คาถาธรรม ๙

มนุษย์พันธุ์ใหม่

ความใหม่ เป็นสิ่งที่มนุษย์หอมหวาน มนุษย์พยายามแสวงหาความใหม่ สิ่งที่แปลกที่ใหม่ ทำให้มนุษย์ตื่นเต้น ชมชื่นสมใจได้ แม้แต่วันเวลาที่วนเวียน นับตัวเลขเช่นเดิม นับวันเดือนเช่นเดิม หมุนเวียนกันมาพบกับจุดอีกจุดหนึ่ง ซึ่งก็เป็นวันที่หนึ่งอย่างเดิม เดือนมกราคมอย่างเดิม แต่เพียงว่าเลื่อนกาละยาวนานขึ้นไป เหมือนเราเจอวันพรุ่งนี้ แล้วก็เจอวันพรุ่งนี้อยู่อย่างซ้ำซาก แต่แท้ก็ยังดีใจกับวันใหม่ของปีใหม่ได้

ถ้าผู้ฉลาด จะระลึกรู้ความใหม่ที่ประเสริฐสุด คือปุถุชน เป็นความเก่าชาติแล้วชาติเล่า เป็นความเก่าของปุถุชน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียนทุกข์แล้วก็สุข สุขแล้วก็ทุกข์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นความเก่า

ปราชญ์เอกผู้ฉลาด จึงพยายามค้นหาความใหม่อันประเสริฐ มาให้แก่มนุษยโลก จนค้นพบความใหม่ที่ยอดยิ่ง คือการเป็นมนุษย์ใหม่ เป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณ ชนิดที่บริสุทธิ์สูงสุด ซึ่งเป็นจิตวิญญาณที่จะต้องฝึกฝนอบรม สร้างสรรขึ้นมาใหม่ ด้วยความอุตสาหะวิริยะ พากเพียร

มนุษย์พันธุ์ใหม่ ซึ่งเป็นผู้ที่เรียกได้อย่างเต็มปากว่า เป็นผู้เข้าสู่โลกใหม่ มนุษย์เช่นนั้นเป็นมนุษย์ที่จางคลายจากกิเลส และสูงสุดเป็นมนุษย์ที่ล้างกิเลสออกหมดเกลี้ยง จากจิตวิญญาณ เป็นมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ ถึงยอดสูงสุด เรียกว่า "อรหันต์" มนุษย์เช่นนั้น เป็นมนุษย์โลกใหม่ มนุษย์พันธุ์ใหม่ ที่บรมศาสดาเอกของโลก คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นผู้ค้นพบ และเป็นผู้พิสูจน์มนุษย์พันธุ์ใหม่สำเร็จ พร้อมทั้งได้สร้างมนุษย์ใหม่ เช่นนี้ได้สำเร็จ

สิ่งใหม่ที่ประเสริฐสูงสุดนี้แล เป็นสิ่งใหม่ที่น่าตื่นเต้น น่าสนใจ และน่าไขว่คว้า โดยเฉพาะแต่ละคน ๆ พึงแสวงหา และพึงสะสมเอาสร้างตนเอา ให้เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ สู่โลกใหม่อันเป็นบรมสุข เป็นมนุษย์ประเสริฐ ที่มีคุณค่าแก่โลกนี้เถิดเทอญ.

๑ มกราคม ๒๕๒๘


 

สู่พุทธะ

พระโยคาวจร ย่อมเป็นผู้เบิกบานแจ่มใส ย่อมเป็นผู้รู้ตัวทั่วพร้อม ทำตนให้เป็นผู้ตื่นอยู่ เป็นผู้แจ่มใสเบิกบาน ฝึกตนให้เป็นพุทธะ ในข้อที่ว่า เบิกบานแจ่มใสให้ได้อยู่ทุกขณะ ผู้นั้นๆ เมื่อได้ฝึกตน มีความรู้สึกตัว กระทำตนให้จิตใจเบิกบานแจ่มใส อยู่มากขณะได้เท่าใด

ผู้นั้นย่อมชื่อว่าได้อบรมตน ได้กระทำตนให้เลื่อนไหลเข้าสู่ เป็นผู้ชื่อว่า พุทธะ อยู่ทุกขณะนั้นแล

๔ มีนาคม ๒๕๒๘


 

 

ต่ำสู่ต่ำ สูงสู่สูง

ผู้รู้ความสำคัญในความสำคัญ ย่อมเสียสละอดทน และลงทุนลงแรงเพื่อความสำคัญนั้นๆ ผู้มีภูมิเป็นโลกียะ ก็ย่อมจะเห็นความสำคัญอยู่ในแนวของโลกียะ ผู้มีภูมิโลกุตระ ก็ย่อมเห็นความสำคัญ ในแนวของโลกุตระ

ผู้มีภูมิต่ำ ก็ย่อมจะมีความอดทนเสียสละ ลงทุนลงแรง เพื่อความสำคัญแรงเท่าภูมิต่ำ

ผู้มีภูมิสูง ก็ย่อมอดทนอุตสาหะเสียสละ ลงทุนลงแรง เพื่อสิ่งที่ตนสำคัญได้สูง

เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะได้เดินทางไปสู่จุดสูงจุดสำคัญ ก็เพราะผู้นั้นพึงสร้างภูมิให้แก่ตน ให้ได้จริง ให้ได้สูง และจะต้องเป็นผู้ที่อดทน อุตสาหะพากเพียร เป็นหลักสำคัญ

จึงจะเป็นผู้ที่ได้สู่ภูมิสูง และจบสุด ถึงภูมิที่ควรจะสำคัญที่สุดได้แล

๕ มีนาคม ๒๕๒๘


 

คนสำคัญ

บุคคลใดแล ที่เห็นอสาระ ว่าเป็นอสาระ
บุคคลใดแล ที่เห็นสาระ ว่าเป็นสาระ
บุคคลนั้น ขวนขวาย รู้ถูกต้อง กระทำถูกต้อง
อุตสาหะ พยายามเลิก สิ่งที่เป็นอสาระ
พยายามกระทำให้ยิ่ง ในสิ่งที่เป็นสาระ
บุคคลที่เห็นความสำคัญ เป็นความสำคัญ
แท้จริงได้ฉะนี้ นั่นคือ "คนสำคัญ"

๘ มีนาคม ๒๕๒๘


 

สัตบุรุษ

ผู้รู้จักระดับแห่งสาระ ก็ยิ่งเป็นผู้ที่มีความประณีต มีความละเอียด ที่ได้ศึกษา มีธัมมวิจัย รู้จักความสำคัญแห่งขั้นตอน แล้วก็ประกอบด้วยโอกาส กาละ ประกอบด้วยองค์ประกอบของสิ่งแวดล้อม รู้จักจัดสรร กระทำความสำคัญ ให้เหมาะสมกับกาละ และสิ่งแวดล้อม ตัวตนบุคคล

ผู้ได้ฝึกปรือ รู้จักความสำคัญ พิจารณากระทำกับสาระ ให้เหมาะสมกับสาระ ดั่งนี้ เรียกว่า ผู้ได้ฝึกตน มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ ผู้กระทำได้ถูกตรง เป็นสัมมาเหมาะสม เป็นมัชฌิมาเหมาะสม เป็นสมดุลเหมาะสม ได้ยิ่งๆ นั้นแล คือ สัตบุรุษ

๒๕ มีนาคม ๒๕๒๘


 

สู่ความเป็นสัตบุรุษ

บุคคลรู้ความสำคัญในความสำคัญ และบุคคลผู้รู้"พอ" ในความ"พอ" ในสิ่งที่ควร"พอ" ในกาละที่ควร"พอ" บุคคลผู้นั้น เป็นผู้มีสัมมา หรือมัชฌิมา

แม้ผู้นั้นจะจัดความพอ ในกาละที่ควรพอ ยังไม่ตรงสัจจะแท้ก็ตาม แต่ถ้าหากว่า ผู้นั้นได้ใช้ปัญญา ด้วยการไตร่ตรอง พินิจ ได้จัดแจง มีมาตรการในการมุ่งหมาย ลด ละ ปลด ปล่อย กระทำตนให้เป็นผู้มักน้อยสันโดษ รู้จัก"พอ" รู้จัก"ลด" รู้จัก"ละ" แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะกระทำให้ทรมานตน จนเสียสุขภาพ ทว่า มีความอดทนยิ่ง มีความอดกลั้น มีความอุตสาหะวิริยะ เป็นผู้รู้ยิ่ง เข้าใจในกรรมที่ตนกระทำ มีผลให้แก่ตน และให้แก่ส่วนรวม อย่างชัดแจ้งสอดคล้อง

ผู้กระทำจนจิตใจนั้นสบาย และเป็นผู้ที่พอได้ ในสิ่งที่เล็กลงน้อยลง สำหรับตนเปลืองน้อยลง ใช้ส่วนตนน้อยลง แต่ได้สร้างสรรมากขึ้น ได้กระทำเผื่อแผ่ เป็นประโยชน์คุณค่าแก่ผู้อื่นมากขึ้น ผู้ที่รู้จักพอในส่วนสัดที่ตนควรพอ ได้รู้จักสร้างสรรมากมายขึ้น ให้แก่ผู้อื่นได้มาก และก็ยังมีความรู้กว้าง ที่รู้ขอบเขตแห่งความ"พอ" ในความ"กว้าง" อีกด้วย

ผู้ฝึกฝนดั่งนี้เอง ที่ชื่อว่า ... เป็นผู้เดินทางสู่ความเป็นสัตบุรุษ

๒๖ มีนาคม ๒๕๒๘


 

ค่าของมนุษย์

คนผู้ที่ชื่อว่า "อริยะ" คือบุคคลผู้ที่เกิดปัญญา เริ่มรู้จักว่าความสำคัญ ที่เหนือกว่าความสำคัญ ที่เคยเข้าใจตั้งแต่เป็นปุถุชน เราก็สำคัญว่า สิ่งที่เราหลงใหลไขว่คว้าเป็นความสำคัญ ต่อเมื่อมารู้สึกเห็นจริง เกิดความเข้าใจอย่างชัดแท้ เห็นความไขว่คว้าอย่างปุถุชน ที่จะแย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขนั้น เป็นเรื่องไม่จริง เป็นเรื่องไม่สำคัญ เป็นเรื่องไม่ประเสริฐแท้ ผู้ที่ได้มีความเห็นทวนกระแสขึ้นดังนี้ หาวิธีเพื่อที่จะเลิกละ เพื่อที่จะลดตามความเห็นนั้น กลับทางเดิน เดินสู่ทางใหม่ อริยบุคคลหรืออารยชนแท้ ดั่งนี้ เมื่อได้พากเพียรเดิน และปละปล่อยการไขว่คว้าแสวงหา หรือความชื่นชอบที่เคยเป็นสุข เพราะได้ลาภเป็นสุข เพราะได้ยศเป็นสุข เพราะได้สรรเสริญเป็นสุข เพราะได้เสพย์สิ่งที่ปรารถนา ไม่ว่ารูปรสกลิ่นเสียง สัมผัสใดๆ ผู้ที่ได้ละล้างความปรารถนาอยากใคร่เสพย์สม ด้วยอามิสเหล่านี้ ทำจริง เห็นผลจริง เกิดผลจริง รู้รสใหม่ที่เป็นรสไร้อามิส เป็นนิรามิสสุข หรือเป็นวิมุตติรส เป็นรสสงบ เป็นรสวางเฉย เป็นรสที่ไม่ต้องดูดดึง ไม่ต้องผลัก ไม่ต้องดูดทั้งปวง ผู้ที่ได้ทราบถึงวิมุตติรสด้วยตนเอง ยินดีในวิมุตติรสด้วยตนเอง อย่างมั่นใจ ผู้ถึงซึ่งวูปสโมสุข เป็นความสุขที่ต่างจากโลกียสุข เป็นความสุขอันสงบระงับ จากความปรารถนาอยากใคร่ ไขว่คว้า

ผู้ถึงซึ่งอริยสุข หรือวิมุตติรส ดังกล่าวนี้จริง ผู้นั้นจะมั่นคงแน่นอน ไม่แปรปรวนจากสภาพที่ทรงไว้นี้ เหนือกว่านั้น และทิศทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน นอกจากเราจะไม่หลงใหลไขว่คว้า ในโลกียสุขแล้ว ยังเป็นผู้ที่รู้จักค่าของมนุษย์ ที่เป็นผู้สร้างสรร เป็นผู้ขยันเพียร เป็นผู้ที่เสียสละอนุเคราะห์โลก เป็นผู้เกื้อกูลประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ และได้ชื่อว่า เป็นผู้สร้างความสุขแก่มวลมหาชน อย่างแท้จริง

๘ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

สู่ความเป็นพุทธะ ด้วยโพชฌงค์ ๗

ผู้มีองค์แห่งการตรัสรู้ หรือชื่อว่าผู้ที่ก้าวเดินอยู่ ในการก้าวเดินไปสู่พุทธะ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ผู้มีองค์ทั้ง ๗ เป็นทิศทาง เป็นพฤติกรรม ประกอบอยู่กับการปฏิบัติในชีวิต คือ การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม อยู่ในตัวในตน อยู่ในกรรมกริยา ในความนึกคิด มีสติ รู้ต่อสัมผัสรอบด้าน รู้ตัวเอง และวิจัยต่อสิ่งสัมผัส วิจัยพฤติกรรมที่ตนเป็นตนมี พร้อมกับวิจัยสิ่งที่เราจะรับสัมผัสมา แล้วจะก่อเกิดในตน

ผู้ที่มีสติรู้ และมีวิริยะอุตสาหะ กระทำตนเพื่อวิจัยสิ่งที่ได้สัมผัส เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา กระทำได้มากก็เป็นผลมาก กระทำได้น้อยก็เป็นผลน้อย ผู้ไม่ได้เคยฝึกหัดเลย ก็ย่อมไม่รู้จักการปฏิบัติธรรม ในระบบของพุทธเลย

ผู้ไม่มีโพชฌงค์ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติของพุทธ ผู้มีโพชฌงค์ จึงจะชื่อว่ามีปฏิบัติของพุทธ เพียงมีสติ รู้ตัวเฉยๆ รู้ว่า ทำอะไรก็อะไร แต่ไม่มีธัมมวิจัย ไม่มีการปรับสิ่งที่ดีให้เป็นดี สิ่งที่ชั่วให้หายไป สิ่งที่ควรปรากฏ ทำให้ปรากฏ สิ่งที่ควรหายไป ทำให้หายไป สิ่งที่มีหนึ่งเดียว ถ้าควรมีให้ยิ่ง ก็ควรทำให้ยิ่ง สิ่งที่มีอยู่หลากหลาย ถ้าควรทำให้หายไป หรือเหลือหนึ่งเดียว ก็ควรจะทำให้เหลือหนึ่งเดียว ดังนี้

ผู้ที่มีฤทธิ์จริง มีอิทธิวิธี มีธัมมวิจัย เห็นความสำคัญในความสำคัญ รู้ความควรความไม่ควร รู้ความผิดรู้ความถูกอันชัดแท้ และได้พากเพียร บำเพ็ญตนปฏิบัติตน เพื่อละบาปทั้งปวง ละชั่วทั้งปวง และยังกุศลให้ถึงพร้อม ให้ยิ่งขึ้นอยู่เสมอ กระทำทั้งกายวาจาและจิตใจ รู้ต้นเหตุแห่งจิตว่า มีกิเลสเป็นพื้นฐาน เป็นมูลราก และได้ฆ่ากิเลสถูกสภาพ ตามไปจนกระทั่ง หยาบกลางละเอียด ทำจนกระทั่งสนิทสนม หมดเกลี้ยง สูญสิ้นถาวร ตั้งมั่น ผู้ได้กระทำมีดี ได้ดี กิเลสสงบระงับจริง แข็งแรงตั้งมั่นจริง จนรู้จักฐานอุเบกขา มีภาวะเป็นปกติธรรมดา เป็นอัตโนมัติแห่งตน ผู้ที่ได้ประพฤติ มีโพชฌงค์ทั้ง ๗ อยู่ประจำตน ดั่งนี้แล

ผู้นั้นชื่อว่า ผู้ก้าวไปสู่ความเป็น "พุทธะ"

๙ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

ยืนยันความจริง

มนุษย์นั้น มีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้น มากบ้างน้อยบ้างเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ปราชญ์เอก จึงพยายามที่สุด ที่จะหาทฤษฎี หรือวิธีการที่จะมาฝึกให้คนลด หรือละล้างความเห็นแก่ตัว ออกไปให้หมด

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปราชญ์ผู้หนึ่ง ที่ได้สามารถคิดค้นพบทฤษฎี หรือวิธีการที่เอามาล้างละ ลดความเห็นแก่ตัว ออกไปได้อย่างสนิทจริง เมื่อเราได้มาปฏิบัติประพฤติ พิสูจน์ ตามทฤษฎีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เราจึงจะเกิดผล จึงจะเห็นจริง ว่าความเห็นแก่ตัวนั้น เกิดมาแต่กิเลสตัณหาอุปาทาน ซึ่งมีสภาพจริง เป็นยางเหนียว เป็นสิ่งที่ละล้างได้ยาก มีความเข้าใจ มีความเห็นจริงได้ยาก จึงต้องใช้ความอุตสาหะวิริยะอย่างยิ่ง แต่เมื่อได้ปฏิบัติอย่างดี มีผู้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ซับซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ลึกซึ้งต่อเนื่อง ชอนไชไปจนถึงอาสวะอนุสัย และเกิดญาณ หรือดวงปัญญาอันแหลมลึกละเอียด จึงจะสามารถแทงทะลุ สิ่งที่เป็นเชื้อแห่งยางเหนียว หรือตัวร้าย ที่สามารถทำให้คนเห็นแก่ตัวอย่างร้าย ได้ครบถ้วน เราได้พิสูจน์กัน ถึงความจริงอันหนึ่ง จึงได้เกิดความจริงขึ้นมา ตามที่เรามี เราได้พิสูจน์เห็น

เมื่อสภาพยางเหนียว หรือตัวกิเลสตัณหาอุปาทานตัวร้าย ได้ลด จางคลายลง เราจึงจะพบความจริงของแต่ละคน พบเองรู้สึกเอง เกิดน้ำจิต เกิดน้ำใจเอง ว่าคนนั้นเป็นพี่น้องกัน คนนั้นมีสมรรถภาพ มีความสามารถมากขึ้นได้ แต่ความสามารถนั้น ไม่ใช่สิ่งที่จะกระทำขึ้น เพื่อที่จะไปสนองความโลภ สนองความเห็นแก่ตัว เท่านั้น ความสามารถนั้น สามารถที่จะมีขึ้น เพื่อที่จะสนองญาติ เพื่อที่จะเกื้อกูลญาติ เกื้อกูลมวลมนุษยชาติได้ และเป็นความดี เป็นความประเสริฐที่แท้จริง

ผู้พบความจริงนี้ได้ จึงเกิดมีความจริงนี้ปรากฏขึ้น เมื่อมีมากคนมีมากส่วน ที่รวมกันเข้า ภราดรภาพอันยิ่งใหญ่ จึงปรากฏขึ้น สมรรถภาพที่ไม่ได้เป็นไปเพื่อล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ใส่ตน จึงแสดงออกได้ และนับวันจะมีรูปที่จริง นับวันจะปรากฏจริงขึ้น ให้แก่ชาวโลกได้รู้

ขอพวกเราจงได้ประกาศความจริง และยืนยันความจริง ที่สมเด็จพ่อ หรือสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นเจ้าของทฤษฎี วิธีการนี้ ให้ปรากฏแก่สายตาโลก อย่างชะงัดกันเถิดเทอญ.

๑๐ เมษายน ๒๕๒๘


 

ขจัดที่ตน ... เพื่อตน

ชีวิต เป็นของตนเสวย เป็นของตนอาศัย คนรักก็เพราะตนทำ คนเกลียดก็เพราะตนทำ คนมีทุกข์ จึงเป็นเพราะตนเองทำ ผู้ที่รู้ดีว่า เราจะขจัดทุกข์ ก็เพราะเราขจัดรัก เพราะเราขจัดเกลียด

เมื่อผู้รู้ดีเช่นนั้น ได้ฝึกตน ได้ศึกษาอย่างถูกทาง ขจัดสิ่งที่ตนมีเอง ขจัดสิ่งที่ตนกระทำเอง ขจัดสิ่งที่ตนอาศัย หรือเสวยเองนั้นๆได้ ตนจึงจะรู้ว่า ไม่มีใครเลยจะช่วยตนได้ นอกจากตนเท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของตนเอง

ดังนั้น คนแม้จะเยาว์วัย แต่เมื่อได้พบสัจธรรม รู้ความสำคัญในความสำคัญ ให้โอกาสศึกษาอบรม ในสิ่งที่สำคัญปานฉะนี้
คนผู้นั้น ฉลาดนัก ประเสริฐนัก คนแก่เฒ่า และตายไปนานัปชาติ ?
เวียนแล้วเวียนเล่า ไม่ได้พบสัจธรรม ดั่งนั้น มีนับไม่ถ้วน

ส่วนคนที่จะพบสัจธรรม และได้ขจัดสิ่งที่ควรขจัด อันเป็นสิ่งที่ปราชญ์เท่านั้น
ผู้ที่มีบุญอย่างยิ่งเท่านั้น ที่จะสามารถรู้และกระทำให้แก่ตน จนพบอริยสัจ อันเป็นสัจจะอันประเสริฐได้ จึงเป็นผู้ที่มีบุญ และเป็นผู้ที่ได้รับสิ่งที่หาได้ยาก มีน้อยในมนุษยโลก

๑๑ เมษายน ๒๕๒๘


 

ตนพึ่งตน

เรารู้อยู่แสนรู้ว่า กิเลสนั้นฆ่าได้ยากปราบได้ยาก แต่จะปราบกิเลส เราก็ต้องพยายาม เราก็รู้สึกเช่นนั้น เพราะฉะนั้น บุรุษผู้มุ่งมั่น จะต้องใช้ความพยายาม เพื่อที่จะกระทำสิ่งที่ยาก พระพุทธเจ้าสอนเราว่า เราจะกระทำสิ่งที่มนุษย์ทำได้ยาก เราจะอดทนในสิ่งที่มนุษย์ทนได้ยาก เพราะฉะนั้น บุรุษผู้ที่เข้าใจว่า เมื่อทำความยากก็ดี ผู้มีความอดทนก็ดี จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่เป็นเรื่องดียิ่ง

เมื่อเราแน่ใจว่า เราได้ใช้ความพยายามอุตสาหะ หรืออดทนเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด หรือสิ่งที่ดียิ่งแก่ตัวเราอย่างแท้จริง ทั้งเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่มวลมนุษยชาติ ทั้งเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่ศาสนา เราก็จะต้องกระทำให้ยิ่ง ด้วยใจเบิกบานร่าเริง ไม่เหนื่อยหน่าย แม้จะเหนื่อยด้วยกาย จะหนักด้วยอุปสรรค ที่เราเองยังมีบารมีน้อย บารมีอันจะได้ก็เพราะเราทำจริง อุตสาหะวิริยะจริง สั่งสมด้วยความเพียรพยายาม ไม่ใช่ได้มาด้วยการบันดาล ไม่ใช่ได้มาด้วยบังเอิญ ทุกอย่างเป็นกรรม อันสั่งสมได้มาด้วยเหตุ ที่จริงกรรมเป็นอันทำ และเราเป็นเจ้าของกรรม คนอื่นทำให้เราไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้

ยิ่งเป็นบุญกุศล ขั้นที่จะละกิเลส เป็นผลทางโลกุตรธรรม ทางปรมัตถธรรม ยิ่งต้องทำเองโดยตนเท่านั้น จะแบ่งเงินแบ่งทองให้แก่กันและกัน เป็นโลกียะโลกย์ๆ ยังพอแบ่งกันได้ แต่จะแบ่งปรมัตถธรรม แบ่งการล้างละกิเลส แบ่งการกระทำที่เป็นภาคปฏิบัติ อันเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นมรรคอันถูกต้องแล้ว ตนของตนเท่านั้นจะพึ่งตนได้ ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยเราได้จริงๆ จนถึงผลได้เลย นอกจาก ตนต้องพยายาม อุตสาหะให้จริงเท่านั้น

เมื่อผู้ที่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดที่ควรได้ที่สุด ถ้าเราไม่ทำเอา เราก็โง่ที่สุดเท่านั้นเอง

๑๒ เมษายน ๒๕๒๘


 

รู้ตัวทั่วพร้อม

... คือผู้ที่สำคัญในโพชฌงค์ ๗ และสติปัฏฐาน ๔ อันปฏิบัติอยู่เป็นประจำวัน หรือการปฏิบัติ อย่างมีมรรคองค์ ๘ ผู้ที่เดินโพชฌงค์ ๗ คือผู้รู้จักจังหวะแรก คือสติ

บุคคลที่ปฏิบัติอย่างผู้มีสติ จะต้องสำคัญในสติอย่างยิ่ง เราต้องพยายามรู้ตัว อิริยาบถทุกอย่าง จะเดินจะยืนจะนั่งจะนอน นั่นเป็นอิริยาบถใหญ่ หรือเราจะทำอันใดๆ ขยับกาย ขยับแขน ขยับขา จะยืน จะนั่ง จะนอน จะเดิน ที่เราจะมีอากัปกิริยาประกอบอื่น เราก็จะต้องรู้ตัว อยู่ในสภาพสำรวมสังวร และจัดแจง ให้เป็นผู้ที่สงบเรียบร้อยก่อนอื่น นี่เป็นบทต้น เราจะละลดอากัปกิริยาของคนโลกย์ๆ เพราะฉะนั้น ผู้ที่พิจารณากาย กายนั้นคือ พิจารณาอิริยาบถ พิจารณาว่าตนเอง รู้ตนอยู่ โดยคำนึงถึงอานาปานสติ ว่าเรามีลมหายใจเข้าออกอยู่ หรือใช้ลมหายใจเข้า-ออกเป็นกสิณ มีสติไม่ให้ออกนอกตัว ลมหายใจคือกาย เราพยายามหัดทำให้ชิน ให้ใช้สติและความระลึกรู้ ที่รู้ในสิ่งเหล่านี้ เราจึงจะเป็นผู้ควบคุมกาย ให้สุจริตได้ พร้อมกระนั้น เราก็คำนึงถึงวจี นี่เป็นการฝึกอบรม ที่ได้อบรมทั้งจิตด้วย

ในการศึกษา ที่เรามีรายละเอียดของความรู้ ที่จะรู้ลึกซึ้งต่อไป และเราก็ได้เรียนไปแล้ว มันจะช่วยให้เราได้ฝึกตน เนียนตั้งแต่ต้น ละเอียดตั้งแต่ต้น แล้วจะต่อเป็นกลาง เป็นปลาย ไปได้อย่างครบถ้วน

ขอให้เราทั้งหลาย จงได้ดำเนินตั้งแต่บทที่ ๑ ที่ว่า สติปัฏฐาน ๔ หรือดำเนินบทโพชฌงค์ ๗ ที่ว่า สติ ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ให้สำรวมสังวรดังกล่าวแล้ว แล้วเราจะรู้สึกว่า... เราเป็นผู้ปฏิบัติ ที่จะเริ่มมีความละเอียดเนียนในขึ้น

อย่าถือตัวว่า เราเป็นนักปฏิบัติที่ยิ่งใหญ่แล้ว ที่ผ่านมานานปีแล้ว แต่จงกระทำอย่างยิ่ง เราจึงจะเพิ่มอธิ หรือ เพิ่มความยิ่งขึ้นได้

๑๔ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

แบบฝึกหัดทางธรรม... แบบฝึกหัดอันยิ่งใหญ่

ทุกเวลาทุกนาที คนเราล้วนแล้วแต่ฝึกแต่หัด ผู้ที่ได้ศึกษาหลักฝึกหลักหัดที่ดี ก็จะได้เป็นผู้ที่ฝึกหรือหัดอย่างดี ส่วนผู้ที่ได้รับหลัก หรือได้รับวิธีฝึกและหัดที่เลว ก็ย่อมจะไปสู่ความเลว

โลกมีแบบฝึกหัด ที่พาฝึกพาหัดไปสู่โลกียารมณ์ ไปสู่โลกธรรม เป็นแบบฝึกหัดอันยิ่งใหญ่ ที่พาคนไปสู่ความลงนรกใหญ่ ผู้ที่มีบุญได้รับรู้ ความรู้ที่พามาฝึกมาหัด พามาทำแบบฝึกหัดอย่างธรรมะ ไปสู่โลกุตระ ผู้นั้นมีบุญจะไปสู่สวรรค์ที่แท้ และมันเป็นหมู่น้อย แบบฝึกแบบหัดนั้นมีคนกลุ่มน้อย จึงมีฤทธิ์มีแรงน้อย แต่ก็เป็นแบบฝึกหัดที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่า ผู้ที่ดำเนินแบบฝึกหัด กระทำแบบฝึกหัดอยู่จริงได้มากทุกวินาที ได้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม และกำหนดกระทำตน อยู่ในขอบข่ายของแบบฝึกหัดที่ดี ไม่ให้ขณะล่วง กระทำได้เสมอเท่าใดๆ ก็จะแก้กลับ จากที่เราไปเคยได้รับแบบฝึกหัด อันยิ่งใหญ่ทางโลก มานานแสนนานแล้ว การแก้กลับมาสู่แบบฝึกหัดทางธรรมสู่โลกุตระนั้น จึงเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่จะต้องพากเพียร อุตสาหะอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้จริงแล้วเห็นจริงแล้ว ว่าเราจะต้องเข้าสู่การฝึกการหัดจริงๆ อย่างนี้ จึงจะเป็นผู้เดินทางเข้าไปสู่สวรรค์แท้จริงได้

จึงต้องพยายาม อย่าให้สติตก อย่าให้ขณะล่วง จะต้องนำตนเข้าสู่กรอบแบบฝึกหัด ที่จะไปสู่โลกุตระ ให้ได้ถี่ที่สุด จึงจะเป็นผู้พอมีหวังได้

๑๕ เมษายน ๒๕๒๘


 

ผู้ปฏิบัติธรรม

สร้างสติ และกระทำการรับรู้ ทำความรอบรู้ ฝึกการวิจัยอยู่ในตน เราเป็นผู้ที่กำลังสร้าง "ฌาน" ขณะที่เรามีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ติดตามอิริยาบถของตน ติดตามรู้เท่าทันผัสสะ ที่ผัสสะแล้วก็มีการสังขารในอารมณ์ พยายามแยกอารมณ์ ที่มีกิเลสผสมออก การกระทำอยู่ดังนั้น คือการปฏิบัติธรรม โดยเดิน"โพธิปักขิยธรรม ๓๗"

ผู้ที่ได้ฝึกเสมอ เริ่มต้นตั้งแต่ตื่นนอน มีสติรวดเร็ว ตื่น ไม่ซึม สลัดความง่วงอย่างเร็วไว และเป็นผู้ที่ฝึกตนอยู่ตลอด ตั้งแต่ตื่น ทำสติ และกำกับอิริยาบถ กำหนดอารมณ์ กำหนดความรอบรู้ ปรับกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

นั่นคือ เราปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งสิ้นทั้งมวล

๑๖ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

รู้ตัว รู้ตน รู้อารมณ์ ย่อมเป็นสุข

ผู้ได้ซับซาบอารมณ์ ที่เป็นอารมณ์ไม่วู่วาม ไม่ร้อนรน โดยเฉพาะไม่ซึม เซ็ง ผู้ที่ทำในใจหรือมนสิการ ปรับโดยแยบคายเป็น ก็คือผู้ที่กำลังเรียนรู้ อิทธิวิธี ให้แก่ตน

ความทุกข์สองด้าน ด้านหนึ่งก็คือ ด้านฟุ้ง วุ่นวาย ร้อนรน กระวนกระวาย อีกด้านหนึ่งก็คือ ด้านอึดอัด ด้านซึม ด้านไม่ปลอดโปร่ง ไม่โล่ง ไม่เบา ไม่ว่าง ซึ่งเป็นสภาพที่ไม่สบายนั่นเอง เป็นทิศทางสองทาง ที่ไม่ใช่สภาพกลาง หรือสภาพของจิต ที่ทั้งแววไว โปร่งใส เฉลียวฉลาด มีสติรู้ทั่ว มีความวิจัยที่รวดเร็ว และมีการรับรู้อยู่ อย่างไม่ผลักและไม่ดูด การเข้าใจสภาพของอารมณ์ที่แจ่มใสเบิกบาน อารมณ์ที่ควรอาศัยเสมออย่างยิ่ง แล้วก็หัดปรับ หัดรู้ตัวรู้ตน รู้อารมณ์ แม้จะได้รับการกระทบกระแทกสัมผัส โดยสิ่งแวดล้อมอย่างใดๆก็ดี เราก็เรียนรู้ และหัดปรับเข้าสู่อารมณ์ที่เราซับซาบนั้น

นั่นคือ การฝึกหัดตน เป็นผู้ที่สร้างอิทธิวิธี ที่ทำตนให้ได้กำไรทั้งเบื้องต้น และมีฤทธิ์ที่จะทำให้เกิดการมีผลดีต่อไป ถึงเบื้องปลายได้ อย่างสุขาปฏิปทา

คือ ปฏิบัติประพฤติอยู่ด้วยความมีผลกำไร ที่เรียกว่า "เป็นสุข"

๑๘ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

เห็นจริงเพราะรู้ และปฏิบัติจนเกิดผลจริง

การสร้างสัมมาสมาธิของพุทธนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องสำคัญในทุกๆกาละ แม้คิด แม้พูด แม้กระทำอันใดๆ อยู่ทั้งนั้น กระทำให้เป็นประจำชีวิต จะต้องระลึก มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติปัฏฐาน ๔ มีสัมมัปธาน ๔ อย่างแน่แท้ กระทำด้วยความพยายาม มีอิทธิบาท มีความยินดี วิริยะอุตสาหะ เอาใจใส่ในการกระทำ อย่าให้ขณะล่วง จึงจะมีผล อันเห็นผลได้ชัดแจ้งและเจริญดี แต่ไม่ใช่เคร่งเครียด ทว่า ผู้ปฏิบัติต้องพึงฝึกให้ชำนาญ

เมื่อสะสมความมีสติ และมีธัมมวิจัย พากเพียรกระทำอยู่เสมอ ฝึกซ้อมให้มีสติปัฏฐาน ๔ ที่พิจารณาออกทั้งสิ้น ในกายานุปัสสนาก็ดี เวทนานุปัสสนาก็ดี จิตตานุปัสสนาก็ดี ธัมมานุปัสสนาก็ดี และมีธัมมวิจัย มีการสังวรปธาน มีการปหานปธาน มีภาวนาปธาน มีอนุรักขนาปธาน อย่างมีผล มีผลน้อยหรือผลมาก ก็อยู่ที่ประสิทธิภาพ หรือความสามารถ ความพยายามของผู้พึงกระทำนั้นๆ

เมื่อผู้ใดได้กระทำอย่างยินดี อย่างเบิกบานแจ่มใส พอใจ กระทำด้วยความเพียร เอาใจใส่ พินิจพิเคราะห์ไปตลอดเวลา ให้ได้ทุกๆขณะ แท้จริง มันย่อมไม่ได้ทุกขณะ ก็จริงอยู่

แต่ความเพียรนั้น จะทำให้เกิดการต่อเนื่อง ความชำนาญจะทำขณะนั้น ถี่ขึ้นได้ จะมีสติปัฏฐาน ๔ ประจำตน จะมีการปหาน จะมีการได้ละลดเลิกอยู่ประจำตน จะได้มีการกระทำสิ่งที่ควรทำให้ดียิ่ง ก็จะดียิ่งขึ้นอยู่ประจำตน อินทรีย์พละทั้ง ๕ ของตนๆ จึงจะเกิดจริงมีจริง ความเจริญเป็นปีติ เป็นปัสสัทธิ เป็นสัมมาสมาธิ หรือสมาธิสัมโพชฌงค์ ก็จะเกิดเนียนในเป็นฌานแล้วฌานเล่า ความชำนาญในการซับซ้อนของ ฌาน ๑, ๒, ๓, ๔ ก็จะเกิดขึ้น จะเจริญขึ้น ด้วยการปฏิบัติที่จริง จนสู่อุเบกขา จะมีผลให้เราได้รับสัมผัสรู้

เมื่อจิตเป็นสัมมาสมาธิ การปฏิบัติมีผลสัมมาสมาธิ จึงจะก่อให้เกิดสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ อันพอเหมาะได้ ดังนั้น การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ จึงจะต้องปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา มีสัมมาทิฏฐิแจ้งชัด ในทฤษฎีวิธีการปฏิบัติ และได้ลงมือพากเพียรอยู่จริง เป็นประจำ

ชีวิต มีองค์ ๗ ของมรรค เป็นสภาพที่กระทำถูกต้อง จึงจะมีผล ทฤษฎีอันยิ่งใหญ่นี้ ถ้าไม่ได้ฝึกเพียร ไม่ได้เห็นผล ไม่ได้รู้ได้ด้วยตน ก็จะไม่เข้าใจความยิ่งใหญ่นั้นได้ แต่ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วเห็นผล ยิ่งพากเพียร ยิ่งกระทำ ก็ยิ่งจะรู้แจ้ง ถึงความยิ่งใหญ่ด้วยตนเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ เราได้แต่รู้ ไม่ได้ปฏิบัตินั้น จะไม่ซาบซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ เป็นอันขาด

แต่ถ้าเผื่อว่า เราได้รู้และปฏิบัติจริง จนมีผลจริง ยิ่งสูงยิ่งมาก เรายิ่งจะรู้จริงว่า ทฤษฎี เรียกสั้นๆ สรุปว่า มรรคองค์ ๘ หรือโพชฌงค์ ๗ ของพระพุทธเจ้านั้น เป็นทฤษฎีอันยิ่งใหญ่

เพราะผู้กระทำจริง มีผลจริงเท่านั้น จะเป็นคนเห็นความจริงสิ่งนี้

๑๙ มษายน ๒๕๒๘


 

 

รู้แล้วต้องปฏิบัติ

นักศึกษาทางโลก ก็เรียนทางทฤษฎี แล้วก็ลงมือฝึกหัดปฏิบัติ แล้วจึงจะเกิดผลิตผล หรือความสามารถ ฉันใดก็ดี นักปฏิบัติทางธรรม ก็ต้องเรียนทฤษฎี เรียนความรู้ปริยัติ แล้วก็เอาไปปฏิบัติ ลงมือฝึกหัดอบรมตน จึงจะเกิดผลที่เป็นจริงขึ้นมา ฉันนั้น และการปฏิบัติ หรือศึกษาทางธรรมนั้น กระทำด้วยชีวิต ฝึกหัดด้วยชีวิต ประพฤติปฏิบัติตลอดชีวิต หรือปฏิบัติจนกว่าจะจบกิจ ซึ่งต้องเอาตนเข้าปฏิบัติ อย่างละเอียดลออ ลึกซึ้ง ใช้วิญญาณเป็นตัวตัดสิน

จิตวิญญาณได้ถูกการขัดเกลาจริงๆ มีการได้ลดได้ละจริงๆ ซึ่งเป็นของละเอียด เป็นความรู้ยาก เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ที่ปฏิบัติ ไม่ละเลยทั้งภาคปริยัติ และไม่ละเลยทั้งภาคปฏิบัติที่แท้จริง ศึกษาเอาใจใส่ ทั้งฟัง ทั้งคิด ทั้งสอบถาม อ่าน ค้นคว้า พร้อมกระนั้น ก็ปฏิบัติอย่างมีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม กระทำให้ขณะล่วงน้อยที่สุด เสมอๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด แต่กระทำให้ติดต่อเนื่อง เสมอๆ

ถ้าถูกทางเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว ความพยายามและสติ ที่ช่วยสัมมาทิฏฐินั้น จะเกิดสัมมาสมาธิ เกิดสัมมาญาณ และเกิดสัมมาวิมุติ ได้อย่างแท้จริง

๒๑ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

การศึกษา ๓

ขึ้นชื่อว่า "มนุษย์" เป็นผู้รู้กว่าสัตว์ มนุษย์จึงรู้ว่าตนจะเจริญได้นั้น ต้องมีการศึกษา การศึกษาคือการทำให้เจริญ ทางกายทางวาจาทางใจ

