งานพุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๓๗ ที่ พุทธสถาน ศาลีอโศก
 ธรรมที่เป็นพุทธ ตอนที่ 4 |
560228_สรุปเนื้อหา ทำวัตรเช้างานพุทธาฯครั้งที่ ๓๗ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์

ธรรมะพระพุทธเจ้า ทำให้คนเปลี่ยนไป อย่างพวกเรามี ที่มา ๓๐ ปีขึ้นไป ลองยกมือขึ้น.... ก็มีไม่น้อย มีชีวิต มาอยู่ในระบบนี้ ถึงขั้นสาธารณโภคี เป็นชีวิตที่เห็นชัดเจนว่า แปลกแยกจาก ชีวิตมนุษย์ธรรมดา อยู่กันคนละ ความมุ่งหมาย ตั้งแต่สติ (ความระลึกรู้ตัว) ซึ่งสติของเขา ถ้ามีแต่สติ แต่ไม่มีสัมปชัญญะ ก็จะรู้อย่างสามัญ จะมีกิเลสร่วมปรุง แต่ถ้าเป็นผลจากสติ ความตื่นรู้ทางทวาร ตื่นมาสัมผัส ขณะสัมผัสแล้ว เราก็ไม่มีเจตนามุ่งหมาย ไม่มีการกำหนด สัญญาไม่มีกำหนด เจตนาก็ไม่มี ผัสสะก็ล่องลอย (นามธรรมมี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ)

ซึ่งในอวิชชาสูตร มีการคบสัตบุรุษ ได้ฟังสัทธรรม มีศรัทธา มีโยนิโสมนสิการ และก็จะมี สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ แต่ถ้าไม่มี มันก็จะปล่อยว่าง ปล่อยวาง เขาว่ามีจิตว่างๆ สบาย ลอยๆ ที่เขาสอนกัน ส่วนใหญ่ก็จะให้ปล่อย ให้สบาย แต่ไม่ค่อยตั้งตน บนความลำบาก ไม่มีสัมมาวายามะ ไม่มีสัมมาสติ ที่จะช่วยกัน กับสัมมาวายามะ ที่จะให้เกิด สัมมาสมาธิ ตามมรรค องค์ ๘ เราก็ต้องรู้ มีสติสัมปชัญญะ มีสัมปชานะ ต่อเนื่องอย่างมี ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีความเพียรพยายามอยู่เสมอ เป็นความเพียรให้เกิดผล ให้รู้ว่าในขณะนี้ เรามีการลดละอย่างไร

พ่อครูที่เทศน์ในวันที่ผ่านมา ได้ไล่เรียงในปฏิจจสมุปบาท เรื่อง ชาติก็มี ชาติ สัญญาชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ต่อมาก็ได้ไล่เรียงในเรื่อง ภพ อุปาทาน ตัณหา เวทนา

ในเวทนาก็มี ๖ อย่างที่เกี่ยวข้อง ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสกาย ใจกระทบธรรมารมณ์ ก็ต้องมีทวารทั้ง ๖ เสมอ เมื่อสัมผัสก็มีอายตนะเกิด

ต้องรู้จักนาม-รูป ซึ่งนามธรรม มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ถ้าเราปล่อยไป ไม่กำหนด จะไม่รู้นามธรรม เหล่านี้ชัด เช่นเรื่อง เวทนา ทั่วไปเขาให้ปล่อยลอย สบายๆ เมื่อการนั่งสมาธิ แต่เมื่อจะศึกษา ก็เอาตำรามาอ่าน ซึ่งไม่ได้ฝึกฝน ให้ระลึกรู้ ในทุกอิริยาบท ให้ฝึกสังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเตมัตตัญญุตา (รู้ประมาณ และจัดการว่า เรามัวเมาอะไรอยู่) ให้มีชาคริยานุโยคะ เมื่อสัมผัสแล้ว มีเวทนาอย่างไร กำหนดรู้ตามที่เรามีเจตนา ซึ่งเจตนาก็คือ ตัณหา เจตนาในปุตตมังสสูตร เรื่องมโนสัญเจตนา ท่านให้กำหนดรู้ ตัณหา ๓ (กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา) ขณะที่เราสัมผัส มีเจตนาหรือไม่ มีการอยากคือ ตัณหาแบบไหน มันไม่ผลักมันก็ดูด หรือไม่ก็เฉยๆ มีสายกาม กับสายพยาบาท นั่นเอง ในสังกัปปะก็มี กามกับพยาบาท ส่วนวิหิงสา เป็นส่วนละเอียดของกาม พยาบาทของแต่ละคน ต้องอ่าน โดยอาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ให้ชัดเจน

เมื่อเรารู้เจตนาชัด หรือความอยากชัด เราก็อย่าให้มันเกิด คืออย่าให้มีชาติ มีภพ อย่าให้มันอยากดูด อยากเสพ ก็จัดการอย่างมี สติสัมปชัญญะ มีสัมปชานะ มีวิจัย รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรดี อะไรเป็นตัวการของมิจฉา ๓ เป็นมิจฉาสังกัปปะ ในขณะสัมผัส นี่คือ ขบวนการของมนสิการ เรามีเจตนา มีความต้องการละกิเลสหรือไม่

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ก็จะไม่ได้กำหนดรู้ ซึ่ง ทุจริต ๓ เป็นอาหารของนิวรณ์ ๕ เราต้องรู้กรรม ๓ (กาย วจี มโน) ของเราให้พร้อม รู้ตั้งแต่กายนอก ที่สัมผัสทางทวาร และเรามีกายกรรมอย่างไร อิริยาบทอย่างไร กำลังทำอะไร ทำสิ่งนี้ เป็นการงานมีโทษหรือไม่ มีเจตนาไปร่วมปรุงอย่างไร มีผัสสะทางทวาร มีเจตนาไปสู่การพ้นทุกข์หรือไม่ การพูดก็พูด ทำก็ทำ ในจิตเรา ก็อ่านสังปัปปะ ๗ มันเริ่มดำริอย่างไร ขณะทำงาน มีกายสังขารปรุงแต่ง จนเป็นการทำงาน จนเป็นอาชีพ ที่เป็นกายนอก เป็นสิ่งที่เป็นมิจฉา ๕ ของอาชีวะ เป็นมิจฉา ๓ ของกัมมันตะ เป็นมิจฉา ๔ ของวาจาหรือไม่ เราแยกแยะออก มิจฉาหรือสัมมา แล้วมีการพิจารณาจัดการ เอาอกุศลออก ทำแต่กุศล อันไหนเป็นอกุศลที่กาย หรือวาจา หรือใจ จัดการเอาออก โดยปหาน ๕ จนสำเร็จเป็น นิสสรณะปหาน ให้ได้ก็จะเกิดผล สัมปัชชลติ ก็เกิดสภาพ ลดละจางคลาย ก็ให้เห็นอนุปัสสี ตามเห็นว่า มันลดละได้ เราจะเห็นว่าจิตเจริญ เป็นจิตจางคลาย มันดับได้จริงๆ เราก็รู้ว่า เราทำวิปัสสนาวิธี ที่มีสมถะช่วย เป็นการสังขาร อย่าง ปุญญาภิสังขาร (อ่าน ปุน-ญา- พิ-สัง-ขาน) พร้อมกับการปฏิบัติการงาน

กายสังขาร จิตสังขารก็มี พร้อมกับวจีสังขาร ก็มีพร้อมไปด้วยกัน จะเป็นคนจากที่มีอวิชชา มีสังขารปรุงแต่งไปหมด มีกิเลสปนร่วม อย่างไม่รู้ตัว พอมาศึกษา ให้รู้สติ มีการทำใจในใจ ให้คิดอย่างไร ก็ให้รู้ตัว

หลักการพระพุทธเจ้า มีมากมาย ที่สาธยาย เป็นการร้อยมาลัย ที่เกิดจากการสังขาร ในการปฏิบัติ ก็มีสังขารทั้ง ๓ ถ้ามีสัมมาปฏิบัติ ก็จะจัดการกับสังขาร ๓ ได้ กำจัดมิจฉา ๓ ของกัมมันตะ มิจฉา ๔ ของวาจา มิจฉา ๓ ของสังกัปปะ เราก็จะรู้ว่า เรามีกามาวจรภูมิหรือไม่ เราเป็นกามาภิพูหรือไม่ เป็นอนาคามีก็จะรู้ได้ ถ้าสังขารปรุงแต่ง ก็จะไม่มีกาม

ในวจีสังขาร เราก็จะรู้ สังกัปปะ ๗ เราก็รู้ว่า มีกามาธิกรณะ เป็นกามานุสารี เป็นกามาธิกรณะ มีกามาวจรกิริยา มีกามาวัฏฏะ มีกามาวจรวิบาก เป็นกามาสวะหรือไม่ แม้จำภาษาไม่ได้ แต่ก็ให้ตามสภาวะ จนกว่าจะเป็น กามาภิพู สามารถครอบงำความใคร่ได้ กำจัดกามได้หมด

เมื่อจิตเข้าสู่อนาคามี จิตก็จะมีนิโรธแท้แล้ว ให้ตรวจของแต่ละคน ในกามตั้งแต่อบายภูมิ เราสัมผัสกับกามตอนนี้ มันก็สังขารอย่าง อปุญญาภิสังขาร มันผ่านปุญญาภิสังขารแล้ว เป็นกามาภิพูแล้ว เป็นจิตที่ยิ่งใหญ่

เมื่อปฏิบัติ เราจะรู้สังขาร ๓ เราจะรู้ว่า เราปฏิบัติได้ กายสังขารเราก็มี องค์ประชุมภายนอกภายใน เราก็รู้ ใน มีอัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ เราก็มีการกำหนดรู้ เรามีการทำใจในใจ รู้มโนปวิจาร ๑๘ ในอนาคามี จะรู้ รูปาวจร อรูปาวจร ซ้อนอยู่ ต้องรู้อาการ และมีนิมิต คือการกำหนดหมายรู้ อย่างอนาคามี ไม่มีกามหยาบภายนอก แล้วไม่ใช่ภูมิโสดาฯ สกิทาฯ ไม่มีกามที่ก่อเรื่องแล้ว ไม่มีแรงของกาม ที่จะมาบังคับเรา ให้แสดงออก แต่มันอยู่ที่ใจ มันไม่ออกมาหาวจี แต่มันยังมีวจีสังขาร เป็นผีร่วมปรุงอยู่นะ เป็นมโนกรรม เป็นกิริยาของใจอยู่ ถ้าไม่แรงก็เป็น รูปาวจร หรือถ้ามันนานๆทีมี ก็เป็นอรูปาวจร มันเป็นชั้นสูงแล้ว เป็นกามาภิภู เป็นอนาคามีในระดับ อรูปาวจร ขั้นอรูปฌาน กำลังใช้ไฟฌานผลาญเผา ซึ่งระดับกามาวจร เราผ่านมาแล้ว มันไม่มีแล้ว ระลึกดูอดีต ว่าเราสัมผัสมา ได้ปฏิบัติมา ทุกอิริยาบท มีจรณะอยู่ มีสติปัฏฐาน ๔ อยู่ ตรวจสอบโดย เจโตปริยญาณ ๑๖ มันเลย สังขิตตัง วิขิตตังหรือยัง มันมีมรรค มีผลก็รู้ ตอนนี้เป็นฌานขั้นไหน ในฌาน ๑ ก็ยังวิตกวิจาร ยังตั้งตนบนความลำบาก เป็นเนกขัมมะ โทมนัสเวทนา แต่มันก็มีปีติสุขซ้อน แต่ก็ยังไม่สบายนัก ยังไม่ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ต้องคุมเคร่ง ระมัดระวังอยู่ จนกว่าจะทำได้ อย่างแคล่วคล่องชำนาญ จนกิเลส มันถูกกำจัดทำลาย เรามีการสังวรปธาน มีปหานปธาน เราก็ทำให้ได้ผล ภาวนาปธาน แล้วก็รักษาผล อนุรักขณาปธาน ฌาน๑ ก็ลดลง มีปีติสุข สบายขึ้น มันไม่ได้ดับปีติ แต่มันเบา ให้เป็นแค่ผรณาปีติ อย่าให้เป็นอุพเพงคาปีติ เหมือนจุนสีในน้ำ ให้แผ่ซ่านไปทุกซอกมุม อย่าให้แรงอย่าง อุพเพงคาปีติ ต้องให้แรงๆ เป็นมาซูคิส หรือซาดิสม์

