
ด้วยความกลัวว่าการหยุดลงชั่วขณะ
จะทำให้อยู่ล้าหลังผู้อื่น
ที่สุดของการเดินทาง
ล้มลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
พร้อมกับความฉงน
ต่อสิ่งที่ตนแสวงหาและได้มา
ตลอดวันเวลาแห่งการเดินทาง อันยาวนาน
เพียงผืนอันยาววากว้างศอก
เท่านี้หรือชีวิต
21 ส.
คาถากันเปรต
นโม นโม เอาละนะ
ต่อไปนี้คือ งานที่สำคัญที่สุดของเรา
นโม นโม สำรวมกายใจ ให้สงบ
นี่คืออาหาร อาหาร อาหาร
อาหารที่จะทำให้เรา มีลมหายใจ
สมองเตรียมพร้อมไว้ หัวใจตั้งตรง
อาหารมื้อนี้ เราไม่ได้กินเล่นๆ
เราจะเติมเหมือนรถเติมน้ำมัน
นโม นโม โอมเพี้ยง
ด้วยลูกตา สื่อแห่งดวงใจ
เจาะลึกเข้าไปๆ
อาหารมื้อนี้ ไม่ได้เอาเลือดใครเนื้อใครมา
อาหารมื้อนี้ ไม่ได้ถูกฆ่าถูกทุบ
บริสุทธิ์แสนบริสุทธิ์
เวลาเดินจะได้ไม่ต้องสะดุ้ง ด้วยเนื้อของเพื่อนเรา
นโม ด้วยหัวใจที่ใฝ่หานิรวาน
เลือดเนื้อในกาย จงไหลไปมาอย่างสงบ
ลมหายใจของเรา จงแผ่วเบาอย่างวิเวก
อ้าปาก เติมลงไป ๆ
ให้ความไม่ดีดดิ้นแห่งอาหาร แล่นซ่านไปทั่วทุกขุมขน
ให้ความเป็นพืชผัก เกาะกุมแน่นอยู่ในหัวใจ
ไม่แคร์ ไม่ขอ ไม่เอา ไม่ร่าน ไม่รน ไม่ทุกข์
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เฉยๆ
เคี้ยว ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ อย่างใจเย็น
ช้าไว้ ๆ ๆ จ้องทุกคำที่ถูกเคี้ยว
ให้ละเอียด ให้แหลกก่อนถูกกลืน
ดัดสันดานมูมมาม ชอบตะกละ ที่ชอบรีบๆ เคี้ยวกิน
สงบไว้ ๆ ดูตัวเองเคี้ยวอย่างสุขุม อย่างผู้ดี
การเติมเชื้อเพลิงให้แก่ร่างกาย
เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของชีวิต
ให้ความสำคัญแก่มัน ให้เกียรติแก่การกิน
อย่าได้ทำให้การเคี้ยว ต้องเสียศักดิ์ศรีไป
อย่า อย่า อย่า อย่า จงพอใจในรสที่เรากิน
ไม่ต้องเติมพริกเติมน้ำเปรี้ยว
ไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือน้ำเค็ม
ไม่ต้องเติมอะไรทั้งนั้นแหละ
หัดกินไม่อร่อยซะบ้าง
เรามาเติมน้ำมันนะ
ไม่ใช่มากินอย่างสนุกสนาน
อย่าคิดกินสนุก แต่จงกินจริงๆ
โอม ! ดีแล้ว ๆ จืด ๆ ชืด ๆ อย่างนั้นแหละดีนัก
เคี้ยวลงไป เคี้ยวลงไป
คอยจับเจ้าจิตวายร้ายซิ
ที่คอยตะโกนจะใช้เรา ให้เติมนั่นเติมนี่อยู่เรื่อย
เป็นไง ชักกินไม่อร่อยแล้วละซี
เห็นทุกข์ที่ตัวเอง ติดรสชาติบ้างไหม
นี่ไง ๆ อุ๊ย ! กิเลสพันธุ์แท้
โอม ! เราจะกินทีละอย่าง
โอม ! เราจะกินทุกอย่างในทีเดียว
แยกเราก็จะฝึก แบบรวมเราก็จะหัด
ข้าวเปล่า ถั่วคั่ว ผักสด กินทีละอย่าง
แกงเขียวหวาน ข้าวเหนียวทุเรียน เทปนกัน
กะอึ๊ด ๆ อย่าร้องไห้ สู้เขา ๆ
นโม นโม เอาละ ๆ
ยังเหลือคาถาบทสุดท้าย
พุทธะ พุทธา ชอบอะไรอย่ากิน
อดไว้ ข่มไว้ ฮึ่ม !
ให้มันดิ้นกระด๊อกกระแด๊ก ทนไว้
วิริเยนะ ทุกขมัจ เจติ
คนล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
สู้มัน สู้มัน อย่ายอม
โอม! ....
พุทธาวตารเพื่อปราบเหล่าอธรรม ให้สิ้นเกลี้ยง
พุทธบุตรก่อเกิดรับอริยมรรค อมตธรรม
นโม นโม ด้วยคาถาบทนี้
ขอให้มีชัยต่อลิ้นของเราเทอญ
กองหลัง 189
14 กรกฎาคม 2521
หน้า ๗
เม็ดทราย หน้า 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |