คาถาธรรม ๑๐

เกิดมาเพื่ออะไร

ความสงสัยของมนุษย์ ที่จะต้องสงสัยไปนานับกัปกาล ว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาทำไม เป้าหมายอันแท้จริง ที่ประเสริฐสุด ที่จะเป็นมนุษย์นั้น ดีอย่างไร มีทิศทางจะสูงสุด ดีสุด อยู่ในโลกหรืออยู่ในความเป็นมนุษย์ เป็นอย่างไร ทั้งๆที่พอรู้ว่า ดี คืออย่างไร แต่ความแน่ใจ ความชัดเจนถึงที่สุดนั้น มีได้ยาก ถ้าไม่ได้พบสัจธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ค้นพบสัจธรรมสุดยอด และท้าทายให้พิสูจน์ว่า ความเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาทำไม? เกิดมาเพื่ออะไร ซึ่งเราก็ได้ศึกษากัน ได้รู้ว่าการเกิดมา เกิดด้วยอวิชชา เมื่อมีอวิชชาแล้ว จึงจะรู้ว่า เราเกิดมา สุดท้ายเพื่อตาย และเมื่อมีชีวิตอยู่ ก็ทำงาน หรือเป็นคนดี กระทำแต่สิ่งที่ดี และจะทราบชัดว่า ดีนั้นคืออะไร ทรงไว้ซึ่งความดี ทรงธรรม ทรงไว้ซึ่งธรรมนั้นอย่างไร แม้รู้ เราก็ต้องมาฝึกละล้างตัวกิเลส อวิชชา โมหะ ของโลกที่หลอกให้คนเป็นทาส เวียนวน มีวัฏสงสาร แล้วๆเล่าๆ ต่ำๆสูงๆ บาปๆบุญๆ ทุกข์ๆสุขๆ ซึ่งสุขก็เป็นสุขหลอก ทุกข์ก็เป็นทุกข์หยาบ ที่ทรมาน ที่ทำให้สร้างบาปอยู่เรื่อย เมื่อมาทราบชัด ได้ละล้าง ได้ลดบาป ลดทุกข์ จนชนะ จนสามารถเป็นบุคคลผู้ง่ายต่อความเป็นอยู่ และจริงต่อความดีความประเสริฐ ชีวิตจึงได้ทราบชัดว่า เพื่อตายจริงๆ

อรหันต์เจ้า จึงตายแล้วก็สูญ หมดวัฏสงสาร ที่จะมาเวียนว่ายอยู่ ตราบที่ท่านสามารถปิดสนิท ดับสนิท ในเชื้อของการนำสู่วัฏสงสาร ได้อย่างแท้จริง เมื่อมีความรู้สุดยอด เราก็มีชีวิต แม้จะยังไม่ตาย ก็เป็นคนดี เป็นคนประเสริฐ เป็นคนมีคุณค่า ทำงานไปจนกว่าจะตาย แล้วก็จะตายเลย

แต่สำหรับผู้ที่ยังรักที่จะเกิดอีก เพื่อสร้างสมบุญบารมี ให้เป็นคนประเสริฐ ที่ประเสริฐสูงสุด ที่มีขั้นตอนถึงสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ย่อมจะตั้งใจ เพื่อจะเกิดมาทำงาน เพื่อมาเรียนรู้อุปสรรค มาเรียนรู้ทุกข์นานา ที่มีอยู่ในมนุษยชาติทั้งหลาย ก็ย่อมทำได้

แต่ผู้ที่ไม่คิดจะเกิดมาเพื่อสร้างสมบุญบารมีอีก ย่อมทำได้เด็ดขาดแน่นอน ดังนั้น ชีวิตความเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่ได้พบพุทธศาสนาแล้ว เราจะไม่ทราบเลย แม้ทราบก็ไม่ชัดเจน ไม่มีทิศทางเป้าหมาย ถ้าแม้ว่าจะเพียงรู้ เพียงเข้าใจว่า โลกุตรธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น พาคนเป็นไปเช่นใด มีเป้าหมายแน่ชัดเช่นใด แต่ทว่า ไม่ได้พิสูจน์ด้วยตน เป็นสันทิฏฐิโก ไม่ได้มีผล จนเราเลื่อนขั้นเข้าสู่กระแสทิศทางโลกุตระ และได้พัฒนาภูมิตน ขึ้นสู่ความเป็นอริยบุคคล เราก็จะยังวกเวียนวกวนอยู่นั่นเอง ต่อเมื่อเราได้ปฏิบัติ ประพฤติตนเอง ปรับปรุง สร้างความเกิดที่จิต ให้จิตเกิดสู่อริยภูมิ เข้าสู่กระแสโสดาบัน ชีวิตก็จะเลื่อนไหลเข้ากระแสไป จะเห็นความจริง หรือสัจธรรมแท้ชัดขึ้น แม้กระนั้นก็ยังประมาทได้ ยังสามารถที่จะหลงใหลอยู่ในภูมิ ในภพต่างๆ เหล่านี้ได้นานับชาติ อีกเหมือนกัน สำหรับร่างกายนี้ ถ้าไม่ทำให้อริยภูมิ หรือจิตวิญญาณนั้น มีอริยชาติ เกิดชาติอริยะในจิต เลื่อนภูมิขึ้นสูงจริง และขึ้นสู่ภูมิสูงขั้นอนาคามีภูมิ ก็จะชัดเจน และจะไม่ชักช้าเกินกาล ตราบที่เรายังไม่เห็น อย่างมีญาณทัศนวิเศษ ชัดเจน ว่าชีวิตนั้น เกิดมาเพื่อพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ อันเป็นญาณทัศนวิเศษ

ที่ผู้เกิดจริงเป็นจริง จึงจะเห็นแท้ แล้วก็มีชีวิตอยู่ด้วยทิศทางเดียว เพื่อสั่งสมความประเสริฐ สั่งสมความดีงาม และมีชีวิตอยู่ อย่างไม่ทุกข์ร้อนอนาทรอะไรนัก ตราบจน จะเป็นผู้ที่หมดสิ้นความสงสัย หมดสิ้นอาสวะ จึงจะชัดแท้ เห็นจริง และนำพาผู้อื่น มาสู่ความประเสริฐนี้ ตามที่ตนได้ตนมี มนุษย์จึงจะเป็นผู้ที่มีจิตวิญญาณอันสูง จิตวิญญาณอันประเสริฐ สมฉายาคำว่า "มนุษย์" หรือ "อารยชน" "อริยบุคคล" แท้ๆ ได้จริง

๒ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

อารยชนที่แท้

พระโยคาวจร หรือ ผู้ที่พากเพียรปฏิบัติธรรมจริงนั้น จะต้องมีทั้งความเพียรวิริยะ ที่จะทำตนให้เป็นผู้ระลึกรู้ตัวทั่วพร้อม แล้วก็รู้อิริยาบถ รู้กรรม รู้กิริยา รู้อารมณ์ ซึ่งเป็นตัวสำคัญ แล้วก็ปรับอารมณ์ที่เสพย์โลกีย์ หรือปรับอารมณ์ ที่มันจะใฝ่ไปหาทางที่เรารู้แล้วว่า โลกคืออะไร โลกีย์คืออะไร ลดละลงมา พร้อมกระนั้น เราก็จะต้องรู้สมมติสัจจะ ที่เป็นของอาศัย ไม่ว่ากายกรรม วจีกรรม กายใดยังไม่พอเหมาะ กายกรรมใดเกินไปก็ดีน้อยไปก็ตาม เราก็จะต้องปรับมา ให้อยู่ระหว่างที่กำลังดี เหมาะสม พอเหมาะสม ที่อยู่ในสภาพหยุดก็หยุด สร้างก็สร้าง ตามที่เราต้องการ ผู้ที่ปรับได้ทั้งอารมณ์ ควบคุมได้ทั้งกรรมกิริยา ผู้นั้นก็เป็นผู้เป็นอยู่สุข และเป็นผู้มีสุจริตกรรม มีบุญ มีคุณประโยชน์ เป็นมนุษย์ที่มีจิตอริยะ หรือเป็นอารยชนที่แท้

๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

สุขจากความสงบ

ผู้จะมีสุขมีทุกข์นั้น ก็เพราะต้องรู้แจ้งชัดว่า ทุกข์เป็นอย่างไร สุขเป็นอย่างไร และผู้ที่จะรู้ว่าสุขที่ไม่รู้จบ ว่าจะต้องทุกข์อยู่เสมอ เป็นอย่างไร จึงจะสามารถดับเหตุแห่งทุกข์หรือสุข อันไม่รู้จบสิ้น ที่จะต้องวนเวียนไปหาทุกข์นั้นได้ ผู้ที่ดับเหตุที่ก่อให้เกิดสุข อันเป็นทุกข์ตามอยู่เสมอ จึงจะพบความสุขที่สงบ สุขที่ไม่ต้องวนเวียนได้จริง และผู้ที่พอใจในสุขที่สงบที่ระงับ อันไม่ต้องอิงสิ่งเสพย์ ไม่ต้องมีเครื่องล่อ ผู้ที่เห็นได้ เพราะผู้นั้นทำได้ ผู้จะพอใจ ก็เพราะผู้นั้นได้เปรียบเทียบชัดแล้วว่า กามสุข หรืออามิสสุขนั้น ย่อมประณีตละเอียด สู้วูปสโมสุข หรือสุขอันระงับสงบพิเศษ นั้นไม่ได้

ผู้ที่ยินดีในความสงบ และยินดีในความสุขอันสงบ ดังนี้แล คือผู้ที่ไม่มีทุกข์อีก เป็นผู้ที่เบิกบานแจ่มใส ได้ตลอดชาติ

๕ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

อา - ติ

อา - ติ คือ อานาปานสติ ผู้ที่ยังมีลมหายใจเข้าออก ที่เป็นผู้ปฏิบัติธรรม จะต้องระลึกรู้สึกตัวเสมอว่า เราจะต้องมีสติ เมื่อมีสติแล้วเราก็จะต้องระลึกรู้ทั่วไป ตั้งแต่อิริยาบถ กรรม กิริยา สัมผัส ตราบจนกระทั่งถึงมโนปวิจาร คือจิตที่เกิดเวทนา เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ก็ตาม และได้วิจัย ทราบสภาพของความจริงแห่งกิเลส และกรรมที่เป็นกุศล แล้วก็พยายามปรับกรรมนั้นๆ ละอกุศล สงัดจากกรรมทั้งปวง จะเป็นผู้รู้ เห็นจริงในจิต จะเป็นผู้รู้จริง เห็นจริงในธรรม เข้าใจระดับจิต เข้าใจอาการของจิตกับกิเลส รู้ว่ามีกิเลส หรือว่าลดจากกิเลส หรือว่าหมดจากกิเลส ในเหตุปัจจัยใดๆ ก็ตาม ยิ่งฝึก ยิ่งรู้

ธรรมะอันคือกิเลสก็ดี ธรรมะอันคือความจริงของขันธ์ก็ดี ธรรมะอันคือสภาพอายตนะ ซึ่งจะต้องมีอาศัยก็ดี และธรรมะอันคือ ทฤษฎีที่จะต้องปฏิบัติไปสู่ธงชัย คือเป้าหมายอริยสัจ ๔ ก็ดี ผู้ปฏิบัติธรรมนั้น จะรู้จริงเห็นจริง ได้หรือไม่ได้ ก็จะต้องเป็นผู้รู้ในสิ่งนั้นๆ เราจึงจะเป็นผู้ได้หยั่งถึงสัจธรรม

๖ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

พึงเป็นผู้ละกิเลส

เมื่อเราได้ศึกษาจากพระบรมศาสดา ได้พิสูจน์จนกระทั่ง เข้าใจเป็นสัมมาทิฏฐิ ว่าชีวิตของมนุษย์นั้น เกิดมาอาศัยปัจจัยสี่ มีกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต เป็นที่ตั้ง เราจะอบรมให้ตนเองมีพฤติกรรม มีการกระทำ มีการงานอันเป็นกุศล

กุศลกรรมหรือกุศลธรรม คืออะไร เราก็ได้ทราบทั้งสิ้น จากพระบรมศาสดาได้ทรงกำหนดไว้ เพราะฉะนั้น มนุษย์ที่ประเสริฐ ก็คือผู้ที่มีกรรมกิริยา มีพฤติกรรมอยู่ในชีวิต ที่เป็นกุศลอันถึงพร้อม บาปทั้งปวงไม่ทำ ทำแต่บุญ ทำแต่กุศล ทำแต่สิ่งดีสิ่งประเสริฐ และเป็นผู้เสียสละ ความเสียสละเป็นความประเสริฐอย่างยิ่ง ความเห็นแก่ตัว ความโลภ เห็นแก่ได้ เห็นแก่เอาเปรียบ เป็นความเลวอย่างยิ่ง เราละเว้นความเลว ละเว้นความชั่ว และเราก็พึงมีพฤติกรรม พึงเป็นผู้กระทำตน ให้เป็นผู้มีความดีความประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นความขยัน ก็เป็นความประเสริฐ ไม่ว่าจะเป็นความอดทน ก็เป็นความประเสริฐ ความเป็นผู้ขวนขวาย ความเป็นผู้อ่อนน้อม ความเป็นผู้กตัญญูกตเวที ดังนี้เป็นต้น ล้วนเป็นความประเสริฐ ผู้เป็นคนที่ได้ศึกษา และได้พิสูจน์ธรรมะว่า กิเลสเท่านั้น ที่เป็นตัวเหตุให้เราเป็นทุกข์ และให้เราหวงแหน เห็นแก่ตัว ให้เราเป็นคนขี้เกียจ เป็นคนอ่อนแอ ไม่อดทน เป็นคนไม่เสียสละ เป็นคนไม่กตัญญู เป็นคนไม่ดีนานาประการ เมื่อละกิเลสเสียแล้ว เราก็จะเป็นผู้ทั้งสุขสบาย ทั้งเป็นคนแข็งแรง อดทน ขยัน สร้างสรร เป็นผู้ให้แก่โลกได้อย่างเบิกบานร่าเริง ตลอดตราบตาย

๗ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

ผู้ปฏิบัติอยู่ในทางเอก

ผู้เดินอยู่ในมรรค เรียกว่า เดินอยู่ในทางเอกายนมรรค ผู้มีเอกายนมรรค หมายความว่า ผู้ปฏิบัติอยู่ในทางเอก หรือผู้เดินอยู่ใน เอเสวมรรค แปลว่า ผู้เดินอยู่ในทางอันเอกนั้น เป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติอยู่ เป็นผู้ที่กำลังเดินจริงๆ

ผู้ใดไม่ได้ปฏิบัติอยู่ใน เอกายนมรรค หรือ เอเสวมรรค คือไม่มีสติปัฏฐาน ไม่ได้มีการรู้ตัวให้จริง แล้วก็พิจารณา มีธัมมวิจัย หรือมีสัมมัปปธาน มีวิริยะ หรือมีอิทธิบาท ควบคุมสังวร เอาใจใส่ในการประพฤติของตน ด้วยการตรวจตรา วิจัยธรรม พยายามสังวรระวัง ประหารในสิ่งที่ควรประหาร เลิกในสิ่งที่ควรเลิก ละในสิ่งที่ควรละ และทำให้ดีให้ยิ่ง ในสิ่งที่ควรกระทำให้ยิ่ง แล้วเราก็จะได้เห็นความจริง ว่าการเจริญ หรือการได้เดินสู่ที่เจริญยิ่งๆ ขึ้นๆนั้น "มีจริง" เพราะเราได้พิจารณา ปละปล่อยสิ่งที่ควรปละปล่อย หรือกระทำให้ยิ่ง ในสิ่งที่ควรกระทำให้ยิ่ง อยู่จริง ความสงบระงับจากโลกียะ จากกิเลสตัณหาอุปาทาน จะเกิดขึ้นให้เรารู้ ให้เราเห็นว่า เราดีขึ้นเจริญขึ้น

นับวันเรายิ่งจะรู้ว่า ความโลภเป็นอาการอย่างไร มันลดลงจากเรา ความโกรธมันเป็นอาการอย่างไร และมันก็ลดลงจากเรา ความหลงผิด เมื่อก่อนนี้ เราหลงชื่นชมยินดีในโลกีย์ ในโลกธรรม เราก็จะได้รู้ว่า เราหยุดหลง แต่ก่อนเราเข้าใจผิด ไปติดไปยึดไปเสพย์ เมื่อปฏิบัติไปแล้ว เราก็จะเห็นว่า เราได้ละได้ลด ได้เข้าใจถูก หันมาในทิศทางประเสริฐอันแท้จริงได้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นข้อที่พิสูจน์ สำหรับผู้ปฏิบัติถูกปฏิบัติตรง ได้จริง มีจริง เป็นจริง แล้วเราก็ยินดีที่จะเป็นผู้ปลดปล่อย จากความเป็นทาสโลกธรรม ลดตัณหา ความอยากในกาม ความอยากในภพ ลดอุปาทาน คืออารมณ์ที่มันสุข อารมณ์ที่มันทุกข์ อารมณ์ที่เราชอบใจ อารมณ์ที่เราไม่ชอบใจ ซึ่งเป็นอุปาทานอยู่ทั้งสิ้น มีธาตุรู้ คือจิตวิญญาณ เข้าสู่ฐานอุเบกขา กลางๆ วางเฉย ได้บ่อยขึ้นมากขึ้น แม้ได้รับกระทบสัมผัส จะต้องเกิดอารมณ์ชอบอารมณ์ชัง หรืออารมณ์สุขอารมณ์ทุกข์ อันเป็นอุปาทานที่เคยติดเคยยึดมานาน ก็จะจางคลาย ลดอุปาทานในขันธ์ของเรา ที่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รับเป็นรูป ต่อทอดไปหา เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็กลายตัวเป็นตัวปรุง เราก็จะรู้ว่า อุปาทานลดไปจากขันธ์ ๕ มีขันธ์ ๕ บริสุทธิ์ขึ้นอย่างแท้จริง

การปฏิบัติธรรมเหล่านี้ เราจะต้องรู้ด้วยตนเอง กระทำเองได้ผลเอง และเราจะรู้สัจธรรม เข้าสู่ความละลดปลดปล่อย และเป็นคนประเสริฐ ที่มีความเสียสละ มีคุณค่าจริงนั้น เป็นคนที่มีค่าอยู่ในโลก ในสังคมได้จริง เป็นจริง เป็นฉันใด ผู้นั้นจะต้องเกิดความจริงให้แก่ตน และ รู้เอง เป็นเอง ก็เป็นฉันนั้นๆ

๑๐ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

กล้าเสียสละ

มนุษย์ปุถุชนนั้น เป็นอยู่ด้วยความเมา เรียกว่า "มทะ" ย่อมเป็นทาสของลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่เป็นธรรมดา ย่อมมีความเห็นที่เข้าใจว่า ชีวิตนั้นจะต้องได้ลาภมามากๆ เป็นความสำเร็จของชีวิต ได้ยศมาสูงๆ เป็นความประเสริฐของชีวิต ได้สรรเสริญเยินยอมามากๆ เป็นความสำเร็จของชีวิต ได้เสพโลกียสุขตลอดเวลา นั่นเป็นความสำเร็จของชีวิต

ส่วนมนุษย์อริยะ ซึ่งได้ศึกษาธรรมะ ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วอย่างดี เป็นสัมมาทิฏฐิ ย่อมเห็นกลับกัน ทวนกระแสกัน ว่าชีวิตมนุษย์นั้น ไม่ใช่เอาค่าของลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข เป็นเครื่องวัดผลสำเร็จของชีวิตเลย ดังสมเด็จพระบรมศาสดา ได้ยืนยันยืนหยัดมาแต่ต้น

เพราะพระองค์มีลาภ ทรัพย์ ศฤงคารมากมาย แต่พระพุทธองค์ก็สามารถทิ้ง ไม่ได้ไยดี ไม่ได้ใช้ลาภนั้น เป็นเครื่องวัดว่า ชีวิตประเสริฐ ชีวิตที่ประสพผลสำเร็จนั้น จะต้องมีลาภเป็นเครื่องวัด พระองค์มีอิสริยยศ ถึงระดับรัชทายาท จะเป็นผู้ครองแผ่นดิน แต่พระองค์ก็ไม่ได้ไยดีกับอิสริยยศนั้น เป็นผู้นอนโคนไม้โคนดิน เป็นผู้ดำเนินไปด้วยพระบาทเปล่า เป็นผู้นุ่งห่มด้วยผ้าบังสุกุล เป็นผู้มีอาหาร ได้ด้วยบิณฑบาตตามมีตามได้ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยัน ให้พระสาวกท้าทาย ให้มนุษย์ผู้มีปัญญาได้มาพิสูจน์ จึงได้พบความจริง ตามผู้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเพียรในการปฏิบัติตามทาง คือ มรรคองค์ ๘ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างแท้จริง จึงประสพผล ละลดปลดปล่อยความหลงผิด ความติดยึดความเสพ ที่เป็นทาสลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ทราบชัดว่า ความดีความประเสริฐของมนุษย์นั้น ไม่ต้องเอาลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข มาวัด

ความดีของมนุษย์ ที่คนจะกราบไหว้บูชาได้นั้น อยู่ที่ความกล้าเสียสละลาภ แม้มียศก็ไม่ได้หลงยศ ไม่ได้เบ่งด้วยยศ ไม่ได้ไขว่คว้ายศ เพราะยศเป็นเพียงกำหนดตำแหน่ง ให้เราทำงานมากยิ่งขึ้น เมื่อเรามียศสูงขึ้น ก็เท่านั้น ถ้าผู้ใดได้ปฏิบัติ จนสติสัมปชัญญะ ปัญญา มีกำลังของจิตอย่างแข็งแรงแล้ว จะพ้นความเป็นทาสโลกธรรม ๘ จะเป็นผู้แข็งแรง เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้ขยัน เสียสละ อดทน มีน้ำใจ เป็นผู้กตัญญูกตเวที ต่อมวลมนุษยชาติ สิ่งเหล่านี้เป็นคุณธรรม ที่วัดค่าของมนุษย์ได้ยิ่งกว่า และเป็นจริงยิ่งกว่า น่าบูชายิ่งกว่า ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ทั้งปวงแล

๑๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

เอาภาระเสมอเถิด

หนึ่ง คนพูด ก็ไม่ค่อยจะทำ ไม่ค่อยจะเก่ง ทำก็ไม่ค่อยทำ ก็ไม่เก่ง เลวที่สุด
สอง คนพูดก็เก่ง แต่ทำไม่เก่งดังพูด ก็ดีอยู่หน่อย หรือ แค่ไม่เลวที่สุด
สาม คนพูดไม่เก่ง แต่ทำเก่งกว่าพูด ดีกว่าสองชนิดก่อน
สี่ คนพูดก็เก่ง และ ทำก็เก่ง ดีที่สุด

สังเกตดีดีเถิด สังคมทุกวันนี้ เราอยู่ในอย่างที่หนึ่ง และอย่างที่สอง เท่านั้น คือ พูดเก่ง แต่ทำไม่เก่ง และ พูดก็ไม่เก่ง ทำก็ไม่เก่ง สังคมจึงพากันเดือดร้อนวุ่นวาย เต็มไปด้วยปัญหาอยู่ ฉะนี้ ๆ

อย่ามัวแต่คิดว่า คนอื่นเขาจะทำเองแหละ แล้วเราก็ไม่ขวนขวาย ไม่เอาภาระ ปละปล่อย ดูดาย แต่จงคิดว่า คงจะไม่มีคนทำ หรือ มีก็คงจะไม่พอไว้ก่อน แล้วเราก็ขวนขวาย เอาภาระเสมอๆ เถิด

๑๒ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

ผู้ประเสริฐ

มนุษย์ผู้รู้จุดสำคัญ ของความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ย่อมพากเพียร เพื่อความประเสริฐของตนๆ หลักง่ายๆ ที่จะทำให้คนประเสริฐแท้ นั้นคือ เป็นผู้มีความอดทน เป็นผู้มีความขยัน เป็นผู้ใช้ปัญญา เป็นผู้มีน้ำใจ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้กตัญญูกตเวที เมื่อรู้ ก็ต้องใช้ปัญญาตรอง ตามเวลา ทุกเวลาให้ได้ ที่เรามีชีวิต มีความเป็นอยู่ มีการกระทำ พฤติกรรมจะต้องให้ตรง ตามที่เรารู้จุดสำคัญนั้นๆ ว่าเราเองได้พากเพียรฝึกหัดอบรมตน ให้เป็นคนมีความอดทนอยู่ ให้เป็นคนมีความขยันหมั่นเพียรอยู่ ให้เป็นคนมีปัญญาอย่างชัดแท้ ให้เป็นคนมีน้ำใจ ให้เป็นคนเสียสละ และเป็นคนมีกตัญญูกตเวที ไม่ผิดเพี้ยน หรือมีมาก มีจริง มีประจำตน ประจำตน จนชีวิตของเรา มีลักษณะทั้งหลายแหล่ นั่นแหละ ชื่อว่า ผู้ประเสริฐ

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

สันติภาพ

มนุษย์ที่มีบุญ คือมนุษย์ผู้ที่ได้ชำระกิเลสตนเอง ได้ละลดปลดปล่อยตนเอง แล้วผู้นั้นก็มีจิตใจอยู่เป็นสุข ชนิดวูปสโมสุข หรืออุปสโมสุข ซึ่งเป็นสุขที่ไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องดิ้นรนทุรนทุราย เป็นสุขอันสงบพิเศษ พร้อมกระนั้น ตัวเองก็เป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ เพราะเป็นคนได้ขยัน สร้างสรร และมีชีวิตอยู่อย่างเบิกบานร่าเริง พร้อมกับมวลมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ซึ่งมีศีลสามัญตา มีทิฏฐิสามัญตา อยู่กันอย่างภราดรภาพ

มนุษย์ผู้มีบุญ ผู้พบกลุ่มหมู่ที่เป็นมิตรดี สหายดี เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมที่ดี ดังกล่าวนี้ ก็เพราะมีความเห็น ที่เป็นเช่นเดียวกัน เสมอสมานกัน และได้ปฏิบัติตน ชำระจิตใจที่มีกิเลสตัณหาออกไป ด้วยทฤษฎีเดียวกัน มีผลเหมือนๆกัน แม้จะไม่เท่าเทียมกันทีเดียว แต่มีทิศทางเดียวกัน จึงเป็นมนุษย์ที่เป็นสังคมสัตว์โขลง หรือเป็นมนุษย์ ที่อยู่ร่วมรวมกันอย่างเป็นสุข ที่เป็น วูปสโมสุข อุปสโมสุข ที่ชื่อว่า "สันติภาพ"

๑๙ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

เราทั้งผองพี่น้องกัน

เราทั้งผองพี่น้องกัน มาเถิด เพื่อนผู้เกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ยังไม่ทราบยังไม่รู้ ยังไม่เห็นจริง ว่าชีวิตนั้น เกิดมาเพื่ออะไร เมื่อได้มาอยู่ใต้ร่มพุทธศาสนา อันมีพระบรมศาสดา ผู้ตรัสรู้ ทราบความจริงแท้ ว่าชีวิตนั้น เกิดมาเพื่อเป็นผู้สร้างสรร เป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ ชีวิตไม่ใช่เกิดมาเป็นนักล่า ซึ่งจะล่าทั้งลาภ ทั้งยศสรรเสริญโลกียสุข แสนเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่แล้วก็อยู่อย่างทุกข์ร้อน ด้วยความโลภ ต้องการมาให้ได้แก่ตัวให้มาก ด้วยความโกรธแค้น ที่ต้องแย่งชิง ไม่ได้สมใจ ไม่ได้มาเสพสมสุข ชีวิตเป็นหมาหอบแดด หรือชีวิตเป็นหนี้ ชีวิตเป็นทาส สภาพเหล่านั้น พระบรมศาสดา ผู้เป็นปราชญ์เอกของโลก ได้ตรัสรู้แล้ว ได้ละทิ้งชีวิตเช่นนั้นแล้ว มาเป็นชีวิตที่มีคุณค่า มีประโยชน์ เป็นชีวิตที่ไม่ต้องเดือดร้อน แม้จะขยันหมั่นเพียร จะสร้างสรรอุตสาหะ ก็ล้วนเป็นคุณค่าประโยชน์แก่โลก แก่มนุษยชาติทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นหนี้เลย มีแต่กำไร มีแต่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อมวลมนุษยชาติทั้งสิ้น เมื่อคนมีจิตเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตา เกื้อกูลไปทั่วโลก ผู้นั้นย่อมมีญาติมาก ย่อมมีพี่น้องทั่วไปทั้งหมด ดังนั้น ผู้ที่มีกรรม มีการกระทำ ทั้งกายวาจาใจ มีเมตตากายกรรม มีเมตตาวจีกรรม มีเมตตามโนกรรม มีลาภก็เผื่อแผ่ แบ่งลาภแก่กันและกัน ไปทั่วถ้วน ผู้มีศีลอันเสมอสมานกัน มีความเห็นความเข้าใจ อันเสมอสมานกัน บุคคลผู้เช่นนั้น จึงอยู่อย่างภราดรภาพ อิสรเสรีภาพ และมีสมรรถภาพ อยู่กันอย่างสันติภาพร่วมกัน คนเช่นนั้นจึงกล่าวได้ว่า เราทั้งผองพี่น้องกัน

๒๓ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

เราจะสำเร็จได้ ด้วยความเพียร

คนเราเกิดมาล้วนใฝ่ดี มุ่งมาดปรารถนาดี ซึ่งโดยสามัญ เราก็จะรู้ว่าความดีคืออะไร ผู้ที่ใฝ่ดี ก็พากเพียร อุตสาหวิริยะ เพื่อความดีนั้นๆ เท่าที่จะมีความเพียรของแต่ละบุคคล บางคนก็มีความเพียรน้อย รู้ว่าสิ่งที่ดีนั้นเป็นเช่นนั้นๆ แต่ก็พ่ายแพ้ความชั่ว พ่ายแพ้สิ่งที่ดึงดูด ด้วยอำนาจกิเลสจัด ผู้ชนะกิเลส ชนะฤทธิ์แรงของความชั่วได้ จึงเป็นผู้ที่เจริญได้สูงขึ้นไปกว่านั้น ผู้ที่รู้ความดีที่ชัดแจ้งยิ่งกว่า ถูกต้องตรงสัจธรรมยิ่งกว่า ในชั้นของโลกียะ ผู้มีดวงตาที่เห็นเช่นนั้น เมื่อมีความเพียรที่กล้าหาญ อุตสาหวิริยะที่เพียงพอ ก็สามารถจะนำตนเข้าสู่ความดีเช่นนั้นๆ ได้ยิ่งๆขึ้น แม้กระนั้นก็ตาม ในหมู่ผู้ที่มีดวงตา มีความเพียร ก็ยังมีชั้นมีระดับ ที่เราจะสามารถไต่สู่ความดีนั้นได้ เป็นขั้นเป็นตอน ไม่ง่ายเลย ที่เราจะขึ้นสู่ความดี เป็นผู้ประเสริฐสูงสุด เท่าที่พระบรมศาสดาได้กำหนดไว้ โดยการประพฤติเพียร เพื่อละล้างกิเลส ซึ่งเป็นเหตุแห่งความชั่วทั้งหลาย ออกให้ได้สิ้นเกลี้ยง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็คำสอนของพระบรมศาสดานั้นเอง ที่ได้ตรัส ระบุเป็นคำชัดไว้ว่า

เ ร า จ ะ สำ เ ร็ จ ไ ด้ ด้ ว ย ค ว า ม เ พี ย ร

๒๔ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

อย่าให้ความรู้ ฆ่าตัวเราเอง

จงเรียนรู้ เพื่อเป็นความรู้ และจะได้ใช้ความรู้นั้น เพื่อสร้างความจริง จงอย่าหลงผิด ให้ความรู้มันมาทอน หรือทำให้เรา ไม่มีกำลังใจสร้างความจริง

ความรู้ ทำให้คนล้มเหลว
ความรู้ ทำให้คนไม่ประสบผลสำเร็จ
ความรู้ ทำให้คนเป็นทุกข์
ความรู้ ทำให้สังคมล้มเหลวมาแล้วนักกว่านัก

เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะให้ความรู้ ช่วยสร้างความจริงเท่านั้น อย่าลืมตน ดูตน ตัวเองไม่ใช่ความรู้ ตนมีความจริง เท่าตนมีความจริง ตรวจความจริง ฐานะ และความเป็นผู้เป็นได้ เท่าที่ตนเป็น อย่าให้ความรู้ มาชวนให้ตนเสียเวลา จนเราไปเพลิด ไปกับความรู้ แล้วความรู้เหล่านั้น ฉุดเราลงตกต่ำ และล้มเหลวเป็นที่สุด

น่าเสียดายมาก ถ้าเราเรียนรู้ เพื่อให้ความรู้ ฆ่าตัวเราเอง

๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

ปล่อยวาง...ว่างเบา

ได้ปฏิบัติด้วยการควบคุมกายก็ดี วาจาก็ดี ให้เป็นสิ่งดี กำลังใจก็ดีขึ้นแข็งแรงขึ้น แต่กระนั้นก็ตาม เราก็ต้องรู้จักเรียนรู้ ตามเข้าไปถึงจิต ซึ่งเป็นตัวสำคัญ ที่จะมาก่อนกายกรรม มาก่อนวจีกรรม และจะต้องวิจัยที่ในจิตของเราออก ว่าตัวที่กำหนด สั่งการให้เรากระทำอันใดออกมา หรือที่จริงนั้น ตัวที่จิตต้องการยึดถือหรือผลักไส อยู่ที่จิตเองนั้น เป็นตัวหลักตัวแท้ การจะปลดปล่อย ไม่ให้จิตเป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนี้ เป็นเรื่องยาก

นักปฏิบัติธรรมจะต้องเอาจริง ต้องปลดจริงปล่อยจริง หยุด หรือปล่อยวาง ก็ต้องปล่อยจริงๆ, ถือ คือ อาศัยให้พอเป็นไป ก็ต้องถือต้องอาศัยจริง แต่การถือการอาศัยนั้น เราได้อาศัยหรือถือมา จนยึดมั่นถือมั่นมาเก่งแล้ว เพราะฉะนั้น เรื่องยึดเรื่องถือนั้น จึงเป็นเรื่องง่ายกว่า

ส่วนการปล่อยการวาง การหยุดให้สนิท ให้จิตไม่มีการเอาการถือ ไม่ฉวยเอา ไม่ยึดถือ ให้ได้ออกไปจากจิตจริงนั้น เป็นการยากกว่า ผู้ทำได้สำเร็จ จะรู้สึกเองว่าเบาว่าง พ้นทุกข์ คนเราไม่กล้าที่จะปล่อยวาง ก็เพราะมันติด และมันเชื่อมั่นว่า ถ้าเราปล่อย เราไม่ได้ฉวยเอาไว้ เราไม่ได้ยึดถือไว้ เราจะอยู่อย่างไร หรือเราจะไม่เป็นสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้น ขั้นสูงขึ้นมา เราก็ยึดถือดีจนเกินการ จนไม่กล้าปล่อยดี ที่เรานึกว่านั่นดี สิ่งนั้นจึงเป็นตัวทำให้เรา"ทุกข์" อยู่ในกาละ องค์ประกอบบางกาละ ได้จริงๆ คนที่ไม่พ้นทุกข์ ในการไม่กล้าปล่อยวางอะไรเลยเป็นที่สุดได้ นั่นคือ ผู้ไม่สามารถถึงที่สุด ได้อย่างแท้จริง

จงหัดปล่อยหัดวางเถิด อะไรๆ ก็จะต้องปล่อยต้องวาง และจะต้องพรากจากกัน แม้สิ่งนั้น จะเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ของชีวิตแห่งชีวิต สิ่งนั้นก็ต้องพรากจากกันเป็นที่สุด ไม่มีอะไรเป็นของเรา ตัวเราเลยจริงๆ

๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๘


 

 

จิตสมาธิ

แน่นอน ใจที่มั่นคง ใจที่เป็นหนึ่ง เป็นจิตใจที่เป็นสุข สงบ และเป็นจิตใจที่มีพลัง พร้อมทั้งเป็นจิตใจที่สะอาดแจ่มใส มีความเห็นแจ้งชัด สว่างไสว เพราะฉะนั้น บุคคลฉลาด พึงรักษาใจ ให้ใจของเราเป็นหนึ่ง ให้ใจของเราไม่มีความวุ่นวาย ตัดความสงสัย ตัดสินให้ตนเอง ได้หยุดสิ่งที่มีค่ารอง มามีค่าที่เด่นชัด ค่าที่สูง ที่คิดว่าเป็นสิ่งที่เราจะหยุดยืน เป็นจุดยืนของเรา แล้วพึงมีใจ หรือความคิดให้เป็นหนึ่งเสมอ จิตเป็นหนึ่ง จึงชื่อว่า "จิตสมาธิ"

๓๑ พฤษภาคม ๒๕๒๘


สมณะโพธิรักษ์

คาถาธรรม ๑๐ /

(ตรวจทาน ล่าสุด สิงหาคม 2565)