การให้เจริญทางกายทางวาจาทางใจ ที่ถูกต้องที่สุด ก็คือการศึกษาที่เป็นการศึกษา ๓ ของพระพุทธเจ้า ที่ได้พิสูจน์ความเจริญอย่างแน่ชัด และรู้รอบ พาศึกษาให้ถ้วนรอบ จึงเป็นผู้เจริญที่มีประโยชน์คุณค่ามาก ทั้งได้คุณค่าแก่ตน ทั้งเป็นคุณค่าแก่ผู้อื่น แก่สังคม แก่โลก สอดคล้องไปพร้อมกัน

ส่วนผู้มีการศึกษาที่ผิดพลาด คือ ศึกษาเพื่อจะเจริญทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เหมือนกัน ทว่าเจริญไปเพื่อล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ มุ่นเมาในโลกียสุขให้แก่ตน การศึกษาไปเพื่อที่จะได้มา เพื่อที่จะเอาเปรียบ เพื่อที่จะเป็นผู้ที่จะมักมากมีมาก การศึกษาเช่นนั้นทำลายทั้งคน ทำลายทั้งสังคมโลกมนุษย์อื่น

การศึกษา ถ้าผู้ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ว่าการศึกษานั้น จะต้องศึกษาหลัก ความหมาย ในวิชาการใดๆก็ตาม ต้องรู้ว่า มีมาเพื่อชีวิต เมื่อรู้หลัก ความหมาย ที่จะมาฝึกฝนกระทำกิจ แล้วเราก็ต้องลงมือกระทำกิจนั้น กระทำกิจนั้นไป เพื่อพัฒนากายกรรม วจีกรรม มโนกรรมของเรา ให้บริสุทธิ์ หรือให้เป็นผู้มีความขยันหมั่นเพียร สร้างสรร เป็นผู้มีผลผลิต คุณค่าประโยชน์ และเป็นผู้ลดโลภ ลดโกรธ ลดหลง สร้างสรรได้มาก กระทำกิจใด เพื่อการก่อผลผลิตก็ตาม ก็จะเป็นผู้ที่สร้างสรร ด้วยความสามารถ มีฝีมือ มีความสามารถ สมรรถนะอันสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เป็นผู้ลดความโลภลงเรื่อยๆ เป็นผู้ลดความพยาบาท ความโกรธ เป็นผู้ลดความหลงผิด ทว่า ชีวิตนั้นเจริญ ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นสุจริตกรรม

ยิ่งเจริญมากเท่าใด ยิ่งสุจริตเท่าใด ยิ่งเป็นผู้สบายเบา และมีคุณค่าประโยชน์แก่ตน คือลดโลภโกรธหลงได้มากยิ่งขึ้น จนหมดสิ้น โลกก็จะได้ จะมีค่ามีประโยชน์ จากผู้ที่เจริญดังกล่าวนี้ไปทั้งหมดสิ้นด้วย ไม่ขัดแย้งกับโลก ที่เต็มไปด้วยความพร่อง

ส่วนผู้ที่เจริญจริง ก็เป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความเต็ม อันมีให้แก่โลก และเป็นการช่วยเสริมหนุนโลก ที่มีแต่ความพร่องนั้น ตลอดนานับกัปกัลป์

๒๕ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

เจริญสมาธิด้วยศีล

เราจะเจริญสมาธิด้วยศีล ด้วยพฤติกรรม ที่มีทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ตามหลักมรรคองค์ ๘ นั้น จะต้องมีสติ รู้ตัว ให้มากขณะที่สุด พยายามหรือวิริยะอย่างยิ่ง เพื่อที่จะไม่ให้ขณะล่วง ไม่ว่าเราจะเป็นอยู่อย่างไร มีอิริยาบถทั้ง ๔ หรือมีกรรมกิริยา ทุกกรรมทุกกิริยา เราจะรู้ตนรู้ตัว และมีธัมมวิจัยตลอดเวลา ว่ากรรมกริยาเหล่านั้น อิริยาบถเหล่านั้น หรือแม้ที่สุด ผัสสะ ที่เป็นเหตุเกิดแห่งกิเลสอย่างเก่ง เราผัสสะอะไรอยู่ ก็จะต้องมีสติ สัมปชัญญะ ธัมมวิจัย จนเกิดปัญญาไปทุกขณะ แล้วเลือกเฟ้น พยายามมีอิทธิวิธีที่จะชนะ ที่จะกระทำสู่จุดที่ดี ที่เราได้สมาทานแก่ตน ไปเสมอๆ การกระทำเช่นนี้ ชื่อว่า การปฏิบัติธรรมของพระพุทธศาสนา

ถ้าไม่พยายาม ไม่รู้วิธีทำอย่างถูกต้อง ดำเนินโพธิปักขิยธรรมไม่ถูกต้อง สติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่เข้าใจ และไม่ทำจริง เราก็ไม่สามารถที่จะเกิดสัมมาสมาธิ ไม่สามารถจะสู่สัมมาญาณ สัมมาวิมุติได้ ดังนั้น เราจะต้องรู้แจ้ง หลักเกณฑ์ ภาคปฏิบัติ และได้ปฏิบัติอยู่ โดยความเพียร พยายามระลึกรู้ อย่าให้ตกร่วงเสมอๆ จึงจะเกิดผลตามที่เรามุ่งหมาย ผลจึงจะเกิดจริง เราจึงจะเป็นอริยบุคคล และเดินทางไปสู่จุดที่พ้นทุกข์ ถอนอาสวะได้จริง

๒๖ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

ยึดมั่นถือมั่น อย่างมีปัญญา

ผู้ที่ฉลาด ย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่น เพื่อความพ้นทุกข์ ผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ โดยมีทุกข์ ก็ต้องเป็นผู้รู้ว่า การยึดศีล ยึดธรรม ยึดวินัย ยึดหลักประพฤติ เพื่อการประพฤติละหน่ายคลายจาง อย่างมีผลอยู่นั้น ย่อมตั้งตนอยู่ในความลำบากบ้าง แต่ก็มีการคลายจาง ผู้ยึดมั่นถือมั่นเช่นนั้น เรียกว่า ผู้เพ่งเพียรอยู่ และมีมรรค-มีผล

ผู้หลง จะยึดมั่นถือมั่น โดยไม่มีปัญญา แล้วมีทุกข์อยู่ในตน ผู้นั้นชื่อว่า "ผู้อวิชชา" หรือโง่อยู่ ผู้ยึดมั่นถือมั่นย่อมทุกข์ ด้วยประการฉะนี้ แม้ทุกข์อย่างไร้ผล หรือ ทุกข์อย่างมีผล

ส่วนผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น อย่างไม่มีทุกข์นั้น คือพระอริยเจ้า ท่านยึดศีล ยึดธรรม ยึดวินัย เพื่อตน เพื่อผู้อื่น โดยเฉพาะตนเองนั้น ปฏิบัติศีลก็ดี ธรรมก็ดี วินัยก็ดี หลักเกณฑ์ต่างๆก็ดี ได้โดยง่าย ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบาก และไม่มีทุกข์