ถ้าอุเบกขาอย่างไม่เป็นปีติแล้ว แต่มีสุขที่เบาบาง คุณก็ต้องรู้ว่า เราได้สิ่งดีแล้ว ดีที่สุดก็คือ สุญญตา คือความว่าง คือนิโรธ มีแต่ความผ่องใส ปภัสสรา การงานก็ทำอยู่  องค์ ๕ ของอุเบกขา คือ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา มีอเนญชาภิสังขาร จิตตั้งมั่นแข็งแรง แม้มีการงานอย่างไร เป็นการงานที่ไม่มีโทษอย่างไร ก็ตั้งมั่น มีลักษณะ ๕ ของอุเบกขา มีลักษณะ ๖ ของฌาน

ปริสุทธา คือแม้ปรุงแต่งอย่างไร ก็ผ่องแผ้ว จิตก็แววไวมุทุภูเต จะปรับเปลี่ยนไว จุดปุ๊ปติดปั๊ป เปิดปิดไว มันมีทั้งอัปปนา (แน่วแน่) พยัปปนา (แนบแน่น) เจตโส อภินิโรปนา (ปักใจมั่น) สั่งสมเป็นจิตที่ตั้งมั่น มีอเนญชา

เราจะรู้ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขารอย่างไร มีจิตมุทุภูเต มันรื่นราบ มันคล่องตัว มีความเร็ว เป็นชะวะนะจิต ทำอะไรได้เร็ว เหมือนเข้าเกียร์อัตโนมัติ ได้เร็วเลย มันก็อยู่ที่การฝึก เรามีพื้นฐาน ในการเรียนรู้ ปฏิบัติมา ยาวนาน ถ้าไม่มีพื้นฐานก็เห็นใจ นี่ก็จะเต็ม ทศวรรษที่สี่แล้ว

การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าไม่แยกปฏิบัติ ในทวารทั้ง ๖ ตั้งแต่กายนอก มันก็เป็นเหตุ อยู่ที่ภูมิธรรมเรา ที่จะอ่านทันหรือไม่ ตั้งแต่ กามาวจร หรือรูปาวจร หรืออรูปาวจร ในโสดาบัน ก็ยังไม่หมดกามเลย ก็ยังไม่ต้องไปคิดถึง ภวานุสัย ให้ทำในกามรส กามวัฏฏะ กามาวจรกิริยา กามาวจรวิบาก กามุปาทาน เรายังมีอยู่เลย  เราจะรู้ว่า กามคืออะไร เป็นอัตตา เป็นตัวตนของกิเลส กามกับอัตตาคือ สภาวะตัวตนกิเลส ถ้าเราหมดกามานุสัย เป็นอนาคามี ก็มีแต่ภวานุสัย ในอนาคามีเบื้องต้น เป็นภวานุสัย แล้วก็มีปฏิฆานุสัย ซึ่งในอนุสัย ๗ จะมี

๑.กามราคะ (ความดึงดูดกำหนัดในกาม) อนาคามีภูมิ กามานุสัยจะหมด แต่จะเหลือ รูปราคานุสัย เป็นภวานุสัย และก็ยังมี
๒.ปฏิฆะ (ความผลักไส ขัดเคือง ขึ้งเคียด)
๓.ทิฏฐิ (ความยึดถือความเห็นเป็นตนของเรา) ถ้าอนาคา
๔.วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย)
๕. มานะ (ความถือตัวทั้งหลาย)
๖. ภวราคะ (ความอยากในภพ)
๗. อวิชชา (ความไม่แจ้งในอาริยสัจ)

ก็ให้ตรวจสอบขั้นปลาย คืออนุสัย ในตัวละเอียด ในเรื่องสังโยชน์ เป็นโครงสร้าง อย่างหยาบๆ แต่เรื่องอนุสัย เป็นเรื่องละเอียดลงไป ก็ต้องตรวจ ในเศษเล็กเศษน้อย โดยใช้อรูปฌานตรวจสอบ ตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบอีก ให้พ้น อากาสานัญจายตนฌาน วิญญานัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นการเผาขั้นละเอียด เปรียบกับ การขัดมัน ขัดเงา ในงานปั้นงานเผา นี่คือ อรูปฌานของพุทธ

ในสัตตาวาส ๙ เป็นการตรวจขั้นละเอียดคือ

  1. สัตว์บางพวก กายต่างกัน สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์ เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะ บางเหล่า คือองค์ประชุม ในขั้นอรูป ที่ปรุงแต่งกันอยู่ ในวิญญาณระดับพื้นฐานปุถุชน เช่น วิญญาณมนุษย์ ผี เทวดา สัตว์นรก มนุษย์ ที่เป็นธาตุรู้ เราก็จะได้ศึกษา ซึ่งปุถุชนเป็นวิญญาณฐีติ ข้อนี้หมด คือต่างกันไปหมด แม้แต่แฝดแท้ๆ ก็มีส่วนต่างกันอยู่บ้าง ถ้าไม่แฝด ยิ่งมีความต่าง ตั้งแต่มหาภูตรูป โฉมกายก็ต่างกันแล้ว  มนุษย์โลกนี้ กับมนุษย์โลกดาวอังคาร ที่เขาจินตนาการ ก็ต่างกันไป เรามีการกำหนด (สัญญา) ที่ต่างกัน กำหนดเทวดา ก็ต่างกัน ทั้งกายก็ต่าง สัญญาก็ต่าง แม้แต่เรียนกัน ในเจ้าเดียวกัน เช่น พระพุทธเจ้าเขาปั้น ก็ต่างกัน ที่สำคัญคือ คนปฏิบัติธรรม ของพุทธกับของฤาษี จะมีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่น ฌานของพุทธ กับฤาษี เขาก็จะต่างกัน

๒. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น. เอาแค่รูปนอกก็ต่างกัน คนหนึ่งหลับตา ของพุทธลืมตามีผัสสะ ซึ่งกายในก็ต่างกัน เช่นความสงบของจิต แบบพุทธ สงบทั้งที่ลืมตา มีกิริยาอยู่ สงบยังพูดอยู่เลย พูดดังด้วย เช่น ขณะพ่อครูพูด ก็มีจิตสงบ จิตเมตตาอุเบกขา ทำงานอยู่เลย เมตตาคือการทำงาน มีกิริยา มีสมรรถนะ มีพฤติภาพ เป็นองค์ประชุม แม้จะสัญญาอย่างเดียวกัน อย่างสัญญาเรื่อง ฌาน ๑ ไม่ว่าฤาษีหรือพุทธ ก็กำหนด ไม่ให้มีนิวรณ์เหมือนกัน แต่องค์ประชุมในกาย วาจา ใจ ก็ต่างกัน ความรู้สึกก็ต่างกัน ของฤาษีอยู่ในภพ รู้แต่ข้างใน แต่กำหนดว่า ไม่มีนิวรณ์เหมือนกัน

๓. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพ อาภัสราพรหม  (ว่าง..ใส.. สว่าง.. แผ่กว้าง) . อันนี้ไปถึงอรูป ผู้ได้กายว่างๆเหมือนกัน แต่ว่างลืมตา กับว่างหลับตา มันก็ต่างกันมาก แม้แต่ว่า ไปนั่งหลับตา ปั้นแสง ก็ได้ต่างกัน ไม่มีค่าวัดได้ เขาได้แสงสว่าง ไม่มีที่สิ้นสุด และจะปั้นใสอย่างไรก็ได้ เขากำหนดว่า ใสแค่นี้โสดาฯ ใสแค่นี้ สกิทาฯ อนาคาฯ เขากำหนด ก็ไม่มีมิเตอร์วัดหรอก แต่ของพุทธก็ว่างก็ใส แต่ก็ใสต่างกัน อรูปฌานแต่ละคน ก็ต่างกัน ซึ่งเมื่อปฏิบัติถึงอรูปฌาน ก็มีลักษณะคุณสมบัติ อุเบกขา ของแต่ละคน ก็ของแต่ละคน แต่มีกายอย่างเดียวกัน คือว่างแล้ว แต่สัญญาแต่ละคน ต้องกำหนดความว่าง ของแต่ละคน จะต่างกันไป ยิ่งของผู้ลืมตา ยิ่งว่างต่างกันเยอะ เพราะคุณต้อง ปรุงแต่งทำงาน ต้องกำหนดให้ดี อ่านจิตเลยว่า จิตเราว่าง ไม่มีกิเลสมาปรุงร่วม แต่ต้องกำหนดหมายเอง

๔. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพ.. สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ขั้นนี้สูง ในองค์ประกอบ ทั้งกายและจิต แม้แต่ในจิตสังขาร วจีสังขาร มันว่างจริงๆ ถ้าเป็นนิโรธลืมตา ก็จะดับกิเลสว่างไปหมด แต่สายฌานฤาษี เขาจะดับมืดหมดเลย ในองค์ประชุม เขาถือว่านิโรธ เขานั่งหลับตา เขาไม่เรียกว่า เขามีวิญญาณ เขาถือว่า ถ้ามีธาตุรู้ มันยังไม่ดับ ของพุทธนิโรธอย่างสว่าง อย่างรู้ แม้อากิญจัญญายตนะ ฤาษีเขาก็พยายามดับ ไม่ไห้รับรู้อะไร แต่ที่จริง จิตมันเป็นธาตุรู้ มันก็ต้องฟื้นมารู้ แต่คุณก็จะต้องดับมันอีก เขาก็ทำ ให้เป็นวัน เป็นหลายวันเลย เช่น อาฬารดาบส เป็นอากิญจัญญายตนฌาน แต่อุทกดาบส เก่งกว่าก็ดับต่อ เพราะรู้ว่า อากิญจัญญฯ ยังมีแวบเล็กน้อย จะรู้ก็ดับมันอีก เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน เป็นสูงสุดของ อรูปฌานฤาษี

ของพุทธนั้น ที่เราดับเป็นสุภกิณหา ก็มีอยู่ เป็นรูปฌานอยู่ แต่ลืมตาอยู่ มีผัสสะอยู่ ของพุทธก็ต้องตรวจ ความไม่มีกันต่อ ตั้งแต่อากาสาฯ ความว่างมีไหม แล้วก็ตรวจ วิญญานัญจาฯ ในการเกี่ยวข้อง สัมผัสทวาร ๖ ว่ายังสะอาดอยู่ ตลอดเวลาหรือไม่ ตรวจว่า มันยังมีอะไรอีก แม้เล็กน้อยหรือไม่ เป็นอากิญจัญญาฯ และก็ตรวจไปถึงสัญญา ในเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ในสัญญากำหนดรู้ทุกอย่าง ให้พ้นความไม่รู้ ก็เข้าสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ คือใช้สัญญากำหนด เคล้าเคลียอารมณ์ ทุกเวทนา ๑๐๘ จนครบสามกาละ อดีต ปัจจุบัน อนาคต ทั้งอารมณ์ ๓ มันมากองที่ เนกขัมสิตะอุเบกขาหมดเลย มีองค์คุณ อุเบกขา ๕ (ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา)

๕. สัตว์บางพวก ไม่มีสัญญา ไม่เสวยอารมณ์ เช่น เทพจำพวก “อสัญญีสัตว์” (อุทกดาบส ทำนิโรธสมาบัติ ดับจนไม่รับรู้อะไร)
๖. สัตว์บางพวก เข้าถึง.. อากาสานัญจายตนะ (พ้นรูปสัญญา)
๗. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น.. วิญญาณัญจายตนะ (พ้นเสพความว่าง)
๘. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น.. อากิญจัญญายตนะ (ดับดิ่งไม่มีอะไร) 
๙. สัตว์บางพวก เข้าถึงชั้น.. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ดับๆ รู้ๆ)

ในเจโตปริยญาณ ๑๘ เราจะรู้จิตของเรา ว่าเจริญขึ้นหรือไม่ มีอะไรเหลืออยู่ ที่เป็นกุศล ตรวจต่อไปว่า เรายังไม่จบ จิตที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก ไม่ต้องรีบร้อนตัดสินจบ สั่งสมเป็นความตั้งมั่น แล้วยังมีอวิมุติใด เหลืออยู่อีก ก็ตรวจอีก มันวิมุติแล้ว แต่ต้องตรวจอีก ก็ไม่มีภาษาแล้ว ก็ใช้คำว่า อวิมุติ ในการตรวจอีก ในกิจญาณก็คือ การลดละกิเลส ในทุกอิริยาบท ทุก

สัมปชัญญะ   = ความรู้ต่อจาก การมีสติรู้สึกตัว
สัมปชานะ    =  ความรู้สึกตัว ในการปฏิบัติอยู่
สัมปาเทติ    =  เหตุไปสู่การละเลง เพื่อสัมปัชชติ
สัมปัชชติ    =  ความรู้จากการแยกแยะขจัด
สัมปาเปติ   =  การสังเคราะห์กันขึ้นอย่าง อวจร
สัมปฏิสังขา  =  ญาณรู้จักการทบทวนกระทำซ้ำ .
สัมปัชชลติ   =  เข้าสู่การโหมไหม้ สว่างเรืองรอง
สัมปัตตะ, สัมปันนะ  =  การเข้าบรรลุผล .
สัมปฏิเวธ   =  ความรู้ที่รู้แจ้งแทงตลอด 

ในกายสังขาร จิตสังขาร เรามีอภิสังขาร อยู่กับสังคม อย่างมีสติสัมปัชชัญญะ อย่างผู้รู้ตื่น เบิกบาน แม้แต่ฝัน ก็ไม่ฝันเลอะเทอะ คนที่มีจริตทาง มีรูปมีเรื่อง ก็ฝันมีรูปเรื่อง คนสายปัญญา จะไม่มีรูปมีร่าง เวลาฝัน แม้จะเป็นพยัญชนะ ก็มีจะบอกเรื่องราวบ้างได้ ในสายดับจิตเขาถือว่า ผู้บรรลุธรรม จะไม่มีฝันเลย สายปัญญาที่ปฏิบัติอย่าง ไม่มีเจโตสมถะ มีแต่โลกุตระ จะฝึกดับได้บ้าง ก็ทำได้ ก็จะฝันไม่มาก จะไม่ฝันร้าย คำว่าร้ายคือ จิตมันปะทะมีความรุนแรง แต่ถ้าไม่รุนแรง ก็มีรสอื่น ตามฐานะ โสดาบันก็จะมีรสสุข อร่อยเพลิดเพลิน สกิทาฯก็ลดลง อนาคาฯก็จะน้อย มีแต่นิมิต หรือเป็นสภาพอื่น คนที่ไม่ฝึกก็จะมีรูปเรื่องไปตาม ที่สำคัญ เราต้องอ่านอารมณ์เสพ อารมณ์ปรุง แม้แต่ลืมตา ก็ฝึกอ่านรู้ อารมณ์เสพ อารมณ์สุข ปรุงไปตามเจตนาที่เป็น กามตัณหา หรือ ภวตัณหา แต่เราจะมีเจตนาที่เป็น วิภวตัณหา จะไม่มีสัตว์ร้าย มีแต่จิตเทวดา พาสะอาด พาเจริญปรุง ก็อ่านอีก ว่าเรามีมาเป็นเรา เพื่อเรา ของเราหรือเปล่า ถ้าปรุงเพื่อตัวเอง มีความรัก มิติที่เท่าไหร่ ให้มีเลยมิติที่ ๗ เพื่อผู้อื่น เพื่อจักรวาล ก็ดีเลย แต่เราช่วยได้ เท่าที่เราเอื้อเฟื้อเกื้อกว้าง ไม่ได้ทำเพื่อตัวตน เราทำ ไม่ได้คิดถึงตัวตนเลย เราดูแค่ว่า ร่างกายเราควรได้เท่าใด มีมากก็แบ่งแจกไป ไม่มีจน เพราะมันจนที่สุดแล้ว เรามีพอแค่อาศัย แต่ต้องไม่เข้าข้างตน ว่าเอามาแค่อาศัย แต่หอบไว้มากมายเป็นขยะ นี่ก็ไม่เอา เรามาพิสูจน์กันไป

...... จบ

อ่านต่อ ทำวัตรเช้า ๑ มีนาคม ๒๕๕๖