การยึดมั่นถือมั่น ในศีล ในธรรม ในวินัย ในหลักเกณฑ์ต่างๆ อันพึงเป็นไปด้วยความสามัคคี สันติภาพ ผู้ยึดได้โดยไม่ทุกข์ จึงคืออริยเจ้า ผู้รู้เท่าทัน และผู้มีกำลังใจอันแข็งแรง ปราศจากธุลี การยึดมั่นถือมั่นอย่างไม่มีทุกข์ จึงเป็นสิ่งที่เป็นคุณค่า ประโยชน์ต่อตน ต่อโลกมนุษย์

ส่วนผู้ที่ยังยึดมั่นถือมั่น ไม่วาง และไม่มีผล เต็มไปด้วยทุกข์ นั้นคือ ผู้ยังเป็นปุถุชน หรือยังเป็นผู้ที่ยังโมหะ ยังอวิชชา ยังไม่มีทางคลี่คลาย เพราะฉะนั้น แม้ผู้นั้นจะฉลาดขึ้น ในคราใด จงปล่อยวางเสียทั้งสิ้น ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้นเสียเลย เราจะเห็นการพ้นทุกข์ ในปัจจุบันทันที

๒๘ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

ความพร้อมเพรียงของมวลมิตร นำไปสู่ความสำเร็จ

ความพร้อมเพรียงของชนผู้เป็นหมู่ ย่อมยังผลสำเร็จ ความสำเร็จมีทั้งส่วนตน และความสำเร็จมีทั้งส่วนรวม เมื่อเกิดความพร้อมเพรียงขึ้น เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ความพร้อมเพรียงที่ดี ที่กล่าวนี้ หมายถึง ความพร้อมเพรียง ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นสำคัญที่สุด เมื่อได้อบรมกัน ช่วยเหลือเฟือฟาย พากันปฏิบัติ เข้าไปสู่จุดหมาย ที่จะเข้าใจคำว่า "สามัคคี" หรือ "ความพร้อมเพรียง แล้วเราก็ฝึก ทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม โดยเฉพาะทั้งรู้ และมีจิตใจ มีน้ำใจ มีความเป็นจริงในใจ ซึ่งเห็นแก่การช่วยเหลือเฟือฟาย เอื้อเฟื้อเกื้อกูล เสียสละอย่างแท้จริง น้ำใจนั้น จะทำให้ความเป็นหนึ่ง หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ อย่างแท้จริง

เพราะฉะนั้น แม้กิจนอก กิจส่วนรวม ซึ่งกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา จะสำเร็จลงไป คนที่ได้ฝึกได้อบรม ผู้ยังไม่มีน้ำใจ ผู้ยังไม่ได้ขัดเกลาจนสะอาด ก็จะได้ถูกดึงด้วยแรงหมู่นั้น ขัดเกลา นำพา เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี เป็นมวลมิตรที่ดี มีอำนาจดึงดูด จูงกันขึ้นไปสู่ความสำเร็จ คือละกิเลส อันค้างคาอยู่ของแต่ละคนๆ ได้ด้วยประการฉะนี้

๒๙ เมษายน ๒๕๒๘


 

 

ปฏิบัติอยู่ทุกขณะ
จึงจะได้ชื่อว่า นักปฏิบัติธรรม

ผู้ชื่อว่านักปฏิบัติธรรม หรือ ลูกศิษย์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องทำความเข้าใจ ทำความเห็นให้ถูกต้อง ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นคือเช่นใด ประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างไร เรียกว่า การปฏิบัติธรรม

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ก็คือ จะต้องมีสติ มีความพยายามที่จะปฏิบัติอยู่เสมอ ให้ได้ทุกขณะ ให้ได้มีการติดต่อ ต่อเนื่อง ว่าเราอยู่ในภาคประพฤติอยู่ ปฏิบัติอยู่ สังวรสำรวมอยู่ ให้ต่อเนื่องมากขณะที่สุด

การปฏิบัติ มีสติรู้ตัว ให้ปฏิบัติต่อเนื่องอะไร ก็คือ เราจะต้องคิด ก็คิดให้เป็นสัมมา ตามฐานะที่เราสมาทาน พูดก็พูดให้เป็นสัมมา ตามที่เราสมาทาน ทำการงานก็ทำให้เป็นสัมมา ตามที่เราสมาทาน

จะต้องใช้ความพยายาม ใช้สติ ระลึกรู้ตัวให้ต่อเนื่อง แล้วปรับวิจัยธรรม ปรับวิจัยธรรม ปรับวิจัยธรรม อยู่เนืองๆ การกระทำเช่นนี้เป็นประจำ เป็นส่วนมาก กระทำด้วยการคิดก็ดี ด้วยการพูดก็ดี ด้วยการกระทำด้วยกายก็ดี เราจะต้องพิจารณา การกระทำประจำวัน หรือส่วนมากที่เรากระทำ ทั้งคิด ทั้งพูด ทั้งลงมือ ว่าเราได้ทำเป็นสัมมา หรือเป็นอธิขึ้น ตามศีล ตามหลักกรรมฐาน ที่เราได้สมาทานนั้นๆ อยู่จริงหรือไม่

ต้องหมั่นรู้ว่า ตนเองได้มีสติอยู่ ได้สังวรปธาน ได้ปหานปธาน มีภาวนาปธาน และได้อนุรักขนาปธาน อยู่เรื่อยๆ และจะต้องตรวจสอบ ตรวจตรา รำลึกว่า วันหนึ่งๆ เราได้ผล เราได้พัฒนาคน, หรือเราเอง เราเกิดสิ่งที่เป็นมิจฉา สิ่งที่ตกต่ำ

การได้ตรวจตรา จะเป็นผู้รู้ตนว่าเราได้ทำตกร่วง ในวันหนึ่งๆ มาก หรือเราได้ปฏิบัติประพฤติตน ตามหลัก ตามทฤษฎีอันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธเจ้ามาก แม้เราจะอินทรีย์พละยังไม่กล้าแข็ง แต่ถ้าเราได้ตั้งตน รู้ตัวว่า ได้กระทำอย่างสามารถอยู่ แม้จะเอาชนะกิเลสยังไม่ได้ ก็ยังชื่อว่าเป็นพระโยคาวจร ที่มีความเพียร มีอิทธิบาท สร้างอินทรีย์ สร้างพละอยู่

ยิ่งเราปฏิบัติได้มีผล นั่นคือ ผู้เป็นพระโยคาวจร ที่เจริญยิ่งๆ อยู่ตามลำดับ

การสร้างสมสมาธิ การสร้างสมญาณและวิมุติ จึงจะต่อเนื่อง และเจริญยิ่งๆ ไพบูลย์

๓๐ เมษายน ๒๕๒๘


สมณะโพธิรักษ์

/ คาถาธรรม ๙ /

(ตรวจทาน ล่าสุด สิงหาคม 2565)